แก่นไม้หอม บทที่ 29 : ลูกชายลูกชาย

แก่นไม้หอม บทที่ 29 : ลูกชายลูกชาย

โดย : กิ่งฉัตร

แก่นไม้หอม นวนิยายออนไลน์ โดย กิ่งฉัตร ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ กับเรื่องราวที่จะทำให้คุณได้รู้ว่าผู้หญิงเป็นเมียและแม่ไม่ต่างจากแก่นไม้ที่แข็งแกร่ง มั่นคงและทรหดที่ยึดให้ใบได้แผ่กว้าง และหากโลกนี้เชื่อว่าผู้ชายเป็นใหญ่ แต่จริงๆ แล้วทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนเป็นหยินที่โอบหยางทั้งสิ้น

แม่ลูกอ่อนซิ่วเฮียงไม่รู้เรื่องความขัดแย้งในครอบครัวกุ้ยเตียงที่เกิดขึ้นในบ้านลานมะเกลือแม้แต่น้อย  หญิงสาวยุ่งอยู่กับการทำงานและเลี้ยงเด็กสามคน  ส่วงเห็นหล่อนเลี้ยงลูกให้นมลูกเองจนน้ำหนักลดอย่างรวดเร็วแล้วนึกสงสาร  ถามว่า

“จ้างคนมาช่วยดูแลลูกสักคนไหม  หรือไม่ช่วงกลางวันให้พี่เลี้ยงบ้านโน้นมารับอาเพียวไปดูแล  ลื้อจะได้ไม่ยุ่งมาก”

“ไม่ยุ่งจ้ะ  เฮียงมีเง็กซิ่มช่วยอยู่แล้ว  อีกอย่างเดี๋ยวโรงเรียนเปิดอาไช้ก็ไปเริ่มไปโรงเรียน  เลี้ยงเด็กเล็กสองคนไม่ยุ่งหรอกจ้ะ”  ซิ่วเฮียงบอกตรง ๆ เด็กอ่อนคนเด็กเล็กคนนึงยังนั่งไม่ได้ อีกคนวิ่งยังไม่แข็ง  หล่อนกับเง็กซิมรับมือได้สบาย  ไม่เหนื่อยเหมือนต้องคอยวิ่งตามฉื่อไช้ที่หันหลังให้ไม่ได้แม้แต่นาทีเดียว

ส่วงพยักหน้ารับรู้  แม้จะงานยุ่งแต่ถ้ามีเวลาเถ้าแก่หนุ่มจะอุทิศเวลาที่เหลือให้ลูก ๆ ทำให้รู้นิสัยใจคอพวกลูก ๆ ไม่น้อย  เขารู้ว่าอาไช้เป็นเด็กที่เปี่ยมด้วยพลังงาน  กระตือรือร้นไปทุกเรื่อง  ตัดสินใจทำอะไรแล้วลงมือทำทันที  ตอนเด็กอาจจะมองว่าเป็นความซุกซนแต่ตอนโตสิ่งเหล่านี้ล้วนเอื้อในการทำธุรกิจ

ฉื่อฮวงลูกสาวคนกลางเฉลียวฉลาดเป็นเด็กมุ่งมั่น  ถ้าต้องการอะไรแล้วเปลี่ยนใจยาก  ไม่ว่าจะดุหรือตีก็ไม่คิดจะเปลี่ยน  แต่ติดจะเจ้าอารมณ์   ลูกสาวคนโตฉื่อย้งยิ่งโตยิ่งเรียนเก่งมีความรับผิดชอบสูง  ทำตัวเป็นพี่สาวที่ดูแลน้อง ๆ อย่างดี  ส่วนฉื่อไท่…เฮ้อ…ลูกชายคนโตของเขา…ทั้ง ๆ ที่ตั้งความหวังไว้มาก  แต่อาไท่กลับเป็นเด็กเรื่อยเฉื่อย  ไม่ความกระตือรือร้นใด ๆ  เรียนหนังสือได้ปานกลางค่อนไปทางต่ำ  ได้ค่าขนมมาเท่าไหร่ก็ใช้หมดวันต่อวันไม่มีเก็บออม  ข้อดีของอาไท่เห็นจะเป็นเรื่องไม่รังแกน้อง  เอาเปรียบนิดหน่อยเรื่องขนมและค่าขนมแต่ไม่เคยเบียดบังค่าขนมน้องมาเป็นของตัวเอง

แต่จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปคงไม่ดีเท่าไหร่  ดังนั้นส่วงจึงวางกฏขึ้นมาเพื่อหวังกระตุ้นลูกชายคนโต

