
แก่นไม้หอม บทที่ 27 : เด็กน้อยของซิ่วเฮียง
โดย : กิ่งฉัตร
แก่นไม้หอม นวนิยายออนไลน์ โดย กิ่งฉัตร ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ กับเรื่องราวที่จะทำให้คุณได้รู้ว่าผู้หญิงเป็นเมียและแม่ไม่ต่างจากแก่นไม้ที่แข็งแกร่ง มั่นคงและทรหดที่ยึดให้ใบได้แผ่กว้าง และหากโลกนี้เชื่อว่าผู้ชายเป็นใหญ่ แต่จริงๆ แล้วทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนเป็นหยินที่โอบหยางทั้งสิ้น
ตอนฉื่อไช้อายุได้ครบสามขวบ ส่วงก็ตัดสินใจโยกการผลิตของลานมะเกลือทั้งหมดไปโรงงานที่สมุทรปราการ หลงจู๊ฮุ้งและเสมียนไต้จงก็ย้ายไปทำงานที่โรงงานใหม่พร้อมกับคนงานส่วนใหญ่ ส่วนลานมะเกลือถูกเปลี่ยนเป็นโกดังเก็บสินค้าที่จะส่งเสื้อผ้าต่อไปยังร้านค้าตามที่มีรายการสั่งเข้ามา เหง็กลั้งเป็นคนงานอาวุโสรายเดียวที่ยังทำงานที่ลานมะเกลือ ทำหน้าที่ดูแลคนงานขนของสองสามคน คอยตรวจนับสินค้า จัดการเรื่องจัดเก็บของเข้าโกดังและส่งออกไปตามร้านลูกค้าเหมือนอย่างที่เคยทำอยู่
เง็กซิมนั้นไม่อยากย้ายไปทำงานโรงงานใหม่ หล่อนอายุมากแล้วไม่อยากเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางจากปทุมวันไปสมุทรปราการทุกวัน ต่อให้เดินทางสบายติดรถไปกับเถ้าแก่ทุกวันหล่อนก็ยังไปไม่ไหว ดังนั้นเง็กซิมจึงตัดสินใจออกจากงานมาช่วยซิ่วเฮียงดูแลบ้าน และถ้ามีเวลาว่างก็จะรับจ้างซ่อมแซมเสื้อผ้าให้คนแถวนั้น ได้เงินนิด ๆ หน่อย ๆ พอเป็นค่าขนมเด็ก ๆ ในบ้าน
ซิ่วเฮียงเองก็ทำงานที่ลานมะเกลือน้อยลง แค่ช่วยเหง็กลั้งดูแลพวกเอกสารรับของเข้าส่งของออกเท่านั้น ดังนั้นเวลาที่เหลือหญิงสาวจึงมาช่วยดูแลบ้านดูแลเด็ก ๆ ที่บ้านลานมะเกลือ เพื่อที่กุ้ยเตียงจะได้ไปดูแลกิจการร้านที่สะพานหันได้มากขึ้น
และเพราะที่ลานมะเกลือเหลือคนงานแทบนับนิ้วถ้วน กิจการหมักซีอิ๊วและผลิตไชโป้วจึงต้องยุติลง คนที่เสียใจมากที่สุดกับการปิดตัวโรงงานไชโป้วคือฉื่อย้ง เด็กน้อยเสียดายเพราะทุกครั้งที่มีการผลิตไชโป้วในช่วงปิดเทอม ส่วงจะให้ลูก ๆ โดยเฉพาะสองคนโตไปทำงานรับจ้างเหยียบหัวไชเท้าที่หมักเกลือค้างคืนเพื่อรีดน้ำออก
ส่วงจ่ายค่าแรงให้ลูก ๆ เท่ากับที่ให้เด็กคนอื่น ๆ เขาว่าทำงานเหมือนกัน ทำงานเท่า ๆ กัน แรงเหยียบไม่ได้แตกต่างกัน เงินค่าแรงไม่ว่าลูกเถ้าแก่หรือลูกคนงานก็ต้องได้เท่ากัน
ฉื่อย้งชอบทำงานหาเงิน เตี่ยว่ายังไงก็เชื่อฟังตั้งใจทำงาน จากนั้นก็รับเงินค่าแรงมาใส่กระปุกอย่างภาคภูมิใจ ผิดกับฉื่อไท่ที่ไปทำงานได้วันสองวันก็เบื่อ อยากไปวิ่งเล่นหรือทำอย่างอื่นมากกว่ามาเหยียบหัวไชเท้าให้เจ็บเท้าแบบนี้ ดังนั้นพอทำได้สักพักเขาก็ไม่ทำแล้ว แต่พอเห็นน้องสาวได้เงินค่าแรงก็นึกอิจฉาจนหงุดหงิด อาละวาดใส่คนรอบข้างไปทั่ว
กุ้ยเตียงเห็นลูกชายคนโตอยากได้เงินเหมือนน้องสาว หล่อนก็แอบหยิบให้อย่างไม่ได้คิดอะไรมาก
