
แก่นไม้หอม บทที่ 28 : ไม่มีอะไรแน่นอน
โดย : กิ่งฉัตร
แก่นไม้หอม นวนิยายออนไลน์ โดย กิ่งฉัตร ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ กับเรื่องราวที่จะทำให้คุณได้รู้ว่าผู้หญิงเป็นเมียและแม่ไม่ต่างจากแก่นไม้ที่แข็งแกร่ง มั่นคงและทรหดที่ยึดให้ใบได้แผ่กว้าง และหากโลกนี้เชื่อว่าผู้ชายเป็นใหญ่ แต่จริงๆ แล้วทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนเป็นหยินที่โอบหยางทั้งสิ้น
หลีมุ่ยรู้ข่าวซิ่วเฮียงรับฉื่อเพียวเป็นลูกบุญธรรมก็เมื่อพิธีเล็ก ๆ นั่นผ่านพ้นไปได้หลายวันแล้ว พอได้ข่าวหญิงสาวก็นึกระแวงขึ้นมาทันที อาเพียวเป็นเด็กพิการที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ ถ้าไม่ใช่พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดใครจะอยากรับเลี้ยงกัน แล้วนี่ทำไมเด็กนั่นจู่ ๆ ก็อาสารับเป็นแม่บุญธรรมให้
มันต้องมีแผน ต้องมีแผนแน่ ๆ
คิดแล้วหญิงสาวร้อนรนทนไม่ไหวต้องวิ่งมาหากุ้ยเตียงที่บ้านลานมะเกลือ แม้ว่าแม่สามีและสามีขอไว้ว่าอย่ายุ่งเพราะละอายที่ไม่ช่วยเหลือเรื่องฉื่อเพียว แต่หลีมุ่ยก็ไม่ฟังเสียง รู้ข่าววันนี้พรุ่งนี้ก็ลุกแล่นไปทันที พอถึงนั่งลงเก้าอี้ยังไม่ทันอุ่นหล่อนก็เปิดฉากถามตรง ๆ ว่า
“ลื้อคิดยังไง ทำไมถึงได้ยกลูกให้แม่เด็กนั่น มีเยี่ยงมีอย่างที่ไหนกันเมียหลวงยกลูกให้เมียน้อยเลี้ยง”
“ถ้าไม่ยกให้ซิ่วเฮียง ซ้อจะรับลูกอั๊วไว้ไหมล่ะ พูดออกมาคำเดียวว่ารับ อั๊วจะไปอุ้มเพียวมาจากบ้านต้นชมพู่ให้ซ้อเดี๋ยวนี้เลย” กุ้ยเตียงถามกลับเสียงเย็น
“อั๊วก็อยากรับ เด็กน่ารักอย่างอาเพียวใครจะไม่อยากได้เป็นลูกสาว แต่อั๊วก็ลูกสาม…ลูกชายสามคนดื้อซนเป็นเซียนขนาดไหนลื้อไม่รู้หรอก” น้ำเสียงพี่สะใภ้เหมือนเหนื่อยหน่ายเต็มประดาทว่าสีหน้ากลับโอ้อวดอย่างเห็นได้ชัด “แล้วไหนยังต้องช่วยพี่ชายลื้อดูแลร้านดูบัญชีร้าน วัน ๆ พี่ชายลื้อต้องไปคุยงานกับลูกค้า ไม่ค่อยมีเวลาเข้าร้าน ม้าก็ต้องดูแลเตี่ย ถ้ารับอาเพียวไปกลัวจะไม่มีเวลาดูแลให้ดี…”
“รับไม่ไหวก็ให้ซิ่วเฮียงรับไป”
“ให้ไปได้ไง ลื้อไม่กลัววันดีคืนดีอีตีลูกหรือ หรือถ้าเด็กนั่นสอนให้ลูกเกลียดลื้อจะทำยังไง” หล่อนพยายามแนะนำให้กุ้ยเตียงมองอนาคตให้มาก แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะเบา ๆ ก่อนเอ่ยว่า
“ซ้อ นึกว่าอั๊วตาบอดหรือถึงได้นึกจะส่งลูกให้ใครก็ส่งไป นึกว่าอั๊วไม่มีสมองหรือไงถึงได้ไม่ตรองก่อนว่าจะให้ใครมาเป็นแม่บุญธรรมอาเพียวก็ได้ นี่ถ้าซ้อหวังดีจริงเป็นห่วงเป็นใยจริงก็รับอาเพียวเป็นลูกไปเลย แต่ถ้าไม่รับก็ไม่ต้องพูด อั๊วขี้เกียจฟัง”
พอถูกไล่ซึ่ง ๆ หน้า หลีมุ่ยก็ไม่พอใจ ขึ้นเสียงทวงบุญคุณว่า
“เอ๊ะ ที่มาเตือนนี่เพราะอั๊วหวังดี ไม่อยากให้ลื้อเสียใจภายหลัง”
