มายากาเหว่า บทที่ 4 : กระสุนนัดที่สอง
โดย : ณรัญชน์
มายากาเหว่า โดย ณรัญชน์ กับแผนการร้ายที่ลูกกาเหว่าอย่างดารินกานต์นำมาใช้ฟาดฟันกับพลอยแสง ผู้ที่เลี้ยงดูเธอมาด้วยความรัก อะไรที่ทำให้เธอคิดว่าแม่นกที่อุ้มชูมาไม่ได้รักเธอด้วยใจจริง ความรักของพลอยแสงจะเอาชนะอคติที่บดบังดวงตาและดวงใจไปได้อย่างไร…นวนิยายออนไลน์แนว Family Drama สุดเข้มข้นที่อ่านเอาอยากชวนคุณมาลุ้นไปกับเรา
มิรินยิ้มน้อยๆ ซ่อนแววระอาไว้อย่างมิดชิด
“เมี่ยงไปคุยกับผู้หญิงคนนั้นมาแล้วค่ะ เขาชื่อโมนา ย่อมาจากโมนาลิซ่า ทำงานเป็นพริตตี้ เห็นบอกว่ารู้จักคุณเวธัสจากงานอีเวนท์ จากนั้นคุณเวธัสก็ส่งข้อความไปจีบเขาก่อน ไลน์คุยกันได้สักพักก็พาไปเที่ยว ซื้อข้าวของให้ตั้งหลายอย่าง และโมนาก็เคยไปนอนค้างที่เพนท์เฮ้าส์ของคุณเวธัสมาแล้วด้วย”
“หมายความว่านายเวธัสนอกใจดาวไปมีคนอื่น เอารถแพงๆที่ดาวซื้อให้ไปขับให้ผู้หญิงอื่นนั่ง แม้แต่เพนท์เฮ้าส์ที่ยืมเงินดาวไปซื้อก็ยังพาคนอื่นไปค้างสินะ” พลอยแสงส่ายหน้า “ฉันนึกอยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ นายคนนั้นไม่ได้จริงใจกับดาว ที่คบก็แค่จะปอกลอกหาประโยชน์ใส่ตัวเท่านั้นเอง”
ดารินกานต์หารู้ไม่ว่าภายใต้ท่าทางประนีประนอม แท้ที่จริงแม่เลี้ยงของเธอไม่เคยคิดจะปล่อยเรื่องของเวธัสผ่านเลยไป พลอยแสงสั่งให้มิรินคอยติดตามความเคลื่อนไหวของนักแสดงหนุ่มอยู่เงียบๆ เนื่องจากมิรินมีเพื่อนทำงานเป็นนักข่าวบันเทิงอยู่หลายคน และแล้วข่าวที่รอคอยก็ตกมาถึงมือเธอในที่สุด
หากดารินกานต์รู้ว่าถูกหักหลัง นางหงส์ที่ทะนงตัวว่าวิเศษเหนือใครอย่างลูกเลี้ยงของเธอคงไม่ยอมสานสัมพันธ์กับผู้ชายปลิ้นปล้อนคนนี้ต่อไปแน่ เป็นอันหมดปัญหาเรื่องแมงดาปีกทองตัวนี้ได้เสียที
“แต่ถ้าคุณพลอยจะบอกเรื่องนี้กับคุณดาว คงไม่ต้องแล้วละค่ะ” มิรินรายงานต่ออย่างรู้ใจ “คุณดาวรู้เรื่องโมนาแล้ว เพื่อนเธอบังเอิญไปเจอนายเวธัสกับโมนาที่พัทยาเลยพาคุณดาวไปดูหน้าสองคนนั่น คุณดาวเล่นงานนายเวธัสเสียอ่วม ส่วนยายโมนาก็โดนฉีกอกไปไม่น้อยเหมือนกัน”
“ถึงขนาดนี้แล้วดาวยังไม่เลิกกับเวธัสอีกหรือ” พลอยแสงอุทาน “ไม่น่าเชื่อ นิสัยดาวไม่น่าจะทนเรื่องแบบนี้ได้เลยนี่นา”
สายตาของมิรินที่มองผู้อุปการะบอกความเห็นใจ “คุณดาวคงหลงนายเวธัสมากละมังคะ นายคนนั้นเขาปากหวานเอาใจเก่ง แต่ถ้านายเวธัสออกลายมากๆยังไงวันหนึ่งคุณดาวก็ต้องตาสว่าง คุณพลอยอย่ากังวลไปเลยนะคะ”
แต่คำปลอบใจอย่างเลื่อนลอยไม่ช่วยให้คนฟังรู้สึกดีขึ้น พลอยแสงยกมือกุมขมับ เรื่องงานต่อให้หนักหนาเท่าไรก็ยังไม่ทำให้เหนื่อยใจเท่าเรื่องของลูกเลี้ยง เธอรู้ตัวดีว่าไม่สามารถจะอบรมดารินกานต์ให้เป็นดังใจนึก แต่ก็หวังจะประคับประคองหญิงสาวให้มีชีวิตงดงามที่สุด ให้สมกับที่อารัญเคยฝากฝังลูกของเขาไว้
โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าของพลอยแสงส่งเสียงบรรเลงเป็นเพลงนุ่มหู เธอจึงหยิบขึ้นมากดรับ
“น้าพลอย ช่วยดาวด้วย ดาวไม่รู้จะพึ่งใครแล้วนอกจากน้าพลอยคนเดียว” เสียงสั่นเครือของดารินกานต์ดังมาตามสาย
“ดาวเป็นอะไรไป เกิดอะไรขึ้น” พลอยแสงรีบถาม แล้วก็ได้รับคำตอบว่า
“พี่ธัสเขาแอบมีคนอื่นค่ะ ดาวเคยทะเลาะกับเขาเพราะเรื่องนี้ เขารับปากว่าจะเลิกแต่ก็ยังแอบคบกับนังโมนาอยู่ เขาทรยศดาว” ดารินกานต์สะอื้นรำพัน “เงินทองที่ดาวให้เขาก็เอาไปปรนเปรอนังนั่น ดาวมันโง่เองที่ไม่ยอมเชื่อน้าพลอย”
อยู่ใต้ชายคาเดียวกันมาเกือบยี่สิบปี นับเป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่พลอยแสงได้ยินดารินกานต์ตำหนิตัวเอง เธอรับรู้ได้ถึงความโทมนัสอย่างรุนแรงของหญิงสาวที่ตกอยู่ในห้วงรัก ให้นึกสงสารและอ่อนใจในเวลาเดียวกัน
“คนอย่างนายเวธัสไม่จริงใจกับใครหรอก ดาวเห็นธาตุแท้ของเขาได้ก็ดีแล้ว เลิกกันเสียเถอะ จะมัวอาลัยอาวรณ์ปลิงสูบเลือดอย่างนั้นอยู่ทำไม”
ดารินกานต์ร้องไห้โฮออกมาทันที เป็นครู่กว่าหล่อนจะกลั้นสะอื้นพอจะบอกความในใจออกมาได้สำเร็จ “ดาวทำไม่ได้ค่ะ ดาวรักพี่ธัส ดาวขาดเขาไม่ได้ค่ะน้าพลอย”
“เหลวไหลน่ะ” เสียงหวานของแม่เลี้ยงเข้มงวด “คิดอะไรอย่างนั้น ไม่มีใครอยู่ไม่ได้ถ้าขาดใครไปหรอกนะ โดยเฉพาะคนที่เพียบพร้อมอย่างดาว เข้มแข็งไว้สิ ดาวต้องทำได้แน่”
แต่ก็อีกเช่นเคย ดารินกานต์ไม่เคยฟังคำเตือนของแม่เลี้ยง หล่อนนิ่งไปเพียงครู่เดียวก็บอกว่า “ดาวจะไปหาพี่ธัส น้าพลอยไปเป็นเพื่อนดาวหน่อยนะคะ”
เวรกรรม! พลอยแสงลูบหน้าตัวเองอย่างเหนื่อยอ่อน หาเหตุผลไม่ได้จริงๆว่าเหตุใดผู้หญิงที่มีทางเลือกเหลือเฟืออย่างดารินกานต์ถึงทุ่มเทความรู้สึกให้ผู้ชายคนหนึ่งมากมายปานนี้ มากเสียจนกลายเป็นอ่อนแอและขี้แพ้ เป็นมนุษย์เพศหญิงที่คิดว่าจะตายลงเพียงเพราะผู้ชายไร้ค่าคนหนึ่งเดินจากไป ทั้งยังยอมทิ้งศักดิ์ศรีตามยื้อยุดผู้ชายตัวแสบทั้งๆที่ตนเองเป็นฝ่ายถูกทำร้ายอย่างแสนสาหัส
พูดกันทางโทรศัพท์เห็นทีจะไม่ได้เรื่อง พลอยแสงจึงกรอกเสียงลงไปใหม่ “ดาวอยู่บ้านใช่ไหม น้าจะไปหา รอน้านะอย่าออกไปพบเวธัสเด็ดขาด” เธอย้ำเสียงหนักในตอนท้าย
“ดาวทนอยู่เฉยๆไม่ไหวหรอก ดาวจะไปหาพี่ธัส” ดารินกานต์ยังคงงอแง “น้าพลอยไปเจอดาวที่บ้านพี่ธัสนะคะ ดาวจะส่งที่อยู่ไปให้ ถ้าน้าอยู่ด้วยเขาคงจะยอมฟังบ้าง”
พูดอย่างนี้แปลว่านอกจากจะไม่ยอมเลิกรากับปลิงรูปงามรายนั้นแล้ว ดารินกานต์ยังหวังให้พลอยแสงช่วยเกลี้ยกล่อมเวธัสให้ยุติความสัมพันธ์กับมือที่สามอีกด้วย พลอยแสงรีบกำหนดแผนการอย่างรวดเร็ว เธอจะต้องไปดักพบดารินกานต์ก่อนที่หล่อนจะเข้าไปหาเวธัสในบ้าน เป็นโอกาสให้ชายหนุ่มใช้ความกะล่อนมัดใจลูกเลี้ยงของเธอจนดิ้นไม่หลุดอีกครั้ง