ทุกเช้าส่วงจะขับรถไปโรงงานที่สมุทรปราการโดยจะแวะส่งลูก ๆ ที่โรงเรียนก่อน  ตามปกติฉื่อไท่จะนั่งหน้าคู่กับเขา  ตำแหน่งนี้ลูกชายค่อนข้างภูมิใจบอกว่าเพราะเป็นลูกชายคนโตจึงได้นั่งหน้าคู่กับเตี่ย  แต่พอส่วงอยากดัดนิสัยลูกชาย  เขาจึงกำหนดกติกาขึ้นมาใหม่ว่าใครสอบได้คะแนนดีที่สุดถึงจะได้นั่งหน้ารถไปโรงเรียนแถมมีค่าขนมพิเศษ  คนสอบไม่ดีต้องนั่งด้านหลังไม่มีเงินพิเศษด้วย

แน่นอนว่าตามกฏนี้ตำแหน่งที่นั่งในรถย่อมเปลี่ยนทันที  ฉื่อย้งได้มานั่งหน้าคู่กับบิดา  ส่วนฉื่อไท่ถูกบังคับให้นั่งด้านหลัง

เด็กชายที่เริ่มเป็นวัยรุ่นเสียหน้าไม่พอใจแต่กลัวเตี่ยดุจึงได้แต่แสดงอาการฮึด ๆ ฮัด ๆ ไปตลอดทาง  เย็นนั้นกลับถึงบ้านฉื่อไท่ก็ฟ้องมารดาเรื่องถูกบิดาไล่ไปนั่งรถด้านหลัง

“แถมเตี่ยยังให้เงินอาย้งพิเศษสามบาท…วันละสามบาทเลยนะม้า  ม้า…ช่วยอั๊วหน่อย  ม้าบอกเตี่ยให้อั๊วนั่งหน้าเหมือนเดิมได้ไหม  อั๊วไม่อยากนั่งหลังรถเหมือนผู้หญิง  ตอนจอดหน้าโรงเรียนเพื่อน ๆ มันมอง  อั๊วไม่ชอบ”

อันที่จริงใครจะนั่งหน้านั่งหลัง…ไม่มีเพื่อนคนไหนสนใจ  มีแต่ฉื่อไท่ที่คิดไปเองทั้งนั้น  และที่คิดแบบนั้นเพราะใจยอมรับไม่ได้ว่าตำแหน่งที่นั่งตอกย้ำว่าเขาแพ้น้องสาวเรื่องการเรียน

กุ้ยเตียงนั้นตามใจลูกชายคนโต  ฉื่อไท่ขออะไรหรืออยากได้อะไรหล่อนแทบไม่เคยขัด  แต่หญิงสาวก็ให้ความสำคัญของการศึกษามาก  ลูก ๆ หล่อนเรียนโรงเรียนไทยไม่ได้เรียนชั้นประถมที่โรงเรียนจีนเหมือนหลาน ๆ ที่บ้านโบ๊เบ๊เพราะส่วงนั้นมองการณ์ไกล  เขาเลือกโรงเรียนที่มีทั้งชั้นประถมและมัธยมต้นรวมอยู่ด้วยกันและเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงให้ลูกชาย  ตอนฝากเข้าเสียค่าแป๊ะเจี๊ยะไปเป็นหมื่น  แต่เถ้าแก่หนุ่มก็ยิ้มแย้มยินดีจ่าย  บอกว่าจ่ายครั้งเดียวไม่ต้องเสียเวลาหาโรงเรียนใหม่ตอนอาไท่ขึ้นชั้นมัธยม  อีกอย่างโรงเรียนนี้ดี  มีแต่ลูกข้าราชการและคหบดีเรียนอยู่  ส่งลูกเรียนที่นี่ก็เท่ากับปูทางอนาคตเรื่องเพื่อนฝูงให้ลูกชายคนโต

แต่ปัญหาของโรงเรียนดี ๆ ทั้งหลายคือรายงานผลการศึกษามาในแบบสมุดพกภาษาไทย

กุ้ยเตียงเองอ่านเขียนภาษาไทยไม่ได้เลย  ทุกครั้งที่ได้รับผลการเรียนของลูก ๆ หญิงสาวจึงให้สามีอ่านผลและความคิดเห็นของครูให้ฟังเสมอ  ถ้าส่วงไม่สะดวกหล่อนก็จะหาคนงานที่อ่านภาษาไทยได้อ่านให้ฟัง  หญิงสาวจึงรู้ว่าผลการเรียนของลูกชายคนโตแย่ขนาดไหน

ดังนั้นต่อให้รักและตามใจแค่ไหน  กุ้ยเตียงก็ไม่ยอมขัดแย้งกับสามีเรื่องนี้เด็ดขาด  หล่อนสอนลูกชายว่า

“แทนที่จะให้ม้าช่วย  ลื้อช่วยตัวเองก่อน  ตั้งใจเรียนให้ดี ๆ สอบให้ได้ที่หนึ่ง  เตี่ยลื้อจะได้ภูมิใจ  ทีนี้อย่าว่าแต่ที่นั่งหน้ารถเลย  ลื้อจะขออะไรก็ได้”

