แก่นไม้หอม บทที่ 30 : ฟ้าถล่ม

แก่นไม้หอม บทที่ 30 : ฟ้าถล่ม

โดย : กิ่งฉัตร

แก่นไม้หอม นวนิยายออนไลน์ โดย กิ่งฉัตร ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ กับเรื่องราวที่จะทำให้คุณได้รู้ว่าผู้หญิงเป็นเมียและแม่ไม่ต่างจากแก่นไม้ที่แข็งแกร่ง มั่นคงและทรหดที่ยึดให้ใบได้แผ่กว้าง และหากโลกนี้เชื่อว่าผู้ชายเป็นใหญ่ แต่จริงๆ แล้วทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนเป็นหยินที่โอบหยางทั้งสิ้น

ตอนอากกเกิดจั๊กคุ้งไม่ได้ขึ้นมากรุงเทพฯ เหมือนตอนซิ่วเฮียงคลอดอาแช  แต่เขาก็ยังฝากกำไลข้อเท้ามาให้หลานชายคนใหม่คู่หนึ่งพร้อมคำอวยพร  ตบท้ายด้วยคำชื่นชมว่าส่วงนั้นวาสนาดีมีลูกเต็มบ้านอีกหน่อยก็มีหลานเต็มเมือง  ก้าวหน้าทั้งการงานและครอบครัว

ส่วงยิ้มกว้างถูกใจ  ชายหนุ่มเขียนจดหมายตอบขอบคุณน้าเขยอย่างสุภาพ  จากนั้นช่วงเช้าเขามองลูกๆ รุ่นโตที่วุ่นวายกินข้าวเช้าก่อนเตรียมไปโรงเรียน  ส่วนพวกรุ่นเล็กมีพี่เลี้ยงคอยดูแล  แต่พอมาอยู่รวมกันก็ดูวุ่นวายไม่น้อย  มองแล้วก็ตัดสินใจว่าบ้านลานมะเกลือชักจะคับแคบไปหน่อยแล้ว  ตอนนี้มีเด็กเจ็ดคนห้องกินข้าวก็แน่นไปหมด  อีกหน่อยถ้ามีคนที่แปดคนที่เก้า…ห้องมิแตกเลยหรือ  ยังห้องนอนอีก  ตอนนี้บ้านสองหลังยังพออยู่ได้แต่อนาคตเด็กๆ โตขึ้นห้องนอนคงไม่พอ

ที่สำคัญตอนนี้บ้านลานมะเกลือมีรถสองคัน  คันหนึ่งเขาใช้ขับไปส่งลูกและไปทำงานที่โรงงาน  ส่วนรถคันเล็กพร้อมคนขับมีไว้สำหรับรับส่งกุ้ยเตียงไปร้านสะพานหันและรับเด็กๆ กลับบ้านหลังเลิกเรียน  รถทั้งสองคันต้องอาศัยจอดที่ลานวัด  ช่วงที่วัดมีงานบุญหรืองานเทศกาลก็ต้องย้ายรถออกไปที่อื่น  ส่วงอยากได้บ้านหลังใหญ่เป็นของตัวเอง  บ้านที่ไม่ต้องสร้างบนที่เช่าของกรมธนารักษ์  บ้านที่มีห้องหับพอสำหรับลูกๆ เจ็ดคนที่มีและคนอื่นๆ ที่อาจจะมีตามมา  บ้านที่มีพื้นที่พอจะจอดรถหลายๆ คันได้

สรุปคือส่วงอยากได้บ้านหลังใหญ่สักหลังบนที่ดินที่เป็นชื่อของเขาเอง

คืนวันที่ฉื่อกกอายุได้สองเดือนชายหนุ่มก็ปรึกษากับกุ้ยเตียงเรื่องหาบ้านใหม่ให้ครอบครัว  หญิงสาวที่กำลังให้นมลูกไม่ประหลาดใจนักเพราะสามีเปรยหลายครั้งแล้วว่าถึงบ้านลานมะเกลือจะมีที่กว้างขวางแต่การเข้าออกไม่สะดวก  เวลาหล่อนปวดท้องคลอดลูกก็ต้องประคองกันเดินจากบ้านไปลานวัดด้านนอก  หรือตอนเด็กน้อยเจ็บป่วยต้องอุ้มกระเตงกันไปทุลักทุเลพอสมควร  ที่ร้ายสุดคือหลังๆ เกิดเหตุเพลิงไหม้ที่ชุมชนแออัดหลังลานมะเกลือบ่อยครั้ง

