มายากาเหว่า บทที่ 5 : ผู้ว่าจ้าง

มายากาเหว่า บทที่ 5 : ผู้ว่าจ้าง

โดย : ณรัญชน์

Loading

มายากาเหว่า โดย ณรัญชน์ กับแผนการร้ายที่ลูกกาเหว่าอย่างดารินกานต์นำมาใช้ฟาดฟันกับพลอยแสง ผู้ที่เลี้ยงดูเธอมาด้วยความรัก อะไรที่ทำให้เธอคิดว่าแม่นกที่อุ้มชูมาไม่ได้รักเธอด้วยใจจริง ความรักของพลอยแสงจะเอาชนะอคติที่บดบังดวงตาและดวงใจไปได้อย่างไร…นวนิยายออนไลน์แนว Family Drama สุดเข้มข้นที่อ่านเอาอยากชวนคุณมาลุ้นไปกับเรา

พลอยแสงแทบไม่รู้ว่าเธอผ่านคืนอันยาวนานนั้นมาได้อย่างไร เมื่อย้อนคิดกลับไปเหตุการณ์ทั้งหมดสลัวรางคล้ายเคลื่อนไหวอยู่ในกลุ่มหมอกหนาทึบ จำได้เพียงว่าหลังจากตัดสินใจในเรื่องที่ยากเย็นยิ่งกว่าครั้งใดในชีวิตเสร็จสิ้นลง ก็เกิดปัญหาอื่นตามมาอีก

“แล้วพ่อแม่ของโมนาล่ะ ถ้าลูกหายไปเขาจะไม่แจ้งความหรือ” เธอถามเวธัส

“โมนามันไม่ค่อยได้กลับบ้านหรอกครับ มันเป็นพริตตี้วิ่งรับงานจนดึกดื่น เห็นว่าเดือนหนึ่งถึงจะเอาเงินไปให้ทางบ้านสักครั้ง กว่าพ่อแม่จะเอะใจว่าลูกสาวหายก็คงอีกนาน”

“แต่โมนาอาจจะบอกเพื่อนไว้ว่าจะมาหาเธอก็ได้”

“เรื่องเพื่อนๆยายนี่น้ายิ่งไม่ต้องกังวล พวกนี้มันเด็กใจแตกชอบไปขลุกอยู่ตามบ้านผู้ชายอยู่แล้ว แล้วโมนาไม่ได้คบแค่ผมคนเดียว มันมีคนอื่นอีกตั้งสองคน ถ้าหายไปเพื่อนมันก็คงคิดว่าไปนอนกับผู้ชายคนใดคนหนึ่งนั่นละ ส่วนผมมีดาวเป็นพยานว่าเราอยู่ด้วยกันตลอด ยังไงก็ไม่มีใครเอาผิดผมได้หรอก”

เมื่อเขามีเหตุผลพอใช้ได้มาอ้างพลอยแสงก็ไม่ซักถามอะไรอีก ส่วนดารินกานต์นั้นทิ้งตัวลงนั่งชันเข่าอย่างเหนื่อยอ่อน ดูก็รู้ว่าคงไม่มีสติปัญญาจะช่วยคิดอ่านอะไรทั้งสิ้น

“ผมจะไปเอาม่านห้องน้ำมาห่อศพโมนาแล้วเอาไปไว้ในห้องนอน น้าพลอยกับดาวนั่งรออยู่ในครัวนี่ก่อนก็แล้วกันจะได้ไม่เห็นศพให้ติดตา พอผมย้ายเสร็จแล้วค่อยกลับเข้าไปในห้องรับแขก ดึกๆผมจะเอาโมนาไปทิ้ง ไม่ต้องห่วงนะครับคนแถวนี้เขาเข้าบ้านกันเร็ว ไม่กี่ชั่วโมงเราก็ได้ออกไปแล้ว” เวธัสบอก

เวธัสลงมือทำดังปากว่า ใช้เวลาไม่นานก็เรียกพลอยแสงและดารินกานต์เข้าไปนั่งจับเจ่ากันต่อในห้องรับแขก เข็มนาฬิกาแต่ละนาทีขยับไปอย่างเชื่องช้าราวกับจะแกล้งกัน จนกระทั่งสามทุ่มตรงเวธัสก็ส่งพวงกุญแจให้พลอยแสง

“ผมจะไปเอาศพโมนาออกมา รบกวนน้าพลอยช่วยไปเปิดท้ายรถและเปิดประตูรั้วรอไว้ให้หน่อย”