พลอยแสงกดตัดสัญญาณแล้วเล่าสถานการณ์ให้มิรินรู้คร่าวๆ “เมี่ยงไปกับฉัน จะได้ช่วยกันเกลี้ยกล่อมดาว”
ทั้งคู่ลงลิฟต์ไปถึงชั้นล่าง แล้วเดินอ้อมไปทางลานเอนกประสงค์เพื่อจะสั่งงานบางงานทิ้งท้ายไว้ แต่ยังไปทันไม่ถึงก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังระงมลั่นไปทั้งมอลล์
“หนู ห้างนี้มีหนูด้วยหรือนี่”
“ว้าย! หนูมาจากไหนเต็มไปหมด อี๋สกปรก”
ท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของพลอยแสง หนูตัวดำๆหลายสิบตัววิ่งออกมาจากลานซึ่งกำลังจัดเทศกาลขนมหวาน กรูเข้าไปในบริเวณร้านค้า ลูกค้าทั้งหมดร้องโวยวายพลางกระโดดหลบกันจ้าละหวั่น อีกด้านหนึ่งดนัย ซึ่งเป็นผู้ดูแลทั่วไปของคามิลเลียคอมมูนิตี้มอลล์กำลังวิ่งหน้าตื่นเข้ามา เขาร้องสั่งการให้พนักงานรักษาความปลอดภัยช่วยกันจับหนูโดยด้วย
ลูกค้าที่อยู่บนชั้นสองและสามพร้อมใจกันยกโทรศัพท์มือถือขึ้นบันทึกเหตุการณ์ราวกับนัดกันไว้ ทำเอาพลอยแสงละล้าละลัง ปัญหาเฉพาะหน้านับว่าร้ายแรงมากทีเดียว แต่หากเธอมัวชักช้าดารินกานต์ก็คงเข้าไปพบเวธัสในบ้านของเขาตามลำพัง พลอยแสงเชื่อว่าเมื่อมาถึงขั้นนี้ เวธัสคงพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อรั้งหญิงสาวที่เปรียบเสมือนบ่อเงินบ่อทองไม่ให้หลุดลอยไป หากเขาใช้เล่ห์กลสกปรกอย่างเช่นถ่ายคลิประหว่างมีเพศสัมพันธ์ไว้ข่มขู่อย่างที่เคยได้ยินในข่าวบ่อยๆ คนเดียวที่จะเสียหายก็ไม่แคล้วเป็นลูกเลี้ยงของเธอ
ถึงอย่างไรชื่อเสียงของศูนย์การค้าก็ต้องด่างพร้อยแน่นอนอยู่แล้ว เธอจะปล่อยให้ดารินกานต์ต้องย่อยยับไปอีกคนไม่ได้
“ยังไงฉันก็ต้องไปหาดาว เมี่ยงอยู่จัดการเรื่องหนูกับดนัยก็แล้วกัน หาทางปิดข่าวให้มากที่สุดด้วย เดี๋ยวพอทำธุระเสร็จฉันจะรีบกลับมา”
พลอยแสงตัดสินใจโดยฉับพลัน ก่อนจะทิ้งความวุ่นวายไว้เบื้องหลัง รีบขึ้นรถพาตัวเองไปที่บ้านของเวธัสซึ่งอยู่ในหมู่บ้านจัดสรรไกลออกไปเกือบถึงรามอินทรา กว่าจะไปถึงดวงตะวันก็คล้อยต่ำแทบจะกลืนหายไปกับผืนพสุธาเสียแล้ว แผ่นฟ้ากว้างหม่นมืดแซมสลับด้วยแสงสายัณห์ลำสุดท้ายสีทับทิมสดแดงจัดราวกับสีเลือด
ที่พักของเวธัสเป็นบ้านเดี่ยวหลังแรกตรงหัวมุมถนนพอดี พลอยแสงจอดรถดูบ้านเลขที่ที่ดารินกานต์ส่งมาให้ พอมั่นใจก็ดับเครื่องยนต์แล้วลงไปเกาะประตูรั้วซึ่งเป็นอัลลอยด์โปร่ง มองทะลุเข้าไปเห็นโรงจอดรถและพื้นที่เล็กๆหน้าบ้าน เธอกดออดถี่ๆอย่างร้อนใจ ครู่หนึ่งเวธัสก็ออกมาเปิดประตูรับ ใบหน้าคมสันของเขาซีดเผือด เหงื่อชื้นเต็มหน้าผากเห็นเป็นมันเงาอยู่ใต้แสงไฟนีออนริมรั้ว