สองสามครั้งที่ไฟเหมือนใกล้เข้ามามาก  เด็กๆ กับของมีค่าถูกขนไปรวมกันที่ลานวัดซึ่งสับสนวุ่นวายเต็มไปด้วยคน  ส่วนส่วงกลับมาบ้านลานมะเกลือ  ยืนมองไฟที่โหมลุกในความมืดจากหน้าต่างห้องนอนชั้นสองอย่างกังวล

กุ้ยเตียงยังจำภาพแผ่นหลังของสามีที่ระแวดระวังกับไฟสีแดงจ้าควันสีเทาพุ่งสูงไปบนท้องฟ้าสีดำสนิทได้ติดตา  และไม่ประหลาดใจถ้าส่วงอยากจะย้ายออกจากที่นี่

อีกอย่างหญิงสาวรู้จักสามีดี  เห็นเขามาปรึกษายิ้มๆ แบบนี้หมายความว่าเขาตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว  และอาจจะเริ่มดูที่ดูทางไว้แล้วด้วย  หล่อนจึงถามว่า

“มองที่แปลงไหนไว้ล่ะ”

ส่วงยิ้มกว้างเฉลยว่า

“ที่เกือบไร่อยู่แถวๆ โรงงานนั่นแหละ  ตอนนี้ราคายังพอรับไหวเพราะที่มันอยู่ลึกจากถนนใหญ่ไปพอสมควร  แต่อั๊วได้ข่าวว่าจะมีการตัดถนนผ่านแถวนั้น  ซื้อแล้วกว่าจะลงมือปลูกบ้านได้ก็คงพอดีกับถนนตัดผ่าน  ลื้อว่างวันไหนไปดูที่กัน”

กุ้ยเตียงก้มมองลูกชายคนเล็กในอ้อมแขน  ตัดสินใจว่า

“ถ้าลื้อว่าดีก็ซื้อเถอะ  ตาลื้อไม่พลาดอยู่แล้ว  รีบซื้อจะได้รีบจัดการสร้างบ้านเร็วๆ ว่าแต่…ต่อไปเราคงต้องประหยัดกันมากขึ้น”  หญิงสาวนิ่วหน้าเล็กน้อยยามเสริมว่า  “ค่าที่ค่าสร้างบ้านคงไม่ถูก”

“ไม่ถูกแต่ก็ไม่มากมายอะไร  ค่อยๆ ผ่อนค่อยๆ ทำไป  ลื้อใช้จ่ายยังไงก็ทำเหมือนเดิมเถอะไม่ต้องประหยัดจนทุกข์ใจ” ส่วงมองภรรยาด้วยความรักและเห็นใจ  กุ้ยเตียงเป็นคนช่างแต่งตัว  เดือนๆ หนึ่งต้องตัดเสื้ออย่างน้อยหนึ่งตัว  หญิงสาวไม่เคยสระผมทำผมเอง  ต้องเข้าร้านทำผมประจำ  แต่ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาหล่อนเว้นว่างการตัดเสื้อทำผมตั้งแต่ก่อนคลอด  พอคลอดฉื่อกกหลังอยู่ไฟแล้วกุ้ยเตียงก็วุ่นทั้งดูแลร้านที่สะพานหันและเลี้ยงลูกชายคนเล็ก

ลูกชายที่รอคอยมาหลายปีคนนี้หญิงสาวตัดใจส่งให้พี่เลี้ยงไม่ลง  ทุกวันนี้หล่อนทำงานและวุ่นเลี้ยงลูกจนแทบไม่มีเวลาเข้าร้านทำผม