“ทุกสิ่งที่ทำไปแล้วอั๊วไม่เสียใจ เพราะก่อนจะทำอั๊วตัดสินใจดีสุดแล้ว ถ้ามันจะไม่ดีอั๊วก็จะยอมรับว่านี่คือสิ่งที่อั๊วเลือกเอง ซ้อกลับเถอะ งานยุ่งไม่ใช่หรือ อั๊วเองก็อยากพักเหมือนกัน”
พี่สะใภ้มองน้องสามีอย่างขุ่นเคือง แต่เพราะยังต้องพึ่งพากันอีกมากในอนาคต หลีมุ่ยเลยไม่กล้าตัดรอนรุนแรง ได้แต่กระแทกเสียงใส่ว่า
“เตือนแล้วไม่เชื่อก็ตามใจ ต่อไปจะไม่ห่วงไม่เตือนอะไรอีกแล้ว เปลืองน้ำลาย!”
แขกสะบัดหน้ากลับไปแล้วด้วยความขัดเคือง กุ้ยเตียงได้แต่ถอนใจยาว มองไปทางบ้านต้นชมพู่ด้วยความกังวล เรื่องที่หลีมุ่ยยุแยงมีหรือหล่อนจะไม่เคยคิด แต่หญิงสาวยังเชื่อมั่นในสายตาและความรู้สึกของตัวเอง ยังมั่นใจว่าดูคนไม่ผิด วางใจคนไม่ผิด…
โอ่ยแจ้…ลื้ออย่าทำให้อั๊วผิดหวังนะ
ซิ่วเฮียงไม่ทำให้หยี่แจ้ของหล่อนผิดหวังจริง ๆ หญิงสาวเลี้ยงดูฉื่อเพียวเหมือนเป็นลูกสาวตัวเอง แถมโชคดีที่เง็กซิมมีความรู้เรื่องนวดมาบ้างเล็กน้อย พอได้เรียนจากพยาบาลและซินแส เง็กซิมก็สามารถปรับประยุกต์การนวดทั้งแผนปัจจุบันและแผนจีนโบราณเข้าด้วยกัน แล้วค่อย ๆ นวดดัดหัวเข่าและขาของฉื่อเพียวทุกวัน ภายใต้การดูแลอย่างดีของสองหญิงต่างวัยใช้เวลาไม่ถึงสิบเดือนขาของเด็กน้อยก็กลับมาดีเหมือนขาเด็กปกติทั่วไป
ข่าวดีเรื่องขาฉื่อเพียวยังไม่ทันจาง ซิ่วเฮียงก็มีข่าวดีตามมา…หญิงสาวท้องลูกคนที่สาม
เพื่อนฝูงส่วงชมว่าเถ้าแก่หนุ่มมีวาสนามีลูกเต็มบ้าน แต่กุ้ยเตียงเป็นกังวล หล่อนถามซิ่วเฮียงตรง ๆ ว่า
“ลื้อดูแลเด็ก ๆ ไหวไหม เด็กตั้งสามคน จ้างคนงานมาช่วยดูแลลูกสักคนดีไหม”
“ไม่ต้องหรอกจ้ะหยี่แจ้ เฮียงมีเง็กซิ่มช่วยอยู่แล้ว อีกอย่างกว่าลูกคนนี้จะคลอดอาไช้ก็เข้าโรงเรียนแล้ว อาเพียวเองก็เป็นเด็กดีว่านอนสอนง่ายไม่งอแงเลย เฮียงกับเง็กซิ่มเลี้ยงได้จ้ะ ตอนเย็นถ้าอาเส่งว่างก็มาช่วยเลี้ยงอาไช้ให้ เอาไว้ถ้าไม่ไหวจริง ๆ เฮียงจะบอกนะจ๊ะ หยี่แจ้จะได้หาคนมาช่วย”
ซิ่วเฮียงเอ่ยเป็นมั่นเหมาะอย่างนี้กุ้ยเตียงจึงเบาใจลงบ้าง
ช่วงที่ฉื่อเพียวอายุได้ประมาณหนึ่งขวบ มีข่าวใหญ่เรื่องสหรัฐอเมริกาส่งคนไปเหยียบดวงจันทร์ ข่าวนี้กระหึ่มทั่วโลกสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้คนทุกประเทศ มีการถ่ายทอดสดจากยานอพอลโล 11จากนอกโลกสู่ฐานองค์การนาซาที่รัฐฟลอริดาก่อนถูกกระจายต่อไปทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยด้วย
คนไทยส่วนใหญ่ก็เหมือนกับคนทั่วโลกที่จับตามองการถ่ายทอดสดพร้อมกับวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างตื่นเต้น ส่วงเองก็ติดตามข่าวสำคัญนี้อย่างใกล้ชิด เถ้าแก่หนุ่มที่ขยันขันแข็งอย่างเขายอมหยุดงานครึ่งวันเพื่อเฝ้าดูการถ่ายทอดสด อันที่จริงไม่ใช่เฉพาะส่วง ทุกคนในบ้านลานมะเกลือ บ้านต้นชมพู่รวมถึงเหง็กลั้งและคนงานอีกสองคนจากลานมะเกลือต่างหยุดงานมาเฝ้าหน้าจอโทรทัศน์กันหมด เส่งเองก็ยอมขาดเรียนช่วงเช้าเพื่อรอดูถ่ายทอดสด แต่เขาบอกกับพี่สาวที่ไม่ค่อยสบายใจนักว่า
