แก่นไม้หอม บทที่ 38 : หมากฝรั่งบุหรี่

แก่นไม้หอม บทที่ 38 : หมากฝรั่งบุหรี่

โดย : กิ่งฉัตร

แก่นไม้หอม นวนิยายออนไลน์ โดย กิ่งฉัตร ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ กับเรื่องราวที่จะทำให้คุณได้รู้ว่าผู้หญิงเป็นเมียและแม่ไม่ต่างจากแก่นไม้ที่แข็งแกร่ง มั่นคงและทรหดที่ยึดให้ใบได้แผ่กว้าง และหากโลกนี้เชื่อว่าผู้ชายเป็นใหญ่ แต่จริงๆ แล้วทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนเป็นหยินที่โอบหยางทั้งสิ้น

หลังจากเหตุการณ์เดือนตุลาที่สร้างปมในใจให้ฉื่อย้งและผู้คนอีกจำนวนมากในประเทศ  ความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกก็เปลี่ยนไปไม่น้อย  แม้ไม่ถึงจะเรียกว่าเลวร้าย  แต่ก็ไม่ได้สนิทสนมวางใจเหมือนแต่ก่อนคล้ายกับมีม่านบาง ๆ ขวางกั้นระหว่างคนทั้งคู่  ความไม่เชื่อใจความหวาดระแวงแม้จะมีอยู่เล็กน้อยแต่ก็นับว่ามี  ดังนั้นกุ้ยตียงและฉื่อย้งจึงปฏิบัติตัวเหมือนเว้นระยะห่างก้าวหนึ่ง

และอาจจะเพราะเรื่องนี้  หรือว่าเพราะฉื่อย้งโตเกินไปเวลาเรียนก็หนักมาก  กุ้ยเตียงจึงไม่ขอให้ลูกสาวคนโตช่วยสอนการบ้านน้อง ๆ  แต่เป็นฉื่อฮวงที่ผลการเรียนไม่เลวต้องรับหน้าที่คอยช่วยฉื่อกกที่เข้าเรียนชั้นประถมแล้วแทน

แม้ฐานะทางบ้านตอนนี้จะไม่มั่นคงมั่งคั่งเหมือนสมัยส่วงยังมีชีวิตอยู่  แต่กุ้ยเตียงก็ไม่เคยลดระดับโรงเรียนของพวกลูกชาย  ฉื่อไท่ฉื่อไช้เรียนที่ไหนฉื่อแชกับฉื่อกกก็ต้องเรียนที่นั่น  แม้ค่าเล่าเรียนจะสูง ค่าแป๊ะเจี๊ยะคนละเป็นหมื่นถึงหลายหมื่น  แต่หล่อนกับซิ่วเฮียงก็ช่วยกันหาเงิน ช่วยกันเก็บหอมรอมริบหามากันจนได้

ส่วนผลการเรียนของเด็กชายทั้งสามนั้นเป็นตามนี้  ฉื่อไช้พอใช้ได้  รอดตัวไปได้แบบสบาย ๆ แต่ไม่จัดว่าอยู่ในขั้นดี  ฉื่อแชเรียนเก่งกว่าพี่ชายทั้งสอง  พอมีหน้ามีตาอยู่บ้าง  ส่วนฉื่อกกนั้น…

“ตั้งใจเรียนให้มันมากกว่านี้ได้ไหมกก  สอนอะไรเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาหมด  ห่วงแต่เล่นอยู่นั่นแหละ  ตั้งใจทำการบ้านหน่อยเถอะ!”  ‘ครูพิเศษ’ บ่นอย่างอ่อนใจ

ฉื่อกกหัวดีแต่ห่วงเล่นห่วงดูโทรทัศน์  ไปโรงเรียนนอกจากไม่ตั้งใจเรียนแล้วยังเป็นหัวโจกพาเพื่อนไปเล่นซุกซน  กลับบ้านพอพี่สาวจ้ำจี้จำไชให้การบ้านเด็กชายก็แลบลิ้นปลิ้นตาหลอกก่อนวิ่งปร๋อไปลานมะเกลือเก่าเพื่อวิ่งเล่นกับเด็กแถวนั้นแล้ว  และแน่นอนว่าฉื่อกกเป็นหัวโจกเช่นเคย