“ตอนนี้เสื้อผ้าที่โรงงานผลิตไปได้ดี  อั๊วกับหลงจู๊ฮุ้งกำลังช่วยกันติดต่อเอาชุดแบบใหม่ๆ เข้าห้าง  ถ้าทำได้จริงก็ไม่ต้องห่วงเรื่องสร้างบ้านแล้ว  ซื้อที่ปรับดินใช้เวลาเขียนแบบสร้างสักปีตกแต่งให้ดีหน่อย…สักสองปีไม่เกินสามปีพวกเราคงได้ย้ายไปอยู่บ้านใหม่กัน”

“ได้  อั๊วจะรอไปอยู่บ้านใหม่  ขอสนามหญ้ากว้างๆ ด้วยนะ  อากกกับพี่ๆ จะได้วิ่งเล่นกันได้”

“เอาสิ  ลื้ออยากได้อะไรก็บอกมาแล้วกัน  เดี๋ยวอั๊วจะให้ช่างออกแบบให้”  เถ้าแก่หนุ่มบอกอย่างเอาใจ  เขาตั้งใจไว้แล้วว่าสร้างบ้านใหญ่หน่อย  ให้เมียสองลูกเจ็ดอยู่ร่วมกันได้อย่างไม่อึดอัด

ส่วงเป็นคนคิดแล้วลงมือทำเลย  ดังนั้นพอปรึกษากับกุ้ยเตียงและบอกเล่าคร่าวๆ ให้ซิ่วเฮียงฟังเรียบร้อย เขาก็ติดต่อเจ้าของที่ดิน  หลังจากต่อรองจนเป็นที่พอใจทั้งสองฝ่ายแล้ว  ส่วงก็เตรียมเงินพร้อมเอกสารสำคัญต่างๆ ที่จะใช้ในการโอนโฉนดที่ที่ดิน

ก่อนวันนัดหมาย  ชายหนุ่มไปเบิกเงินสดก้อนใหญ่จากธนาคารมาเตรียมไว้  ตอนเช้าเขาลงนั่งเพื่อกินข้าวเช้าพร้อมหน้าพร้อมตากับเมียสองคนและพวกลูกๆ รุ่นใหญ่  กุ้ยเตียงมองห่อกระดาษสีน้ำตาลหนาๆ ข้างตัวสามีแล้วอดบ่นไม่ได้ว่า

“ทำไม่ต้องหิ้วเงินสดไปจ่ายค่าที่ด้วยนะ  ทำไมเขาไม่รับเช็ค”

“เจ้าของที่เขาไม่ใช่คนค้าคนขาย  เขาไม่เคยใช้เช็คกลัวจะเกิดปัญหาขึ้นเงินไม่ได้  เขาเลยขอเงินสดแทน”

“หอบเงินเป็นฟ่อนแบบนี้ลื้อระวังตัวหน่อยแล้วกัน”

ส่วงหัวเราะตอบว่า

“ถ้าไม่บอกใครจะไปรู้ว่าเป็นห่อเงิน  ไม่ต้องห่วงอั๊วจะระวังตัว”

เช้าวันนั้นอาหารเช้าของเด็กเป็นข้าวต้มกับไข่เจียวและกุนเชียงทอด  แต่ของผู้ใหญ่เป็นตือฮวนกับผักกาดดอง  ตือฮวนหม้อนี้ซิ่วเฮียงลงมือต้มเอง  ใส่ทั้งไส้ เซี่ยงจี้ หัวใจ ปอด ตับและกระเพาะ  หล่อนต้มเครื่องในทั้งหมดกับผักกาดดองในซุปกระดูกหมูจนเข้าที่  รสชาติกลมกล่อมหอมเผ็ดพริกไทและเปรี้ยวจากผักกาดดอง  หญิงสาวตำพริกดองไว้เผื่อใครต้องการรสที่เข้มขึ้นด้วย

ส่วนจุกบี้หรือข้าวเหนียวใส่หมูใส่ถั่วลิสงและแปะก๊วยยัดในไส้หมูนั้นเง็กซิมยอดฝีมือการกรอกข้าวไส้ไม่เคยแตกเป็นคนทำ  แม่ครัวช่วยนึ่งหั่นเป็นแว่นๆ และทำน้ำจิ้มซีอิ๊วหวานติดเค็มปะแล่มๆ ให้