ฉื่อไท่เบ้ปากบ่นว่า

“ที่หนึ่งยากจะตายไป”

“แล้วทำไมอาย้งทำได้”

“ก็…ก็ห้องเรียนอาย้งมีแต่คนเรียนไม่เก่ง  อาย้งก็ได้ที่หนึ่งสิม้า  ส่วนห้องอั๊วมีแต่คนเก่ง ๆ  ครูสอนอะไรมาก็เข้าใจหมด  มีแต่อั๊วที่ตามไม่ค่อยทันแล้วอย่างนี้จะสอบได้ที่หนึ่งได้ยังไง  ทุกวันนี้ไม่ต้องเรียนซ้ำชั้นก็ดีแค่ไหนแล้ว”

แม้พอเดาได้ว่าลูกชายหาข้ออ้างแก้ตัว  แต่กุ้ยเตียงก็อดกังวลไม่ได้

“แล้วจะเอายังไง  ให้ม้าหาครูพิเศษไหม  อ่อนวิชาไหนเรียนไม่ทันครูวิชาไหนก็หาครูมาสอนวิชานั้น”

สีหน้าฉื่อไท่เหมือนถูกผีหลอก  ขืนทำอย่างม้าว่านอกจากวิชาพละแล้วมีหวังต้องเรียนพิเศษทุกวิชาเลยกระมัง  คิดแล้วเขาส่ายหน้าดิกบ่นว่า

“โอ๊ย  อย่ายุ่งยากเลยม้า  แค่ที่นั่งหน้ารถ  อั๊วไม่นั่งแล้วก็ได้”  พูดจบเด็กหนุ่มก็วิ่งหนีไปเสียดื้อ ๆ อย่างนั้น  ผู้เป็นแม่เลยได้แต่ถอนใจยาว  ห่วงแต่ไม่กังวลอะไรมากนัก  คิดแต่ว่าลูกยังเด็กยังมีเวลาเติบโตและเรียนรู้ก่อนจะรับช่วงงานต่อจากส่วง  เด็กเรียนไม่เก่งแต่ทำงานเก่งมีให้เห็นถมไป…

อีกอย่างหล่อนเชื่อว่าสามีสามารถสอนลูกชายได้  ส่วงเป็นคนเก่งเขาต้องสอนลูกให้เก่งเหมือนเขาได้อย่างแน่นอน

น่าเสียดายที่ว่าบทเรียนแรกของฉื่อไท่ดำเนินไปได้แค่เทอมเดียว  พอฉื่อแชเกิดได้ไม่นาน…ฉื่อไช้อายุได้ห้าขวบก็ถูกส่งไปเรียนหนังสือพร้อมกับพวกพี่ ๆ  อาไช้เป็นเด็กซุกซนนั่งนิ่งไม่ค่อยได้  ฉื่อย้งพี่สาวที่ค่อนข้างรักเอ็นดูน้องชายคนนี้มากเลยตัดสินใจขอย้ายกลับไปนั่งที่นั่งด้านหลังเพื่อช่วยดูแลน้อง

ฉื่อไท่ที่หน้าตายิ้มแย้มถูกใจเลยกลับไปยึดครองที่นั่งด้านหน้าตามเดิม

ส่วงทำอะไรไม่ได้  ทำได้แค่บ่นให้ซิ่วเฮียงฟัง  เขาบ่นกับกุ้ยเตียงไม่ได้เพราะรายนั้นหาเหตุผลเข้าข้างลูกชายคนโตตลอด  บอกว่าเด็กผู้ชายก็เป็นแบบนี้  โตขึ้นรู้ความแล้วก็มีความรับผิดชอบเองขยันขันแข็งเอง

“อายุสิบสามจะสิบสี่อยู่แล้วยังเรียกเด็กได้อีกหรือ  ตอนนี้ไม่ขยันไม่รับผิดชอบเรียนไม่ดีไม่ใฝ่รู้…จะให้โตอีกสักเท่าไหร่ถึงจะรู้ความ  ตอนอั๊วอายุเท่าอาไท่อั๊วขายของข้างถนนหาเงินเลี้ยงตัวเองได้แล้ว  ถ้านิสัยเหยาะแหยะอย่างมันมีหวังอดตายไปนานแล้ว”

ซิ่วเฮียงยิ้มเอาใจ  พูดว่า

“ไม่เหมือนกันนี่จ๊ะ  คนอพยพหนีสงครามกับลูกเถ้าแก่จะมาเทียบกันได้ยังไง  อีกอย่างตอนนี้อาไท่ก็ยังเด็กจริง ๆ  ไม่มีความจำเป็นบังคับให้ต้องโตเหมือนสมัยเถ้าแก่ยังเด็ก  เถ้าแก่คงต้องให้เวลาอาไท่หน่อย  พอโตกว่านี้ค่อยสอน  เฮียงเชื่อว่าเมล็ดพันธุ์ที่ดีปลูกที่ไหนก็งามจ้ะ  เถ้าแก่เป็นคนเก่งหยี่แจ้ก็เก่ง  ลูก ๆ ทุกคนต้องเก่งตามเตี่ยกับม้าแน่จ้ะ”