ทุกเช้าที่ต้องไปเรียนหนังสือ  กุ้ยเตียงจะแจกเงินค่าขนมให้เด็ก ๆ  เด็กโตได้มากหน่อยเพราะที่โรงเรียนไม่จัดข้าวกลางวันให้ต้องซื้อหากันเอง  ส่วนเด็กเล็กที่ยังกินข้าวของทางโรงเรียนอยู่จะได้ค่าขนมพิเศษคนละ 1.50 บาท  ฉื่อกกลูกรักในฐานะลูกคนเล็กสุดได้พิเศษ 2 บาท

แต่หนึ่งบาทห้าสิบสตางค์ของคนอื่นอยู่ได้ทั้งวันแถมมีเงินเหลือเก็บใส่กระปุกหมู  ส่วนสองบาทของฉื่อกกหมดก่อนแท็กซี่ของอาเต็กมารับไปโรงเรียนเสียอีก  เขาข้ามไปยังร้านขนมที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ ร้านขายหมูออมสิน  ซื้อหมากฝรั่งบุหรี่ตราแมวไปคาบเล่นกับเพื่อน  ซื้อลูกโป่งวิทยาศาสตร์  ซื้อตุ๊กตายางหุ่นรบ  หมุนไข่สนุก ๆ ใช้เงินจนหมดแล้วรีบวิ่งไปขอม้าใหม่  ม้าออกไปร้านแล้วเขาก็ไปขอซิ่วเฮียง  สองแม่มักใจอ่อนกับเด็กเล็กสุดในบ้าน  ส่วนมากจะยอมควักเงินส่งให้อีก  เล่นเอาบรรดาพี่ ๆ บ่นกันอุบว่าแม่ ๆ ลำเอียง

ด้วยนิสัยรักเล่นไม่รักเรียนแบบนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่ผลสอบออกมาดูไม่ได้เลยจริง ๆ

ฉื่อกกเองก็นกรู้ที่สุด  พอกุ้ยเตียงถามหาสมุดพกที่ตอนนี้หล่อนพัฒนาความรู้ตัวเองจนอ่านรายงานของครูได้แล้ว  เด็กชายก็รีบยัดสมุดเล่มเล็กใส่มือม้าแล้ววิ่งจู๊ดหนีหายไปไม่เห็นแม้แต่เงา  หญิงสาวเปิดสมุดอ่านแล้วตัวสั่นด้วยความโกรธ  คว้าไม้เรียวขึ้นมาไล่ตีฉื่อฮวงเป็นพัลวัน

คนถูกตีร้องลั่นโวยวายว่า

“ม้าตีฮวงทำไม”

“ก็ลื้อไม่ดี  สอนน้องยังไงให้อีสอบตกทุกวิชา  ทำไมสอนให้ดี ๆ ไม่ได้หา  เป็นพี่ยังไงแค่นี้ก็ทำให้น้องไม่ได้!”

ด้วยเหตุน้องสอบตกตีพี่อันลือลั่น  หลังจากนั้นก็ไม่มีพี่คนไหนใครกล้าสอนฉื่อกกอีก  กุ้ยเตียงต้องจ้างครูพิเศษที่ชำนาญจริง ๆ มาสอนลูกชายคนเล็ก  ฉื่อกกกลัวครูเลยเรียนบ้างไม่เรียนบ้าง  ผลการเรียนจึงดีขึ้นเล็กน้อย  ไม่ถึงกับสอบตกแต่ยังคงรั้งตำแหน่งที่โหล่ของห้องอย่างเหนียวแน่น

ในช่วงฤดูหนาวปลายปี…งานเลี้ยงของสมาคมจีนสัมพันธ์ยังคงจัดอยู่และจัดที่เดิม  กุ้ยเตียงก็ต้องซื้อบัตรสองโต๊ะเหมือนสมัยที่ส่วงยังมีชีวิตอยู่เช่นเดิม  เรื่องซื้อโต๊ะนี้หลีมุ่ยเตือนน้องสามีด้วยความ ‘หวังดี’ ว่า