“น้าพลอยมาก็ดีแล้ว รีบเข้าบ้านเถอะครับ ดาวอยู่ข้างใน” น้ำเสียงชายหนุ่มแปร่งหู ไม่รอให้แม่เลี้ยงของคนรักเอ่ยปากก็หมุนตัวจ้ำพรวดๆกลับเข้าไปในบ้าน เขารีบรุนหลังพลอยแสงที่เดินตามมาให้เข้าไปก่อนแล้วปิดประตูอย่างฉับไว
“มีเรื่องอะไรกัน ทำไมต้องทำท่าทางอย่างนั้น” พลอยแสงผิดสังเกตกับอาการของชายหนุ่มเสียจนต้องถามออกมา
แทนการตอบคำตอบ เวธัสชี้ไปที่มุมห้อง ร่างบางร่างหนึ่งกำลังนั่งชันเข่าซุกหน้าลงกับแขนทั้งสองข้างด้วยอาการหมดอาลัยตายอยาก หล่อนเงยหน้าขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงแม่เลี้ยง
“น้าพลอย ช่วยดาวด้วย” ดารินกานต์ร้องไห้โฮ วิ่งมากอดพลอยแสงไว้อย่างเสียขวัญ
พลอยแสงกวาดตามองไปรอบๆอย่างสับสน ก่อนจะเห็นว่าบนพื้นปาร์เก้มีหญิงสาวคนหนึ่งเอนกายกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงโต๊ะเล็กสำหรับวางโทรศัพท์อยู่ หล่อนเป็นคนร่างเล็กแขนขาเรียวยาว แต่มีส่วนเว้าส่วนโค้งเต็มอิ่มอย่างเด็กสาวในยุคที่ซิลลิโคนหาง่ายราวกับซื้อได้ตามตลาดนัด ผมสีน้ำตาลแดงยาวรุงรังตกลงมาปรกหน้า สิ่งที่ทำให้หัวใจของคนมองดิ่งวูบก็คือของเหลวสีแดงคล้ำ กระจายเป็นวงกว้างอยู่เต็มทรวงอกของหล่อน มีปืนขนาดกระทัดรัดวางอยู่บนพื้นใกล้ตัว
เวธัสเค้นเสียงแหบพร่าเล่าเหตุการณ์อย่างรวบรัด แต่ได้ใจความครบถ้วน
“ดาวเข้ามาเจอผมอยู่กับโมนาเลยเกิดทะเลาะกันขึ้นมา ผมห้ามไม่อยู่ แล้วดาวก็ยิงโมนาครับ”
ความรู้สึกของพลอยแสงเหมือนถูกเวธัสยกถังบรรจุน้ำเย็นจัดราดโครมลงมาตั้งแต่หัวจรดเท้า เธอรีบดันตัวดารินกานต์ออกห่างเพื่อให้พูดกันได้ถนัด
“ดาวไปเอาปืนมาจากไหน ทำไมน้าไม่เคยรู้”
“เพื่อนดาวให้มาค่ะ ดาวมีไว้ป้องกันตัวเวลาไปเที่ยวกลางคืน” ลูกเลี้ยงสะอึกสะอื้น “น้าพลอยช่วยคิดทีว่าจะทำยังไงดี ดาวไม่ได้ตั้งใจยิงมันนะ ดาวกำลังโกรธแล้วนังโมนามันก็ท้าดาว ดาวเลยเผลอเหนี่ยวไกออกไป ไม่ตั้งใจจะฆ่ามันจริงๆ”
ทั้งๆที่ใจสั่นหวิวๆเหมือนจะเป็นลม พลอยแสงก็ยังแข็งใจผละจากดารินกานต์ เดินไปก้มพินิจดูโมนา สังเกตเห็นว่าถึงร่างนั้นจะแน่นิ่งไปแล้วแต่ที่ทรวงอกยังมีการเคลื่อนไหวขึ้นลงบางเบา เบาจนแทบมองไม่เห็นหากไม่สังเกตดีๆ
“โมนายังไม่ตายนี่ รีบโทรเรียกรถพยาบาลมารับเร็วเข้า”
ปืนที่ใช้ก่อเหตุตกอยู่ข้างตัวโมนานั่นเอง ดารินกานต์คงโยนมันทิ้งเอาดื้อๆหลังจากลั่นไก พลอยแสงรีบหยิบอาวุธร้ายขึ้นมา เปิดกระเป๋าสะพายที่คล้องแขนไว้เตรียมจะใส่มันลงไป ทว่าในนาทีนั้นเองคนเจ็บก็ขยับตัวแล้วลืมตาขึ้น
ภาพแรกที่ปะทะสายตาของโมนาก็คือดารินกานต์กำลังยืนอิงแอบซบอยู่กับบ่าของเวธัส ฝ่ายชายลูบผมหญิงสาว กระซิบปลอบประโลมแผ่วเบา ช่างแตกต่างเหลือเกินกับหล่อนที่ถูกกระทำจนต้องมานอนเค้งเก้งอยู่ตรงนี้ เพียงได้เห็นเพลิงแค้นก็ลุกโพลงโชติช่วงอยู่บนใบหน้าเล็กๆนั้น โมนาเติบโตมาในชุมชนแออัด พบเจอความป่าเถื่อนหยาบกระด้างมานับไม่ถ้วน จนเรียนรู้ว่าเมื่อถึงคราวเผชิญหน้าก็ต้องสู้ยิบตา จะยอมถูกทำร้ายอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้ หากจะเจ็บก็ต้องเจ็บด้วยกันทั้งหมดนี่ละ
