เวียงวนาลัย บทที่ ๙ เจ้าสาววิกตอเรียน “ฝันสลาย”

เวียงวนาลัย บทที่ ๙ เจ้าสาววิกตอเรียน “ฝันสลาย”

โดย : เนียรปาตี

Loading

เวียงวนาลัย เรื่องราวของวิลเลียม หนุ่มอังกฤษที่เดินทางมาทำงานในบริษัทสัมปทานป่าไม้ในภาคเหนือของสยาม เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าต้องเผชิญกับอะไรมากมายในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย ทั้งมิตรแท้ สงครามและความรัก มาเอาใจช่วยหนุ่มอังกฤษคนนี้กับชีวิตอันแสนจะโลดโผนในเวียงวนาลัย นวนิยายออนไลน์ โดย เนียรปาตี ที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

วิลเลียมเดินทางไปสถานีป่าไม้ที่แพร่ในสัปดาห์ต่อมา

เบ็ตตี้หายจากซึมเซา ความกระปรี้กระเปร่าเข้ามาแทนที่เมื่อมีเป้าหมายว่าจะต้องเป็นเจ้าสาวที่สวยและสมบูรณ์ที่สุด หญิงสาวนึกถึงบทกวีที่บอกว่า เจ้าสาวผู้งามพร้อมในวันวิวาห์ต้องมีอะไรบ้าง

Something old, something new, something borrowed, something blue, a sixpence in your shoe

ของเก่านั้นไม่ยาก เพราะเบ็ตตี้รื้อชุดที่หล่อนติดตัวมาเพื่อดัดแปลงเป็นชุดเจ้าสาว โชคดีที่ในจำนวนน้อยนั้นมีชุดสีขาวตัดจากผ้าซาตินเรียบลื่นเป็นเงา ยังดูงามเหมือนใหม่ เพราะเจ้าของตัวจริงเป็นสตรีสูงศักดิ์ผู้หนึ่ง แม้ว่าโดยธรรมเนียมนั้น ของเก่าที่ว่านี้มักจะเป็นสมบัติส่งต่อมาจากแม่ ป้า หรือยาย เพราะถือว่าเป็นการส่งต่อความสุขในชีวิตคู่ให้แก่ลูกหลานรุ่นต่อไป แต่หญิงสาวก็ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องนี้

ในขณะที่ของใหม่สื่อความหมายถึงการเริ่มต้นใช้ชีวิตคู่ เบ็ตตี้ก็สั่งผ้าลูกไม้ลวดลายสวยเพื่อใช้เป็นผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว คนขายรับปากว่าหล่อนจะได้รับสินค้าก่อนถึงวันสำคัญแน่นอน ระหว่างรอเบ็ตตี้จึงจีบริบบิ้นสีครีมและชมพูหวานเป็นดอกกุหลาบประดับที่คาดผมเตรียมไว้

ส่วนของที่ต้องยืม หญิงสาวนึกถึงแต่มิสซิสสจ๊วตที่จะว่าสนิทกันก็ได้ แม้ไม่มาก แต่ก็พอจะขอหยิบยืมข้าวของบางอย่างมาใช้ในวันแต่งงานได้ บ่อยครั้งที่มิสซิสสจ๊วตต้องการอวดความโอ่อ่าด้วยการขนข้าวของเครื่องประดับออกมาเช็ดถูแกมบ่นว่าทำความสะอาดตั้งแต่เช้าจนป่านนี้ก็ยังไม่เสร็จ ในบรรดาเครื่องประดับที่รายเรียงบนโต๊ะที่รองด้วยกำมะหยี่ขนสั้น เบ็ตตี้สะดุดตากับสร้อยมุกชิ้นหนึ่ง ตรงกึ่งกลางมีตะขอสำหรับแขวนจี้หรืออัญมณีชิ้นใหญ่ตามที่ผู้ใส่ประสงค์ หล่อนจึงแวะไปหามิสซิสสจ๊วตเพื่อบอกข่าวดีและถือโอกาสเปรยเรื่องขอยืมเครื่องประดับของหล่อน