บรรยากาศภายนอกเงียบเชียบไร้ผู้คน ยังดีที่มีแสงขมุกขมัวจากเสาไฟฟ้าหน้าบ้านจึงช่วยลดความวังเวงลงไปได้บ้าง เหนือศีรษะขึ้นไปพระจันทร์เสี้ยวขาวลออตาลอยเด่นอยู่บนเวิ้งฟ้าสีหมึก เมฆหนาปกคลุมเป็นหย่อมๆบอกให้รู้ว่าจะมีพายุฝนในไม่ช้า บ้านที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับดาราหนุ่มแขวนป้าย “ขาย” แผ่นใหญ่ไว้ที่ประตูรั้ว เป็นอันปลอดภัยจากหูตาเพื่อนบ้านไปได้เปลาะหนึ่ง

รถยนต์ของเวธัสจอดอยู่ในโรงจอดรถหน้าบ้านของเขา พลอยแสงใช้เวลาไม่กี่นาทีก็จัดการทุกอย่างได้เรียบร้อย อึดใจต่อมาดาราหนุ่มก็อุ้มวัตถุกลมยาวที่ห่ออยู่ในม่านพลาสติกออกมาวางลงในช่องเก็บของท้ายรถ

“ผมจะเอาไปทิ้งที่บึงไกลๆ จะได้สืบมาถึงเราไม่ได้”

เวธัสปิดกระโปรงรถเสร็จก็รับกุญแจคืนมาจากพลอยแสง หันมากำชับทิ้งท้ายไว้ก่อนจะขับรถออกไป

“น้าพลอยกับดาวกลับบ้านไปซะ ทำตัวเป็นปกติอย่าให้มีพิรุธนะ แล้วพรุ่งนี้ผมจะไปหาที่บ้านแต่เช้า เราจะได้วางแผนกันว่าจะให้การยังไงถ้าตำรวจมาถาม”

พอพาหนะของชายหนุ่มแล่นพ้นไปแล้วพลอยแสงก็ปิดประตูบ้าน ล็อคแม่กุญแจรั้วแล้วเรียกดารินกานต์ให้มาขึ้นรถของเธอ ส่วนรถยนต์ของลูกเลี้ยงนั้นเธอคิดว่าเวธัสคงขับมาคืนในวันหลัง

เคหาสน์หลังโอฬารเปิดไฟทิ้งไว้เพียงไม่กี่ดวงเพราะเจ้าของบ้านไม่อยู่ โชคดีพลอยแสงมีแจ็กเก็ตบางๆเก็บอยู่ในรถ จึงนำมาสวมทับปิดรอยเลือดไม่ให้สาวใช้ที่รออยู่ในห้องโถงเห็น ดารินกานต์ขอตัวเข้าห้องพักไปทันทีเช่นเดียวกับพลอยแสง เธอตรงเข้าห้องน้ำเปลื้องชุดที่สวมอยู่ออก เปิดฝักบัวระดับความแรงสูงสุด ปล่อยให้หยาดน้ำเย็นฉ่ำพร่างพรูลงมาชะล้างความอ่อนล้าที่เกาะกินตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้า นานครึ่งชั่วโมงกว่าที่หญิงสาวจะก้าวออกมาในชุดเสื้อคลุมเนื้อหนา เส้นผมดำสนิทเปียกแนบศีรษะตัดกับใบหน้าที่เผือดขาวราวแผ่นกระดาษ

คราบสกปรกภายนอกถูกลบเลือนไปดังประสงค์ จะหลงเหลือก็แต่มลทินในใจที่ลบล้างออกไปไม่ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม..

…………………………………………………………………………………………………………

ปกติพลอยแสงจะทานอาหารเช้าเพียงลำพัง ยกเว้นถ้ามีธุระจะสั่งงานจึงจะเรียกมิรินมาทานเป็นเพื่อน ส่วนดารินกานต์ซึ่งมักกลับดึกจากงานปาร์ตี้ซึ่งจัดกันไม่เว้นแต่ละคืน จะนอนจนถึงสิบโมงเช้า ทว่าเช้าวันนี้ลูกเลี้ยงของเธอมานั่งรออยู่ที่โต๊ะเป็นคนแรก ใบหน้าซีดเซียวเหนื่อยอ่อน ผิวแห้งโทรมกับเปลือกตาบวมช้ำนั้น เห็นได้เด่นชัดเสียจนมิรินที่มาทานอาหารเช้าด้วยแอบชำเลืองมอง

“คุณพลอยนอนไม่หลับหรือคะ” มิรินไม่ถามดารินกานต์ แต่ตั้งคำถามกับพลอยแสงเมื่อเห็นว่าผู้อุปการะของเธอก็อยู่ในสภาพอิดโรยไม่ต่างจากลูกเลี้ยง

พลอยแสงลูบใบหน้าซูบซีดของตัวเอง “พอดีมีเรื่องให้กังวล แต่ไม่มีอะไรมากหรอก”