หล่อนเอื้อมไปหยิบตุ๊กตาเซรามิกขนาดเหมาะมือที่ตั้งอยู่บนโต๊ะมาถือไว้ ส่งเสียงครางเบาๆขณะขยับตัว พลอยแสงที่อยู่ใกล้ที่สุดหันขวับมามอง
“โมนาฟื้นแล้วหรือ” เธอรีบถลันเข้ามาหาทั้งๆที่ยังถือปืนอยู่ในมือ
โมนาเหลือบไปเห็นอาวุธในมือของอีกฝ่าย สัญชาตญาณเอาชีวิตรอดสั่งให้หล่อนจู่โจมทันทีก่อนจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว วินาทีนั้นตุ๊กตาในมือก็ฟาดเข้าใส่พลอยแสงสองครั้งซ้อนๆ ถูกเข้าที่บ่าเต็มรัก แม่เลี้ยงของดารินกานต์ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด รีบยกมือขึ้นปัดป้อง ร่างเพรียวระหงหงายหลังโครมเมื่อโมนากระโจนเข้าใส่ทั้งตัว
“พวกมึงกล้าทำกูหรือ อีพวกหมาหมู่ รู้จักกูน้อยไปแล้ว”
หล่อนด่าทอพลางตบตีไม่ยั้ง ทั้งห้องอลหม่านไปด้วยเสียงกรีดร้องปนเปไปกับเสียงห้ามของดารินกานต์และเวธัส ในช่วงเวลาแห่งความชุลมุนนั่นเอง จู่ๆเสียงระเบิดกึกก้องก็แทรกตัวขึ้นมา
“เปรี้ยง”
สุ้มเสียงอึกทึกทั้งมวลขาดหายไปราวกับถูกปิดผนึก ห้องสี่เหลี่ยมดำดิ่งลงสู่ความเงียบกริบยิ่งกว่าป่าช้า โมนาชะงักค้าง ดวงตาเบิกกว้างถลึงมองพลอยแสง หล่อนค่อยๆยกมือกุมหน้าอกอย่างเจ็บปวด เป็นนาทีเดียวกับที่ของเหลวสีเข้มทะลักล้นออกมาจากรูเล็กๆตรงอกเสื้อ โมนาครางเบาๆ ยื่นมืออ่อนแรงมาคล้ายจะยึดตัวพลอยแสงไว้เป็นหลัก แต่แล้วมือนั้นก็ตกห้อยลงเมื่อหล่อนเอนตัวล้มไปด้านข้างก่อนจะร่วงลงไปกองกับพื้น
“น้าพลอย” พอได้สติดารินกานต์ก็วิ่งมาฉุดแม่เลี้ยงให้ลุกขึ้นยืน ขณะที่เวธัสถลันเข้าประคองโมนา เห็นร่างนั้นหลับตาคออ่อนเอนพับไปข้างหนึ่งก็แข็งใจเรียก
“โมนา ตื่นมาคุยกันดีๆอย่าทำสำออย”
เวธัสเขย่าตัวหล่อนเบาๆแต่แม่เสือที่อาละวาดดุร้ายอยู่เมื่อครู่ไม่มีท่าทีว่าจะตอบสนอง ลางสังหรณ์น่าพรั่นพรึงผุดขึ้นในใจ พร้อมกับที่สีเลือดเลือนหายไปจากใบหน้าของนักแสดงหนุ่ม เวธัสค่อยๆยกนิ้วอังไปใต้จมูกโด่งเรียวในอ้อมแขนช้าๆ
“โมนาเป็นอะไรน่ะพี่ธัส สลบไปหรือ” ดารินกานต์ถาม
เสียงของเวธัสแหบเครือจนแม้แต่เจ้าตัวก็ยังจำแทบไม่ได้ “โมนาไม่หายใจแล้ว”
ชายหนุ่มรีบแนบหูลงกับทรวงอกอวบอิ่มใต้เสื้อแขนกุดเนื้อหนา ภาวนาสุดชีวิตให้สัมผัสถึงการเต้นของหัวใจบ้างสักเล็กน้อยก็ยังดี แต่ทว่า…
“โมนาตายแล้วจริงๆ ดาว น้าพลอย ทำยังไงดีล่ะทีนี้”
พลอยแสงผวาเข้าไปหาร่างที่นักแสดงหนุ่มประคองอยู่ รีบยื่นมือเข้าไปอังใต้จมูกเหมือนที่เวธัสทำ แต่ก็ไม่พบลมหายใจอุ่นร้อนอย่างที่ควรจะเป็น
“โมนา ตื่นเดี๋ยวนี้นะ อย่ามาเล่นละครหลอกกัน ฉันบอกให้ตื่นไง ตื่น!”