“เอาเถอะ  ลองดูอีกสักสองสามปี  ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ก็ไม่ต้องเรียนออกมาทำงานแทนแล้วกัน”

ปากว่าเหมือนปลงตก  แต่ในใจส่วงก็คาดหวังว่าอนาคตของลูกชายจะเป็นเหมือนม้าและเฮียงแจ้ของเขาว่า  ยามเด็กยังไม่รู้ความเติบใหญ่จึงมีปัญญามั่นคง…

ในระหว่างที่ส่วงเริ่มกังวลเกี่ยวกับลูกชายคนโตของเขา  ซิ่วเฮียงก็กังวลใจลึก ๆ เกี่ยวกับลูกชายคนโตของหล่อนเช่นกัน  เกือบสิบปีที่ผ่านมาหญิงสาวพยายามรับหาญมาอยู่ด้วยตลอด  แต่ความตั้งใจทุกครั้งล้มเหลวด้วยสาเหตุต่าง ๆ นา ๆ  ตอนนี้หล่อนมั่นใจแล้วว่าชีวิตที่กรุงเทพฯมั่นคงพอ  วาสนาหายหน้าไปเลยไม่มารบกวนอีก  ซิ่วเฮียงเริ่มคลายกังวลและมีความคิดที่จะรับลูกชายคนโตมากรุงเทพฯอีกครั้ง

หญิงสาวกลับไปสุพรรณให้เหตุผลกับเตี่ยว่า

“เตี่ย…อาหั่งโตขึ้นทุกวัน  ให้เข้าไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯดีกว่าไหม  โรงเรียนที่นั่นดีกว่าที่นี่เยอะ  ทันสมัยกว่า  อยู่กรุงเทพฯจะสอบเอ็นเข้ามหา’ลัยก็ง่ายกว่าด้วย  ส่วนเรื่องเหงาเตี่ยไม่ต้องกลัว  อาเส่งเรียนอีกสองปีก็จบแล้ว  ตอนใช้ทุนก็ว่าจะขอมาอยู่ทางนี้  อาเซียงเรียนจบแล้วเรียนต่อวิทยาลัยครูแถวนี้ไม่ได้ไปไหนไกล  เตี่ยกับม้าไม่เหงาแน่จ้ะ”

หลีกังลังเล  ไม่ใช่คล้อยตามเรื่องเหงาไม่เหงาที่ลูกสาวคนโตว่า  แต่เพราะรักและเป็นห่วงหลานนอกอย่างหาญจากใจจริง  เขาเห็นด้วยว่าโรงเรียนในกรุงเทพฯดีกว่าโรงเรียนแถวบ้าน  รู้ด้วยว่าถ้าอยากให้หลานได้ดีก็ควรปล่อยมือจากหาญ  ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าตกลง

“เอามันไปก็ดูมันดี ๆ หน่อยล่ะ  อย่าให้ใครเขากลั่นแกล้งรังแกมันได้”

ซิ่วเฮียงดีใจยิ้มจนดวงตายิบหยีรีบบอกว่า

“เฮียงอยู่เส่งก็อยู่  ใครจะกล้ารังแกหลานเตี่ยกันละจ๊ะ  ถ้าเตี่ยตกลงงั้นจบปอสามเมื่อไหร่ให้ไปต่อปอสี่ที่โน่นเลยนะจ๊ะ  เฮียงจะไปติดต่อโรงเรียนไว้”

อากงของหาญทำเสียงอืม…เหมือนไม่เต็มใจเท่าไหร่  แต่นั่นก็ดีที่สุดในความรู้สึกของซิ่วเฮียงแล้ว

น่าเสียดายที่สุดท้ายแม้จะผ่านด่านหลีกังได้  แต่หาญที่ตอนนี้เป็นเด็กน้อยผิวขาวหน้าตาดีเป็นเดือนเด่นในโรงเรียนกลับต่อต้านอย่างรุนแรง  แม้ความรู้สึกโหยหามารดาที่แวะมาเยี่ยมสองเดือนครั้งจะยังไม่ลดลงแต่ความรู้สึกต่อต้าน  ความเจ็บปวดที่ฝังใจว่าถูกทอดทิ้งถูกกีดกันมีมากกว่า  เขาจึงพยศโวยวายไม่ยอมย้ายไปอยู่กับม้าที่กรุงเทพฯ  ใจนั้นอยากเหลือเกินแต่ปากแข็งดื้อดึงไม่ยอมไป  บอกแต่ว่าไม่อยากย้ายโรงเรียนไม่อยากเปลี่ยนเพื่อน  ไม่อยากจากอากงอาม่า…