“เรื่องซื้อโต๊ะช่วยงานสมาคมตอนอาส่วงอยู่ซื้อแค่ไหนตอนนี้ก็ต้องซื้อเหมือนเดิมนะ  เคยทำยังไงต้องอย่างน้อยกว่าเก่า  ความสัมพันธ์ต้องรักษาไว้อย่าให้ขาดตอนเชียว  ลื้อเห็นตอนงานเตี่ยไหม  เพราะซื้อโต๊ะเหมือนเดิมคนสมาคมเลยมาช่วยเต็มที่  ทั้งจัดการเรื่องพิธีการ  ทั้งช่วยพับกระดาษทองทำโน่นทำนี่ผ่อนแรงลื้อไปตั้งเยอะ”

กุ้ยเตียงเบ้ปากอยากจะบอกว่าทางสมาคมไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยอย่างที่พี่สะใภ้หล่อนว่า  ต่อให้ไม่ซื้อโต๊ะทางสมาคมก็ช่วยสมาชิกอยู่แล้ว  แต่หลีมุ่ยตามเซ้าซี้ไม่เลิก  ถึงขนาดพูดว่า

“นี่อั๊วไม่ได้แช่งนะ  แต่บ้านเรามีคนแก่  พวกเราก็แก่เฒ่าลงทุกวัน  ถ้ารู้ว่ามีคนคอยช่วยอยู่มันอุ่นใจ”

น้องสามีทำเสียงเฮอะเบา ๆ อย่างดูถูก  อุ่นใจหรืออยากไปงานเลี้ยงเพราะหวังกินฟรีและรางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ กันแน่  แต่ด้วยความรำคาญและไม่อยากให้ซ้อหล่อนไปบ่นบ้าบอกับม้า  กุ้ยเตียงจึงยอมควักเงินซื้อโต๊ะสองโต๊ะตลอด

และเหมือนเช่นทุกปี  หลีมุ่ยจะพาลูกหลานมาเต็มที่  ของรางวัลประจำโต๊ะถ้าเป็นหมายเลขนั่งของบ้านโบ๊เบ๊หลีมุ่ยยึดหมด  เคยมีน้องสะใภ้เล็กดื้อดึงรับของมาแล้วเก็บใส่กระเป๋าตัวเอง  ซ้อใหญ่ของบ้านถามไม่เลิกไม่ราว่า

“ลื้อใช้หรือเปล่า  ถ้ามีแล้วเอาเข้าร้านดีกว่า  อั๊วจะไว้แจกเป็นของขวัญให้คนงาน  ของไม่กี่ตังค์แบบนี้ลื้อไม่ใช่หรอก  เก็บไว้ฝุ่นจับเปล่า ๆ ให้คนที่เขาไม่มีดีกว่า  คนรับเขาดีใจ  ทางร้านก็ไม่ต้องควักเงินกงสีซื้อของให้เด็กมัน”

พูดวนอย่างนี้จนน้องชายคนเล็กของบ้านสะกิดเมียให้ส่ง ๆ ของให้ซ้อไปจะได้จบ ๆ เรื่อง

แต่พอปีหนึ่งรางวัลสร้อยคอทองคำหนักห้าสิบสตางค์ออกตรงหมายเลขที่อาเหมยหรือลดาวัลย์ ‘ลูกสาวคนเล็ก’ ของหลีมุ่ย  ซ้อใหญ่ของบ้านกลับเก็บรางวัลเข้ากระเป๋ามิดชิด  หล่อนบอกกับทุกคนว่า

“ของหลาน  เก็บไว้ให้เหมยมันโตขึ้นมันจะได้มีทองหยองใส่ติดตัวบ้าง”

ข้ออ้างหน้าด้าน ๆ แบบนี้ทำให้พวกน้องชายน้องสะใภ้เบ้ปากซุบซิบนินทากันไปพักใหญ่  แต่ทั้งหมดขี้เกียจมีปัญหากับความหน้าด้านหน้าทนของหลีมุ่ย  จึงทน ๆ กันไปไม่แย้งอะไร