หญิงสาวเคยชินกับการความคิดที่ว่าลูกชายเป็นใหญ่กว่าลูกสาว พี่ชายหรือน้องชายอยู่เหนือน้องสาวพี่สาวมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ในบ้านสมัยเด็กเตี่ยกับม้ารักหล่อนเพราะหล่อนเป็นลูกสาวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียว แต่ขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปจนถึงข้าวของชิ้นใหญ่ พี่ชายมักจะเป็นคนแรกที่ได้เลือกและได้รับก่อนเสมอ
เงินทองข้าวของหรือแม้แต่ธุรกิจ…ทุกอย่างล้วนถูกเก็บไว้ให้พี่ชาย
อาไท่เป็นลูกชายคนโตของบ้าน เป็นลูกชายคนเดียวของหล่อน ดังนั้นกุ้ยเตียงจะให้ค่าขนมพิเศษอาไท่ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร
เรื่องแอบให้ค่าขนมนี้ซิ่วเฮียงเองก็รู้ หญิงสาวเองก็ไม่คิดว่าเป็นเรื่องผิดปกติแต่อย่างไร เพราะตัวหล่อนเองก็เติบโตมาในความคิดความเชื่อแบบนี้เช่นกัน ตอนอยู่เมืองจีนลุงที่รับเลี้ยงหล่อนมีลูกหลายคน แต่ลูกพี่ลูกน้องที่เป็นพี่ชายคนโตจะได้รับแต่ของที่ดีที่สุด ของกินที่อร่อยสุดเสื้อผ้าที่ดีที่สุด พี่ชายคนอื่นได้ในสิ่งที่รอง ๆ ลงมา ส่วนลูกพี่ลูกน้องผู้หญิงรวมถึงหล่อนด้วยจะได้ในสิ่งที่พี่ ๆ คนอื่นไม่เอาแล้ว
มาอยู่เมืองไทยกับเตี่ยและม้า ความคิดเตี่ยก็เป็นเหมือนพี่ชายของเขา ของดีต้องเก็บให้ลูกชาย แต่บ้านของหลีกังนั้นไม่มั่งมีเหมือนบ้านลานมะเกลือ ตัวเส่งเองก็เป็นเด็กรู้ความ แม้จะได้สิทธิ ‘พิเศษ’ เหนือพี่สาวน้องสาว แต่เขาไม่เคยใช้ความเป็นลูกชายคนเดียวของบ้านเอาเปรียบซิ่วเฮียงและซิ่วเซียง ดังนั้นสิ่งหลัก ๆ ที่ซิ่วเฮียงเสียไปจากการเกิดเป็นผู้หญิงและเป็นลูกคนโตคือโอกาสทางการศึกษา หญิงสาวมีความน้อยใจเตี่ยกับม้าบ้าง แต่ไม่เคยรู้สึกไม่ดีกับน้องชาย และการถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ยังเด็กทำให้หล่อนถือเป็นหน้าที่ที่ต้องดูแลน้อง ๆ โดยเฉพาะเส่ง
เมื่อกุ้ยเตียงไม่รู้สึกว่าผิด ซิ่วเฮียงก็คิดว่าเป็นเรื่องปกติ ทั้งคู่จึงไม่รู้เลยว่าได้เพาะบ่มความเคยชินกับการเป็นผู้รับโดยไม่ต้องสนใจหน้าที่และความรับผิดชอบในตัวฉื่อไท่ ทำให้เด็กน้อยค่อย ๆ เติบโตไปพร้อมกับความคิดที่ว่าเขาสามารถทำอะไรก็ได้ อยากได้อะไรก็ได้โดยไม่ต้องทำอะไรแลกเปลี่ยน
ดังนั้นฉื่อไท่จึงไม่สนใจว่าทางบ้านจะทำหัวไชโป้วขายหรือไม่ เพราะทำหรือไม่ทำเขาก็ได้รับเงินพิเศษจากม้าอยู่ดี
ส่วนฉื่อย้งนั้นช่วงปิดโรงงานใหม่ ๆ เจ้าหล่อนก็หงอยเหงาไปพอสมควร โดยเฉพาะช่วงปิดเทอมที่นอกเหนือจากการทบทวนตำรานิดหน่อยอาย้งก็ว่างตลอด แม่หนูน้อยมองกระปุกหมูหิวโซของตัวเองด้วยสายตาสงสารและเห็นใจ แต่เพียงไม่นานเด็กหญิงก็ได้เพื่อนใหม่เป็นเด็กชายในบ้านครอบครัวคนไทยที่อยู่บ้านติดกัน
ครอบครัวนั้นเป็นลูกหลานตระกูลเก่า เจ้าบ้านเป็นนายตำรวจยศสูงมีลูกชายหญิงหลายคน ตัวบ้านเป็นบ้านไม้หลังใหญ่มีพื้นที่กว้างขวาง กว้างกว่าบ้านลานมะเกลือสองถึงสามเท่าเห็นจะได้ ในบ้านมีทั้งสนามหญ้ากว้าง สระน้ำที่เต็มไปด้วยบัวออกดอกชูช่อสลอน ที่สำคัญบ้านหลังนี้มีโทรทัศน์ขาวดำเครื่องใหญ่