หาญร่ำร้องแต่ใจเรียกร้อง…ง้อหั่งเถอะม้า   คะยั้นคะยออีกสักนิด  บังคับอีกสักหน่อยก็ได้แล้วหั่งจะไปกับม้า  จะไปอยู่กับม้าและน้อง ๆ ที่กรุงเทพฯ

หั่งจะไป…

ทว่าเมื่อแสดงอาการไม่อยากตั้งแต่แรก  เด็กชายก็ต้องแสดงต่อทั้งตะบึงตะบอนทั้งพร่ำบอกว่าไม่อยากไป  เทอมหน้าครูบอกว่าจะให้เป็นคนเชิญธงชาติตอนเช้า  ถ้าย้ายไปโรงเรียนใหม่เพื่อน ๆ ที่นี่จะทำยังไง…

แสดงไปแสดงมาพวกผู้ใหญ่ก็เชื่อกันสนิท  เซียมลั้งทั้งสงสารและหวงหลาน  ยังอยากให้หลานอยู่ใกล้ ๆ ตัวจริงเอ่ยว่า

“ตอนนี้อาหั่งติดเพื่อนติดครูที่โรงเรียน  ย้ายโรงเรียนตอนนี้ถ้ามันเข้ากับเพื่อนใหม่โรงเรียนใหม่ไม่ได้หั่งมันไม่หงอยแย่หรือ  ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว  ลื้อก็รออีกสักสองสามปี  รอให้อาหั่งมันจบประถมก่อนแล้วค่อยไปต่อมัธยมที่กรุงเทพฯแล้วกัน”

หาญที่ถูกอาม่าดับฝันหันขวับไปมองมารดา  ในใจวิงวอนให้ม้าไม่สนใจคำของอาม่าแล้วสั่งให้เขาไปกรุงเทพฯกับม้า  แต่น่าเสียดายที่ซิ่วเฮียงกลับตีความท่าทางของเขาว่าเห็นด้วยกับคำพูดของเซียมลั้ง  หญิงสาวเลยพูดอะไรไม่ออก  ได้แต่ถามเสียงอ่อนว่า

“อาหั่งยังไม่อยากไปอยู่กับม้าหรือลูก”

อาหั่งไม่ทันตอบ  อากงก็ตอบแทนว่า

“เห็นอยู่ว่าเด็กมันยังอยากอยู่บ้าน  ให้อยู่ต่ออีกสักสองปีเถอะ  จบประถมที่นี่แล้วค่อยเข้าไปเรียนมัธยมที่กรุงเทพฯ  ถึงตอนนั้นอาหั่งก็สิบเอ็ดสิบสองแล้ว  โตแล้วไม่มีใครรังแกได้”

“ไม่มีใครรังแกอาหั่งหรอกเตี่ย  เชื่อเฮียงสิ”  ซิ่วเฮียงบอกอย่างอ่อนใจ  ก่อนหันไปมองหน้า

ลูกชายถอนใจยาวอย่างพ่ายแพ้  “ถ้าอาหั่งยังอยากอยู่สุพรรณก็อยู่ต่ออีกสักหน่อย  ไว้จบประถมแล้วต้องไปอยู่กับม้าที่กรุงเทพฯนะลูก”

หาญก้มหน้า  น้อยใจผิดหวังจนน้ำตาแทบจะหยดออกมา…

 

ระหว่างที่ส่วงและซิ่วเฮียงต่างกังวลถึงลูกชายคนโตของแต่ละฝ่าย  กุ้ยเตียงก็มีข่าวดีอีกครั้ง  หมุยเจ็งรู้ข่าวเข้าก็รีบมาให้กำลังใจลูกสาว  บอกว่า

“ท้องนี้น่าจะลูกชายแล้ว  มีลูกสาวมาตั้งสามคน  ลูกชายคงมาคราวนี้แหละ”

“อั๊วไม่หวังมากแล้วม้า”  อันที่จริงต้องพูดว่าไม่อยากหวังแล้ว  เพราะยิ่งหวังมากยิ่งผิดหวังหนัก

“ขอแค่ลูกเกิดมาแข็งแรงปลอดภัยก็พอ”

“แข็งแรงแล้วต้องเป็นผู้ชายด้วย”  หมุยเจ็งตบหลังมือลูกสาวอย่างปลอบโยน  จากนั้นก็เจ้ากี้เจ้าการพากุ้ยเตียงไปตระเวณไหว้พระขอให้เด็กในท้องเป็นลูกชาย