มิรินไม่คิดว่าสิ่งที่ทำให้พลอยแสงกังวลถึงกับนอนไม่หลับได้ จะเป็นเรื่องที่ “ไม่มีอะไรมาก” แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่สะดวกใจที่จะบอก หล่อนจึงเปลี่ยนไปพูดประเด็นอื่นที่เห็นว่าสำคัญที่สุดในเวลานี้

“เรื่องหนูที่มาวิ่งในมอลล์ของเรา เมี่ยงขอให้พี่ๆสื่อที่รู้จักกันให้ช่วยปิดข่าวแล้วค่ะ แต่คงไม่ได้ผลเท่าไร เพราะตอนนี้ในโซเชียลก็ลงข่าวกันเต็มไปหมด เราคงต้องแก้ข่าวกันหนักเลย เมี่ยงอยากขอให้คุณพลอยปิดมอลล์สักสามวัน เราจะได้แถลงข่าวขอโทษประชาชนและทำความสะอาดใหญ่ แล้วหลังจากนั้นค่อยมาคิดว่าจะจัดกิจกรรมอะไรมากู้ภาพพจน์ เมี่ยงคิดไว้สองสามอย่างแล้ว จะทำแผนงานมาเสนออีกทีนะคะ”

มิรินรายงานยืดยาวตามประสาคนคล่องงาน แต่ครั้นมองไปทางผู้ฟังก็เอะใจที่พลอยแสงนั่งใจลอยทอดสายตามองออกไปในสวน ไม่กระตือรือร้นจะรับมือกับปัญหาอย่างทุกคราว นับเป็นการต้อนรับเช้าวันใหม่ที่แปลกประหลาดไม่น้อย ครั้นเหลียวไปทางดารินกานต์ก็พบว่าอีกฝ่ายนิ่วหน้าฮึดฮัดบอกให้รู้ว่ากำลังรำคาญเต็มแก่ นี่ก็ประหลาดอีกเช่นกัน ตั้งแต่รู้จักกันมาดารินกานต์ไม่เคยถูกชะตากับมิริน ตามนิสัยหญิงสาวน่าจะลุกหนีไปให้พ้นๆ หรือขัดคอด้วยวาจาพาลหาเรื่องมากกว่าจะนิ่งเฉยทนฟังให้ระคายหู

“คุณพลอยไม่สบายหรือเปล่าคะ” มิรินตัดสินใจถาม “มีอะไรที่เมี่ยงช่วยได้บ้างไหม”

พอถูกทักพลอยแสงก็ได้สติ เธอหันมายิ้มแก้เก้อ เป็นจังหวะเดียวกับที่โทรศัพท์มือถือของดารินกานต์ส่งเสียงเตือนว่ามีข้อความเข้า หญิงสาวหยิบขึ้นมากดดูอย่างเบื่อหน่าย คิดเพียงว่าคงจะเป็นเพื่อนคนใดคนหนึ่งนัดหมายว่าจะไปเที่ยวกันอีกกระมัง  ขณะเดียวกันเวธัสก็เดินเข้ามาในห้องรับประทานอาหารทั้งๆที่ไม่เคยมาเช้าตรู่ขนาดนี้ หน้าตาเหน็ดเหนื่อยเหมือนไม่ได้นอนมาอีกคน  เขายกมือไหว้พลอยแสงแล้วมองเลยมายังมิริน

“น้าพลอยครับ ผมอยากพูดเรื่อง…” ชายหนุ่มละใจความสำคัญไว้ พลางชำเลืองไปยังบุคคลที่ไม่ควรให้รับรู้เรื่องราวหนึ่งเดียวในที่นั้น

พลอยแสงหันมาบอกมิริน “เมี่ยงออกไปก่อนได้ไหม พอดีฉันมีธุระสำคัญต้องคุยกับเวธัส ส่วนเรื่องที่มอลล์เธอกับดนัยช่วยดูแลแทนไปก่อนก็แล้วกัน ช่วงนี้ฉันเหนื่อยอยากจะพักสักหน่อย”

ดวงตาดำขลับล้อมด้วยแพขนตาหนาราวปีกผีเสื้อของคนฟังมีแววฉงน กระนั้นมิรินก็ลุกขึ้นโดยดี หล่อนเพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าวเมื่อดารินกานต์อุทานออกมา

“น้าพลอย พี่ธัส ดูนี่สิ”