ส่วงกินจุกบี้กับตือฮวนร้อนๆ หอมเปรี้ยวเผ็ดอย่างอร่อย   เคี้ยวไส้อ่อนพร้อมผักกาดดองรสเข้ากันดีเยี่ยม  เขาเอ่ยปากชมซิ่วเฮียงก่อนเปรยขึ้นว่า

“ลื้อไม่ได้ทำยำเกี้ยมฉ่ายมานานแค่ไหนแล้วนะ”

“หลายเดือนอยู่จ้ะ  ตอนหยี่แจ้ท้องอากกทำกินกันทุกวันจนไม่มีใครยอมกินอีก  เฮียงเลยเลิกทำไป  เถ้าแก่อยากกินหรือจ๊ะ”

“อืม  พรุ่งนี้ทำมากินกับข้าวต้มเถอะ”

“ได้จ้ะ  หยี่แจ้ล่ะจ๊ะอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า”

“ถ้าไปตลาดมีบวบหอมดีๆ ซื้อบวบมาผัดไข่แล้วกัน  ให้แม่ครัวผัดกระทะใหญ่ใส่ไข่เยอะหน่อย ให้เด็กๆ กินไข่  อั๊วกินบวบ”  กุ้ยเตียงเลือกบวบเพราะเป็นผักที่กินเพิ่มน้ำนม  หล่อนอยากให้ลูกชายคนเล็กมีนมกินเต็มที่

ซิ่วเฮียงพยักหน้าก่อนก้มหน้าก้มตากินอาหารของตัวเอง

เมื่ออิ่มหนำดีแล้วส่วงก็ต้อนลูกๆ ไปขึ้นรถเพื่อไล่ส่งตามโรงเรียน  เด็กเล็กเรียนอนุบาล  เด็กผู้หญิงเรียนโรงเรียนสตรีล้วน  เด็กผู้ชายเรียนโรงเรียนชายล้วน  ส่งลูกเสร็จเขาถึงขับรถไปโรงงาน

กุ้ยเตียงให้นมลูกชายคนเล็กก่อนเตรียมตัวไปร้านที่สะพานหัน  ซิ่วเฮียงดูให้คนงานในบ้านยกจานชามสกปรกไปเก็บล้าง  หล่อนคิดถึงเรื่องอาหารกลางวันรวมไปถึงอาหารเย็นที่จะทำเตรียมให้ทุกคน  นึกถึงงานที่ต้องจัดการที่ลานมะเกลือ…

ชีวิตดำเนินไปตามปกติเหมือนทุกวัน…

เพียงแต่วันนี้ไม่เหมือนเดิม

จนกระทั่งฟ้ามืดแล้วส่วงก็ยังไม่กลับบ้าน  กุ้ยเตียงเห็นสามีผิดเวลามากจึงโทรศัพท์ไปที่โรงงาน  หญิงสาวโทร.ไปตอนเลิกงานแล้ว  คนงานและคนทำงานส่วนใหญ่รวมถึงหลงจู๊กลับบ้านกันหมดแล้ว  คนเฝ้าโรงงานบอกเพียงว่าเถ้าแก่ออกจากโรงงานไปตั้งแต่หลังเที่ยงและไม่ได้กลับมาอีก

กุ้ยเตียงอยากโทรศัพท์ไปหาหลงจู๊ฮุ้ง  แต่หลงจู๊เพิ่งย้ายบ้านเพื่อไปอยู่ใกล้โรงงานมากขึ้นหล่อนจึงไม่มีหมายเลขโทรศัพท์ของเขา  หญิงสาวจึงได้แต่กระวนกระวายอย่างบอกไม่ถูก

ซิ่วเฮียงเองก็กังวลเหมือนมีอะไรถ่วงหนักอึ้งในอก  ใจร้อนรุ่มราวมีใครมาจุดไฟสุมไว้  แต่กระนั้นก็ยังพยายามยิ้มแย้ม  ปลอบกุ้ยเตียงว่า

“เถ้าแก่คงมีธุระต่อที่ไหนมั้งจ๊ะ  หรือไม่รถอาจติดมากเลยกลับบ้านช้า”