แต่ข่าวดีของเบ็ตตี้มาถึงมิสซิสสจ๊วตก่อนเจ้าตัวจะบอกเรื่องนี้ เพราะเมื่อพบหน้ามิสซิสสจ๊วตก็เจรจาอ่อนหวานแสดงความยินดี

“ดูซิว่าใครมา ว่าที่เจ้าสาวที่สวยที่สุดของปีนี้นะเอง”

“คุณทราบได้อย่างไรคะ?” เบ็ตตี้ถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ หากพวงแก้มซ่านสีกุหลาบแย้ม

มิสซิสสจ๊วตไม่ตอบคำถาม เรื่องอะไรจะบอกว่ารู้จากไหน เดี๋ยวก็กลายเป็นว่าหล่อนเที่ยวซอกแซกไปรู้เรื่องนั้นเรื่องนี้ของชาวบ้านแล้วเอาไปเป็นเรื่องสนทนาสนุกสนานบนโต๊ะน้ำชาหรือโต๊ะดินเนอร์ จึงเสไปว่า

“จะรู้จากไหนไม่สำคัญเท่ากับว่า เธอจะเป็นเจ้าสาวแล้วจริง ๆ ใช่ไหมจ๊ะ”

ครั้นเบ็ตตี้ยิ้มหวานแทนการยืนยัน มิสซิสสจ๊วตก็รุนหล่อนไปยังที่นั่งในสวน สั่งคนรับใช้ให้ยกน้ำชาออกมาเสิร์ฟ คุยถึงเรื่องงานวิวาห์ที่กำลังจะเกิดขึ้นประหนึ่งตนเป็นญาติผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาว เบ็ตตี้สบโอกาสในจังหวะหนึ่งจึงเอ่ยเรื่องที่เป็นเหตุผลหลักในการมาเยือนวันนี้

“ดิฉันมีล็อกเก็ตรูปพ่อกับแม่อยู่หนึ่งอัน เป็นสมบัติชิ้นเดียวที่ติดตัวมาเพื่อรำลึกถึงท่านทั้งสอง ในวันสำคัญของชีวิตก็อยากให้ท่านอยู่ด้วย แต่ในเมื่อพ่อกับแม่ไม่อาจมาร่วมพิธีได้ ดิฉันก็อยากจะห้อยล็อกเก็ตรูปท่านไว้กับตัว จนใจว่าจะหาสร้อยงาม ๆ ที่เข้ากันได้ลำบากนัก…ในบ้านเมืองอย่างนี้”

“เธอมาปรึกษาถูกคนแล้วจ้ะ สาวน้อย” มิสซิสสจ๊วตเข้าใจความหมายทั้งหมดในทันที จึงสั่งให้คนรับใช้ขนกล่องเครื่องประดับออกมา “เลือกกันเสียวันนี้เลย ถูกใจชิ้นไหน ฉันจะได้ทำความสะอาดเตรียมไว้ให้ ใกล้ถึงวันงานหนูค่อยมารับไป ดีไหมจ๊ะ”

เบ็ตตี้ยิ้มพลางพยักหน้าน้อย ๆ อย่างเกรงใจ แต่ก็ทำทีเลือกไปทีละชิ้น ทั้งที่มุ่งหมายแน่ชัดแล้วว่าอยากได้ชิ้นใด จนเมื่อสร้อยมุกเส้นนั้นปรากฏต่อหน้า หญิงสาวก็แตะอย่างเบามือ ละสายตาไปมองชิ้นอื่นแล้วไม่วายกลับมาดูสร้อยมุกเส้นนั้นอีกครั้ง และอีกครั้ง

“หนูชอบเส้นนี้หรือจ๊ะ?”