น้ำเสียงแปร่งปร่านั้นแปลกหูเสียจนมิรินต้องหันกลับไปมอง ทันเห็นดารินกานต์กำลังยื่นโทรศัพท์ให้แม่เลี้ยงและคนรักดูคลิปวิดีโอที่มีคนส่งมาให้ จากจุดที่มิรินยืนอยู่ หล่อนเห็นภาพในคลิปเป็นเหตุการณ์ขณะผู้ชายคนหนึ่งกำลังอุ้มห่อของขนาดใหญ่ไปใส่ท้ายรถ ทว่าไม่ชัดเจนพอจะบอกได้ว่าคนๆนั้นเป็นใคร

มือขาวเรียวของดารินกานต์อ่อนแรงเสียจนถือโทรศัพท์ต่อไปไม่ไหว ต้องปล่อยวัตถุสี่เหลี่ยมนั้นหล่นกระทบโต๊ะกินข้าว ริมฝีปากซีดจนเกือบเขียวหลุดวาจาแหบพร่าออกมาอย่างคนที่คุมสติไม่อยู่

“เมื่อคืนนี้มีคนเห็นเราค่ะพี่ธัส เราจะทำยังไงกันดี”

……………………………………………………………………………………………………………………..

มิรินใช้เวลาช่วงเช้าพิมพ์แผนงานประชาสัมพันธ์เพื่อนำไปเสนอพลอยแสง จนนาฬิกาบอกเวลาใกล้เที่ยงก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ส่งข้อความไปถึงพฤทธิ์

“ถ้าว่างแวะมาหาเมี่ยงหน่อยนะ มีเรื่องนายเวธัสจะเล่าให้ฟัง”

ซาวูเรอสาขาใหม่เพิ่งมาเปิดตัวที่คามิลเลียคอมมูนิตี้มอลล์ได้ไม่นานนัก พฤทธิ์จึงต้องมาดูแลอยู่ที่นี่เป็นหลัก ด้วยเหตุนี้เขาจึงสามารถผลักประตูห้องทำงานของมิรินเข้ามาได้เร็วทันใจคนรอ มิรินถ่ายทอดเหตุการณ์เมื่อเช้าให้ชายหนุ่มฟังอย่างละเอียดก่อนจะสรุปด้วยสีหน้ากังวล

“เมี่ยงว่ามันแปลก ปกติคุณพลอยไม่เคยมีความลับกับเมี่ยง แต่เมื่อเช้าเธอกลับสั่งให้เมี่ยงออกจากห้องเพื่อคุยกับนายเวธัส ท่าทางก็มีลับลมคมนัยกันพิกล”

พฤทธิ์เป็นเพื่อนบ้านที่เข้านอกออกในบ้านของพลอยแสงมาตั้งแต่เด็ก รับรู้ตื้นลึกหนาบางทุกอย่างจนมิรินสามารถเล่าเรื่องในบ้านได้อย่างสะดวกใจ อีกทั้งเขายังเป็นคนแรกที่ทักท้วงเมื่อดารินกานต์เริ่มคบหากับเวธัสอีกด้วย

‘ไอ้หมอนี่มันสร้างภาพทำเป็นสุภาพบุรุษไปอย่างนั้นเอง ดูสายตาหลุกหลิกของมันเวลามองเมี่ยงก็รู้ พี่ว่าดาวจะต้องเสียใจเพราะผู้ชายคนนี้’

ต่อมาพอรู้ว่าดารินกานต์ทุ่มเททรัพย์สินให้นักแสดงหนุ่มไปหลายสิบล้าน พฤทธิ์ก็ยิ่งชังน้ำหน้าเวธัส เขาเชื่อว่าสักวันหนึ่งเวธัสจะต้องสร้างปัญหาให้ครอบครัวของพลอยแสงเป็นแน่

“ที่น่าสงสัยที่สุดคือคลิปที่มีคนส่งมาให้ดาวนั่นละ เป็นภาพของใครเมี่ยงพอจะดูออกไหม” พฤทธิ์ถามเสียงขรึมหลังฟังมิรินเล่าจนจบ

มิรินส่ายหน้า “เมี่ยงอยู่ห่างออกมาตั้งหลายก้าว เห็นแค่แวบๆเท่านั้นละ แต่ต้องเป็นเรื่องสำคัญมากแน่ๆคุณดาวถึงทำท่าลุกลี้ลุกลน หน้างี้ซีดอย่างกับไก่ต้ม”

พฤทธิ์เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ยกมือลูบคางอย่างใช้ความคิด “หรือว่านายเวธัสกับดาวไปทำความผิดอะไรไว้ แล้วน้าพลอยรู้เข้าเลยช่วยปิดบัง อยากรู้จริงว่าเป็นเรื่องอะไรถึงทำให้น้าพลอยยอมร่วมหัวจมท้ายกับคนอย่างนายนั่นได้”