ฉื่อย้งมักจะไปบ้านเพื่อนเพื่อดูโทรทัศน์ จะว่าไปเพื่อนบ้านรั้วติดกันเด็กไปเล่นด้วยกันไม่ใช่เรื่องน่าเป็นห่วงอะไร แต่กรณีนี้บ้านสองหลังแม้มีกำแพงบ้านติดกันก็จริงแต่ประตูทางเข้าบ้านกลับอยู่กันคนละซอย เวลาเด็กหญิงจะไปบ้านเพื่อนต้องออกจากบ้านเดินตามตรอกแคบ ๆ ไปยังลานจอดรถของวัดก่อนอ้อมเข้าไปอีกซอย เดินเข้าไปเกือบสองร้อยเมตรถึงจะถึงบ้านเพื่อนที่รั้วติดกัน
เดินไปเดินมาไม่ทันระวังวันหนึ่งก็ถูกรถที่เข้ามาในวัดเฉี่ยวล้มหน้าคะมำ ฉื่อย้งไม่ได้บาดเจ็บอะไรหนักหนาแค่มีแผลถลอกเลือดไหลซิบ ๆ เท่านั้น แต่เด็กหญิงตกใจจนร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างคุมไม่อยู่ หนำซ้ำพอกลับถึงบ้านยังถูกม้าตีซ้ำ
เมื่อส่วงกลับถึงบ้านเย็นนั้น เขาเรียกลูกสาวคนโตมาสอบถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ฉื่อย้งเล่าไปร้องไห้สะอึกสะอื้นไป น่องที่ถูกม้าฟาดด้วยไม้เรียวยังแสบยิบ ๆ อยู่เลย แสบขึ้นมาทีน้ำตาก็ร่วงเผาะ ๆ น่าสงสารนัก
“รู้ไหมว่าทำไมม้าเขาถึงตีอาย้ง” เถ้าแก่หนุ่มถาม
ฉื่อย้งร้องจนไม่มีเสียงตอบ ได้แต่พยักหน้าร้องฮือ ๆ
“ทำไมไม่ระวังตัว รู้ไหมว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นคนที่เสียใจที่สุดคือม้ากับเตี่ย อาย้งอยากทำให้ม้ากับเตี่ยเสียใจหรือ”
ฉื่อย้งส่ายหน้า
“คราวหน้าอย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกนะอาย้ง”
ฉื่อย้งพยักหน้าอีกครั้ง แต่คราวนี้รู้แล้วว่าไม่ถูกเตี่ยตีซ้ำ เสียงร้องไห้ฮือ ๆ จึงเบาลงมาก
แผลรอยถลอก น้ำตาและรอยไม้เรียวที่น่องของฉื่อย้งทำให้โทรทัศน์ขาวดำเครื่องใหญ่ปรากฏขึ้นในห้องโถงด้านหน้าของบ้านลานมะเกลือ โทรทัศน์ที่ทั้งหนาและหนักมากับขาตั้งและเสาหนวดกุ้งที่ขยับเปลี่ยนที่ได้ การเปลี่ยนช่องรายการทำโดยบิดปุ่มบังคับไปตามหมายเลขที่ปรากฏด้านบน เวลาสัญญาณไม่ดีไม่คมชัดก็ต้องขยับเสาอากาศหนวดกุ้งไปมาจนกว่าจะได้ภาพที่ชัดเจน เรียกได้ว่าสนุกทั้งดูรายการและการปรับแต่งภาพให้ชัด
และถึงจะได้โทรทัศน์มาโดยแลกกับน้ำตาเป็นลิตรของน้องสาว แต่พี่ชายคนโตกลับเป็นคนคุมช่องรายการ โชคดีที่ฉื่อไท่กับฉื่อย้งอายุไล่ ๆ กัน รายการโปรดที่ชอบดูก็คล้ายคลึงกัน ทั้งละครไทยละครจีนและรายการเด็กทั้งคู่ดูเหมือนกัน ดังนั้นจึงนั่งดูด้วยกันได้ไม่มีปัญหาอะไร
หลังจากเหตุการณ์ฉื่อย้งถูกรถเฉี่ยวได้ไม่นาน กุ้ยเตียงก็ตั้งท้องอีกครั้ง ท้องนี้หญิงสาวมีอาการแพ้มากกว่าท้องอื่น หน้าตาก็ดำคล้ำลงอย่างเห็นได้ชัด
หลีมุ่ยที่มาเยี่ยมน้องสามีฟันธงอย่างลิงโลดใจว่า
“ท้องนี้ต้องลูกชายแน่นอน ลูกชายดื้อซนทำให้แม่ลำบากตั้งแต่ตอนอยู่ในท้อง คราวนี้คงสมใจเตียงแล้วนะ” พูดแล้วหล่อนก็มองท้องที่แบนราบของซิ่วเฮียงอย่างเป็นต่อ
คนถูกมองได้แต่ยิ้มขำ พื้นนิสัยของซิ่วเฮียงเรียบ ๆ นิ่ง ๆ ไม่นิยมต่อกรกับใครถ้าไม่ถูกกระทำถึงที่สุดจริง ๆ อยู่แล้ว ยิ่งเติบโตมีลูกสองคน หญิงสาวก็ยิ่งนิ่งได้ราวกับแผ่นน้ำที่ไม่ต้องลมต้องฝน อีกอย่างเมื่อใกล้ชิดกับกุ้ยเตียง หล่อนก็รับนิสัยของฝ่ายนั้นมาไม่น้อย โดยเฉพาะเรื่องความอดทนอดกลั้นกับคนที่น่ารำคาญและน่ารังเกียจทั้งหลาย