“ใครเห็นเส้นนี้ก็ต้องชอบแน่ค่ะ แต่มันออกจะใหญ่และมีราคามากเกินไปที่ดิฉันจะขอยืม”

“อย่าเกรงใจเลยจ้ะ สร้อยอย่างนี้ต้องคนคอระหงอย่างหนูนี่แหละ ใส่แล้วถึงจะสวยรับกัน เป็นอันว่าหนูเลือกชิ้นนี้นะจ๊ะ”

“ค่ะ ถ้าคุณจะกรุณา”

“ไม่มีปัญหาหรอกจ้ะ สาวน้อย พิธีวิวาห์เป็นงานสำคัญสำหรับผู้หญิงอย่างเรา ๆ นี่จ๊ะ จะทำลวก ๆ ชุ่ย ๆ ได้อย่างไร ยิ่งเราอยู่ไกลบ้านเกิดเมืองนอนอย่างนี้ ยิ่งต้องแสดงให้คนที่นี่เห็นว่าเรามีธรรมเนียมที่งดงามอย่างไร เอาเป็นว่าสำหรับของที่เจ้าสาวยืมมา เพื่อสื่อถึงการส่งมอบความสุขของคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตคู่ หนูก็ได้สร้อยมุกเส้นนี้จากฉันไป เพราะหนูเห็นว่าชีวิตแต่งงานของฉันกับหมอสจ๊วตดีกว่าชีวิตคู่ของใครทั้งหมดในเมืองนี้ ใช่ไหมจ๊ะ” มิสซิสสจ๊วตชมตนเองและถามต่ออย่างเอื้อเฟื้อ “ตอนนี้หนูยังขาดอะไรอีกไหมล่ะ?”

“ของสีฟ้าค่ะ” หญิงสาวตอบ “ดิฉันยังนึกไม่ออกว่าจะทำอย่างไร อาจจะหาผ้าไหมสีฟ้ามาตัดรองเท้า”

“อืม…” มิสซิสสจ๊วตทำท่านึก เสียงครึมครางของหล่อนไม่เชิงเห็นด้วย หากก็ยังนึกไม่ออกว่าควรแนะนำอย่างไรดี “เรายังพอมีเวลาไม่ใช่หรือจ๊ะ ค่อย ๆ คิดกันไปก็ได้”

 

หญิงสาวครุ่นคิดเรื่องของสีฟ้าอยู่ไม่รู้แล้ว จนบางครั้งก็พาลหงุดหงิดขึ้นมาเกินจำเป็น หากหล่อนก็ปลอบใจตัวเองว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะอากาศร้อน มองชุดที่แขวนไว้ด้วยหัวที่ว่างเปล่า พลันเกิดความคิดว่าจะปักประดับชายผ้าเป็นพวงดอกไม้ด้วยไหมสีฟ้า อารมณ์ของเบ็ตตี้จึงดีขึ้น ค้นหาอุปกรณ์ในกล่องเย็บปักแล้วลงมือทันทีไม่รีรอ ทำเพลินได้ไม่รู้เบื่อจนไหมปักหมดไม่รู้ตัวแต่ยังอยู่ในอารมณ์อยากเร่งปักให้เสร็จโดยไว จึงกางร่มลูกไม้ไปที่กาดกองต้าเพื่อซื้อไหม และถือโอกาสเดินดูข้าวของให้เพลิดเพลิน

แม้จะเริ่มชินกับอากาศในเมืองร้อน แต่เบ็ตตี้รู้สึกว่าวันนี้ร้อนกว่าวันไหน ๆ ที่เคยพานพบ สัมผัสถึงเหงื่อไหลลงไปเป็นทาง พยายามประคองร่มในมือมิให้ร่วงลงไปทั้งที่ในใจสั่นหวิวหน้ามือราวจะเป็นลม