ประโยคสุดท้ายของเขาไม่ต่างจากการโยนก้อนหินลงในแม่น้ำกว้างใหญ่ แทบจะไม่มีความหมายอะไรมากไปกว่าการปรารภอย่างเลื่อนลอย มิรินเองก็จนปัญญาจะควานหาเงื่อนงำมาได้ในเวลานี้ ท่ามกลางแรงสังหรณ์ประหลาดล้ำที่กำลังก่อตัวขึ้นกลางจิตใจ หล่อนเกิดความรู้สึกคล้ายสายลมฤดูร้อนที่โบยโบกอยู่นอกหน้าต่าง กำลังพรายยิ้มเหี้ยมเกรียมขณะพัดพาชะตากรรมแปลกใหม่เคลื่อนตัวเข้ามาหา

เมื่อใดที่มันมาถึงหลายชีวิตที่มิรินรู้จักจะเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง แต่จะเป็นในทางร้ายหรือดี นี่สิที่หญิงสาวยังต้องหาคำตอบ

ทั้งคู่มัวแต่จมอยู่ในภวังค์ความคิดจนพากันนิ่งเงียบไปทั้งสองคน พอนึกขึ้นได้มิรินก็หัวเราะ

“เราจะมานั่งคิดกันอยู่ทำไมนะพี่พฤทธิ์ คิดไปก็ไม่มีคำตอบ นอกเสียจากจะได้เห็นคลิปในมือถือของคุณดาว หรือไม่ก็รอให้มีเรื่องอะไรสักอย่างเกิดขึ้น ส่วนตอนนี้” หล่อนลุกขึ้นอย่างกระปรี้กระเปร่า ร่างสูงโปร่งประเปรียวในเสื้อเชิ้ตขาวสะอาดและกางเกงสแล็คสีอ่อนคาดทับด้วยเข็มขัดเส้นเล็ก ดูคล่องแคล่วเมื่อเอ่ยชวนว่า

“วันนี้เมี่ยงอยากกินอาหารเกาหลี มีร้านใหม่มาเปิดใกล้ๆนี่เอง ไปชิมกันดีกว่า”

พฤทธิ์ลุกขึ้นยืนตามคำชวน ทว่ายังไม่ทันออกจากห้อง ดนัยก็ผลักประตูเข้ามาหา

“คุณเมี่ยง ผมเช็คกล้องวงจรปิดเจอคนที่เอาหนูมาปล่อยในมอลล์ของเราแล้วนะ ชื่อธิดา เป็นพนักงานทำความสะอาดของเรานี่เอง คุณเมี่ยงอยากดูวงจรปิดไหมครับ”

หน้าตากระตือรือร้นของพฤทธิ์บอกให้รู้ว่าเขาจะไม่ยอมพลาดกิจกรรมครั้งนี้แน่ๆ

“หนูพวกนั้นทำร้านซาวูเรอของพี่เสียชื่อไปด้วย ถ้ายังไงขอพี่ดูกล้องวงจรปิดด้วยคนได้ไหม จะได้ร่วมกันฟ้องเรียกค่าเสียหายจากคนที่อยู่เบื้องหลังทีเดียวไปเลย”

ดนัยเห็นด้วยเต็มที่ “ดีครับคุณพฤทธิ์ ผมก็ว่าจะชวนเจ้าของร้านทั้งหมดในคามิลเลียเป็นโจทย์ฟ้องด้วยกันเสียเลย ไหนๆก็จะขอรับคำขอโทษเป็นเงินแล้ว ขอสักร้านละล้านก็แล้วกัน คนที่จ้างมามันจะได้เข็ดไปจนวันตาย”

……………………………………………………………………………………………………………..

อีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา ธิดาก็ถูกจับได้ที่บ้านในชุมชนแออัดไม่ไกลจากคามิลเลียนัก หลักฐานมัดตัวหญิงสาวเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดขณะที่หล่อนกำลังยกกล่องกระดาษใบใหญ่ มาวางทางด้านหลังร้านอาหารญี่ปุ่นร้านหนึ่ง ก่อนจะใช้มีดกรีดฝากล่องแล้วรีบผละไป เพื่อให้หนูจำนวนมากที่ถูกขังอยู่ในนั้นปีนป่ายออกมาหาอิสรภาพ

ภาพจากอีกมุมแสดงให้เห็นว่าธิดายังใช้วิธีเดียวกันนี้ที่หลังภูเขาจำลองติดกับลานเอนกประสงค์

เป็นเหตุให้มีหนูออกมาวิ่งกันเต็มลาน ธิดาร้องไห้ตลอดเวลาที่ดนัยและมิรินช่วยกันสอบถาม