หลีมุ่ยมองเหยียดหรือกระแซะอะไรมาหล่อนก็ยิ้มรับไม่ว่าอะไรไม่โต้ตอบใด ๆ ทั้งสิ้น ทำเป็นเหมือนไม่รู้ไม่เข้าใจสารที่อีกฝ่ายต้องการสื่อมา เล่นเอาคนที่อยากเหยียดอยากหมิ่นเคว้งไปเหมือนออกแรงตบเต็มที่แต่ตบได้แต่อากาศเท่านั้น หลีมุ่ยจึงได้แต่บ่นว่า
“แม่ซิ่วเฮียงนี่ท่าจะสมองทึบ ใครพูดอะไรไปก็ฟังไม่เข้าหู ด่าไปก็ไม่เข้าใจ ยิ้มโง่ ๆ อย่างเดียว”
“ไม่ให้ยิ้มแล้วจะทำยังไง ด่ากลับคนที่ไปด่าเขาหรือ” กุ้ยเตียงถามเรียบ ๆ “แล้วนี่ถ้าซิ่วเฮียงฉลาดต่อปากต่อคำซ้อ ซ้อก็คงไม่พอใจอีก ดีไม่ดีจะยิ่งไม่พอใจกว่าตอนนี้เฮียงยิ้ม ๆ แบบนี้เสียอีก”
หลีมุ่ยฮึดฮัดเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า
“ทำไมลื้อชอบเข้าข้างแม่นั่นเสียจริง แก้ตัวแทนมันตลอด มันวางเสน่ห์ทั้งผัวทั้งเมียหรือไงถึงได้นิยมชมชื่นมันกันนัก!”
กุ้ยเตียงไม่ตอบอะไร รู้ว่าพูดไปก็เปลืองน้ำลายเปล่า คนมีอคติ….ใจมัวแต่จับอยู่กับความผิดพลาดและข้อด้อยของอีกฝ่าย สมองก็คิดแต่เรื่องไม่ดีไม่งามมีตำหนิไปหมด แล้วจะเอาดวงตาและหัวใจที่ไหนไปเห็นความดีความงามของอีกฝ่ายได้ คนแบบนี้ต่อให้ชี้นิ้วให้มองก็มองไม่เห็นเป้าหมาย เห็นแค่ปลายเล็บของคนชี้เท่านั้นเอง
กลางปี 2511 หลังจากเจ็บท้องอยู่ครึ่งค่อนคืนกุ้ยเตียงก็ให้กำเนิดลูกที่สี่ แม้จะหวังและเชื่อกันมากกว่าท้องนี้จะได้ลูกชาย แต่หล่อนกลับได้ลูกสาวอีกคน เด็กหญิงตัวเล็กผิวขาวหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูปากนิดจมูกหน่อยมีเค้าว่าโตขึ้นคงจะสวยเหมือนแม่ ทว่าหัวเข่าซ้ายของเด็กน้อยกลับบิดผิดรูปจนน่าตกใจ
ยามรับลูกสาวมากอดมาลูบบนขาเล็ก ๆ ที่ผิดรูปผิดร่างอย่างเบามือ กุ้ยเตียงกลั้นน้ำตาไม่อยู่ร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาเบา ๆ พอรู้ตัวก็รีบปาดน้ำตาทิ้งไม่ให้น้ำอุ่น ๆ ต้องแขนขาลูกสาว ส่วงเองก็ร้อนใจสงสารลูกสาวคนใหม่จนไม่มีแก่ใจหยอกล้อเรื่องตัวขาดทุนสามหมื่นเหมือนตอนที่ฉื่อฮวงเกิด เถ้าแก่หนุ่มวิ่งหาหมอรักษาขาให้ลูกสาวคนใหม่ไปทั่ว
แพทย์โรงพยาบาลและแพทย์จีนบอกตรงว่าขาเด็กน้อยรักษาให้เป็นปกติได้ด้วยการนวดดัด เด็กเล็กกระดูกยังอ่อน ถ้านวดดัดอย่างระมัดระวังสามารถค่อย ๆ ดัดหัวเข่าซ้ายให้กลับเข้าที่ได้ เพียงแค่ต้องใช้เวลาและการรักษาอย่างถูกวิธี
ส่วนซินแสที่ส่วงรู้จักทำนายว่าดวงชะตาของแม่หนูฉื่อเพียวหรือชื่อไทยสุกานดาไม่ถูกโฉลกกับบิดามารดา ทำให้สุขภาพไม่แข็งแรง ต้องยกให้เป็นลูกบุญธรรมผู้อื่นไปเสีย โดยยกให้เลี้ยงดูจริงจังไม่ใช่ยกแบบพอเป็นพิธี
ส่วงนั้นเป็นคนที่คิดว่ามากดีกว่าน้อย ดังนั้นใครเสนออะไรมาถ้าไม่ดูเสี่ยงอันตรายร้ายแรงอะไรเขาก็รับคำว่าจะทำไปเสียทั้งหมด ดังนั้นแค่ไม่กี่วันเขาก็หาพยาบาลและหมอจีนที่จะช่วยให้คำปรึกษาเรื่องดัดกระดูกจัดขาฉื่อเพียวได้ แต่เรื่องยกลูกให้เป็นลูกบุญธรรมคนอื่นนั้นยากกว่ามาก