แล้วหล่อนก็ต้านทานไม่ไหว ร่วงลงไปกองกับพื้น

ลีรอยปราดเข้าไปอุ้มหล่อน ขอความช่วยเหลือจากแม่ค้าและชาวบ้านที่อยู่ใกล้ช่วยแก้ไขให้ฟื้น พักจนเรี่ยวแรงพอจะคืนกลับมาแล้วจึงเรียกรถม้าให้ไปส่งที่บ้าน ชายหนุ่มประคองคนรักของเพื่อนเข้าไปในห้องนอนของหล่อน รอจนท่าทีสบายใจขึ้น จึงถามอย่างห่วงใยทว่ามีความนัยอื่นแฝงอยู่

“เธอต้องการหมอไหม ถ้าต้องการ ฉันจะไปตามมาให้”

หล่อนทั้งเหนื่อยและเพลียจึงไม่ทันสังเกตว่าคำถามของลีรอยนั้นชอบกลอย่างไรอยู่ แม้แต่น้ำเสียงราบเรียบเฉียบเย็นจนเกือบจะดูห่างเหินนั้น เบ็ตตี้ก็ไม่รู้สึก

“ไม่เป็นไร ฉันแค่เหนื่อยมากไปหน่อยเท่านั้นเอง” ปฏิเสธแล้วก็หัวเราะน้อย ๆ กับตัวเอง “ไม่คิดเลยนะว่า การเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวจะเหนื่อยและวุ่นวายขนาดนี้”

“และการเป็นแม่ อาจจะเหนื่อยและยุ่งกว่านี้อีกหลายเท่า” ลีรอยเอ่ยออกมา “ดีแล้วที่เธอไม่ต้องการหมอ เพราะเธอคงไม่อยากให้ใครรู้ว่าเธอท้องทั้งที่ยังไม่ได้แต่งงาน ลำพังหมอสจ๊วตก็พอจะไว้ใจได้หรอกว่าคงไม่แพร่งพรายออกไป แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าหมอจะไม่บอกเรื่องนี้กับภรรยา เธอก็รู้ดีว่า มิสซิสสจ๊วตน่ะ เป็นยิ่งกว่านักข่าวและนายกสมาคมนินทาสโมสรรวมกันเสียอีก”

“ลีรอย!” เบ็ตตี้ร้องออกมา แต่ไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้อีก

ชายหนุ่มสัมผัสปลายนิ้วเย็นและสั่นน้อย ๆ ที่แตะลงมา เบ็ตตี้กำลังสับสน และในความสับสนนั้นมีสิ่งที่หล่อนไม่คาดคิดปนอยู่ นั่นก็คือ หล่อนไม่คิดว่าตนรู้เรื่องนี้ และอาจรวมไปถึงว่าเขารู้แผนการของหล่อนทั้งหมด อ่านได้ทะลุปรุโปร่งราวกับหล่อนเป็นหนังสืออ่านเล่นราคาถูกของนักเขียนมือสมัครเล่นที่วางพล็อตได้ตื้นเขินเต็มที

“สามเดือน…”

ลีรอยลากเสียง เป็นการบอกระยะเวลาที่เหลือก่อนเพื่อนของเขาจะกลับมา

“วิลเลียมคงไม่สังเกตว่าเธอท้องโต และอีกหกเดือนข้างหน้า เธอก็จะคลอดก่อนกำหนด”

เบ็ตตี้รู้สึกคล้ายมีก้อนแข็งจุกอยู่ที่คอ จ้องลีรอยที่วางหน้าเฉยชาคล้ายครอบด้วยหน้ากากน้ำแข็งก็พบว่าเขาไม่ใช่เพื่อนที่เคยรู้จักสนิทสนม ในท่าทีนิ่งเย็นนั้น ดวงไฟจุดอยู่ในตาเขาราวกับข้างในนั้นมีความแค้นสุมอยู่เป็นเชื้อ คำพูดของเขาเรียบเรื่อยก็จริง แต่คมบาดความรู้สึกเหมือนใบมีดโกนลากไล้ไปตามผิวเนื้ออ่อนกรีดผิวให้แยกออก ไม่เจ็บแสบจนกระทั่งเขาสาดน้ำเกลือลงมา แผลนั้นก็พลันแสบจนเนื้อเต้นระริกไปทั้งร่าง