ดารินกานต์ปราดเข้ามาจับตัวคู่อริเขย่าหัวสั่นหัวคลอนอย่างบ้าคลั่ง พลอยแสงลนลานเปิดกระเป๋าหยิบโทรศัพท์มือถือมากดหมายเลขฉุกเฉินมือไม้สั่น แต่ยังไม่ทันกรอกเสียงลงไป เวธัสก็แย่งโทรศัพท์ไปเสียก่อน
“น้าพลอยจะโทรหาใคร อย่านะครับ จะให้ใครรู้เรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด”
“ถึงยังไงก็ต้องเรียกรถพยาบาลเผื่อจะยังมีทางช่วยโมนา เอาโทรศัพท์น้าคืนมานะเวธัส”
“โมนามันไม่หายใจแล้ว กว่ารถพยาบาลจะมาถึงอย่างน้อยก็ครึ่งชั่วโมง จะไปทันอะไร”
ทั้งๆที่กำลังเสียขวัญ พลอยแสงก็ยังรู้สึกว่าคำพูดของนักแสดงหนุ่มไม่เข้าท่าสักนิด “ทันไม่ทันเราก็ต้องทำอะไรสักอย่าง จะปล่อยให้คนตายโดยไม่พยายามช่วยได้หรือ”
ในภาวะที่ทั้งฉุนเฉียวและกดดัน เวธัสไม่เสียเวลาขัดเกลาคำพูดอีกต่อไป เขาโพล่งออกมาตรงๆ
“น้าจะให้คนทั้งประเทศรู้หรือไงว่าเราฆ่าโมนา ถ้าเป็นข่าวชีวิตเราสามคนได้บรรลัยกันหมดแน่ ตัวผมคงต้องเลิกเป็นดารา ส่วนดาวก็เสียชื่อถูกนินทาป่นปี้ไปทั้งเมือง หรืออาจจะต้องติดคุก ยิ่งน้าน่ะต้องติดคุกแน่อยู่แล้วในฐานะที่เป็นคนยิงโมนาตาย”
ความรู้สึกที่เหมือนถูกตะลุมพุกฟาดเข้ากลางแสกหน้าเป็นอย่างไรพลอยแสงเพิ่งได้ประจักษ์ในนาทีนั้น ถูกของเวธัส… ในตอนแรกโมนาเพียงแค่บาดเจ็บ และหล่อนก็คงจะยังมีลมหายใจอยู่จนถึงบัดนี้หากไม่เพราะกระสุนที่ลั่นออกไปด้วยมือของเธอ
เวธัสขบกรามกรอดเมื่อหันไปมองดารินกานต์ “ดีไม่ดีตำรวจจะคิดว่าดาวรวมหัวกับน้าฆ่าโมนาด้วยซ้ำ อย่าลืมสิดาวว่าเคยทะเลาะกับโมนาที่พัทยา มีคนเห็นตั้งหลายคน แล้วอยู่ๆโมนาก็ถูกฆ่าตาย กระสุนนัดแรกดาวก็เป็นคนยิง ปืนก็ปืนของดาว น้าว่าตำรวจจะคิดยังไง”
“เราช่วยกันเป็นพยานก็ได้ว่าดาวไม่ได้ฆ่าโมนา คนยิงนัดที่สองคือน้าต่างหาก และมันก็เป็นอุบัติเหตุ น้าแค่ป้องกันตัว”
เวธัสแค่นเสียงหึในลำคอ “เราสามคนก็พวกเดียวกัน พูดไปตำรวจคงจะเชื่อหรอก”
ดารินกานต์ปล่อยน้ำตาไหลอาบแก้มขาวซีด เนื้อตัวสั่นระริกหมดเรี่ยวแรงเสียจนต้องปล่อยร่างนั่งแผละลงกับพื้น หล่อนมองแม่เลี้ยงด้วยสายตาวิงวอน
“น้าพลอยขาดาวไม่อยากเสียชื่อ ไม่อยากติดคุก พี่ธัสก็ไม่อยากเป็นคดีความ เพราะอย่างนี้นี้พี่ธัสถึงไม่ได้เรียกรถพยาบาลตั้งแต่แรก เราตั้งใจจะพาโมนาไปรักษาเงียบๆในโรงพยาบาลที่น้าพลอยรู้จัก แต่ไม่คิดว่าโมนามันจะบ้าอาละวาดขึ้นมาอีก ตอนนี้มันตายไปแล้วเรื่องก็ยิ่งไปกันใหญ่ ดาวกลัวค่ะน้าพลอย ทุกคนต้องคิดว่าดาวตั้งใจฆ่ามัน เพราะดาวเคยบอกเพื่อนๆไว้ว่าดาวอยากฆ่าโมนา” หญิงสาวฟูมฟาย
“ดาวยอมรับว่าดาวเกลียดมัน แล้วกระสุนนัดแรกดาวก็เป็นคนยิง ตำรวจต้องตั้งข้อหาพยายามฆ่ากับดาวแน่ๆ ถ้ามีคดีติดตัวแล้วต่อไปดาวจะอยู่ในสังคมยังไง จะไปมองหน้าใครได้ ยิ่งถ้าต้องติดคุกดาวยอมตายเสียดีกว่า”
หล่อนคว้ามือพลอยแสงขึ้นมาเขย่าอย่างร้อนรน อ้อนวอนด้วยเสียงเจือสะอื้น “น้าพลอยเห็นแก่ดาวนะคะ อย่าเรียกรถพยาบาลเลย เราต้องไม่ให้ใครรู้เรื่องนี้ นะคะๆ”
