
แก่นไม้หอม บทที่ 32 : สัญญาที่ไม่เป็นธรรม?
โดย : กิ่งฉัตร
แก่นไม้หอม นวนิยายออนไลน์ โดย กิ่งฉัตร ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ กับเรื่องราวที่จะทำให้คุณได้รู้ว่าผู้หญิงเป็นเมียและแม่ไม่ต่างจากแก่นไม้ที่แข็งแกร่ง มั่นคงและทรหดที่ยึดให้ใบได้แผ่กว้าง และหากโลกนี้เชื่อว่าผู้ชายเป็นใหญ่ แต่จริงๆ แล้วทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนเป็นหยินที่โอบหยางทั้งสิ้น
ในช่วงที่เด็ก ๆ รุ่นกลางของบ้านลานมะเกลืออยู่ในช่วงใกล้วัยรุ่น ตอนนั้นละครจีนกำลังภายในโด่งดังในประเทศไทยเป็นอย่างมาก รุ่นฉื่อย้งฉื่อไท่เด็ก ๆ เล่นแสดงงิ้วเล่นแสดงลิเก มารุ่นนี้เด็กน้อยมักเล่นเป็นจอมยุทธหรือศิษย์วัดเส้าหลินเล่นฝ่าด่านสิบแปดอรหันต์กันเป็นหลัก เวลาเล่นยามฝ่ายดีฝ่ายร้ายโคจรมาเจอกันมักมีการปะทะทั้งวาจาและฝ่ามือกันเสมอ คำที่ใช้ทักทายแบบเส้าหลินของฝ่ายธรรมะคือ อมิตาพุทธ ส่วนคำหนึ่งที่มักจะใช้ด่ากันอย่างสุภาพคือ วาจาประดุจผายลม หรือไม่ก็ร้องตะโกนว่าผายลมง่าย ๆ คำนี้เป็นการด่าอีกฝ่ายว่าพูดจาเหลวไหล พูดจาไร้สาระ พูดโกหก และไม่รู้ว่าใครเป็นคนเริ่มเอาคำว่าผายลมมาบวกกับอากิ๋มมุ่ย บ่นว่าป้าสะใภ้หรืออากิ๋มชอบผายลม จากนั้นก็หัวเราะกันคิกคัก ซิ่วเฮียงอยากหัวเราะตามเหมือนกันเพราะหลีมุ่ยเป็นแบบนั้นจริง ๆ แต่หล่อนไม่อยากเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี จึงต้องดุเด็ก ๆ ไม่ให้พูดจาเหลวไหล ทั้งสอนทั้งเตือนว่า
“ว่าผู้ใหญ่แบบนี้ คนพูดก็เป็นพวกผายลมเหมือนกัน ไม่ดีไม่ควรพูด”
“ไม่ดีแต่มันเรื่องจริงนี่เฮียงแจ้ ดูที่กิ๋มมุ่ยพูดออกมาแต่ละอย่างมีเรื่องไหนดีบ้าง” คราวนี้เด็กรุ่นโตขึ้นมาหน่อยอย่างฉื่อฮวงออกมาปกป้องน้อง ๆ หล่อนเป็นคนแรงเจ้าอารมณ์แต่มีเหตุผลน่าคิดน่าฟังเสมอว่า “คนอะไรมีแต่เรื่องนินทาคนอื่น แถมยังชอบยุแยงให้คนอื่นเขามีปัญหากัน เจ็กเต็กอยู่กับเมียเขาดี ๆ กิ๋มมุ่ยก็ไปเล่าเรื่องนังเน้ยให้อาจูฟัง บอกสมัยก่อนที่เจ็กทำงานให้เตี่ยเจ็กหลงนังเน้ยจะเป็นจะตาย พอถูกห้ามไม่ให้แต่งงานก็ยอมเป็นโสดจนอายุสามสิบกว่าถึงได้ยอมแต่งกับอาจู แหม…ทำเป็นเตือนนะว่าให้ระวังถ่านไฟเก่า นังนั่นแก่หน้าเหี่ยวเกินอายุปานนั้นใครจุดถ่านไฟเก่าติดก็โง่เง่าเต็มประดาแล้ว”
“อาฮวง! ปากหรือนั่นพูดจาอะไรไม่น่าฟังเลย”
“ไม่น่าฟังแต่มันเรื่องจริงนี่เฮียงแจ้ แล้วไม่ใช่แค่เรื่องเจ็กเต็กกับอาจูเท่านั้นนะ เรื่องน้อง ๆ ลูกอากู๋บ้านโบ๊เบ๊แกก็มานินทาเสีย ๆ หาย ๆ คนนั้นมีแฟนตั้งแต่เด็กเดี๋ยวคงเรียนไม่จบ คนนี้ขี้เกียจไม่ยอมเรียนหนังสืออนาคตคงเป็นจับกัง สารพัดจะพูด มีดีวิเศษก็แต่ลูก ๆ สี่คนของกิ๋มนั่นแหละ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ ลูกกิ๋มเองนั่นแหละเป็นเหมือนปากที่ว่าทั้งหมด ทำยังกะคนอื่นเขาจำไม่ได้งั้นแหละว่าตัวเองกับลูก ๆ ตัวเองก่อวีรกรรมอะไรไว้บ้าง”