ปีนี้กุ้ยเตียงซื้อโต๊ะในงานเลี้ยงสมาคมสองโต๊ะเช่นเคย  แบ่งไปเลยว่าโต๊ะผู้ใหญ่โต๊ะเด็กโต๊ะ  โต๊ะผู้ใหญ่คนจากบ้านลานมะเกลือมาสี่คนคือกุ้ยเตียง  ซิ่วเฮียง เง็กซิมและเหง็กลั้ง  ที่เหลือเป็นที่ของบ้านโบ๊เบ๊  มีหลีมุ่ย  หมุยเจ็งกับน้องชายน้องสะใภ้สองคู่  งานนี้เด็กรุ่นโตของทั้งสองบ้านไม่ยอมมาเพราะเบื่องานเลี้ยงที่เหมือนเดิมทุกปี

ส่วนโต๊ะเด็กนั้นฉื่อไช้ที่โตสุดหัวหมุนไปหมดเพราะต้องดูและน้อง ๆ หลายคนจากทั้งสองบ้าน  แม้ทางบ้านโบ๊เบ๊จะมีพี่เลี้ยงตามมาด้วยคนหนึ่ง  แต่เด็กแปดคนส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวไม่มีใครยอมใครนับว่าน่าปวดหัวไม่น้อย  ทว่าหนึ่งในเด็กแปดคนนี้ คนหนึ่งเป็นเด็กน้อยแปลกหน้า  เด็กหญิงวัยอ่อนกว่าฉื่อกกและเหมยเล็กน้อย  ผิวดำ  ตาดำกลมโต  ใบหน้าเรียวแหลมรูปร่างผอม  หนูน้อยสวมเสื้อเก่าของเหมยที่หลวมโพรก

เหมยชอบใส่ชุดสีชมพูระบายผ้าแก้วฟูฟ่อง  ตอนเด็กหญิงผิวขาวตัวอวบ  ผมมัดจุกผูกโบว์สีเดียวกับเสื้อสวมใสก็ดูน่ารักน่าเอ็นดูเหมือนตุ๊กตา  แต่ชุดเดียวกันในร่างของเด็กหญิงผิวดำตัวผอมมีแค่เนื้อหุ้มกระดูก  เสื้อกับคนสวมเหมือนไปคนละทาง  ดูน่าเวทนามากกว่าน่ารัก

กุ้ยเตียงมอง ๆ แล้วรู้สึกคุ้นหน้าเด็กน้อยอยู่  แต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน  เลยเดาเอาว่าน่าจะเป็นลูกคนงานในร้านที่หลีมุ่ยพามาเพื่อยึดเก้าอี้ของรางวัล  ทว่าระหว่างจะเลิกสนใจหมุยเจ็งที่มองตามสายตาลูกสาวก็เอ่ยขึ้นว่า

“เด็กนั่นลูกสาวอาสู่น้องชายคนเล็กของอามุ่ยไง”

หญิงสาวรวมถึงซิ่วเฮียงที่อยู่ข้าง ๆ หันไปมองเด็กน้อยผิวดำโดดเด่นคนเดียวบนโต๊ะข้าง ๆ ด้วยความตกใจแกมเวทนา

ลูกสาวหลีสู่ชื่อปาหนันหรือยู้ มีชีวิตน่าสงสาร  หนึ่งปีก่อนหลังครบรอบ 1 ปีเหตุการณ์ 6 ตุลาคมได้ไม่กี่วัน  ยายของเด็กน้อยก็เสียชีวิตจากโรคไต  หลีสู่และภรรยาจัดการงานศพแล้วเดินทางลงใต้เพื่อไปจัดการเรื่องมรดก

ตอนนั้นปาหนันอายุเพิ่งห้าขวบเศษ  หลีสู่ไม่อยากพาลูกสาวตัวน้อยไปด้วย  ไม่อยากให้ลูกเห็นปัญหาความขัดแย้งเรื่องเงินทองระหว่างญาติพี่น้อง  จึงจำใจฝากเด็กน้อยไว้กับม้าของตน

อาม่าของปาหนันไม่ชอบแม่เด็ก  เลยพาลไม่ชอบลูกด้วย  ยิ่งเป็นหลานสาวยิ่งขัดตา  แต่ด้วยความรักลูกชายคนเล็กทำให้ต้องยอมรับเลี้ยงหลานคนนี้อย่างเสียไม่ได้