“ไม่ต้องห่วงหรอกแจ้ วันนี้ไม่มีใครเข้าเรียนหรอก ทั้งอาจารย์ทั้งเพื่อนอยู่บ้านดูถ่ายทอดสดกันทั้งนั้น เชื่อสิต่อให้ไปเรียนคนในห้องก็ต้องคุยแต่เรื่องคนอเมริกาไปเหยียบดวงจันทร์กันทั้งนั้น สู้ลุ้นอยู่กับบ้านคอยดูว่าจะลงแตะผิวดวงจันทร์ได้สำเร็จหรือเปล่าดีกว่า”
เพื่อข่าวสำคัญ ส่วงสั่งให้เปิดประตูบานเฟี้ยมออกหมดจนเห็นห้องโถงกว้าง เพื่อนบ้านแถวนั้นที่ไม่มีโทรทัศน์จะได้มานั่งดูด้วยกัน พอถึงเวลาทั้งผู้ใหญ่และเด็กก็มานั่งรวมกันหน้าจอโทรทัศน์ขาวดำเครื่องใหญ่ เด็ก ๆ ที่มาดูนั้นส่วนมากเป็นเด็กเล็ก ส่วนเด็กโตอย่างฉื่อไท่กับฉื่อย้งต้องไปเรียนหนังสือ แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะพลาดข่าวสำคัญ เพราะครูที่โรงเรียนแจ้งมาแล้วว่าจะพาเด็ก ๆ ไปรวมกันที่โรงอาหาร จากนั้นจะเปิดรายการถ่ายทอดสดให้เด็ก ๆ ได้รับชมเช่นกัน
เมื่อถึงเวลาในห้องโถงบ้านลานมะเกลือก็เต็มไปด้วยผู้ชม ส่วงนั่งอยู่กลางห้องอุ้มฉื่อเพียวที่กระตือรือล้นไว้บนตัก เมียสองคนนั่งอยู่ข้าง ๆ ซิ่วเฮียงนั้นท้องใหญ่เห็นได้ชัดแล้ว ทว่ายังกระฉับกระเฉงคอยดูแลฉื่อไช้กับฉื่อฮวงที่นั่งบ้างกลิ้งไปกลิ้งมาบ้างบนพื้นตรงหน้าโทรทัศน์ ผู้ใหญ่ที่เหลือนั่งถัด ๆ มา ส่วนเพื่อนบ้านที่เกรงใจส่วนใหญ่จะนั่งตรงขอบ ๆ ประตูไม่ถึงขนาดเข้ามาในบ้านตรง ๆ
การถ่ายทอดสดกินเวลาไม่กี่นาที แต่ดูเหมือนนานและประทับแน่นในความคิดของผู้คนที่รับชม กุ้ยเตียงดูแล้วถอนใจบ่นว่า ต่อไปนี้พอถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์คงอดคิดไม่ได้ว่ากำลังไหว้รอยเท้าฝรั่งอยู่แน่ ๆ เง็กซิมกับเหง็กลั้งเห็นด้วยแต่ก็ชื่นชมว่าพวกฝรั่งนี่เก่งจริง ๆ ดวงจันทร์อยู่ไกลบนฟ้ายังส่งคนไปถึงได้ ส่วงนั่งมองนิ่ง ๆ กระทั่งภาพบนหน้าจอกลับสู่รายการปกติแล้ว ชายหนุ่มจึงเอ่ยขึ้นว่า
“สักวันคนจีนจะต้องไปเหยียบดวงจันทร์ได้เหมือนกัน”
“แล้วคนไทยล่ะเฮีย” อาเส่งถามยิ้ม ๆ ซิ่วเฮียงยังเรียกสามีว่าเถ้าแก่เพราะเรียกอย่างนี้จนชินปาก แต่เส่งนั้นเรียกเฮียมาตั้งแต่แรก
พี่เขยของเด็กหนุ่มที่ตอนนี้เรียนอยู่ปีสี่แล้วนิ่งคิดไปครู่ ก่อนส่ายหน้าเป็นคำตอบ
หลังจากนั้นทุกครั้งที่เล่าถึงเหตุการณ์ในวันแห่งประวัติศาสตร์ ‘นี่คือก้าวเล็ก ๆ ของมนุษย์ แต่เป็นการกระโดดครั้งยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ’ ให้เด็กน้อยทั้งหลายฟัง ซิ่วเฮียงมักจะตบท้ายด้วยประโยคที่ว่า
“พ่อเธอเขาเป็นพวกสำนึกบุญคุณเมืองไทยแต่ไม่เคยลืมเลือนเมืองจีน ขนาดตอนนั้นเมืองจีนอะไร ๆ ก็สู้เมืองไทยไม่ได้ เมืองไทยเจริญกว่าเยอะ พ่อเธอก็ยังมั่นใจว่าสักวันจีนจะส่งคนไปเหยียบดวงจันทร์ได้เหมือนอเมริกา”