“ผายลม ๆ” ฉื่อกกยื่นหน้ายื่นตาล้อเลียนทะเล้นตึงตัง ซิ่วเฮียงเลยฟาดเด็กชายคนเล็กของบ้านไปอย่างไม่แรงนักทีหนึ่ง ทำเอาฝ่ายนั้นแกล้งโอดโอยแล้ววิ่งหนีหายไป
เฮียงแจ้ของเด็ก ๆ เลยได้แต่ถอนใจยาว เถียงอะไรไม่ได้ แต่จริง ๆ แล้วคำพูดของหลีมุ่ยก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องโกหกหรือไร้สาระไปเสียทั้งนั้น บางเรื่องหญิงสาวปากผายลมคนนั้นก็พูดหรือทำนายได้ถูกต้องเหมือนกัน อย่างเช่นเรื่องความใจดีและไว้เนื้อเชื่อใจคนอื่นมากไปของกุ้ยเตียงจะสร้างปัญหา เพียงแค่ปัญหานั้นไม่ได้จากซิ่วเฮียง
หลังจากทำพิธีฝังส่วงที่สุสานชลบุรีเรียบร้อย แม่ม่ายทั้งสองก็ยุ่งวุ่นวายกับงานที่ไม่คุ้นเคย จะว่าไปแล้วถึงซิ่วเฮียงจะยุ่งเพราะต้องดูแลทั้งบ้านสองหลังและร้านที่สะพานหัน แต่ในความยุ่งนั้นมีความง่ายกับการรับมือกว่า เพราะงานดูแลบ้านทำจนชินและมีเง็กซิมกับคนงานรวมถึงพี่เลี้ยงเด็ก ๆ คอยช่วยทำให้วางใจได้ ส่วนงานร้านนั้นหลายปีที่ผ่านมาหล่อนเคยไปช่วยดูแลเป็นครั้งคราวอยู่แล้ว ช่วงที่กุ้ยเตียงป่วยหรือคลอดลูกซิ่วเฮียงก็ไปดูร้าน ไปดูแลการขายคุมบัญชี ทุกอย่างจึงเข้าข่ายยุ่งแต่ไม่ยาก เพียงแต่นิสัยเดิมของซิ่วเฮียงนั้นเป็นคนใจอ่อนและประนีประนอม หล่อนจึงค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ดีแต่ไม่เฉียบขาดพอสำหรับธุรกิจใหญ่ ๆ
ดังนั้นซิ่วเฮียงจึงบริหารงานร้านอึ้งซุ้ยหลีได้ดีแบบพอเลี้ยงตัวเองรอดได้สบาย ๆ ไม่ได้ทำให้ร้านก้าวหน้ารุ่งเรืองแบบก้าวกระโดดแต่อย่างไร
ตรงกันข้ามกับซิ่วเฮียง…กุ้ยเตียงลำบากกับการเข้าดูแลโรงงานที่สมุทรปราการเป็นอย่างมาก โรงงานแห่งนี้วัดขนาดแล้วนับว่าใหญ่กว่าลานมะเกลือมาก คนงานก็มากกว่าสามถึงสี่เท่า สายงานก็แบ่งแผนกแบ่งงานกันยิบย่อยกว่า หญิงสาวต้องเข้าไปศึกษางานใหม่เกือบทั้งหมด ที่สำคัญปัญหาเรื่องงานก็เรื่องหนึ่ง ปัญหาเรื่องคนก็เป็นอีกเรื่องที่สาหัสสากรรจ์ไม่น้อย เพราะคนทำงานระดับสูงในโรงงานส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย แต่ละคนอายุไม่น้อยมีประสบการณ์ในการทำงานมาหลายปี และหลายคนเป็นพวกหัวโบราณไม่ชอบทำงานใต้อาณัติผู้หญิง แม้จะเวทนาในชะตากรรมของแม่ม่ายสาวแต่ก็ยังอดอู้หรือทดสอบฝีมือของเถ้าแก่เนี้ย
ดังนั้นกุ้ยเตียงจึงต้องรับมือกับทั้งความยุ่งของงานและความยากของคน อาทิตย์หนึ่งหญิงสาวทำงานหกวัน ออกจากบ้านแต่เช้ากลับค่ำ ตามปกติกุ้ยเตียงเป็นคนชอบดูหนังชอบเล่นไพ่นกกระจอก เมื่อก่อนมีเวลาก็ต้องรีบไปสังสรรกับเพื่อนฝูง แถมบ่อยครั้งยัง ‘หนีบ’ ซิ่วเฮียงไปด้วย แต่ตั้งแต่ส่วงจากไปและหล่อนต้องเข้ามารับงานแทน วันหยุดเดียวที่มีอยู่ในแต่ละสัปดาห์หญิงสาวอุทิศให้ลูกชายคนเล็กเต็มที่ อุ้มไม่ปล่อย เฝ้ากอดเฝ้าจูบอย่างถนอม หล่อนบอกว่า