“หนูไม่รู้จักคนจ้างหรอกค่ะ เขาติดต่อมาทางไลน์ โอนเงินให้ครึ่งหนึ่งก่อนพอทำงานเสร็จก็ค่อยโอนให้อีกครึ่ง” หล่อนสะอื้น

“ไม่รู้ว่าเป็นใครก็ยังกล้าทำงานให้นะ เจริญละแม่คุณ” ดนัยปลง เขาปรึกษากับมิรินและพฤทธิ์อยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจส่งเรื่องให้ตำรวจ เพื่อให้ตรวจสอบตัวตนของเจ้าของไลน์ รวมถึงบัญชีต้นทางที่โอนเงินให้ธิดาด้วย ใช้เวลาไม่กี่วันมิรินก็ได้ข้อมูลมากพอจะนำกลับไปรายงานพลอยแสง

ช่วงเวลาหลังจากมีกองทัพหนูเข้ามาวิ่งในมอลล์ควรจะเป็นเวลาที่พลอยแสงยุ่งอยู่กับการเรียกคืนความเชื่อมั่นของลูกค้า ทว่าผู้อุปการะของมิรินกลับเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ไม่ยอมแม้แต่จะให้สัมภาษณ์นักข่าว หน้าที่ทั้งหมดถูกโยนลงบนบ่าของมิรินและทีมงานที่ต้องแก้ปัญหากันตัวเป็นเกลียว ส่วนเจ้าของกิจการถอยห่างออกไปเป็นเพียงคนคอยรับฟังเท่านั้น

“ตำรวจตรวจสอบบัญชีที่โอนเงินค่าจ้างให้ธิดาแล้วค่ะ ต้นทางมาจากบัญชีคนชื่อนวลจันทร์ สุขท้วม แต่นวลจันทร์ปฎิเสธว่าไม่เคยรู้จักธิดาเลย”

พลอยแสงพยักหน้ารับรู้แต่ไม่ได้ซักถาม ใบหน้าที่เคยงามผุดผาดค่อนข้างซีด ใต้ตาปรากฎรอยคล้ำเด่นชัดเนื่องจากนอนหลับไม่สนิทเลยสักคืน

“นวลจันทร์บอกว่าคนรู้จักของเขาที่ชื่อณิชมน จ้างให้เขาถือเงินสดสามหมื่นบาทไปเปิดบัญชีธนาคาร แล้วให้โหลดแอพธนาคารไว้ในโทรศัพท์มือถือ ณิชมนเคยเอามือถือของนวลจันทร์ไปใช้ส่งไลน์หาธิดาและโอนเงินไปให้ด้วย วันที่โอนเงินคือก่อนและหลังธิดาเอาหนูมาปล่อยที่คามิลเลียของเรา”

“แสดงว่าณิชมนคือคนร้ายตัวจริงที่จ้างธิดา แต่ใช้ชื่อนวลจันทร์มาบังหน้างั้นหรือ เขาจะทำไปทำไม เรากับเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันสักหน่อย”

มิรินตอบเรียบๆ “ณิชมนเป็นพนักงานบัญชีของธารทองกรุ๊ป พูดเท่านี้คุณพลอยคงรู้แล้วนะคะว่าใครเป็นผู้บงการตัวจริง”

”ปณาลี” ความอ่อนเนือยในสีหน้าอิดโรยของผู้ฟังเลือนหายไปในพริบตา พลอยแสงขยับตัวจากท่าเอนหลังพิงเก้าอี้นวมอย่างอ่อนแรงมาเป็นนั่งหลังตรง สองตาวาวจ้าด้วยอารมณ์ที่ปะทุขึ้นมา

“เขายังพยายามหาเรื่องฉันไม่เลิกราเสียที ฉันน่าจะคิดได้ตั้งแต่แรก คนที่เล่นสกปรกอย่างนี้ไม่มีใครอีกแล้ว”

หลังจากพลาดหวังจากอารัญ ปณาลีก็ครองตัวเป็นโสดเรื่อยมา หล่อนรับช่วงดูแลตลาดธารทองซึ่งเป็นธุรกิจครอบครัวมาจากมารดา ลงทุนปรับปรุงใหม่ให้เป็นตลาดติดแอร์สะอาดเอี่ยมเพื่อลบคำสบประมาทของผู้คนที่เคยเรียกตนเองว่าแม่ค้าตลาดสด ตลาดติดแอร์ของปณาลีเป็นที่นิยมยิ่งกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า เหตุเพราะการขยายตัวของเมืองใหญ่ทำให้ทำเลซึ่งเคยถูกมองว่าเป็นชานเมือง กลับกลายเป็นย่านจอแจที่มีผู้คนพลุกพล่านไปอย่างไม่น่าเชื่อ