แรก ๆ หลีมุ่ยก็ตามแม่สามีกับน้องสามีไปไหว้พระบ้าง  ไปด้วยบางทีก็พูดดีบางทีก็พูดไม่ถูกหูสักเท่าไหร่  ชอบเปรียบเทียบระหว่างกุ้ยเตียงกับซิ่วเฮียง  แอบยุยงให้น้องสามีรู้สึกขัดแย้งเกลียดชังเมียอีกคนของส่วง

โชคดีที่กุ้ยเตียงไม่หลงคารมพี่สะใภ้  แถมยังรู้สึกรำคาญเสียด้วยซ้ำที่ฝ่ายนั้นเกาะติดไม่ยอมห่าง

แต่พอหล่อนท้องเริ่มใหญ่เริ่มเดินอุ้ยอ้าย  จู่ ๆ หลีมุ่ยที่ตามติดไม่เลิกไม่รากลับหายหน้าไป  หมุยเจ็งเองก็มีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก  กุ้ยเตียงต้องซักอยู่พักใหญ่กว่ามารดาจะยอมเปิดปาก  เริ่มต้นม้าหล่อนออกตัวว่า

“ไม่อยากให้ลื้อรู้  คนกำลังท้องกำลังไส้ไม่อยากให้มีเรื่องกวนใจ”

“เล่าเถอะม้า  มาปิด ๆ แบบนี้อั๊วยิ่งไม่สบายใจ  เตี่ยหรือเฮียไม่สบายหรือม้า”

“ไม่ใช่  ไม่ใช่  ไม่ใช่เรื่องเตี่ยกับเฮียลื้อ  เฮ้อ  อาฮงหลานลื้อน่ะ…ไปทำผู้หญิงท้อง  ผู้หญิงก็เป็นเพื่อนที่โรงเรียนนั่นแหละ”

“ไฮ้…อาฮงอายุเท่าไหร่กันม้า  ยังไม่สิบหกเลยไม่ใช่หรือ”

“เพิ่งสิบหกไปเมื่อเดือนก่อน  เด็กผู้หญิงนั่นก็อายุเท่ากัน  มันว่ามันรักกัน  เฮ้ย…”  หมุยเจ็งถอนใจแล้วถอนใจอีก  “ซ้อลื้อนี่เต้นเหมือนเจ้าเข้า  อยากให้ลูกเข้าเรียนมหา’ลัย ไม่อยากให้มีเมียตั้งแต่อายุเท่านี้”

“ไม่อยากแล้วจะทำยังไง  ผู้หญิงเขาท้องแบบนี้  หรือว่าซ้ออยากจะให้เอาเด็กออก”

“อามุ่ยคิดอยู่เหมือนกัน  แต่พ่อแม่ผู้หญิงไม่ยอม  เด็กนั่นท้องหลายเดือนแล้วอาจจะไล่ ๆ กับลื้อน้อยกว่าอย่างมากก็เดือนสองเดือน  แต่ท้องสาวเลยยังเห็นไม่ชัด  พ่อแม่เขากลัวว่าทำแท้งแล้วแม่เด็กจะแย่เอาเลยห้ามไว้ไม่ให้ทำ  อีกอย่างพ่อแม่ทางนั้นก็เหมือนซ้อกับเฮียลื้อ  ยังอยากให้ลูกเรียนหนังสือไม่อยากให้มีลูกมีผัวตอนนี้”

“อยากหรือไม่อยากแล้วจะทำยังไงได้ล่ะม้า  เด็กมันจะออกมาอยู่แล้ว”  กุ้ยเตียงยกมือทาบท้องตัวเองอย่างอดไม่อยู่

“คุยกันแล้วว่ารอให้คลอดก่อนแล้วค่อยดูว่าจะยกให้ใครเลี้ยง  แต่ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่เด็ก  มันอยู่ที่หลานลื้อ  ดื้อนักอยากจะแต่งเมียให้ได้  ซ้อลื้อถึงได้กลุ้มใจมัวแต่คิดหาทางห้ามลูกชายจนแทบไม่ได้ทำงานทำการอะไร”

“เด็กวัยนี้รักแรง  ไม่ฟังเหตุผล  อาฮงก็ถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก  ห้ามกันยากอยู่นะม้า”

“อั๊วก็ห่วงอยู่  กลัวยิ่งห้ามมันยิ่งเตลิด”  หมุยเจ็งเอ่ยอย่างเข้าใจหลานชายตัวเองดี  “ตอนนี้คงต้องปล่อยไปก่อนรอเด็กคลอดแล้วว่ากันอีกทีว่าจะทำยังไง  ส่วนลื้อเองก็ดูแลตัวเองดี ๆ ก่อน  พอคลอดหลานชายให้อั๊วแล้วค่อยไปช่วยซ้อลื้อหาทางแก้เรื่องอาฮง”

กุ้ยเตียงพยักหน้า  แต่ว่ากันตามตรงต่อให้ไม่ท้องใหญ่อย่างนี้…หล่อนเองก็ไม่รู้จะช่วยแก้ปัญหาให้หลีมุ่ยอย่างไรเหมือนกัน