“อากกกำพร้าพ่อตั้งแต่ยังไม่รู้ความ อั๊วเลยต้องรักอีให้มาก ๆ หน่อย”
จะว่าไปแล้วตอนนั้นเด็กน้อยฉื่อกกยังไม่รู้ความอะไรมากนัก เป็นกุ้ยเตียงเองมากกว่าที่ยึดลูกชายคนเล็กไว้เป็นหลักในชีวิต เป็นสิ่งปลอบประโลมชุบชูจิตใจที่ล้าอ่อนจากการที่ต้องทำงานหนัก
หลังจากอดทนทำงานร่วมกับ ‘พวกหัวเก่าคร่ำครึ’ อยู่กว่าครึ่งปีโดยไม่มีอะไรคืบหน้า กุ้ยเตียงที่ได้รับคำแนะนำจากหลงจู๊ฮุ้งที่ดูแลเรื่องการผลิตเป็นหลักก็ตัดสินใจขั้นเด็ดขาดเลื่อนปรับตำแหน่งลง แล้วเลื่อนไต้จงขึ้นมาควบคุมด้านการขายและบัญชีแทน เรื่องนี้กุ้ยเตียงไม่ได้ปรึกษาใครเพราะหญิงสาวเชื่อถือคำแนะนำของหลงจู๊ ไต้จงเองก็เป็นคนเก่าคนแก่ของลานมะเกลือ เห็นกันมาเป็นสิบปี รู้ดีว่าถึงแม้จะไม่ใช่คนเก่งกาจอะไรแต่ก็ไว้ใจได้
แน่นอนว่าการตัดสินใจของหล่อนทำให้คนทำงานระดับสูงที่มีปัญหาเหล่านั้นไม่พอใจ เกือบทั้งหมดตบเท้าลาออกไป
กุ้ยเตียงเป็นกังวลอยู่บ้าง แต่หญิงสาวตัดสินใจแล้วหล่อนไม่ยอมถอย อีกอย่างพอขาดคนเก่าหลงจู๊ฮุ้งก็พยายามหาคนใหม่มาเสริม งานของโรงงานจึงแทบไม่สะดุด ทำไปทำมาหล่อนก็กลับชอบใจคุยเล่าความในใจกับซิ่วเฮียงว่า
“ดีแล้วที่คนพวกนั้นไม่พอใจแล้วลาออกไปเอง อั๊วจะได้สบายหูสบายตาหน่อย ไม่มีใครมาชักสีหน้าใส่ จะทำอะไรก็ขัดหาว่าอั๊วไม่เข้าใจธุรกิจ อั๊วน่ะช่วยเตี่ยกับม้าขายเสื้อผ้าที่โบ๊เบ๊มาตั้งแต่เด็ก สมัยก่อนตอนยังไม่มีร้านที่สะพานหันอั๊วก็ช่วยงานที่ลานมะเกลือมาตลอด เสียดายมัวแต่เกรงใจมัวแต่คิดว่าเป็นคนของอาส่วงเลยไม่อยากแตะต้อง ลืมนึกไปว่าคนพวกนั้นไม่เคยคิดว่าอั๊วเป็นเมียอาส่วงถึงได้ข่มได้ข่มเอาแบบนี้”
“ถ้าเขาไปแล้วหยี่แจ้ทำงานได้สบายใจก็ดีแล้วจ้ะ” ซิ่วเฮียงบอกอย่างเห็นใจ กุ้ยเตียงทุกวันนี้ทำงานหนักมาก ทว่าเรื่องงานนั้นพักคืนเดียวก็หาย ทว่าปัญหาเรื่องความขัดแย้งกับผู้ร่วมงานทำให้ใบหน้าที่เคยงดงามของหญิงสาวมีแต่ความกังวลใจอึดอัดใจ “เรื่องโรงงานมีหลงจู๊ฮุ้งช่วยดูแลคงไม่ปัญหาอะไร”
“ไม่มี ๆ ทุกอย่างไปได้ดีเลยทีเดียวล่ะ อีกหน่อยถ้าอยู่ตัวแล้วอั๊วอาจจะหาคนไว้ใจได้มาช่วยงานเพิ่ม อั๊วจะได้มีเวลาอยู่กับอากกมากขึ้น เด็ก ๆ โตเร็ว หันหลังให้หน่อยเดียวก็โตจนเกือบจำไม่ได้แล้ว”
กุ้ยเตียงพูดอย่างมีความหวัง แต่ในความเป็นจริงแล้ว…ชีวิตกลับสวนทางกับความหวังเสมอ เพราะหลังจากนั้นไม่นานหญิงสาวก็พบว่า หล่อนดีใจว่าทุกอย่างราบรื่นดีเร็วเกินไป เพราะจู่ ๆ เงินหมุนเวียนของโรงงานเกิดสะดุดเล็กน้อย หลงจู๊ฮุ้งอธิบายว่า
“ก่อนเถ้าแก่เสียทางเราติดต่อกับทางห้าง…” เขาเอ่ยชื่อห้างสรรพสินค้าที่เปิดดำเนินการมากว่ายี่สิบปีและมีชื่อเสียงไม่น้อยออกมา “ตอนนี้เราส่งสินค้าให้เขาทุกเดือน แต่เถ้าแก่เนี้ยก็รู้…บริษัทใหญ่ ๆ ชอบดึงเช็ค ไม่ถึงที่สุดเขาไม่จ่าย ยื้อไว้จนถึงที่สุด ที่สุดจริง ๆ แล้วถึงยอมจ่าย”