ถึงแม้เวลาจะผ่านไปร่วมยี่สิบปีแล้ว แต่ไม่มีแม้สักอึดใจที่ปณาลีจะลืมรอยแค้นที่พลอยแสงเคยฝากไว้ หากพลั้งเผลอเมื่อไรพลอยแสงจะพบว่าตลาดธารทองซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากสาขาแห่งหนึ่งของคามิลเลียมาร์เก็ตของเธอ จะมีเล่ห์กลต่างๆมาคอยโจมตีและแย่งลูกค้าอยู่เสมอ อีกทั้งเรื่องในอดีตยังเป็นข่าวซุบซิบในคอลัมน์สังคมของนิตยสารและสื่อออนไลน์ไม่เคยขาด เพราะปณาลีไม่ยอมให้สังคมลืมว่าครั้งหนึ่ง คุณพลอยแสง กิจจาภินันท์ นักธุรกิจหญิงคนดัง เคยแย่งว่าที่เจ้าบ่าวของผู้หญิงอื่นอย่างน่าละอายที่สุด

มิรินรู้เบื้องหลังของผู้อุปการะพอๆกับทุกคน แต่หญิงสาวถือว่าตนเองไม่อยู่ในฐานะที่จะตัดสินพลอยแสง จึงเล่าต่อแบบออมเสียง

“ปัญหาในตอนนี้คือนวลจันทร์ไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันคำพูดเลยค่ะ และไม่มีใครเป็นพยานให้ด้วยว่าไม่ได้เป็นคนโอนเงินให้ธิดา แกเป็นคนซื่อๆเพิ่งย้ายมาจากต่างจังหวัด ถึงจะจับณิชมนได้ แต่ถ้าณิชมนอ้างว่านวลจันทร์ใส่ร้ายเขา ตำรวจก็ทำอะไรณิชมนไม่ได้ ส่วนนวลจันทร์คงไม่แคล้วต้องติดคุก”

พลอยแสงนิ่วหน้าอย่างระอา “ใจร้ายจริง คนรู้จักกันแท้ๆ ทำกันได้ลง”

สมัยนี้อย่าว่าแต่รู้จักกันแค่ผิวเผินเลยค่ะ แม้แต่พี่น้องคลานตามกันมาก็ต้มตุ๋นกันได้ถมเถไปถ้ามีผลประโยชน์เป็นตัวล่อเสียอย่าง มิรินรำพึงในใจแต่ไม่ได้โพล่งออกมาให้ระคายหูผู้ดีของคุณพลอย หล่อนเสไปรายงานสถานการณ์น่าเป็นห่วงของศูนย์การค้าแทน

“ตอนนี้ลูกค้าที่คามิลเลียลดลงไปมากเลยค่ะ ขนาดกรมอนามัยกับกรมควบคุมโรคติดต่อมาตรวจไปแล้ว แต่ก็ยังมีข่าวลือในโซเชียลว่าห้างเราสกปรก หลังร้านอาหารมีแมลงสาบกับหนูวิ่งกันยั้วเยี้ย”

“ก็คงเป็นฝีมือปล่อยข่าวของปณาลีอีกละสิ” พลอยแสงเดาได้โดยไม่ต้องเสียเวลาคิด

มิรินลูบใบหน้าอิดโรยของตนเอง เธอและทีมงานต้องอดหลับอดนอนแจ้งลบข่าวลือในเว็บไซต์พวกนั้นจนดึกดื่นทุกคืน ทั้งพยายามอธิบายความจริงและขู่ว่าจะฟ้องร้องคนปล่อยข่าว แต่คำวิจารณ์เลวร้ายก็ยังผุดขึ้นเรื่อยๆยิ่งกว่าดอกเห็ดในฤดูฝน จนคนตามลบแทบจะสลบเหมือดคาโต๊ะทำงานเสียให้ได้

“คุณพลอยจะให้ทำยังไงต่อดีคะ ตำรวจไปจับตัวณิชมนที่บ้านแล้ว ปรากฎว่ายายนั่นไหวตัวทันหนีไปก่อน แต่ถึงจะได้ตัวมาถ้าณิชมนไม่ยอมซัดทอดถึงคุณปณาลีที่เป็นนายจ้าง เราก็คงเอาผิดเขาไม่ได้”

พลอยแสงไม่คิดว่าจะมีใครที่รักคนอื่นมากกว่าตัวเอง หากจนมุมจริงๆอย่างไรเสียณิชมนก็ต้องเลือกทรยศเจ้านายมากกว่าติดคุก