อีกฝ่ายพยักหน้าติดๆ อย่างเห็นด้วยทันที

แต่พอเวลาล่วงเลยไปถึงสามทุ่ม  สองสาวก็นั่งไม่ติดที่แล้ว  ส่วงไม่ใช่คนเหลวไหล  เขาค่อนข้างมีวินัยในตัวเองมากถ้าไม่มีงานเลี้ยงหรือธุระอะไรติดพันข้างนอก  ชายหนุ่มไม่เคยกลับบ้านหลังหกโมงเย็น  ต่อให้มีงานเอกสารติดพันเขาก็เอางานกลับมาทำที่บ้าน  และถ้ามีอะไรเร่งด่วนเขาจะโทรศัพท์กลับมาแจ้งที่บ้านเสมอ

ดังนั้นกุ้ยเตียงกับซิ่วเฮียงจึงมั่นใจว่าครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องปกติ  ยิ่งสองสาวนึกถึงเงินก้อนโตที่ส่วงติดตัวไป  ในใจก็ยิ่งร้อนรน  สุดท้ายกุ้ยเตียงบอกว่ารอไม่ไหวแล้วจะออกไปตามหา  ซิ่วเฮียงเห็นด้วยทันที

ทั้งคู่วางแผนจะไปที่โรงงานก่อนขับรถตามหาแถว ๆ นั้น

คนขับรถของกุ้ยเตียงเลิกงานตั้งแต่ช่วงเย็น  เส่งที่เรียนขับรถจากพี่เขยจนสอบใบขับขี่ได้จึงอาสาขับรถให้สองสาวแทน

ทางบ้านโบ๊เบ๊ที่รู้ข่าวก็รีบมาสมทบที่บ้านลานมะเกลือ  บุ่งทงมากับหลีมุ่ยพร้อมน้องชายอีกสองคน  ส่วนน้องสะใภ้สองคนที่เหลือให้คอยดูแลเตี่ยกับม้าและรอฟังข่าวที่บ้าน  หลีมุ่ยมาถึงก็เข้ามากอดกุ้ยเตียงโดยไม่เหลือท่าทางขัดแย้งอะไร  ปลอบว่า

“อาส่วงคงไปรถเสียอยู่แถวไหนแหละ  เดี๋ยวไปตามก็เจอ  ลื้ออย่ากังวลเลย  ทำใจให้สบาย  คนเพิ่งคลอดเครียดมากกังวลมากมันไม่ดี”

เป็นครั้งแรกกระมังที่กุ้ยเตียงพยักหน้ารับคำของพี่สะใภ้ใหญ่โดยไม่รู้สึกขัดแย้งในใจ

ทั้งหมดคุยกันแล้วตัดสินใจเอารถออกไปตระเวณหาสองคัน  กุ้ยเตียงไปกับพี่ชายคนโตและน้องชายคนรอง  ซิ่วเฮียงไปกับเส่งและน้องชายคนเล็ก  หลีมุ่ยอาสาอยู่บ้านดูแลเด็กรุ่นใหญ่ที่รู้ความและเริ่มเสียขวัญให้  ทำให้อุ่นใจขึ้นว่าทางบ้านนอกจากเง็กซิมแล้วยังมีผู้ใหญ่อยู่เป็นเพื่อนเด็กน้อยมากขึ้น

ออกจากบ้านลานมะเกลือรถสองคันวิ่งตามกันไปโรงงานที่สมุทรปราการก่อน  โรงงานปิดแล้วคนเฝ้าประตูเวรกลางวันที่ถูกตามตัวมายังเล่าเหมือนเดิมว่าส่วงขับรถออกไปช่วงบ่ายตามลำพัง