ใครจะไปนึกว่ารับเลี้ยงสามวันจะกลายเป็นต้องรับเลี้ยงตลอดไป  เพราะรถทัวร์ที่สองสามีภรรยานั่งไปเกิดพลิกคว่ำ  หลีสู่กับภรรยา…คนหนึ่งเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ อีกคนไปเสียที่โรงพยาบาล  ญาติพี่น้องทางฝั่งภรรยาช่วยส่งศพของทั้งคู่มากรุงเทพฯ  จากนั้นก็หนีหายไม่สนใจไยดี  ไม่มีใครสนใจเด็กน้อยปาหนันขนาดจะถามยังไม่มีใครสนใจถามถึง  ทรัพย์สินทั้งที่ดินและข้าวของเงินทองที่หลีสู่กับภรรยาลงไปหมายจะจัดการก็มลายหายไปชนิดที่ไม่มีใครรู้เห็น

อากงอาม่าของเด็กหญิงทั้งเสียใจและเจ็บใจ  ลูกชายตายเงินทองบ้านลูกสะใภ้ก็ไม่กล้าไปฟ้องร้องเรียกมา  แถมมีตัวภาระเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง

ตัวภาระขนาดเล็กนี้สร้างปัญหาจริง ๆ เพราะอาแปะ…ลุงคนโตของปาหนันชังหลีสู่มาตั้งแต่เด็ก  เขาไม่พอใจที่เตี่ยกับม้ารักลูกชายคนเล็กมากกว่าลูกชายคนโต  วัน ๆ ชมแต่ว่าอาสู่เรียนเก่ง  อาสู่ดีอย่างนั้นดีอย่างนี้  เปรียบเทียบด่าว่าลูกคนอื่นกับลูกชายคนเล็กตลอด  ฝากความหวังทุกอย่างไว้กับโซ๊ยตี๋

หลีสู่ก็ทำตัวเป็นผู้รู้ที่เหนือกว่าพี่ ๆ จริง ๆ ไม่ว่าใครทำอะไรผิดพลาดก็ดักคอและกล่าวตำหนิแบบไม่ไว้หน้า  หลีมุ่ยนั้นเป็นลูกสาวที่ถูกสอนเรื่องผู้ชายเป็นใหญ่มาตลอดเลยไม่ได้รู้สึกต่อต้านอะไรน้องชายคนเล็กนัก  แค่หมั่นไส้บ้างโมโหบ้างเป็นความสัมพันธ์แบบทั้งรักทั้งชัง  แต่พี่ชายคนโตกลับจำเจ็บอย่างหนัก  ฝังใจว่าเขาเป็นลูกชายคนโตแท้ ๆ แต่กลับถูกลดค่าลงอย่างน่าเจ็บปวด  ความสัมพันธ์ระหว่างพี่ชายน้องชายจึงเป็นแบบชังไม่มีรัก  ดังนั้นอาแปะของปาหนันที่ตอนนี้รับหน้าที่ดูแลอากงอาม่าเต็มตัวจึงยืนกรานว่า

“ไม่เลี้ยง  ม้าจะเอาเด็กนั่นไปให้ใครเลี้ยงก็เอาไป  แต่อั๊วไม่เลี้ยง  เงินทองอั๊วหามาลำบาก  เอาไปเลี้ยงหมูเลี้ยงหมายังดีกว่าเลี้ยงเด็กนั่น!”

อากงอาม่าตกใจกับความแค้นฝังใจของลูกชายคนโต  แต่ทั้งคู่เกรงใจจนถึงระดับกลัวลูกชายคนโตที่ดูถูกดูแคลนมาตลอด  ดังนั้นตัวภาระจึงถูกส่งต่อไปยังหลีมุ่ย

กุ้ยเตียงกับซิ่วเฮียงเคยไปงานศพของหลีสู่กับภรรยา  เคยเห็นลูกสาวคนเดียวของทั้งคู่  จำได้ว่าตอนนั้นแม้จะอยู่ในช่วงตระหนกและเศร้าเสียใจกับการจากไปของเตี่ยและแม่  แต่เด็กหญิงปาหนันก็ยังดูดีกว่านี้มาก  มีเนื้อหนังมากกว่านี้  หน้าตาดูสดใสกว่านี้  เสื้อผ้าที่สวมก็พอดีตัวไม่หลวมโพรกพรากขนาดนี้