กุ้ยเตียงเข้าใจ หล่อนก็ค้าขายมาตลอดแม้จะดูแลร้านค้าขนาดสองคูหาไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมาย แต่ก็รู้ว่าบริษัทบางแห่งคนรับซื้อไปขายต่อบางเจ้าที่มีอำนาจมาก ๆ อาจจะใช้กลยุทธ์แบบนี้ เพียงแค่หล่อนไม่เคยทำใช่ว่าคนอื่นจะไม่ทำ
“ทำไมตอนเซ็นสัญญาทางเราไม่ได้อ่านสัญญาให้ดีว่าเขานัดจะจ่ายเงินเมื่อไหร่” หญิงสาวอดบ่นไม่ได้ ตอนที่เสร็จจากงานศพและเข้ามาเรียนงานนั้นสัญญาเซ็นไปเรียบร้อยแล้ว กุ้ยเตียงเข้าใจว่าสามีเป็นคนลงนามไว้ก่อนเสียชีวิต อาส่วงเป็นคนละเอียดรอบคอบ เรื่องงานเอกสารเขาจะตรวจแล้วตรวจอีก หล่อนจึงวางใจไม่เรียกดู มาเรียกดูตอนนี้ถึงได้รู้ว่าหลงจู๊ฮุ้งเป็นคนลงนามแทน และเนื้อหาที่เขียนไว้เป็นภาษาไทย หลงจู๊จึงต้องอ่านรายละเอียดให้หล่อนฟัง
ฟังแล้วหญิงสาวได้แต่นิ่วหน้า หล่อนไม่ได้เก่งเรื่องลงนามสัญญาอะไร แต่เห็นได้ชัดว่าสัญญานี้…ไม่เป็นธรรมเอาจริง ๆ
“ตอนนั้นมันจำเป็น เถ้าแก่เพิ่งเสีย ทางนั้นเขาอ้างว่ามีความกังวลไม่แน่ใจว่าเราจะให้ใครมาบริหารงานต่อ อีกอย่างเพราะเราเป็นฝ่ายติดต่อเข้าไป เราอยากค้าขายกับเขาเราก็ต้องยอมให้เขาก้าวนึง” หลงจู๊ฮุ้งส่ายหัวเหมือนเขาเองก็จนใจ “ตอนแรกที่ทำสัญญาอั๊วก็ลังเลใจ แต่พอนึกว่านี่คือสิ่งที่เถ้าแก่ต้องการ…”
ทั้งคู่เงียบไปครู่ก่อนที่กุ้ยเตียงซึ่งไม่ซักถามอะไรมากกว่านี้จะเอ่ยถามว่า
“มีทางพอจะเร่งเขาหน่อยได้ไหมหลงจู๊ ทางเราก็ใช่ว่าเงินถุงเงินถัง ต้องหมุนเงินใช้เหมือนกัน”
“อั๊วพยายามแล้ว แต่ทำธุรกิจกับเจ้าใหญ่เราก็ต้องเกรงใจเขาหลายส่วน เรื่องเสียเปรียบก็ต้องมีบ้าง แต่ข้อดีคือร่วมงานกับบริษัทใหญ่มั่นใจได้ว่าไม่โกง ทางเราก็คงต้องอดทนรอหน่อย พอของล็อตใหม่ส่งเข้าไปเดี๋ยวเขาก็ต้องจ่ายส่วนที่ค้างมาเอง เถ้าแก่เนี้ยไม่ต้องเป็นห่วง”
หญิงสาวฟังแล้วได้แต่ถอนใจยาว หวังแต่ว่าห้างใหญ่จิตใจจะไม่คับแคบจนบีบให้คู่ค้าล้มเสียหายยับเยิน…
โชคดีที่ไม่นานหลังจากนั้นคู่ค้าใหญ่ก็ส่งเช็คมาใบหนึ่ง แม้จะเป็นการแบ่งจ่ายแต่ก็ทำให้โรงงานมีเงินทุนหมุนเวียนต่ออายุไปได้
โชคร้ายทางนั้นแจ้งตามหลังมาไม่นานว่าโรงงานส่งสินค้าล่าช้าไม่เป็นไปตามข้อตกลง ทางห้างแจ้งมาว่าจะปรับโรงงานตามที่ได้ทำสัญญาตกลงไว้
กุ้ยเตียงฟังรายงานแล้วโกรธจนตัวสั่น ถามว่า
“จะไม่ส่งสินค้าได้ไง ในเมื่ออั๊วลงชื่อในเอกสารตอนส่งรถออกไปเอง”
“มันคงเป็นความเข้าใจผิด หรือไม่ทางนั้นก็ทำเอกสารผิด คงต้องมีอะไรผิดพลาดสักอย่างแน่ ๆ เถ้าแก่เนี้ยอย่าเพิ่งกังวลไป เดี๋ยวพรุ่งนี้อั๊วจะไปคุยกับทางห้างเอง”
“อั๊วไปด้วย” หญิงสาวตัดสินใจ ตั้งแต่มารับงานโรงงาน หล่อนเคยไปห้างนั้นในฐานะคู่ค้าเพียงครั้งเดียว ไปสร้างความสัมพันธ์พูดคุยนิด ๆ หน่อย ๆ ตกลงเรื่องแนวทางของเสื้อผ้าที่จะส่งและรับประกันว่าจะต้องส่งให้ทางห้างตรงเวลา