“วิลเลียมคงดีใจที่เธอให้ลูกแก่เขาทันทีหลังแต่งงานได้ไม่กี่เดือน” รอยยิ้มเย็นแย้ม ทว่าเบ็ตตี้เห็นเป็นยิ้มที่น่าเกลียดที่สุดเท่าที่ลีรอยเคยแสดงออกมา “ถ้าเด็กคนนั้นจะมีผมสีทองและตาสีฟ้าเหมือนอย่างพ่อแม่”

โลกไหวโคลงขึ้นมาทันใด ถ้าไม่นั่งบนเตียงอยู่แล้ว เบ็ตตี้คงทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น

หล่อนลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไร ในเมื่อพ่อของลูกในท้องแตกต่างจากวิลเลียมโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นสีผิว สีผม สีตา ถ้าหากว่าสายเลือดพื้นเมืองแรงกว่าเลือดอังกฤษของหล่อนเล่า…โอ…ไม่นะ…คิดมาถึงตรงนี้เบ็ตตี้ก็ปากคอสั่น ถ้าลูกของหล่อนมีเค้าของชาวพื้นเมืองที่นี่ หล่อนจะแก้ตัวกับวิลเลียมและคนอื่น ๆ อย่างไร

“เธอไม่ใช่คนโง่ เธอฉลาด” ลีรอยว่า “เพราะถ้าไม่ฉลาด เธอคงไม่พาตัวเองมาถึงตรงนี้ ผู้หญิงดี ๆ ในอังกฤษ…จะมีสักกี่คนที่กล้าหนีออกจากบ้าน ลงเรือเดินทางไปกับผู้ชายที่ไม่ใช่ทั้งคู่หมั้นหรือสามี”

เบ็ตตี้ยังหาคำโต้แย้งไม่เจอ ราวกับปากหล่อนหายไป ในหัวตื้อตันจนคิดอะไรไม่ออก ลีรอยก็ส่งคำพูดเหมือนค้อนทุบลงมาอีก

“ก่อนหน้านั้น ฉันปิดตาข้างหนึ่ง เพราะคิดว่าเมื่อเธอและวิลเลียมต่างฝ่ายต่างรักกัน สักวันหนึ่งก็คงลงเอยด้วยดี จนกระทั่งเธอมีเรื่องกับเมือง”

“อย่าพูดเรื่องนี้นะ!” เบ็ตตี้ตวัดเสียงสวนออกไป “มันเป็นเรื่องน่าอับอาย อัปยศที่สุดเท่าที่ผู้หญิงคนหนึ่งได้เจอ ฉันเกือบเอาชีวิตไม่รอดจากคนป่าเถื่อนที่ฉุดคร่าฉันไปเพื่อสนองตัณหา ดวงตามืดบอด ขาดศีลธรรม ขาดความยับยั้งชั่งใจ จึงทำเรื่องเลวทรามต่ำช้าอย่างนั้นได้” น้ำตาเอ่อคลอหน่วยตางามของเบ็ตตี้อีกครั้งเมื่อหล่อนมองหน้าชายหนุ่มที่ผ่านเข้ามาพอดีเมื่อเกิดเรื่อง “ลีรอย…ถ้าบังเอิญเธอไม่ผ่านไปตรงนั้น…ฉันคง…”

“คงสำราญกับเมือง เหมือนหลายครั้งก่อนหน้านั้น ที่พอเธอ…” เขาเว้นคำนั้นไว้ หากการขมุบขมิบปาก และแววตาที่แสดงออกทำให้คนฟังเดาไม่ยากว่า ‘คัน’ หรือ ‘ร่าน’ “…เธอก็หาอุบาย อยากเข้าไปเก็บดอกไม้ในป่า”