“ไอ๊หยา  ทำไมเด็กมันผอมลงไปขนาดนี้”  กุ้ยเตียงทักตามตรง

หลีมุ่ยหยุดคีบอาหารเข้าปาก  โบกมือบอกอย่างไม่ใส่ใจนักว่า

“อีเลือกกิน  แม่มันเลี้ยงมาแต่อาหารไทย  พอมาเจออาหารที่บ้านก็ดัดจริตกินไม่ได้  นี่ขนาดอั๊วให้กินข้าวเหมือนอาเหมย  มันยังไม่ยอมกิน  วันนี้ที่พามาก็หวังว่ามันจะกินอะไรมากขึ้น”

หญิงสาวพูดเพราะเชื่อตามนั้นจริง ๆ  หล่อนรับลูกน้องชายมาเลี้ยง  ทั้งที่กินที่อยู่ให้เสื้อผ้าสวมใส่เท่านี้ก็คิดว่าดีถมถืดแล้ว  ไม่เคยตามสนใจว่าปาหนันนั้นต้องนอนพื้นห่มผ้าห่มบาง ๆ หน้าเตียงนอนของเหมย  เสื้อผ้าที่ต้องรับทอดจากเหมยไม่เคยพอดีตัวแต่ไม่มีใครสนใจแก้ไขให้  อาหารก็ต้องกินหลังเหมยกินอิ่มแล้วไม่ได้กินพร้อมกัน

เหมยเป็นเด็กกินเก่ง  แถมเลือกกินแต่กับกินแต่เนื้อสัตว์  ดังนั้นกับข้าวที่เหลืออยู่ทุกมื้อจึงมีแค่ผัดผักหรือน้ำแกงใสโจ๋งเจ๋งให้ปาหนันกินต่อ  พี่เลี้ยงเด็กเห็นอยู่แต่ไม่พูดอะไร  ไม่ใส่ใจด้วยเพราะหน้าที่หล่อนคือดูแลอาเหมย  ไม่ใช่ดูแลเด็กที่ถูกส่งทอดต่อมาแบบนี้

นอกจากเรื่องอาหารการกินแล้ว  สิ่งที่แตกต่างระหว่างเหมยกับยู้คือการทำงาน  เหมยไม่เคยต้องหยิบจับทำอะไรเลย  หลีมุ่ยเลี้ยงลูกสาวคนนี้อย่างดี…เคยตามใจพวกลูกชายมากแค่ไหน  เหมยก็ได้รับการตามใจไม่ต่างกันแม้แต่น้อย  ขนาดลูกชายคนโตพ่อแท้ ๆ ของเหมยยังบ่นว่า

“ม้าให้ท้ายเหมยมันเกินไปแล้ว  ไม่ได้ดังใจอะไรก็ลงดิ้นร้องกรี๊ด ๆ เสียเด็กหมดแล้ว”

หลีมุ่ยฟังแล้วโมโหชี้หน้าลูกชายโต้กลับว่า

“อั๊วก็เลี้ยงอาเหมยเหมือนที่เลี้ยงพวกลื้อนั่นแหละ  ลื้อโตมาได้ดีอาเหมยก็ต้องดีเหมือนกัน  และต้องดีกว่าพวกลื้อด้วยเพราะพวกลื้อทุกคนต้องช่วยกันดูแลน้อง”

และเพราะทุกคนต้องช่วยกันดูแล  เหมยจึงไม่ทำอะไรเลย  ตื่นเช้าไปโรงเรียน  เย็นกลับมาทำการบ้านเสร็จก็นอนดูโทรทัศน์จนถึงเวลานอน