กุ้ยเตียงเป็นคนจริง ทำการค้าอย่างซื่อสัตย์ หล่อนรับปากไว้แล้วว่าจะส่งงานตรงเวลา และหล่อนก็ทำได้…ยากลำบากขนาดไหนหล่อนก็กัดฟันทำ อาทิตย์หนึ่งทำงานหกวัน ทำตั้งแต่เช้าจนเย็นไม่หยุดพัก ทำเพื่อรักษาคำพูดของตัวเองไว้ให้ได้ แต่ทำไมฝ่ายนั้นกลับเล่นตุกติก
ดังนั้นหล่อนจึงอยากไปเผชิญหน้า อยากเห็นความด้านหนาของห้างใหญ่ที่คิดจะบีบคู่ค้าเล็ก ๆ อย่างหล่อนให้ตายคามือ…
“อั๊วว่าเถ้าแก่เนี้ยใจเย็นก่อนดีกว่า” หลงจู๊ฮุ้งพยายามปลอบ “มันน่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน เรื่องนี้ไม่ต้องถึงมือลื้อหรอก เดี๋ยวอั๊วจัดการให้เอง”
เพราะมีเรื่องให้ต้องจัดการมากหลงจู๊ฮุ้งจึงออกจากโรงงานหลังเลิกงานทันที ส่วนกุ้ยเตียงยังกังวลเรื่องสัญญาอยู่ หญิงสาวคิดแล้วคิดอีก…แม้จะรู้ว่าเวลากระชั้นทำอะไรไม่ได้มากแต่ก็ยังอยากลอง ดังนั้นหล่อนจึงให้ไต้จงไปนำสัญญาส่งของเข้าห้างใหญ่มาให้ หล่อนจะเอากลับไปบ้านเพื่อหาคนอ่านมองหาจุดอ่อนหรือข้อต่อรองที่จะไม่ทำให้เสียเปรียบนัก
แต่เสมียนหนุ่มผู้ก้าวขึ้นมาเป็นเลขาฯส่วนตัวของหล่อนมีสีหน้ากังวล เขาแย้งอึกอักเสียงเบาว่า
“เถ้าแก่เคยสั่งไว้ว่าเอกสารสำคัญห้ามนำออกจากโรงงาน…”
“เถ้าแก่ลื้อตายแล้ว ตอนนี้อั๊วเป็นคนดูแลโรงงานนี้เป็นคนจ่ายเงินเดือนให้พวกลื้อ อั๊วสั่งอะไรก็ต้องเป็นตามนั้นสิ” กุ้ยเตียงที่เคยแต่พูดจาสุภาพเยือกเย็นขึ้นเสียงอย่างอดไม่อยู่ หญิงสาวรับช่วงงานต่อจากส่วงมาเจ็ดแปดเดือนแต่ไม่เคยรู้สึกว่าหล่อนบริหารโรงงานเองจริง ๆ เลย ทุกอย่างเหมือนมีอุปสรรคมีแต่เรื่องให้หล่อนต้องกลัดกลุ้มตลอดเวลา
ไต้จงเห็นสีหน้าเถ้าแก่เนี้ยไม่ดี กลัวหล่อนจะลุกขึ้นอาละวาดจึงรีบไปยังห้องธุรการเพื่อเบิกสัญญาที่หญิงสาวต้องการมาให้
เย็นนั้นเมื่ออยู่ในรถที่ตรงกลับบ้านลานมะเกลือ กุ้ยเตียงเปิดซองสัญญาพลิกกลับไปกลับมาหลายครั้ง น่าเสียดายที่หล่อนรู้อักษรไทยอยู่แค่ไม่กี่ตัว เลยอ่านไม่ออกแม้แต่บรรทัดเดียว สุดท้ายหญิงสาวยอมแพ้ได้แต่กอดสัญญาไว้กับอก หันมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง แม้จะเย็นมากแล้วแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน ด้านนอกยังคงสว่างไสว ต้นไม้ใหญ่ข้างทางยังเห็นใบเขียวสด ผู้คนยังเดินขวักไขว่ข้างถนน แต่ทำไมหล่อนกลับรู้สึกว่าภายนอกดูมืดมนเหลือเกิน…
กลับถึงบ้านลานมะเกลือ กุ้ยเตียงรับลูกชายคนเล็กจากพี่เลี้ยงมากอด มาจูบจนหนำใจ จูบไปก็ถามพี่เลี้ยงเด็กไปว่าลูกชายคนเล็กของหล่อนกินอะไรวันนี้ ทำอะไรบ้าง ซุกซนหรือเปล่า นอนกลางวันพอหรือเปล่า รับรู้ทุกอย่างของฉื่อกกจนพอใจแล้วหล่อนถึงเอ่ยถามถึงลูกคนอื่น ๆ ถามเรื่องอาหารเย็นว่าจัดเตรียมอะไรไว้บ้าง จากนั้นก็คืนลูกชายให้พี่เลี้ยง สั่งให้คนงานในบ้านไปตามซิ่วเฮียงกับฉื่อย้งไปพบหล่อนที่ห้องทำงานเล็กที่เคยเป็นห้องทำงานประจำของหล่อน