ฝั่งส่วงนั้นไม่มีญาติพี่น้องในเมืองไทย ชายหนุ่มมีเพียงน้าเขยที่ก็มีครอบครัวใหม่ไปแล้ว แถมจั๊กคุ้งยังอยู่ระยอง ต่อให้ทางนั้นยอมรับฉื่อเพียวเป็นลูก เขากับกุ้ยเตียงก็ตัดใจส่งลูกเล็กไปเลี้ยงที่ระยองไม่ได้อยู่ดี
ส่วนฝั่งกุ้ยเตียงนั้นแม้จะมีญาติมากมาย ทว่าไม่มีใครเสนอตัวเลย แม้หมุยเจ็งอยากจะรับหลานสาวมาเป็นบุตรบุญธรรม แต่หลีมุ่ยเข้าไปกันท่าทันทีโดยให้เหตุผลว่า
“มีใครเขารับหลานมาเป็นลูกบุญธรรมกัน แถมยังหลานนอกเสียด้วย อีกอย่างม้าเองก็อายุมากแล้ว เตี่ยก็เจ็บออด ๆ แอด ๆ ลำพังแค่ดูแลเตี่ยม้าก็แทบไม่มีเวลาแล้ว จะดูแลเด็กอ่อนไหวหรือ”
กับครอบครัวน้อง ๆ คนอื่น ซ้อใหญ่ผู้นี้ก็เตือนว่า
“แต่ละบ้านลูกสามลูกสี่กันทั้งนั้น…” เท่านี้เงินกงสีก็แทบจะเหือดเหมือนน้ำค้างกลางแดดอยู่แล้ว รับลูกบุญธรรมเข้าบ้านอีกคน ดีไม่ดีเตี่ยกับม้าเอ็นดูสงสารแบ่งเงินแบ่งทองให้ในฐานะลูกหลานบุญธรรมสายตรงไม่ใช่หลานนอก ส่วนแบ่งของสามีและลูกชายทั้งสามของหล่อนมิน้อยลงหรือ
อันที่จริงถ้าเทียบกันแล้วระหว่างบ้านลานมะเกลือกับบ้านโบ๊เบ๊ กิจการโรงงานเย็บตัดเสื้อผ้าและร้านอึ้งซุ้ยหลีที่สะพานหันรุ่งเรืองกว่าร้านเสื้อผ้าที่โบ๊เบ๊มาก ส่วงเองก็เป็นคนหัวใหม่ที่ไม่เคยคิดว่าสมบัติทั้งหมดให้ลูกชาย ลูกสาวให้แค่สินสอดออกเรือน เขาตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกที่เริ่มต้นสร้างครอบครัวแล้วว่า ธุรกิจที่เขาสร้าง จะลูกสาวหรือลูกชายถ้ามีความสามารถก็เข้ามารับช่วงสานต่อได้เหมือนกัน ดังนั้นเขาไม่มีทางที่จะทิ้งฉื่อเพียวให้เป็นภาระกับครอบครัวบุญธรรม ลูกสาวเขาต่อให้ยกให้เป็นลูกบุญธรรมคนอื่นก็ยังเป็นลูกเขาอยู่ ไม่ใช่ให้แล้วตัดขาดความสัมพันธ์ไปเลย
หลีมุ่ยเองก็รู้นิสัยส่วงดี รู้ว่าเขากับกุ้ยเตียงไม่ทิ้งลูกสาวคนนี้แน่ อนาคตทรัพย์สมบัติมีก็ต้องแบ่งให้ฉื่อเพียวอย่างยุติธรรม เพียงแต่พี่สะใภ้ของกุ้ยเตียงคนนี้ใช้ตัวเองเป็นมาตรวัดการตัดสินใจของผู้อื่น ดังนั้นหล่อนจึงเชื่อว่าต่อให้ฉื่อเพียวได้ส่วนแบ่งมรดกจากพ่อแม่แล้ว แต่ถ้าพ่อแม่บุญธรรมแบ่งทรัพย์สินเพิ่มเติมให้ หล่อนก็คงรับไว้อย่างยินดี
ดังนั้นหญิงสาวจึงอยากตัดไฟแต่ต้นลม ยุแยงไม่ให้บรรดาน้องชายน้องสะใภ้ที่อยู่ร่วมกงสีเดียวกับหล่อนรับฉื่อเพียวเป็นลูกบุญธรรมด้วยการชี้ให้เห็นว่า
“อีกอย่างลูกคนนี้ของอาเตียงขาบิดเข่าเบี้ยวไม่เหมือนเด็กทั่วไป เลี้ยงปกติก็เลี้ยงยากอยู่แล้ว นี่ถ้าไม่หายอาเตียงกับผัวจะหาว่าเราเลี้ยงเด็กไม่ดี ไม่ใส่ใจลูกเขาหรือเปล่า เรื่องแบบนี้ต้องระวัง คิดให้มากก่อนจะรับปากอะไรไป…”
หลังจากนั้นเมื่อหลีมุ่ยพาแม่สามีและน้องสะใภ้คนเล็กมาเยี่ยมกุ้ยเตียง หญิงสาวมองหัวเข่าที่บิดผิดรูปของอาเพียวด้วยสายตาเวทนาปนหวาดหวั่น บ่นว่า
“ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้ได้นะ พี่ ๆ คนอื่นก็ออกมาปกติทั้งนั้น ทำไมคนนี้ถึงมีปัญหา น่าสงสารจริง ๆ หลานเอ๋ย…”
ปากว่าน่าสงสารแต่พอน้องสามีขยับจะพูดเรื่องบุตรบุญธรรม หล่อนกลับบอกว่า