สิบแปดปีที่ผ่านมาพลอยแสงเฝ้าหวังมาตลอดว่าสักวันหนึ่งเธอและลูกเลี้ยงจะกลมเกลียวกันได้เหมือนครอบครัวอื่นๆ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ดารินกานต์ยอมหันมาพึ่งพาเธอ แต่ก็เป็นการพึ่งพิงที่นำความทุรนทุรายมาให้อย่างเหลือแสน พลอยแสงเหลือบมองร่างชุ่มเลือดของผู้บาดเจ็บอีกครั้ง กลืนน้ำลายทั้งๆที่ลำคอแห้งผากตีบตัน
ถ้าจะให้ตอบจากใจจริงเธอเองก็ไม่อยากเข้าไปพัวพันกับตำรวจ คดีฆ่าคนตายใครเล่าจะอยากข้องเกี่ยวด้วย แต่เมื่อเรื่องล่วงเลยมาถึงขนาดนี้แล้วพลอยแสงจะทำอย่างไรได้
“ไม่ใช่ว่าน้าไม่เห็นแก่ดาวแต่เราจำเป็นต้องทำสิ่งที่ถูกต้อง น้าเองเดือดร้อนยิ่งกว่าดาวเสียอีก แต่ดาวไม่ต้องกลัวนะน้าจะจ้างทนายเก่งๆมาสู้คดี ยังไงน้าก็ไม่ให้ดาวติดคุก”
“เราเอาศพไปทิ้งกันดีกว่าครับ” เวธัสทะลุกลางปล้องขึ้นมาคล้ายมีประโยคนี้รออยู่ในใจอยู่แล้ว “บ้านข้างๆผมทั้งสองหลังกำลังปล่อยให้เช่า ไม่มีคนอยู่ ไม่มีใครได้ยินเสียงเราหรอก รอให้ดึกหน่อยผมจะเอาศพใส่ท้ายรถไปทิ้งไกลๆเท่านี้ก็จบ”
“จะบ้าหรือเวธัส ทำแบบนั้นเรื่องมันจะยิ่งร้ายแรงกันไปใหญ่” พลอยแสงเอ็ดออกมาทันที “ทำลายศพน่ะโทษหนักนะ และถ้าถูกจับได้ตำรวจก็จะยิ่งคิดว่าเราตั้งใจฆ่าโมนาน่ะสิ”
“น้าพลอยไม่คิดจะช่วยดาวเลยใช่ไหม”
พอเห็นว่าประตูทางออกมาจ่อรออยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ แต่ก็ยังถูกขัดขวางไม่ยอมให้ก้าวไปหา ดารินกานต์ก็หมดความอดทน นิสัยเอาแต่ใจตัวเองบวกกับความประหวั่นพรั่นพรึงที่กำลังเขย่าเส้นประสาททุกเส้น มีอานุภาพไม่ต่างจากมือล่องหนที่ยื่นมาบีบเค้นขยำขยี้หญิงสาวจนสติขาดผึง ไม่คิดจะสำรวมกิริยาอีกต่อไป บาดแผลที่ฝังอยู่ในหัวใจมาแต่เล็กแต่น้อยเปิดกว้างพรั่งพรูออกเป็นวาจาแสบร้อน
“น้าไม่คิดว่าดาวเป็นลูกสาวน้าเหมือนที่คนอื่นบอกจริงๆด้วย ถ้าเห็นดาวเป็นลูก ลูกเดือดร้อนคนเป็นแม่ก็ต้องช่วย ที่แท้น้าไม่เคยรักดาวเลย น้าอยากเห็นดาววิบัติย่อยยับไปต่อหน้าต่อตา”
พลอยแสงมองเจ้าของใบหน้าขาวซีดที่กำลังต่อว่าเธอด้วยสายตาร้าวราน ญาติๆของอารัญมักจะกระซิบกระซาบกันด้วยถ้อยคำทำนองนี้ โดยไม่ใยดีว่ากำลังปลูกต้นไม้พิษลงในสมองของเด็กอย่างดารินกานต์ ซ้ำแต่ละคนยังขยันรดน้ำพรวนดินอยู่เป็นระยะ นานเป็นสิบปีจนต้นไม้นั้นเติบใหญ่ กลายเป็นอุปสรรคที่ขวางกั้นไม่ให้ดารินกานต์เชื่อในความปรารถนาดีของแม่เลี้ยง เพียงแต่ที่ผ่านมาหล่อนทะนงตัวเกินกว่าจะเอ่ยคำตัดพ้อ…จนกระทั่งนาทีนี้
ดารินกานต์ยกมือป้ายน้ำตา กัดฟันบอกด้วยเสียงแน่วแน่ “ถ้าน้าอยากทำลายชีวิตดาวนัก น้าจะได้เห็นสมใจแน่ โมนามันตายไปแล้ว แต่ดาวไม่ยอมตายทั้งเป็นอีกคนหรอก ดาวยอมตายจริงๆดีกว่า”
ขาดคำหญิงสาวก็ลุกพรวดพราดขึ้นวิ่งตรงเข้าไปในครัว พลอยแสงและเวธัสรีบกรูตามไปทันเห็นดารินกานต์หยิบมีดปอกผลไม้ออกมาจากลิ้นชัก ยกข้อมือข้างหนึ่งขึ้นเตรียมจะกรีดปลายคมแหลมลงบนเส้นเลือด
“อย่าทำอย่างนั้นนะดาว” นักแสดงหนุ่มกระโจนเข้าไปหาคนรัก แย่งอาวุธมาจากมือหล่อน ดารินกานต์ดิ้นรนสุดชีวิตพลางกรีดร้องเสียงแหลม
“ปล่อย! ดาวยอมตายดีกว่าติดคุกหรือเป็นขี้ปากชาวบ้าน ตายไปยังสบายกว่าอยู่อย่างทรมาน ปล่อย!”