หลังจากรู้ข่าวเรื่องหลานชายได้ไม่ถึงสามเดือนกุ้ยเตียงก็คลอดลูกคนที่ห้า  คราวนี้หญิงสาวได้ลูกชายสมใจ  ใบหน้างามของหญิงสาวจึงมีแต่รอยยิ้ม  ดวงตาเป็นประกายอย่างมีความสุข   อาจจะเป็นเพราะรอมานานเหลือเกิน…ลูกชายคนนี้จึงเหมือนอยู่ใกล้หัวใจหญิงสาวมากที่สุด  หล่อนอุ้มลูกเฝ้ามองได้ตลอดเวลาไม่รู้สึกเบื่อหรือเหน็ดเหนื่อยเลย

ส่วงเองก็มีความสุขที่ได้ลูกชายเพิ่มขึ้นมาอีกคน  เขาตั้งชื่อลูกชายคนนี้ว่ากก  ที่แปลว่าประเทศ  ส่วนชื่อไทยคือวิชิต  ตั้งให้ลูกคนเล็กแล้วเถ้าแก่หนุ่มก็บอกกับกุ้ยเตียงว่า

“น้อง ๆ มีชื่อไทยกันทุกคน  ขาดแต่อาไท่กับอาย้ง  อั๊วไปให้หลวงพ่อท่านดูให้แล้ว  ท่านว่าให้อาไท่ชื่อวิโรจน์  ชีวิตจะได้รุ่งเรืองเป็นที่พึ่งของน้อง ๆ  ส่วนอาย้งชื่อสุภัทรา  ไว้ตอนไปแจ้งชื่ออากกที่อำเภอ อั๊วจะเปลี่ยนชื่ออาไท่กับอาย้งไปด้วยเลย  ว่าแต่ลื้ออยากมีชื่อไทยกับเขาด้วยไหมอาเตียง”

กุ้ยเตียงส่ายหน้าทันที

“ไม่เอา  เขียนไม่เป็น  เรียกไม่หัน  ไม่รู้จะเปลี่ยนไปทำไม”

แต่ส่วงที่กำลังอารมณ์ดีไม่ฟังคำห้ามของภรรยา  เขาไปปรึกษากับอาเส่งที่พูดเขียนอ่านใช้ภาษาไทยได้คล่องสุดในบ้าน  สุดท้ายก็ได้ชื่อเกษรและกฤษณามาให้กุ้ยเตียงกับซิ่วเฮียง  หญิงสาวทั้งสองเรียกชื่อไทยเย้าแหย่กันอยู่พักหนึ่ง  แต่สุดท้ายก็กลับมาใช้กุ้ยเตียงกับซิ่วเฮียงเหมือนเดิม  ส่วนส่วงที่วิ่งหาชื่อไทยให้คนนั้นคนนี้…ตัวเองกลับไม่ยอมเปลี่ยนชื่อเป็นไทยโดยไม่ยอมให้เหตุผลใด ๆ เสียอย่างนั้น

หลังจากกุ้ยเตียงคลอดลูกชายคนเล็กได้เดือนเดียว  อาฮงหลานชายคนโตของหล่อนก็ได้ลูกสาวคนแรก  หลีมุ่ยที่หายหน้าไปนานแวะมามอบของขวัญครบเดือนให้วิชิตเล่าอย่างยิ้มย่องผ่องใสว่า

“ลื้อต้องเห็นหลานสาวลื้อ  เด็กอะไรไม่รู้น่ารักน่าชังปากนิดจมูกหน่อย  น่าเอ็นดูเหลือเกิน”

กุ้ยเตียงแปลกใจจริง ๆ ตอนแรกหลีมุ่ยมีท่าทางเหมือนไม่แยแสหลานคนนี้เลย  ท่าทีเหมือนว่าลืมได้คงลืมไปแล้วว่าลูกชายกำลังจะมีลูก  แถมนี่…คลอดออกมาเป็นผู้หญิง  ทำไมซ้อหล่อนถึงได้เปลี่ยนท่าทีได้เร็วนัก

“ซ้อ  เห็นม้าบอกว่าซ้อจะรับเด็กไว้เองหรือ”

“ใช่  อั๊วรับ…อั๊วกับเฮียลื้อเลี้ยงเอง  ให้จดชื่อเป็นลูกอั๊วกับอาทงด้วย  ต่อไปทางโน้นไม่มีสิทธิห้ามเลยไม่ให้มายุ่ง”

“แน่ใจหรือซ้อ…”

“แน่สิ  ลื้อไม่รู้อะไรเด็กคนนี้กับอั๊วถูกชะตากันเหลือเกิน  ตอนแรกก็ว่าจะไม่เอานะจะยกให้คนอื่นเขาไปเลย  แต่พออุ้มขึ้นมาเท่านั้นแหละ  เด็กมันยิ้มให้อั๊ว”