กุ้ยเตียงมั่นใจว่าส่วงน่าจะออกไปพบกับคนขายที่ดินตามนัดหมายก่อนจะไปที่สำนักงานที่ดินด้วยกัน  หญิงสาวจึงพุ่งเป้าไปที่คนขายที่ดินเป็นหลัก  แต่คิดๆ แล้วหล่อนได้แต่เจ็บใจตัวเองที่ตอนที่ส่วงชวนมาดูที่  หล่อนเหนื่อยทั้งเรื่องเลี้ยงลูกเล็กและเรื่องงานจึงไม่ยอมมาดูกับเขา  ซิ่วเฮียงก็เชื่อสายตาเถ้าแก่ของหล่อน  ไม่เคยมาดูที่เหมือนกัน  อันที่จริงโรงงานแห่งนี้หล่อนเคยมาแค่สองสามครั้ง  ถนนหนทางก็ไม่รู้จัก  มืดแปดทิศจริงๆ

โชคดีที่บ้านต้นชมพู่มีเส่ง  ปีนี้เด็กหนุ่มที่เติบโตเป็นชายหนุ่มเต็มตัวเรียนอยู่ปีสุดท้าย  การเรียนการลงฝึกงานกับคนไข้จริงกินเวลาเขาไปเกือบทั้งหมด  แต่ก็ยังมีบางเย็นที่เขาไปกินข้าวกับส่วงและกุ้ยเตียงพร้อมพี่สาว  หลังอาหารพวกสาวๆ จัดการเรื่องดูแลทำความสะอาดโต๊ะ  ดูแลลูกๆ รุ่นเล็กป้อนนมเด็กอ่อน  มีแต่เขากับพี่เขยนั่งจิบชาคุยกันสารพัดเรื่อง  พักหลังๆ เรื่องส่วนใหญ่ที่คุยมักเป็นเรื่องความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่มีการพูดถึงเรื่องประชาธิปไตยในหมู่นิสิตนักศึกษากันหนาหูขึ้นเรื่อย  แต่ก็มีช่วงที่คุยเรื่องย้ายบ้านเหมือนกัน  เส่งจึงพอรู้ตำแหน่งที่ดินที่ส่วงเล็งอยู่คร่าวๆ

ทั้งหมดพยายามปะติดปะต่อเส้นทาง  ถามทางถามลักษณะที่จากคนแถวนั้นไปเรื่อยๆ  สุดท้ายก็หาตัวคนขายที่ดินเจอตอนใกล้เที่ยงคืน

เจ้าของที่ดินที่ถูกปลุกกลางดึกทั้งโมโหและหวาดระแวง  แต่พอเห็นกลุ่มคนที่มาหายามวิกาลมีผู้หญิงอยู่ด้วยสองคนก็วางใจขึ้นเล็กน้อย  ยอมเปิดประตูคุยด้วย

ชายสูงวัยเจ้าของที่เป็นคนไทยชื่อประกอบ  กุ้ยเตียงกับพี่ชายน้องชายพูดภาษาไทยได้ไม่มากนัก  เส่งจึงเป็นคนถามถึงส่วงอย่างสุภาพ

ตอนแรกๆ พอเอ่ยถึงส่วง  ประกอบก็โกรธขึ้นมาอีกเพราะวันนี้แต่งตัวรอเก้อ  แต่พอรู้ว่าส่วงหายตัวไปเขาก็ตกใจ  บอกว่า

“ไม่ได้มา  นัดไว้ไอ้ฉันก็แต่งตัวรออยู่  รอจนถึงเวลาที่ดินปิดถึงได้รู้ว่าไม่มาแล้ว  ยังนึกในใจเลยนะว่าหน้าตาดีๆ รับปากรับคำเป็นมั่นเหมาะ  ทำไมจู่ๆ ก็หนีหายไปเสียดื้อๆ”

ท่าทางคนพูดไม่ได้โกหก  คณะตามหาจึงค่อนข้างผิดหวังและยิ่งเป็นกังวล  ทั้งหมดตัดสินใจขับรถตระเวณแถวๆ นั้นเพื่อดูว่ามีรถเสียหรือรถเกิดอุบัติเหตุอยู่ข้างทางบ้างหรือเปล่า  ขับวนกันอยู่รอบสองรอบสะเปะสะปะไม่รู้ทิศทาง  จากนั้นก็มีคนออกความเห็นว่าให้ลองไปหาตามโรงพยาบาลแถวนั้น  รถสองคันจึงแยกกันไปตระเวณสอบถาม  แต่คว้าน้ำเหลว  คนเจ็บที่ถูกส่งตัวมาโรงพยาบาลระแวกนั้นไม่มีชื่อหรือผู้ชายที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายส่วงเลย