ตรงกันข้ามกับยู้ที่ตื่นเช้ามาก็ต้องจัดเตรียมเสื้อผ้าให้เหมยแจ้แต่งตัวไปโรงเรียน  ทำแม้แต่หิ้วกระเป๋านักเรียนไปส่งอีกฝ่ายที่รถ  จากนั้นถึงได้อาบน้ำแต่งตัวเดินไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนใกล้บ้าน  เลิกเรียนกลับมาต้องกวาดบ้านถูกบ้านชั้นสองและชั้นสาม  เสร็จแล้วขึ้นไปช่วยคนงานเก็บพับหรือรีดเสื้อผ้าที่จะขาย  หัวค่ำถึงจะได้ลงมากินข้าวที่เหมยเหลือทิ้งไว้  จะอิ่มหรือไม่อิ่มก็ไม่มีสิทธิบ่นแล้วจึงอาบน้ำนอนวันหยุดเสาร์อาทิตย์เด็ก ๆ แถวตลาดโบ๊เบ๊จับกลุ่มเล่นสนุกสนานกัน  แต่เด็กน้อยยู้ต้องช่วยงานร้านอยู่ชั้นสี่ตั้งเช้าจรดเย็น

ด้วยเพราะเหตุนี้ระหว่างเหมยที่อ้วนเอา ๆ ยู้กลับผอมบางราวกับว่าลมพัดปลิวได้

แต่หลีมุ่ยที่ไม่รู้หรือแสร้งทำเป็นไม่รู้สภาพชีวิตในบ้านของหลานสาวกลับโทษเด็กได้หน้าตาเฉยว่า “มันไม่กินเอง  อั๊วก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน  โต ๆ แล้วใครจะมัวไปนั่งเอาใจป้อนเข้าปากทีละคำกัน”

อีกครั้งที่กุ้ยเตียงกับซิ่วเฮียงสบตากัน  สองแม่ช่วยกันเลี้ยงเด็กเจ็ดคน  มีหรือจะไม่รู้ว่าเด็กไม่กินข้าวกับเด็กไม่มีข้าวจะกินนั้นแตกต่างกันอย่างไร  เพียงแต่ว่าเรื่องบ้านอื่นครอบครัวคนอื่นบางทีก็ยากที่จะยื่นมือเข้าข้องเกี่ยว  กุ้ยเตียงได้แต่คิดว่าเดี๋ยวคงต้องกำชับม้าให้หาขนมหาของอะไรหนักท้องให้เด็กมันหน่อย  ถึงไม่ใช่ลูกใช่หลานก็เป็นชีวิตหนึ่งเหมือนกัน  เลี้ยงให้ผอมโซแบบนี้น่าเวทนาเกินไปแล้ว

ระหว่างที่ผู้ใหญ่คิดแต่ยังไม่ลงมือทำอะไร  โต๊ะเด็กก็มีเรื่องวุ่นวายเล็กน้อย  ต้นเหตุเกิดจากกุ้งครีมสลัดตัวเดียว

กุ้งตัวใหญ่สิบตัวชุบแป้งทอดจนพองกรอบสีเหลืองอ่อนสวยราดด้วยครีมสลัดเนื้อข้นหวานมัน  เวลากัดเต็มคำจะได้รสทั้งแป้งที่กรอบเนื้อกุ้งสดเด้งและความหวานหอมน้ำสลัด  ทันทีที่บริกรวางจานลงกลางโต๊ะ  มือน้อย ๆ ก็แย่งกันตักไปคนละตัว  เรื่องกินเหมยถนัดสุด  คนอื่นแค่กัดคำเดียว แต่กุ้งในมือเด็กหญิงเหลือแต่หางแดง ๆ แล้ว

เคี้ยวกลืนเรียบร้อยเหมยเลียริมฝีปากอย่างชอบใจ  ก่อนหันไปบอกพี่เลี้ยงเสียงดังว่า

“เหมยจะกินอีกตัว”

พี่เลี้ยงที่รู้จักเด็กที่ตัวเองดูแลดีรีบกัดกุ้งส่วนของตัวเองคำโตก่อนบอก

“พี่กัดของพี่แล้ว  เหมยอย่ากินของเหลือเลยนะ  เอาตัวใหม่ดีกว่า”

ตัวใหม่ที่ว่าเหลือเพียงตัวเดียวบนจาน  ยู้เกรงใจไม่กล้าเอื้อมมือไปตักกุ้งเหมือนเด็กคนอื่น  อยากกินแต่ตอนนี้ได้แต่มอง ไม่กล้าเอื้อมมือไปตักกลัวพี่เลี้ยงของเหมยจะตีมือเอา