“ซินแสเขาว่าสองสามปีแรกต้องพักอยู่กับบ้านที่รับเลี้ยงเลยใช่ไหม ไม่ใช่แค่ออกปากยกพอเป็นพิธี ถ้าเป็นแบบนั้นก็ลำบากหน่อย…” หญิงสาวมีท่าทางหนักอกหนักใจไม่น้อย ถึงขนาดถอนใจยาวเลยทีเดียว “ที่บ้านคับแคบเหลือเกิน ทุกวันนี้เด็ก ๆ ต้องนอนห้องเดียวกันหมด อาเพียวเด็กขนาดนี้ถ้าต้องไปนอนรวมกับพี่ ๆ เกิดใครพลาดเหยียบน้องหรือว่าเบียดกันไปอัดกันมาจนกระทบขาคงจะไม่ดี ทางที่ดีรอให้อาเพียวโตกว่านี้อีกสักหน่อยดีไหม หรือไม่เดี๋ยวอั๊วช่วยหาญาติที่เขาพร้อมจะเป็นพ่อแม่บุญธรรมให้อาเพียวเอง”
กุ้ยเตียงมองมารดา หมุยเจ็งลังเลอ้าปากจะตอบรับว่าหล่อนรับหลานเล็กมาเลี้ยงได้ แต่หลีมุ่ยรีบขัดขึ้นก่อนว่า
“เออ…อาเตียงช่วงนี้เตี่ยสุขภาพไม่ค่อยดี จะลุกจะนั่งก็ไม่มีแรง ให้ใครดูแลก็ไม่เอาจะให้แต่ม้าอยู่ด้วยตลอดเวลา ถ้าลื้อออกจากอยู่ไฟแล้วก็ไปเยี่ยมเตี่ยหน่อยนะ ช่วยกันกล่อมให้จ้างคนมาช่วยดูแล ไม่งั้นม้าเหนื่อยตายเลย…”
สองสามปีมานี้สุขภาพของอ่วงเส็งแย่ลงมากจริง ๆ เขาเป็นคนสูบบุหรี่จัดมาตั้งแต่ยังหนุ่ม แม้คนรอบตัวจะขอให้เลิกก็เลิกไม่ได้เสียที ขนาดขู่ว่าถ้าไม่เลิกสักวันคงตายด้วยมะเร็งปอด แต่อ่วงเส็งกลับตอบว่า
“ไม่เลิกสักวันคงตาย แต่ถ้าเลิกวันนี้อั๊วตายวันนี้แน่นอน”
ดังนั้นอ่วงเส็งจึงยังสูบบุหรี่ไปไอไป ร่างกายจากที่เคยสูงใหญ่สมบูรณ์ตอนนี้ผอมลงไปมาก น้ำหนักลดไปหลายกิโลกรัม แถมยังดื้อดึงเหมือนเด็ก ๆ ใครทำอะไรให้ก็ไม่ถูกใจ หมุยเจ็งเป็นคนเดียวที่อยู่ข้างตัวเขาคอยดูแลแทบจะเรียกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมง
“เตี่ยพวกลื้อยอมให้คนอื่นอยู่ข้าง ๆ เขาเสียที่ไหน คนก่อนที่อาทงจ้างมาอยู่ได้ไม่ถึงสามวัน เตี่ยลื้อก็ไล่เปิดเปิง เฮ้อ…”
กุ้ยเตียงฟังแล้วต้องเก็บคำขอร้องของตัวเองกลับมาด้วยความหดหู่ใจ หญิงสาวรู้ว่าช่วงนี้ม้าหล่อนเหนื่อยกับการดูแลเตี่ย แถมยังเห็นชัดแล้วว่าอนาคตจะต้องพึ่งพาลูกชายคนโตกับลูกสะใภ้ หมุยเจ็งจึงเกรงใจหลีมุ่ยขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด ขนาดว่าอยากยื่นมือเข้าช่วยลูกสาวแค่ไหนพอหลีมุ่ยขัดขึ้น หล่อนก็ยอมถอยไม่กล้าเสนอตัว
หลีมุ่ยยังขยิบตาให้คู่สะใภ้คนเล็กที่มาด้วยกัน สองคนช่วยกันพูดช่วยกันกันและเปลี่ยนเรื่องไปเรื่อย ๆ
กุ้ยเตียงเห็นปฏิกิริยาของตั่วซ้อก็เดาความคิดของอีกฝ่ายออกอย่างง่ายดาย รู้ว่าที่ตีกันอาเพียวเพราะกลัวว่าถ้ารับลูกบุญธรรมแล้วจะต้องแบ่งสมบัติให้ ตัวเองกันไม่ว่ายังกางปีกกันทั้งบ้านโบ๊เบ๊ไม่ให้รับลูกสาวคนเล็กหล่อนอีก ดูเอาเถอะทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเรื่องรับลูกบุญธรรมเกี่ยวพันถึงสุขภาพและชีวิตของฉื่อเพียว แต่คนบ้านเดิมหล่อนกลับไม่ใส่ใจ มัวแต่ห่วงเรื่องทรัพย์สินนอกกายกันทั้งนั้น
ยิ่งคิดกุ้ยเตียงยิ่งเสียใจแค้นใจจนตาแดงก่ำ เย็นนั้นเมื่อสามีกลับมาจากโรงงานและซิ่วเฮียงแวะมานั่งคุยเป็นเพื่อนเหมือนทุกวัน หล่อนเล่าให้ทั้งคู่ฟังถึงการมาเยือนของครอบครัววันนี้ก่อนระเบิดอารมณ์ว่า