ลีรอยพ่นลมหายใจพรืดดุจจะบอกว่าเขาเลิกผสมโรงเล่นบทในเรื่องหลอกลวงตื้น ๆ ของหล่อนแล้ว มันน่าระอาเต็มกลืน จึงสรุปความจริงที่เหมือนมีดคมฟันฉับลงมาหมายให้ร่างหล่อนขาดเป็นสองท่อน

“เธอไม่ได้รอดจากการถูกฉุดคร่า แต่เธอเป็นเมียเมืองแล้ว…หลายครั้ง” เขาย้ำคำนี้อย่างรวดร้าวใจ น้ำเสียงสั่นเมื่อเอ่ยต่อไป เพราะอารมณ์อ่อนไหวพรั่งพรูผสานกับความเจ็บแค้นที่สุมไว้เนิ่นนาน “ด้วยความเต็มใจและความแพศยาของเธอเอง”

“ลีรอย! เธอพูดอะไรออกมา เธอว่าฉันเป็นหญิงแพศยา ทั้งที่เธอก็เห็นกับตาว่าฉันถูกฉุดคร่าไปอย่างป่าเถื่อนแค่ไหน”

รอยยิ้มและแววตาที่เมืองมองมาทำให้เบ็ตตี้สะท้านไปทั้งร่าง มันเป็นรอยยิ้มเยาะระคนสมเพช เช่นเดียวกับแววตาดูแคลนว่าหล่อนจะปั้นนิทานชั้นเลวไปได้อีกแค่ไหน

“เธอไอ้คนพื้นเมืองป่าเถื่อนนั่น มากกว่าความจริงจากปากคนอังกฤษด้วยกันเหรอ ลีรอย…เธอเป็นอะไรไป”

“หึ” ลีรอยเยาะกลับอย่างไม่ปิดบัง “เธออย่าเอาขั้วต่าง ๆ มาแบ่งแยกออกจากกันเลย จะตะวันออกหรือตะวันตก ศิวิไลซ์หรือป่าเถื่อน มันก็เป็นแค่สิ่งที่เธอยึดถือเอาเองทั้งนั้น มนุษย์เรานี้มีหลายอย่างแตกต่างกันก็จริง แม้อาจเป็นสิ่งที่ไม่สามารถแก้ไขได้อย่างสีตา หรือสีผิว แต่ก็มีอีกมากที่มนุษย์ทุกคนต้องเผชิญเหมือนกันคือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เราหิวเหมือนกัน แม้จะมีวิธีทำให้อิ่มต่างกัน เราป่วยได้ทุกคนเมื่อร่างกายไม่แข็งแรง และเราย่อมถวิลหาการรักษาเหมือนกัน เรามีความรู้สึกเหมือนกันได้ รัก โลภ โกรธ หลง และอีกสารพัด เรายิ้มและหัวเราะได้เมื่อมีความสุข เราร้องไห้ได้เมื่อมีความทุกข์ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทุกคนมีเหมือนกัน ทำเหมือนกัน มันมิได้สงวนไว้กับคนเชื้อชาติไหนหรอก ฉันเป็นคนอังกฤษ ฉันก็ภูมิใจในชาติกำเนิดของฉัน…เหมือนเธอ แต่ฉันต่างจากเธอตรงที่ ฉันไม่ได้มองว่าเลือดอังกฤษในตัวทำให้ฉันวิเศษวิโสกว่าคนที่นี่ยังไง”

ลีรอยจ้องนิ่งเข้าไปในดวงตาของเบ็ตตี้ราวถึงเวลาหวดด้วยแส้แช่น้ำเกลือ

“ยิ่งเห็นการกระทำของคนที่หลงตนว่ามีอารยธรรมหนักหนา…อย่างเธอ ยิ่งทำให้ฉันได้รู้ว่า ถ้าคนอย่างเธอริทำเรื่องแพศยาขึ้นมาล่ะก็…เธอทำได้ต่ำและอัปรีย์ยิ่งกว่าคนที่นี่จะนึกและทำได้เสียอีก”