ฉื่อย้งวิ่งซอยเท้าลงมาจากชั้นสอง ส่วนซิ่วเฮียงนั้นดูแลเรื่องกับข้าวให้เด็ก ๆ ในห้องครัว ต้องเสียเวลาสั่งเรื่องกับข้าวอีกนิดหน่อย ดังนั้นทั้งคู่จึงเข้ามาในห้องทำงานเล็ก ๆ นั้นเกือบจะพร้อมกัน
กุ้ยเตียงชี้ให้ซิ่วเฮียงนั่งลงข้าง ๆ หล่อนก่อนส่งสัญญาให้กับฉื่อย้งให้ช่วยอ่านให้
ทำไมต้องฉื่อย้ง…คำตอบนั้นง่ายดายมากเพราะในบ้านนี้ไม่มีใครพอจะพึ่งพาเรื่องภาษาไทยได้อีกแล้วนอกลูกสาวคนนี้ เส่งที่ถือว่า ‘รู้ดีที่สุด’ ในบ้านนั้นเรียนจบแล้วและต้องไปทำงานใช้ทุนหลายปี เสียดายที่เขาขอไปลงที่โรงพยาบาลในสุพรรณบุรีไม่ได้ แต่ไปได้จังหวัดที่อยู่เหนือกว่านั้นแทน
เส่งย้ายออกจากบ้านต้นชมพู่ไปคนที่อายุมากสุดเรียนมามากสุดรองจากเส่งคือฉื่อไท่ แต่เด็กชายตอนนี้เริ่มเป็นวัยรุ่น เลิกเรียนแล้วแทนที่จะรีบกลับบ้าน อาไท่หรือวิโรจน์กลับอยู่เตะบอลกับเพื่อน เตะที่โรงเรียนบ้างหรือถ้าไม่มีที่ก็ไปเตะในสนามที่ท่าวาสุกรีใกล้ ๆ โรงเรียน เขาไล่ให้รถที่พี่เลี้ยงจ้างไปรับเด็ก ๆ พาน้อง ๆ กลับบ้านไปก่อน ตัวเองเล่นบอลกับเพื่อนจนห้าหกโมงเย็นฟ้าเริ่มมืดถึงได้โหนรถเมล์หรือโบกรถรับจ้างกลับบ้าน
ดังนั้นฉื่อย้งจึงต้องก้าวขึ้นมารับผิดชอบอ่านสัญญาให้มารดาฟัง เด็กหญิงวัยสิบสามย่างสิบสี่คล่องแคล่ว ฉลาด แถมยังขยันรักเรียน เลิกเรียนก็ตรงกลับบ้านไม่เถลไถล กลับมาก็สอนการบ้านน้อง ๆ บ้าง อ่านหนังสือเรียนหรือไม่ก็ช่วยงานบ้านนิดหน่อย เรียกได้ว่าฉื่อย้งโตเกินวัย แถมไม่ใช่เด็กเกี่ยงงาน…ไม่คิดอะไรมากด้วย…ม้าบอกให้อ่านก็อ่าน ตามองภาษาไทยปากพูดเป็นภาษาจีน ไม่ได้สังเกตเลยว่ายิ่งอ่านยิ่งแปลใบหน้างดงามของมารดายิ่งเปลี่ยนไป จากขาวซีดเป็นแดงก่ำแล้วกลับไปขาวซีดอีกครั้ง ครู่หนึ่งกุ้ยเตียงก็ขัดขึ้นว่า
“เดี๋ยว ๆ อาย้ง ลื้ออ่านผิดหรือเปล่า” น้ำเสียงของหญิงสาวยังมีความหวัง ถ้าจะมีความผิดพลาดก็ขอให้เป็นการอ่านที่ผิดของลูกสาวคนโตเถอะ
ทว่าฉื่อย้งส่ายหน้า บอกอย่างมั่นใจว่า
“ไม่ผิดนะม้า เขาพิมพ์มายังไงย้งก็อ่านตามนั้น จะผิดได้ไง”
“สัญญาว่าจะจ่ายเงินทุกสามสิบวันหรือ ไม่ใช่เก้าสิบวันถึงร้อยยี่สิบวันนะ…”
“ไม่ใช่ม้า นี่ไงตัวเลขเขียนไว้ ถ้าม้าไม่เชื่อให้เฮียงแจ้อ่านให้ฟังอีกคนก็ได้” เด็กหญิงส่งสัญญาให้ซิ่วเฮียง หญิงสาวนั้นอ่านเขียนภาษาไทยได้ เมื่อก่อนตอนน้อง ๆ ทำการบ้านท่องตำราหล่อนก็แอบเรียนด้วย เส่งสงสารพี่สาวก็ช่วยสอนให้จนรู้หนังสือก๊อก ๆ แก๊ก ๆ โตขึ้นมาตอนเส่งช่วยสอนฉื่อไช้อ่านเขียนคัดลายมือ หล่อนก็เรียนกับลูกอีกรอบ เรียนล่วงหน้าด้วยเพราะกลัวว่าถ้าน้องชายต้องไปทำงานใช้ทุนที่อื่นจะไม่มีคนช่วยกำกับดูลูกชายทำการบ้าน ดังนั้นด้วยความขยัน อดทน ใฝ่รู้ แถมมีพื้นฐานเดิมอยู่ไม่น้อยซิ่วเฮียงตอนนี้จึงอ่านภาษาไทยได้ออกเกือบทั้งหมด ส่วนการเขียนแม้ตัวหนังสือจะไม่สวยแต่ก็นับว่าเขียนได้เหมือนกัน