“ก็อาจจะจริงนะเฮียงแจ้ ตอนนี้จีนเริ่มส่งยานอวกาศออกไปนอกโลกแล้ว อีกหน่อยคนจีนคงได้เหยียบดวงจันทร์เหมือนกัน” เด็กน้อยของซิ่วเฮียงหรืออาเพียวสนับสนุนบิดาเต็มที่ “ส่วนเมืองไทยยังส่งได้แค่ดาวเทียมไม่ถึงขั้นยานอวกาศเสียที”
ซิ่วเฮียงยิ้มกับคำบอกเล่าเชิงบ่นนั้น ใครเลยจะไปนึก…ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนเมืองจีนอดอยากแห้งแล้งเต็มไปด้วยไฟสงคราม เตี่ยกับม้าหนีสงครามมาตายเอาดาบหน้าที่เมืองไทย ตัวหล่อนต้องลงเรือตามมาเพื่อหนีความอดอยากหิวโหย ส่วงก็มาเมืองไทยแบบเสื่อผืนหมอนใบจริง ๆ เรียกว่าหนีร้อนมาพึ่งเย็นไม่มีผิด ตอนนั้นซิ่วเฮียงยังเด็กจำอะไรไม่ได้ชัดเจน แต่ที่จำได้แม่นคือเมืองไทยอุดมสมบูรณ์เหลือเกิน ในน้ำมีปลาในนามีข้าว ไปไหนมาไหนมีแต่ผู้คนยิ้มแย้มมีน้ำใจ บ้านเมืองสงบก้าวหน้า มีรถรางรถไฟวิ่ง บ้านเกิดที่หล่อนจากมาดูเหมือนห่างไกลออกไปเหลือเกิน…
ตอนที่ส่วงคุยกับอาเส่งว่าอีกหน่อยคนจีนจะไปเหยียบดวงจันทร์ก่อนคนไทย ซิ่วเฮียงไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ดูเหมือนคำทำนายของเถ้าแก่จะเป็นจริง ในโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอนเลยจริง ๆ
หลังจากนีล อาร์มสตรองก้าวแบบกระโดดลงบนผิวดวงจันทร์เป็นคนแรก เด็ก ๆ ในบ้านลานมะเกลือก็เลียนแบบนักบินอวกาศไม่เดินแต่กระโดดหย็องแหย็งแบบไร้น้ำหนักกันอยู่พักใหญ่ ๆ ช่วงนั้นถ้าถามเด็กน้อยทั้งหลายว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร นักบินอวกาศเหมือนจะเป็นคำตอบยอดนิยมเลยทีเดียว
ทว่าความตื่นเต้นอยู่ไม่นานทุกอย่างก็กลับคืนสู่สภาวะปกติ ชีวิตซิ่วเฮียงก็วุ่นวายอยู่กับการดูแลบ้านเลี้ยงลูกและช่วยงานเหง็กลั้งที่โรงงาน
อาเต็กลูกชายคนเดียวของเหง็กลั้งไปได้สวยกับเส้นทางชีวิตที่เขาเลือก หลังจากออกจากลานมะเกลือไปเช่ารถโดยสารรับจ้างอยู่ปีเศษ ชายหนุ่มก็เริ่มผ่อนรถของตัวเอง ปีถัดมาเขาย้ายจากห้องเช่าที่อยู่ร่วมกับเพื่อนไปเช่าบ้านหลังเล็ก ๆ อยู่เองแถวถนนสุโขทัย และตั้งเป้าหมายในชีวิตว่าสักวันเขาจะมีอู่รถเป็นของตัวเอง
อาเต็กทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับมารดา พอมีบ้านเช่าของตัวเองเขาตั้งใจมารับเหง็กลั้งไปอยู่ด้วย ให้อยู่สบาย ๆ ไม่ต้องทำงานอีกแล้ว แต่ม้าของเขากลับไม่ยอมไปเสียอย่างนั้น
“อั๊วอยู่ที่นี่ทำงานที่นี่จนชินแล้ว ให้ไปอยู่ถึงดุสิต อั๊วขี้เกียจนั่งรถมาทำงานทุกวัน”
“ม้าก็ไม่ต้องทำงาน อยู่บ้านไป เต็กเลี้ยงม้าเอง” ชายหนุ่มบอกอย่างกตัญญู
ทว่าเหง็กลั้งยิ่งส่ายหน้าดิก
“ให้ไปอยู่บ้านเฉย ๆ อั๊วเฉาตายพอดี คนเคยทำงานหยุดอยู่ว่างเฉย ๆ ไม่ได้หรอก ไม่ไป ๆ อยู่ที่นี่แหละ”
“ม้าไปอยู่กับอั๊วเถอะ อั๊วเหงาอยากให้ม้าไปอยู่ด้วยจริง ๆ” ลูกชายออดอ้อน