“ทำอย่างกับว่าเราอยากยกอาเพียวให้เขางั้นแหละ ถ้าเลือกได้ก็ไม่เลือกหรอก แต่งเข้ามาเป็นสิบปีแบบนี้มีหรือจะไม่รู้นิสัยใจคอว่าเป็นยังไง เห็นแก่ตัวเป็นที่หนึ่งแบบนั้น วัน ๆ คิดแต่เรื่องสมบัติเตี่ยกับม้า ละโมบโลภมากเป็นที่สุด ยกอาเพียวให้ขอทานข้างถนนเสียยังดีกว่า”
ส่วงฟังแล้วหน้าดำคล้ำขึ้นด้วยความไม่พอใจ เขาไม่ถูกชะตากับหลีมุ่ยมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ที่อดทนอดกลั้นให้ฝ่ายนั้นเข้านอกออกในวุ่นวายในบ้านก็เพราะเห็นแก่กุ้ยเตียง รู้ดีว่าอีกฝ่ายที่เป็นพี่สะใภ้คนโตหนำซ้ำยังเป็นแม่ของหลานชายสามคน ไม่ว่าจะนิสัยน่ารังเกียจเพียงใดก็ไม่สามารถตัดขาดได้ แต่ครั้งนี้หลีมุ่ยทำน่าเกลียดเกินไปจริง ๆ
“ไม่เป็นไร เรื่องอาเพียวลื้อไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวอั๊วจะหาพ่อแม่บุญธรรมดี ๆ ให้ลูกเอง”
ซิ่วเฮียงที่ฟังอยู่มองเด็กน้อยตัวขาวจมูกเล็ก ๆ ปากแดงสด แขนขายาวแต่ขาข้างหนึ่งบิดผิดรูปด้วยความรู้สึกสงสาร เหมือนรู้ว่าถูกจ้อง เด็กน้อยอ้าปากหาวน่ารักน่าเอ็นดูเหมือนลูกนกอ้าปากรอแม่นกมาป้อนอาหาร ชวนให้นึกรักจับใจ หญิงสาวรอให้อารมณ์ของพ่อแม่เด็กน้อยสงบลงเล็กน้อยก่อนเสนอว่า
“เถ้าแก่กับหยี่แจ้จ๊ะ ถ้าไม่รังเกียจเฮียงรับอาเพียวเป็นลูกบุญธรรมได้นะจ๊ะ เฮียงเต็มใจ”
ทั้งคู่หันมามองหล่อนด้วยความแปลกใจ
“ทำแบบนี้จะได้หรือ” ส่วงไม่มั่นใจ
“ได้สิจ๊ะ ซินแสบอกว่าให้อาเพียวแยกไปอยู่กับครอบครัวบุญธรรมสักสองสามปี ไม่ให้พักอยู่ร่วมบ้านกับหยี่แจ้ ให้อาเพียวไปอยู่บ้านต้นชมพู่ก็ถือว่าแยกบ้านแล้วไม่ใช่หรือจ๊ะ ถึงจะอยู่ติดกันแต่ก็ไม่ใช่อยู่ใต้หลังคาเดียวกันสักหน่อย เถ้าแก่ลองถามซินแสดูก่อนก็ได้จ้ะ ถ้าทำได้ก็ให้อาเพียวมาเป็นลูกบุญธรรมเฮียง ทำแบบนี้อาเพียวก็ไม่ต้องไปอยู่ไกล เฮียงอุ้มมาเจอหยี่แจ้ทุกวันได้”
กุ้ยเตียงพยักหน้ารับทันที เรื่องต้องยกลูกแรกเกิดให้คนอื่นบีบหัวใจหล่อนมาตลอด พอเห็นทางว่าถึงยกให้เป็นลูกคนอื่นแต่ก็ยังอยู่ในสายตาตลอด ได้เห็นหน้าทุกวัน หัวใจที่ปวดหนึบอยู่ตลอดเวลาก็บรรเทาลง
ส่วนส่วงดวงตาเป็นประกาย เถ้าแก่หนุ่มรีบไปสอบถามซินแสว่าสามารถทำได้หรือไม่ พอฝ่ายนั้นตรวจชะตาหญิงสาวและเด็กน้อยแล้วเห็นว่าเข้ากันได้ ส่งเสริมกันในทางที่ดีเขาก็พยักหน้ารับ
หลังจากนั้นไม่กี่วัน พอซินแสทำพิธีเล็ก ๆ ภายในครอบครัวให้เรียบร้อย ซิ่วเฮียงก็อุ้มเด็กน้อยที่รู้อยู่ไม่งอแงเลยเข้าบ้านต้นชมพู่ หญิงสาวกระซิบกับฉื่อเพียวว่า
“ต่อไปอาเพียวคือเด็กน้อยของเฮียงแจ้นะ เติบโตแข็งแรง ไม่เจ็บไม่ไข้นะลูกนะ”
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 38 : หมากฝรั่งบุหรี่
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 37 : พิราบขาว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 36 : คนนอก
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 35 : ผู้ชนะ (ตอนที่ 2)