หญิงสาวรับสัญญามาอ่านผ่านตาก่อนพยักหน้ารับ
“อาย้งอ่านไม่ผิดจ้ะ”
“แล้วเรื่องแบ่งจ่ายเป็นงวดล่ะ” กุ้ยเตียงถาม
สองหัวดำเล็ก ๆ ยื่นมุงดูสัญญาอย่างพร้อมเพรียง พลิกหาอยู่หลายตลบก่อนฉื่อย้งจะตอบมารดาว่า
“ไม่มีนะม้า มีแต่ว่าจ่ายตามยอดขายจริง มีแค่บอกว่าถ้าขายไม่ได้ขายไม่หมดจะจัดการเรื่องบัญชียังไง แต่ไม่เห็นบอกว่าเขาจะแบ่งจ่ายเป็นงวดเลย ม้า…” คำเรียกสุดท้ายของเด็กหญิงเต็มไปด้วยความตกใจเพราะเพิ่งเห็นว่ามารดาตัวสั่นเทา ใบหน้าซีดเผือด “ม้าเป็นอะไร”
“ไม่ ไม่เป็นอะไร ลื้อออกไปกินข้าวเถอะอาย้ง ม้ามีอะไรจะคุยกับโอ่ยแจ้หน่อย”
ฉื่อย้งลังเลใจด้วยความกังวล แม้จะยังเด็กแต่นิสัยช่างคิดช่างสังเกตทำให้เดาได้ว่าต้องมีปัญหา เด็กหญิงอยากรู้แต่เห็นสีหน้ามารดาแล้วจำใจต้องเก็บความอยากรู้อยากเห็นลงในท้อง เดินเซื่อง ๆ ออกจากห้องทำงานเล็กไป
เมื่ออยู่ตามลำพัง ซิ่วเฮียงก็รีบถาม
“หยี่แจ้เป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะ หน้าขาวเชียว มือก็เย็น” หล่อนพูดพลางบีบนวดมืออีกฝ่ายอย่างกังวล
“อั๊วไม่ป่วย แค่เจ็บใจ เจ็บเหลือเกิน” กุ้ยเตียงเค้นคำตอบออกมาอย่างยากเย็น แต่พอพูดแล้วเหมือนมีแรงฮึด ร่างกายไม่สั่นเทาจากแรงอารมณ์อีกต่อไป หญิงสาวคุมสติได้ดวงตาที่เมื่อครู่แดงเรื่อเพราะความเจ็บปวดและหดหู่ใจกลับเปล่งประกายวาววับขึ้นด้วยความแค้นใจเจ็บใจ แม้กระทั่งเสียงก็ยังแข็งขึ้นมุ่งมั่นขึ้นเมื่อเอ่ยว่า
“อาเฮียงพรุ่งนี้ลื้อไม่ต้องไปร้านสะพานหัน ลื้อแต่งตัวสวย ๆ เลยนะ เดี๋ยวอั๊วจะพาไปห้าง ไปดูให้รู้ว่าอั๊วดวงดีหรือดวงซวย เจอคนดีช่วยเหลือหรือถูกไอ้พวกเก๋าเจ้งรวมหัวกันหลอก!”
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 45 : เติบโต
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 44 : ฝันสลาย
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 43 : รอยร้าว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 42 : สัญญา
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 41 : อามาลัย
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 40 : พบหน้า
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 39 : ลูกไม่มีพ่อ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 38 : หมากฝรั่งบุหรี่
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 37 : พิราบขาว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 36 : คนนอก
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 35 : ผู้ชนะ (ตอนที่ 2)
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 34 : ผู้ชนะ (ตอนที่ 1)
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 33 : คดในข้องอในกระดูก