เหง็กลั้งหัวเราะ เห็นลูกชายอนาคตสดใสหล่อนก็มีความสุข หน้าตาเบิกบาน ยิ้มแย้มตอบเขาไปว่า
“เหงานักก็แต่งเมียสักคนสิ” หญิงสูงวัยว่า ก่อนหุบรอยยิ้มเมื่อเสริม “แต่ไม่เอาเน้ยนะ อั๊วไม่ชอบ”
อาเต็กหัวเราะเสียงเจื่อน
“ม้า…” เขาลากเสียงยาว “อั๊วไม่สนใจเน้ยแล้ว ไม่ได้เจอไม่ได้คุยกับเน้ยมาเป็นปี ๆ แล้ว”
ชายหนุ่มพูดไม่จริงทั้งหมด เขาไม่สนใจฝ่ายนั้นแล้วจริง…เพราะเวลาช่วยเยียวยาทุกอย่าง ความรู้สึกหลงใหลซาลงแทบไม่ได้อาลัยอาวรณ์มากนัก คุยก็ไม่ได้คุยเพราฝ่ายนั้นไม่เคยเห็นเขาในสายตา พอใช้งานเสร็จคำครึ่งคำก็ไม่หลุดจากปาก มีแค่สายตาที่มองเขาเหมือนมองสิ่งปฏิกูล เต็กเจ็บ…เจ็บหนักจนเริ่มชา พอหัวใจเริ่มชินกับความเจ็บปวดสมองก็เริ่มทำงาน คิดได้ว่าเน้ยไม่เคยจริงใจกับเขาเลย และพอรู้ว่าตัวเองเป็นแค่ไอ้โง่ในสายตาผู้หญิง ความรักความหลงก็มอดดับลงอย่างรวดเร็ว
ดังนั้นเรื่องที่เขาพูดปดม้าเพื่อความสบายใจของอีกฝ่ายคือการพบเจอ เมื่อวันอาทิตย์สัปดาห์ก่อนตอนขับรถไปส่งลูกค้าที่ประตูน้ำเขายังเห็นเน้ยเดินอยู่บนทางเท้าแถวนั้น หญิงสาวแต่งหน้าสวย สวมเสื้อกระโปรงขาวเดินหน้าเชิดไม่มองใคร มีผู้ชายเดินมาด้วยกับหล่อน แต่เต็กเห็นหน้าไม่ชัดเพราะฝ่ายชายถือร่มกันแดดขนาดใหญ่บังแดดให้เน้ย เพียงแต่ชายหนุ่มรู้สึกว่ารูปร่างของฝ่ายชายนั้นดูคุ้น ๆ อยู่ ทว่ายังไม่ทันไปมองให้ชัดรถคันหน้าก็เคลื่อนตัวพอดี หนำซ้ำผู้โดยสารยังถามอะไรขึ้นมาบางอย่าง เขาจึงไม่ทันได้หันกลับไปมองคนคู่นั้นอีกครั้ง
“ขอให้มันจริงเถอะ ผู้หญิงคนนั้นสองตามีแต่ความโลภ มักใหญ่ใฝ่สูง ใครได้เป็นเมียเป็นสะใภ้เก๊กซิมตาย”
“ไม่ต้องห่วงม้า อั๊วไม่สนใจอะไรเน้ยอีกแล้ว ถ้าอั๊วจะหาสะใภ้อั๊วต้องหาที่ม้าถูกใจแน่” อาเต็กเอาใจมารดาเต็มที่
ปลายปีนั้นซิ่วเฮียงก็คลอดลูกชายออกมาอีกคน ส่วงตั้งชื่อลูกชายคนที่สามของเขาว่าวิชาญ ส่วนชื่อจีน…เป็นเพราะลูกชายคนนี้ดวงตากลมโตเป็นประกายสดใสเขาจึงเลือกชื่อแช ช่วงที่เด็กน้อยเกิดจั๊กคุ้งและภรรยาขึ้นมากรุงเทพฯพอดี กิจการโรงงานเส้นก๋วยเตี๋ยวที่ระยองรุ่งเรืองดีมาก อาเตี๋ยของส่วงจึงมีของฝากติดมือมาไม่น้อย ของขวัญให้เด็ก ๆ ก็มีหลายชิ้น โดยเฉพาะพ่อหนูฉื่อแชที่เพิ่งเกิด จั๊กคุ้งเอ็นดูเด็กน้อยเป็นพิเศษ ชื่นชมว่าหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูนักเลยซื้อกำไลข้อเท้าทองคำรับขวัญ
“ดี ๆ อาแชหน้าตาดีโตขึ้นต้องหล่อเหมือนพ่อแน่ ๆ แข็งแรงด้วยแขนขาเป็นปล้อง น่ารักเหลือเกิน”
เตี่ยกับม้าของอาแชหน้าตาสดใสเบิกบานยิ้มแย้มรับคำชม กุ้ยเตียงที่นั่งอยู่ด้วยก็ยิ้มน้อย ๆ อย่างสุภาพ หล่อนมองซิ่วเฮียงที่ตอนนี้เริ่มมีน้ำมีนวล ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นสุขุมขึ้น แต่ยังมีรอยยิ้มสดใสเหมือนเด็กสาว ๆ ด้วยสายตาอิจฉา มองสามีที่กำลังอุ้มลูกคนใหม่…ลูกชาย…ด้วยใบหน้าภาคภูมิใจ ในอกของหญิงสาวเหมือนมีอะไรมาบีบรัดแน่นจนเหมือนจะหายใจไม่ออกไปชั่วขณะ