เบ็ตตี้กรีดร้องออกมาอย่างสุดจะทานทนไหว ตั้งแต่เกิดมาจนถึงบัดนี้ ลีรอยเป็นคนแรกที่ว่าหล่อนด้วยถ้อยคำรุนแรงระคายหู ถ้ามีคนอื่นอยู่ร่วมด้วย มันคงไม่ต่างกับการลากหล่อนไปประจานที่กลางตลาด

“เธอกล่าวหาฉันเกินไปแล้ว ทั้งที่เธอก็เห็นกับตาว่าเมืองกำลังปล้ำฉันอยู่”

ดวงตาของลีรอยกร้าวขึ้น ริมฝีปากกระตุกอย่างพยายามข่มอารมณ์ที่แล่นขึ้นมา

 

ลีรอยเหลือบเห็นตะกร้าเครื่องเย็บปักของเบ็ตตี้ที่วางบนโต๊ะริมหน้าต่าง นอกจากลูกปัดหลายชนิดแล้วยังมีแถบลูกไม้และริบบิ้นสีฟ้าม้วนอยู่ก็รู้ทันทีว่าหล่อนคงเตรียมทำเป็นเครื่องประดับสักชิ้นหนึ่งในวันวิวาห์ เพราะสิ่งที่จะทำให้เป็นเจ้าสาววิกตอเรียนสมบูรณ์แบบ ต้องมีข้าวของสีฟ้าอยู่บนเรือนกาย ทว่าเขาทำเสียงเยาะขึ้นมา

“สิ่งของสีฟ้า…แทนความซื่อสัตย์และรักที่บริสุทธิ์…” ลีรอยลากเสียงเจือรอยเยาะหยัน มองขึ้นลงราวสำรวจร่างของหญิงสาวแล้วมาหยุดตรงหน้าท้องหล่อน “ซึ่งเธอไม่มี ทั้งสองอย่าง”

“หยุดหยาบคายกับฉันเสียที” เบ็ตตี้กรีดร้อง

“เลิกสร้างภาพเป็นสุภาพสตรีอังกฤษผู้เคร่งศีลธรรมเสียทีเถอะ เพราะเมื่อเธออยาก…” เขาละคำไว้อย่างมีนัยที่ทำให้เบ็ตตี้หน้าร้อนขึ้นมา “เธอก็ควานหาทางออกไม่ต่างจากหญิงชาวบ้านที่นี่…พวกคนที่เธอเหยียดหยามดูถูกว่าต่ำชั้นกว่าเธอ” เมื่อเบ็ตตี้ไม่เถียงกลับ ไม่คัดค้านอีก น้ำเสียงลีรอยก็อ่อนลง ลากเก้าอี้มาใกล้เตียง หย่อนตัวลงนั่งตรงหน้าหล่อน ถามถึงสิ่งที่ควรทำต่อไป

“เธอจะให้ฉันบอกเขา หรือเธอจะบอกเอง”

“ไม่นะ…โอ…ลีรอย ฉันขอร้องเถอะ วิลเลียมจะรู้เรื่องนี้ไม่ได้”

“แต่ลูกของเธอไม่อาจปิดบังความจริงได้” ลีรอยย้ำให้หล่อนได้สติ “ไม่มีทางที่ลูกของเธอจะมีผมสีทอง ตาสีฟ้าเหมือนเธอและวิลเลียมเป็นแน่”

“ฉันควรทำอย่างไรดี?” เบ็ตตี้หารือด้วยจนหนทาง หากกระนั้นหล่อนก็กลัวข้อเสนอของลีรอยอยู่ลึก ๆ