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 34 : ผู้ชนะ (ตอนที่ 1)
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 33 : คดในข้องอในกระดูก
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 32 : สัญญาที่ไม่เป็นธรรม?
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 31 : แม่ม่ายลูกกำพร้า
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 30 : ฟ้าถล่ม
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 29 : ลูกชายลูกชาย
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 28 : ไม่มีอะไรแน่นอน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 27 : เด็กน้อยของซิ่วเฮียง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 26 : สันดานคนยากจะเปลี่ยน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 25: รถจี๊ปสีเขียว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 24 : หวังดีเกินไป รักเกินไป
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 23 : เรื่องที่เข้ากันได้
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 22 : หยี่แจ้ โอ่ยแจ้
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 21 : แต่งงาน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 20 : สู่ขอ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 19 : ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 18 : เห็นขี้ดีกว่าไส้
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 17 : กระต่ายก็กัดเป็น
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 16 : เลิกกับผัวแล้ว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 15 : ปุ๋ยดีไม่ควรปล่อยให้ไหลลงนาผู้อื่น
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 14 : ลานมะเกลือ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 13 : ศาลองค์แป๊ะกง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 12 : เข้ากรุง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 11 : ส้วมที่แตกแล้ว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 10 : บ้าน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 9 : หันหลังกลับ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 8 : พยอม
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 7 : หมดสิ้น
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 6 : หาญ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 5 : วาสนา
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 4 : ดอกไม้ผ้า
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 3 : ตุ้มหูทอง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 2 : แม่ผัว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 1 : ซิ่วเฮียง