คนส่วนใหญ่พูดชื่นชมว่ากุ้ยเตียงเป็นภรรยาที่ดี ใจคอกว้างขวาง แต่คนใจกว้างก็ใช่จะไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย เมียที่ดีก็มีหัวใจ และหัวใจหล่อนยังเจ็บได้ยังอิจฉาได้
แม้หล่อนจะเป็นแม่ของลูกชายคนโต แต่หญิงสาวกลับรู้สึกว่าไม่เพียงพอ หล่อนยังอยากได้ลูกชายอีกสักคน อยากได้เหลือเกิน…
ทว่าต่อให้รู้สึกรวดร้าวหรืออิจฉาเพียงใด กุ้ยเตียงก็ยังคงยิ้มได้อย่างงดงาม เก็บซ่อนความรู้สึกต่าง ๆ อย่างมิดชิด ขนาดตอนที่มารดาและพี่สะใภ้แวะมาเยี่ยมด้วย ‘ความเป็นห่วง’ หญิงสาวก็ยังยิ้มรับได้อย่างสบาย ๆ หมุยเจ็งไม่ได้พูดอะไรมากแค่มองลูกสาวด้วยความเห็นใจ ผิดกับหลีมุ่ยที่ยังเคืองเรื่องที่น้องสามีเหน็บแนมไม่ไว้หน้าตั้งแต่คราวเรื่องฉื่อเพียวอยู่ จึงพูดเยาะ ๆ ว่า
“เตือนแล้วนะ ถ้าแม่เด็กนั่นยังขยันมีลูกชายอยู่แบบนี้ อนาคตอาไท่เองอาจจะลำบาก ดีไม่ดีสมบัติที่อาส่วงกับลื้อลำบากสร้างมาจะเป็นของลูกบ้านนั้นหมด”
กุ้ยเตียงพยายามทำหูทวนลม นั่งยิ้ม ๆ เงียบ ๆ แต่ซ้อใหญ่ของหล่อนไม่ยอมเลิกรา ตอกย้ำไม่หยุดว่าฉื่อไท่เป็นเด็กหัวอ่อน อีกหน่อยคงถูกน้องต่างแม่รุมกด น่าสงสารที่หัวเดียวกระเทียมลีบไม่มีน้องชายแม่เดียวกันคอยสนับสนุน ยิ่งฟังรอยยิ้มของเจ้าของบ้านก็ยิ่งแข็งค้างขึ้นทุกทีจนหมุยเจ็งทนไม่ไหวเอ่ยขึ้นว่า
“พอได้หรือยังอามุ่ย” น้ำเสียงของแม่สามีมีแววตำหนิเห็นได้ชัด แม้จะเกรงใจลูกสะใภ้คนโตแต่พอเห็นสีหน้าซีดเซียวของลูกสาวที่พยายามยิ้มแย้มแล้ว…ไม่พูดไม่เตือนไม่ได้จริง ๆ “จะลูกใครเด็กทุกคนก็พี่น้องพ่อเดียวกัน ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับการอบรมสั่งสอน ถ้าลื้อไม่สอนเด็กให้ดี ต่อให้ท้องเดียวกันโตขึ้นไปมีปัญหากันเองก็มี ตัวอย่างก็มีให้เห็น ๆ อยู่ ทุกอย่างมันอยู่ที่เรา อั๊วว่าแทนที่จะวุ่นวายเรื่องคนอื่น ดูแลครอบครัวเราให้ดีก่อนดีกว่าไหมฮึอามุ่ย”
“ม้า…” หลีมุ่ยหงุดหงิดทันที “ที่พูดมานี่หมายความว่าอั๊วดูแลลูกผัวไม่ดีหรือไง”
“ดี ลื้อดีสุดแหละ แต่เลี้ยงลูกสมัยนี้ต้องระวัง อยู่ในบ้านเราดูแลดีแต่อยู่นอกบ้านลูกเราจะเจอใครดีหรือไม่ดีด้วยไม่รู้ อั๊วว่าลื้อเอาเวลาที่จะยุ่งกับคนอื่นไปคอยดูพวกเพื่อนอาฮงกับน้อง ๆ จะดีกว่านะอามุ่ย”
“ทำไมต้องดู” ลูกสะใภ้สะบัดเสียง โกรธเพราะรู้สึกว่าถูกแม่สามีฉีกหน้า “ลูกชายอั๊วหลานชายม้าไม่โง่ แค่มันนึกสนุกประสาเด็กเท่านั้น จะอะไรกับเด็กมันกันนักกันหนานะ”
พูดแล้วหล่อนก็กระฟัดกระเฟียดบอกหมุยเจ็งว่ามีธุระขอกลับก่อน ถ้าหมุยเจ็งจะกลับบ้านที่โบ๊เบ๊ก็ให้กุ้ยเตียงไปส่ง