“ซ้อ  เด็กเพิ่งเกิดยิ้มเป็นเสียที่ไหน”

“คนอื่นไม่เป็นคนนี้เป็น”  หลีมุ่ยบอกอย่างเชื่อจริงจัง  “แล้วทำไมไม่รู้ยิ่งดูยิ่งถูกชะตายิ่งรัก  อั๊วเลยไม่ยกให้ใครแล้ว  เอาไว้เองนี่แหละ”

เรื่องนี้หมุยเจ็งมากระซิบทีหลังว่า

“จะไม่ถูกชะตายังไง  เด็กมันหน้าเหมือนอามุ่ย  คิ้วตาจมูกลอกกันออกมาเด๊ะ ๆ  ไอ้ที่คิดว่าจะหาบ้านให้ไม่ยอมให้เลี้ยง  กลายเป็นว่าเลี้ยงเองไม่ยอมให้ฝั่งแม่เด็กเข้ามายุ่งเลย”

“ก็ดีนะม้า  เด็กมันโชคดีถึงจะไม่ได้อยู่กับพ่อแม่แต่ก็อยู่ในสายตา  ไม่ต้องไปอยู่กับคนแปลกหน้าเขาจะดีจะร้ายด้วยก็ไม่รู้”  กุ้ยเตียงมองในแง่ดีไว้ก่อน

แต่นั่นเป็นเรื่องภายหลัง  ตอนนี้…อาม่าที่เปลี่ยนตัวเองเป็นม้าของเด็กหญิงเพิ่งเกิดกำลังมอง

ฉื่อกกอย่างสนอกสนใจ  เพราะผู้ให้กำเนิดหน้าตาดีดังนั้น…แม้จะอายุแค่เดือนเดียวก็มองเห็นเค้าว่าหนูน้อยต้องเติบโตมาหน้าตาหล่อเหลา  ท่าทางของกุ้ยเตียงที่มีต่อลูกชายคนเล็กก็เห็นชัดว่ารักใคร่เอ็นดูเป็นพิเศษ  เห็นชัดว่าอนาคตเด็กน้อยต้องรุ่งโรจน์แน่  ดังนั้นยิ่งมองหลีมุ่ยซึ่งถือคติว่าไม่ปล่อยปุ๋ยดีลงนาผู้อื่นก็เกิดความคิด  เสนอขึ้นว่า

“ว่าไปแล้วเด็กสองคนนี่ถือว่ามีวาสนาต่อกันนะ  เกิดห่างกันเดือนเดียว  หน้าตาดีคล้ายกันดูแล้วโหวงเฮ้งดีเหมือนกันด้วย  อั๊วว่าจับเด็กสองคนหมั้นกันไว้ก่อนเลยดีไหมอาเตียง”

กุ้ยเตียงที่กำลังยกกาน้ำชาออกจากถังบุนวมตกใจจนแทบปล่อยกาหล่นจากมือ

“เพ้ย  คิดอะไรแบบนั้นซ้อ  เด็กสองคนนี่ญาติกันนะ  เห็นเขาว่าเลือดชิดมันจะไม่ดี”

“ลูกพี่ลูกน้องเขาแต่งงานกันออกถมไป  ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย  แล้วนี่ห่างกันอีกขั้นแล้วด้วย  คิดดูนะอาเตียงถ้าจับคู่เด็กสองคนนี่  เราจะได้สบายใจญาติกันรู้จักกันดี  ไม่ต้องห่วงว่าจะได้คนไม่ดีหรือต้องไปดองกับบ้านที่ฐานะสู้เราไม่ได้…”

ก็เพราะรู้จักกันดีนี่แหละยิ่งต้องเป็นห่วง…ม้าของเด็กน้อยที่ถูกจ้องตาเป็นมันนึกในใจ  จากนั้นก็เลี่ยงไปว่า

“ซ้อ  เด็กสองคนเพิ่งเกิด  อย่าเพิ่งคิดอะไรไปไกลเลย  รอให้โต ๆ กันก่อนดีกว่า”

“ไม่รู้ล่ะ  ลูกชายคนเล็กคนนี้ของลื้ออั๊วจองให้ลูกสาวอั๊ว”  หลีมุ่ยสรุปตามความต้องการของตัวเอง

กุ้ยเตียงยิ้มเย็น  วางกาน้ำชากลับลงในถังบุนวมตามเดิม  ไม่รงไม่รินให้แล้ว  พี่สะใภ้บ้าประสาทกลับแบบนี้…จู่ ๆ ก็คิดมายึดลูกชายหล่อน  อยากได้อากกไปเป็นเขยก็รอให้หล่อนตายก่อนแล้วกัน!

 



Don`t copy text!