“เรื่องนั้นฉันไม่ห่วงหรอก ขอให้ตำรวจจับตัวณิชมนได้ก่อนเถอะ ยังไงเราก็สาวถึงผู้บงการตัวจริงได้แน่ เรื่องด่วนที่เราต้องรีบทำในตอนนี้คือต้องกู้ภาพพจน์ของคามิลเลีย เมี่ยงคิดกิจกรรมอะไรไว้บ้างล่ะ”

มิรินนึกดีใจที่พลอยแสงมีท่าทีกระตือรือร้นคล้ายจะกลับไปเป็นคุณพลอยผู้จริงจังกับงานคนเก่า หล่อนเล่าแผนงานให้อีกฝ่ายฟังคร่าวๆ แล้วทิ้งเอกสารระบุรายละเอียดเอาไว้ ก่อนจะกลับไปทำงานต่อ ห้องรับประทานอาหารโปร่งกว้างนั้นจึงเหลือเพียงพลอยแสงที่นั่งอ่านแผนงานอยู่เพียงลำพัง อากาศในห้องเย็นสบายด้วยเครื่องปรับอากาศที่ปรับอุณหภูมิไว้พอเหมาะ บ้านเงียบสนิทเพราะคนรับใช้ทำงานง่วนอยู่ในครัวกันหมด ครู่หนึ่งพลอยแสงนึกอยากได้ชาร้อนสักแก้ว จึงลุกขึ้นตั้งใจจะเดินไปเรียกคนรับใช้

ทางด้านขวามือของหญิงสาวเป็นตู้เสาเกลียวสีขาว กรุกระจกใสสูงท่วมศีรษะ ภายในบรรจุเครื่องแก้วเจียรนัยหลากหลายรูปทรงและสีสันที่อารัญอุตส่าห์หอบหิ้วมาจากยุโรป เป็นของที่ระลึกของสามีที่พลอยแสงรักมากที่สุด พอเดินผ่านตู้โชว์พลอยแสงก็อดหันไปมองตามความเคยชินไม่ได้ ฉับพลันเท้าที่กำลังก้าวก็ชะงักค้าง ดวงตาเบิกกว้างมองภาพประหลาดที่สะท้อนอยู่บนกระจกราวกับถูกสะกด

ภาพที่ลอยเด่นอยู่เหนือบรรดาเครื่องแก้วงามวิจิตรนั้นเป็นเงาหน้าของผู้หญิงคนหนึ่ง แม้จะเลือนรางกระนั้นก็ยังแจ่มชัดพอที่พลอยแสงจะเห็นเค้าโครงหน้าคุ้นตา เลือดแดงคล้ำเปื้อนเปรอะอยู่บนสองแก้มขาวเผือด ผมสีน้ำตาลแดงยาวรุงรังปรกระบางส่วนของกรอบหน้าเรียวเล็ก แต่สิ่งที่บีบคั้นหัวใจผู้มองจนแทบสำลักลมหายใจก็คือความอาฆาตแค้นคลั่งที่ส่งมาจากดวงตาแดงก่ำทั้งคู่ มันแข็งกร้าวดุดันราวกับจะเร้าอุณหภูมิในห้องเย็นฉ่ำนั้นให้ลุกเป็นไฟ

พลอยแสงยกมืออุดปาก ป้องกันไม่ให้เสียงกรีดร้องด้วยความพรั่นพรึงจับขั้วหัวใจเล็ดลอดออกมา

โมนา! ไม่ผิดแน่! เงารางเลือนนั้นคือใบหน้าของหญิงสาวที่วายชนม์ไปในบ้านของเวธัส!

หากความสะเทือนขวัญที่กำลังกดทับลงมาเป็นหินขนาดใหญ่ พลอยแสงมั่นใจว่าตัวเธอจะต้องแหลกเหลวอยู่ใต้น้ำหนักมหาศาลนั้น เธออ้าปากค้าง รู้สึกเหมือนกรีดร้องออกมาสุดเสียง ทว่าสรรพสำเนียงทั้งหมดถูกความหวาดผวาชนิดที่เรียกว่าขนหัวลุกบีบคั้นจนเหลือเพียงเสียงอึกอักในลำคอ ฉับพลันโมนาก็แสยะยิ้มกว้างให้พลอยแสง เลือดที่ปริ่มอยู่ในปากทะลักย้อยจากมุมข้างหนึ่งลงมาตามลำคอซีดขาว แล้วขยายวงกว้างเต็มอก

“แกฆ่าฉัน พวกแกทุกคนเป็นฆาตกร” ปีศาจในกระจกเปล่งวาจาคาดโทษ น้ำเสียงนั้นเยียบเย็นบาดลึกเข้าไปถึงกระดูก เนิบช้าทว่าชัดเจน คล้ายลอยละล่องมาจากโลกันต์ไกลโพ้นก็ไม่ปาน!



Don`t copy text!