หลีมุ่ยกลับไปแล้ว กุ้ยเตียงก็รีบถามมารดาอย่างกังวลว่า
“ม้า เกิดอะไรขึ้น อาฮงทำอะไรหรือม้า” แม้จะไม่ค่อยชอบพี่สะใภ้เท่าไหร่ แต่หญิงสาวเอ็นดูหลานชายลูกพี่ชายทุกคน โดยเฉพาะอาฮงหลานชายคนโต ตอนอาฮงเกิดกุ้ยเตียงยังไม่ได้แต่งงาน หล่อนเลยมีโอกาสได้ช่วยเลี้ยงหลานชายคนนี้อยู่สองสามปี อาฮงเลยเป็นหลานคนพิเศษในใจหล่อน พอจับใจความจากบทสนทนาว่าอาฮงมีปัญหาก็นึกห่วงขึ้นมาทันที
“ไม่ได้ทำอะไร ๆ แค่พี่ชายลื้อเขาจับได้ว่าอาฮงแอบสูบบุหรี่ อาฮงมันว่าแค่ลองสูบเล่น ๆ กับเพื่อนดู ไม่ได้ติด พี่ชายลื้อฟังแล้วยิ่งไม่พอใจหาว่าลูกชายติดเพื่อน เอะอะอะไรก็ทำตามเพื่อน ถูกผิดไม่สนใจเลยจะทำโทษ แต่อามุ่ยออกมาปกป้องลูก สองคนผัวเมียเลยทะเลาะกันไปรอบนึง วันนี้ม้าเห็นอามุ่ยพูดมาก พูดจาเลอะเทอะ เลยพูดไปส่ง ๆ งั้นแหละ อามุ่ยจะได้เลิกหาเรื่องลื้อ”
“ม้า…” กุ้ยเตียงพูดต่อไม่ออก หญิงสาวทนวาจาปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอของพี่สะใภ้ได้ แต่คำพูดง่าย ๆ ของมารดากลับทำให้หล่อนน้ำตาซึมอย่างอดไม่อยู่ “ม้า…”
“ลื้อไม่ต้องพูดอะไร ม้าเข้าใจลื้อ” หมุยเจ็งกอดลูกสาวอย่างปลอบประโลม กระซิบบอกอย่างเชื่อมั่น “ไม่ต้องห่วงนะลื้อเป็นเด็กดีเป็นคนดี สวรรค์ต้องเมตตาลื้อแน่”
เชิงอรรถ : *เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ยานอพอลโล่ 11 นำทีมนักบินสามนายได้แก่ นีล อาร์มสตรอง บัซ อัลดรินและไมเคิล คอลลินส์ลงสู่พื้นผิวดวงจันทร์เวลา 22.56 น.ของวันที่ 20 กรกฏาคม 2512 ตามเวลาสหรัฐอเมริกาหรือเวลา 09.56 น. ของวันที่ 21 กรกฏาคม 2512 ตามเวลาประเทศไทย เหตุการณ์นี้ได้มีการถ่ายทอดสดไปทั่วโลกรวมถึงที่ประเทศไทย โดยในประเทศไทยช่อง 4 บางขุนพรหมได้ทำการออกอากาศสดโดยมีนายพิชัย วาสนาส่งเป็นพิธีกร
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 44 : ฝันสลาย
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 43 : รอยร้าว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 42 : สัญญา
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 41 : อามาลัย
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 40 : พบหน้า
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 39 : ลูกไม่มีพ่อ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 38 : หมากฝรั่งบุหรี่
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 37 : พิราบขาว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 36 : คนนอก
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 35 : ผู้ชนะ (ตอนที่ 2)
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 34 : ผู้ชนะ (ตอนที่ 1)
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 33 : คดในข้องอในกระดูก