สุดท้ายคณะค้นหาก็ตัดใจ  ยอมกลับบ้านก่อนเพื่อรวบรวมแรงสำหรับการค้นหาในวันรุ่งขึ้น

คืนนั้นกว่าซิ่วเฮียงจะได้กลับบ้านต้นชมพู่ฟ้าก็ใกล้สว่างแล้ว  เส่งมองพี่สาวอย่างเห็นใจทุกข์ใจร่วมไปด้วย  แต่ยังฝืนปลอบว่า

“รีบไปพักเถอะแจ้  พรุ่งนี้ค่อยตามใหม่  เฮียอาจจะไปรถเสียที่ไหนหรือมีธุระอะไรเร่งด่วนจนส่งข่าวมาไม่ได้ก็ได้”

ซิ่วเฮียงส่ายหน้าพูดอะไรไม่ออก   หล่อนแต่งงานกับส่วงมาเกือบเก้าปี  ผู้ชายคนนี้ไม่เคยเหลวไหล  เขารักบ้านรักครอบครัว  ถ้ามีธุระเร่งด่วนอะไรกลับบ้านไม่ได้เขาต้องหาทางส่งข่าวมาบอกให้ได้  ถ้าเป็นหยี่แจ้หรือหล่อน…บางทีอาจติดเล่นไพ่นกกระจอกจนลืมเวลาได้  แต่เถ้าแก่ของหล่อนไม่เคยลืมว่าที่บ้านมีคนคอยอยู่  เขารักลูกรักเมียระวังเสมอไม่ให้ลูกเมียเป็นกังวล

ฉะนั้นใจหล่อนจึงเอนเอียงไปทางเรื่องร้ายมากกว่าเรื่องดี…

เส่งพักอยู่ในห้องนอนชั้นล่าง  ซิ่วเฮียงแยกขึ้นไปห้องชั้นบน  คืนนี้เง็กซิมมานอนเป็นเพื่อนเด็กๆ

ในห้องนอนใหญ่  อาเพียวไปนอนกับอาย้งที่บ้านลานมะเกลือส่วนเด็กชายสองคนหลับไปนานแล้ว เหลือแต่เง็กซิมยังหลับๆ ตื่นๆ รอฟังข่าวอยู่  พอเห็นลูกบุญธรรมเดินย่องเข้ามาในห้อง  หล่อนก็มองเหมือนถาม  ซิ่วเฮียงส่ายหน้าอีกครั้งไม่กล้าพูดอะไรเพราะกลัวลูกตื่น  หญิงสาวเดินเข้าไปกอดอีกฝ่ายแน่น  พยายามไม่ร้องไห้เพราะกลัวจะเป็นลางร้าย  ได้แต่กระซิบเบาๆ ว่า

“เง็กซิ่ม  เฮียงกลัว”

“ไม่ต้องกลัวๆ เถ้าแก่อีเป็นคนดี  คุณพระคุณเจ้าต้องคุ้มครองแน่”

คืนนั้น…คนทั้งที่บ้านลานมะเกลือและบ้านต้นชมพู่ไม่มีใครข่มตาหลับลง

ตอนเช้าเง็กซิมกับพี่เลี้ยงพาเด็กเล็กเรียกรถรับจ้างไปโรงเรียน  แต่ฉื่อไท่กับฉื่อย้งไม่ยอมไปขอรอฟังข่าวเตี่ยที่บ้าน  กุ้ยเตียงไม่บังคับลูก  ยอมให้หยุดเรียนแต่ไม่ยอมให้ออกไปตระเวณตามหาส่วงเหมือนพวกผู้ใหญ่