พลอยแสงเข้าไปช่วยปลอบอีกคน “หยุดเถอะดาว ฟังน้าก่อน”
ดารินกานต์ดิ้นจนหมดแรงจึงยอมให้เวธัสประคองไว้ขณะสะอื้นฮักอย่างเด็กเสียขวัญ เหงื่อผสมคราบน้ำตาเปื้อนเปรอะไปทั้งดวงหน้าที่เคยแต่ผ่องใส ครู่เดียวหล่อนก็โผเข้าเกาะแม่เลี้ยง ซบหน้าลงกับท่อนแขนของพลอยแสงพลางวิงวอน
“น้าพลอยขาเมตตาดาวเถอะนะ ถ้าไม่เห็นแก่อนาคตของดาวก็เห็นแก่พ่อดาวเถอะ พ่อคงเสียใจมากแน่ๆถ้านามสกุลของเราต้องตกเป็นข่าว ลูกสาวพ่อหึงหวงยิงกิ๊กของแฟนตายคาบ้าน มันน่าทุเรศขนาดไหน ดาวสงสารพ่อ”
พี่อารัญ! อะไรบางอย่างที่รุนแรงและทรงอานุภาพพุ่งเข้ากระแทกใจกลางความรู้สึกของพลอยแสง นำพาความทรงจำเล็กๆชิ้นหนึ่งให้หวนคืนมา…
ครั้งหนึ่งอารัญเคยฝากฝังดารินกานต์ไว้กับเธอ แม้จะเป็นเพียงการพูดทีเล่นทีจริง เพราะคนพูดไม่รู้ว่าตนเองจะจากไปเร็วเกินคาดก็ตาม
‘ในชีวิตพี่มีผู้หญิงที่รักที่สุดอยู่สองคน คือพลอยกับดาว ถ้าหากพี่เป็นอะไรไปฝากพลอยดูแลดาวให้พี่ด้วยนะ’
หากอารัญยังมีชีวิตอยู่ เขาจะปล่อยให้ลูกสาวคนเดียวต้องเดินขึ้นโรงพักในฐานะผู้ต้องหาคดีอุกฉกรรจ์หรือไม่หนอ เขาจะรู้สึกอย่างไรยามดารินกานต์ถูกผู้คนในสังคมประณามหยามเหยียด และจะทุรนทุรายสักเพียงไหน ถ้าลูกของเขาปลิดชีวิตตัวเองไปเพราะทนแบกรับความอัปยศไม่ได้
เขาคงเจ็บปวด โกรธเกรี้ยว และตำหนิที่พลอยแสงไม่ยอมช่วยลูกสาวของเขา ทั้งๆที่เขาเคยยื่นมืออุ่นเอื้อมาช่วยเหลือเธอในโมงยามแห่งความมืดมนที่สุดมาแล้ว…
พอตัดสินใจได้โดยเด็ดขาด หัวใจที่เต้นระทึกของพลอยแสงก็สงบลง ความรู้สึกพลุ่งพล่านลังเลที่อัดตัวแน่นเกร็งอยู่ในอกจนเหมือนหัวใจจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆเมื่อครู่มลายไปเป็นปลิดทิ้ง เหลือไว้แต่ความเย็นเฉียบที่กระจายไปทั่วร่าง เสียงของใครคนหนึ่งดังมา..คล้ายลอยละล่องมาจากที่อันแสนไกล มิใช่ใกล้เพียงพ้นผ่านริมปากของเธอเอง
“ตกลง น้าจะไม่บอกใคร เราจะเอาศพโมนาไปทิ้ง”