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 32 : สัญญาที่ไม่เป็นธรรม?
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 31 : แม่ม่ายลูกกำพร้า
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 30 : ฟ้าถล่ม
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 29 : ลูกชายลูกชาย
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 28 : ไม่มีอะไรแน่นอน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 27 : เด็กน้อยของซิ่วเฮียง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 26 : สันดานคนยากจะเปลี่ยน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 25: รถจี๊ปสีเขียว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 24 : หวังดีเกินไป รักเกินไป
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 23 : เรื่องที่เข้ากันได้
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 22 : หยี่แจ้ โอ่ยแจ้
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 21 : แต่งงาน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 20 : สู่ขอ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 19 : ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 18 : เห็นขี้ดีกว่าไส้
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 17 : กระต่ายก็กัดเป็น
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 16 : เลิกกับผัวแล้ว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 15 : ปุ๋ยดีไม่ควรปล่อยให้ไหลลงนาผู้อื่น
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 14 : ลานมะเกลือ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 13 : ศาลองค์แป๊ะกง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 12 : เข้ากรุง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 11 : ส้วมที่แตกแล้ว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 10 : บ้าน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 9 : หันหลังกลับ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 8 : พยอม
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 7 : หมดสิ้น
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 6 : หาญ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 5 : วาสนา
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 4 : ดอกไม้ผ้า
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 3 : ตุ้มหูทอง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 2 : แม่ผัว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 1 : ซิ่วเฮียง