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 32 : สัญญาที่ไม่เป็นธรรม?
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 31 : แม่ม่ายลูกกำพร้า
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 30 : ฟ้าถล่ม
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 29 : ลูกชายลูกชาย
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 28 : ไม่มีอะไรแน่นอน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 27 : เด็กน้อยของซิ่วเฮียง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 26 : สันดานคนยากจะเปลี่ยน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 25: รถจี๊ปสีเขียว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 24 : หวังดีเกินไป รักเกินไป
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 23 : เรื่องที่เข้ากันได้
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 22 : หยี่แจ้ โอ่ยแจ้
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 21 : แต่งงาน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 20 : สู่ขอ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 19 : ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 18 : เห็นขี้ดีกว่าไส้
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 17 : กระต่ายก็กัดเป็น
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 16 : เลิกกับผัวแล้ว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 15 : ปุ๋ยดีไม่ควรปล่อยให้ไหลลงนาผู้อื่น
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 14 : ลานมะเกลือ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 13 : ศาลองค์แป๊ะกง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 12 : เข้ากรุง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 11 : ส้วมที่แตกแล้ว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 10 : บ้าน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 9 : หันหลังกลับ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 8 : พยอม
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 7 : หมดสิ้น
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 6 : หาญ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 5 : วาสนา
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 4 : ดอกไม้ผ้า
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 3 : ตุ้มหูทอง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 2 : แม่ผัว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 1 : ซิ่วเฮียง