พอดูแลจัดการเรื่องในบ้านเรียบร้อย  เส่งที่สื่อสารภาษาไทยได้ดีที่สุดและไม่หวาดหวั่นที่จะต้องติดต่อกับเจ้าหน้าที่ทางการเป็นคนพากุ้ยเตียงกับซิ่วเฮียงไปแจ้งความคนหาย  ชายหนุ่มเลือกไปแจ้งความสถานีท้องที่ที่โรงงานตั้งอยู่  กุ้ยเตียงเล่ารายละเอียดทุกอย่างที่เกี่ยวกับส่วงพร้อมกับเล่าว่าสามีถือเงินสดไปก้อนใหญ่เพื่อไปซื้อที่ดิน  พร้อมกับย้ำว่าส่วงไม่เคยกลับบ้านผิดเวลา  ถ้ามีธุระเร่งด่วนอะไรเขาต้องโทร.แจ้งทางบ้านเสมอ  ไม่เคยเลยที่ชายหนุ่มจะหายตัวไปทั้งคืนแบบนี้

ตำรวจรับเรื่องก่อนส่งสายตรวจสองนายไปตรวจสอบที่โรงงานและที่บ้านของนายประกอบ

กุ้ยเตียงกับซิ่วเฮียงอยากตามตำรวจไปทุกแห่ง  แต่เส่งและบุ่งทงที่ตามมาที่โรงงานบอกให้หญิงสาวทั้งสองรอฟังข่าวที่โรงงาน  พี่ชายและน้องชายของทั้งสองสาวจะเป็นฝ่ายตามตำรวจไปเอง  ระหว่างนั้นหลงจู๊ฮุ้งที่รู้ข่าวในตอนเช้าก็เกณฑ์คนงานหนุ่มๆ ช่วยกันออกตามหา  ใครๆ ก็ช่วยกันออกตามหากันอย่างวุ่นวายเหลือเพียงสองสาวที่นั่งอยู่ในห้องทำงานของส่วง  นั่งอยู่ด้วยกันเหมือนจะเป็นกำลังใจให้อีกฝ่าย

เวลาล่วงเลยไปจนเกือบเที่ยง  บุ่งทงกับเส่งก็กลับมาที่โรงงาน  ซิ่วเฮียงเป็นคนแรกที่เห็นคนทั้งคู่  หญิงสาวลุกยืนมองหน้าขาวซีดดวงตาแดงก่ำของน้องชายแล้วรู้สึกเหมือนใครเอาค้อนอันใหญ่ทุบเข้ากลางอกเต็มแรง  ทุบซ้ำแล้วซ้ำอีกเจ็บปวดจนชามือเท้าเย็บเฉียบ  เย็นทั่วร่างกระทั่งน้ำตาร้อนๆ ไหลลงอาบ

แก้มทว่าหล่อนก็ไม่รู้สึกรู้สาอะไร  ถามเสียงสั่นเครือว่า

“เจอเถ้าแก่แล้วใช่ไหมจ๊ะ”

เส่งพยักหน้าอ้าปากจะพูดแต่ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดรอดออกมา  มีเพียงน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างเงียบๆ  ห้าปีกว่าที่อาศัยอยู่ใต้ร่มลานมะเกลือ…ส่วงไม่ใช่เป็นเพียงพี่เขย  ทว่าเป็นเหมือนพี่ชายคนโตของเขาจริงๆ  ไม่เพียงแค่อุปถัมน์เรื่องการเรียน  ส่วงยังสอนวิธีการใช้ชีวิตให้เขา  แนะนำทุกเรื่องทั้งการกินอยู่การแต่งตัวการคบหาเพื่อนฝูง  เขาขับรถเป็นก็เพราะส่วงเป็นคนสอน

พี่เขย  พี่ชาย  ผู้อุปถัมน์  ครู…ส่วงเป็นทุกอย่างที่เด็กหนุ่มคนหนึ่งต้องการเป็นแบบอย่างเพื่อเติบโต

ตอนนี้ครูไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว

“แจ้…”

ข้างๆ กายที่เหมือนไร้เรี่ยวแรงของซิ่วเฮียง  บุ่งทงพูดอะไรบางอย่างกับน้องสาวของเขาแผ่วเบา

หากเพียงแค่เอ่ยคำแรก…เสียงร้องไห้ของกุ้ยเตียงก็ดังขึ้นราวจะขาดใจ

หัวใจซิ่วเฮียงแตกสลายลงเช่นกัน…

 



Don`t copy text!