“ยกเลิกการแต่งงานกับวิลเลียมซะ แล้วไปจากที่นี่” ก่อนที่หญิงสาวจะคัดค้านอย่างไร ลีรอยก็บอกเสียคราวเดียวว่า “ฉันกำลังจะขอลาพักกลับไปอังกฤษ อยู่มาสามปี มีสิทธิ์ลากลับบ้านแล้ว แต่วิลเลียมจะยังไม่กลับ…เขาบอกฉันไว้ ก่อนไปแพร่”

“แต่ว่าฉัน…”

หล่อนคงเสียดายโอกาสที่เฝ้ารอมานานปี…ที่จะได้เป็นภรรยาของวิลเลียม ลีรอยจึงเอ่ยต่อไป

“เธอยังไม่ต้องยกเลิกการแต่งงานก็ได้ แต่ขอเลื่อนเวลาออกไปก่อน อย่างน้อยก็จนกว่า…” ลีรอยละไว้ไม่เอ่ยออกมา “ไปอังกฤษกับฉัน จัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วเธอค่อยเขียนจดหมายบอกวิลเลียมว่าไม่ต้องการแต่งงานกับเขาแล้ว เพราะเธอได้เป็นภรรยาของฉันตั้งแต่เริ่มเดินทาง และตอนนี้เธอก็มีลูกให้ฉันแล้ว”

เบ็ตตี้จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของลีรอยราวจะค้นหาสิ่งที่ซ่อนลึกเร้นไปกว่านั้น

ครั้งนี้เองที่หล่อนเห็นว่านัยน์ตาสีเข้มและเส้นผมสีดำเหมือนขนราเวนส์หรือนกกาในทาวเวอร์ ออฟ ลอนดอนของลีรอย จะช่วยอธิบายเหตุผลของสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปอีกเก้าเดือนข้างหน้าได้

“ทำไมเธอถึงทำแบบนี้?” เบ็ตตี้หาถ้อยคำออกมาจนได้

“เพราะฉันรักวิลเลียม ไม่อยากให้เขาเสียใจว่าถูกเธอสวมเขา เขายังให้เกียรติเธอมาก” ลีรอยนิ่งไปก่อนบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่สะทกสะท้านอันใดอีก “เธอจะเขียนเล่าว่าฉันเลวทรามต่ำช้า ฉุดคร่าเธอบนเรือโดยสาร หรืออย่างไรก็ได้ ขอให้วิลเลียมรับรู้ว่าฉันเป็นสามีของเธอ เป็นพ่อของลูกที่เธอเป็นผู้ให้กำเนิด…เท่านั้นก็พอ”

ลีรอยลุกออกไปจากห้อง เขาคิดว่าไม่จำเป็นต้องกล่อมหล่อนอีก เขาได้เสนอทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่ายให้แล้ว เหลือแค่รอให้เบ็ตตี้ตัดสินใจในเร็ววันก่อนที่อะไร ๆ จะสายเกินแก้

พ้นออกมาจากห้องนอนของเบ็ตตี้ ลีรอยเกาะราวระเบียงนิ่ง มองไปยังทิวเขาเบื้องหน้าที่ทอดสลับซับซ้อนเป็นฉากสีน้ำเงินเขียว นับถอยหลังถึงวันที่ต้องจากลาผืนป่าและผู้คนที่นี่…โดยเฉพาะกับชายหนุ่มผู้นั้น

อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน ถ้าเขาจะไม่มีโอกาสได้กลับมาที่ปางไม้แห่งนี้อีก อย่างน้อยเขาก็ยังมี ‘ลูก’ ของคนที่เขารักไว้ดูต่างหน้า เป็น ‘ตัวแทน’ ของความรักและความระลึกถึงกัน

ลีรอยยอมแบกทุกข์ทั้งหมดในเรื่องนี้ไว้แต่เพียงผู้เดียว



Don`t copy text!