พี่เลี้ยงขยับตัวจะตักกุ้งที่เหลือให้เหมย  แต่ฉื่อไช้ที่ม้าสั่งมาให้ดูแลน้อง ๆ ทุกคนในโต๊ะอาหารขัดขึ้นก่อนว่า

“กุ้งเขาให้มาพอดีคน  คนละตัว  เหมยกินแล้วเดี๋ยวรอกินเป็ดเถอะ  อร่อยเหมือนกัน”  เด็กชายกล่อมพร้อมบอกรายการอาหารได้เพราะเหมือน ๆ กันแทบทุกปี  พวกเด็กรุ่นโตจึงหนีหายกันหมด  เบื่ออาหารซ้ำเดิม ๆ

แต่เหมยยังไม่หวังน้ำบ่อหน้า  หล่อนชอบกุ้งแบบนี้  หล่อนอยากกินและจะต้องได้กิน

พี่เลี้ยงไม่กล้าตักให้  มือป้อม ๆ ยื่นไปที่จานกุ้งกลางโต๊ะ  แต่ยังไม่ทันถึงตัวกุ้ง  ตะเกียบในมือฉื่อกกก็ปักฉึกลงบนตัวกุ้ง  ปากประกาศว่า

“ไม่ได้  กินกันคนละตัวพอ  ของใครของมัน  กินมากไปเป็นคนตะกละอ้วนเป็นหมูตอน”

เหมยฟังคำของศัตรูคู่อาฆาตเก่าแล้วโกรธจนร่างกลมเล็ก ๆ แทบจะระเบิดออก  เด็กน้อยร้องว่า

“เหมยจะกิน  เหมยจะกิน”

ฉื่อกกไม่ฟังเสียง  เสียบกุ้งจากจานแล้วส่งให้ยู้  เด็กหญิงตาโตมองด้วยความตกใจระคนซาบซึ้ง  ตั้งแต่เตี่ยกับแม่จากไปไม่เคยมีใครทำดีกับหล่อนมาก่อน  อากงอาม่าเหมือนไม่เห็นหล่อนอยู่ในสายตา  อาโกวรับหล่อนมาเลี้ยงแต่บ่นว่าอย่างหงุดหงิดทุกครั้งที่เห็นหน้าหล่อน  เด็ก ๆ ในบ้านโบ๊เบ๊กลั่นแกล้งหล่อนพี่เลี้ยงเด็กและคนงานแอบตีหล่อนบ้าง  หยิกบ้าง  อาโกวทำเหมือนไม่รับรู้มองไม่เห็น  ปล่อยให้ยู้เป็นที่ระบายอารมณ์ของคนในบ้านโบ๊เบ๊  ทั้งบ้านนั้นมีเตี๋ยท่งกับอาม่าเท่านั้นที่มองหล่อนด้วยสายตาเวทนา  บางทีอาม่าก็แอบยื่นขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้สั่งให้รีบกินก่อนเหมยจะเห็น  แต่โดยรวมแล้วชีวิตของยู้ในบ้านโบ๊เบ๊แห้งแล้งและไร้คนเมตตา

ดังนั้นพอมีคนแปลกหน้าปกป้องหล่อน ทั้งฉื่อไช้พูดออกหน้าให้แถมฉื่อกกยังแย่งเหมยตักกุ้งให้หล่อน  เด็กหญิงซึ้งใจจนบอกไม่ถูก

ยู้ไม่รู้เลยว่าจริง ๆ แล้วฉื่อไช้ทำตามหน้าที่ที่ม้ามอบหมายให้  ส่วนฉื่อกกนั้นแค่ไม่ถูกชะตากับเหมยและอยากเล่นงานอีกฝ่าย  อันที่จริงถ้าอยู่บ้านเด็กชายก็วางอำนาจถืออภิสิทธิ์ได้ของกินของใช้เหนือกว่าพี่ ๆ เหมือนกัน  แบบที่ว่ามีรถขายทุเรียนเข็นผ่านหน้าบ้าน  กุ้ยเตียงซื้อทุเรียนให้เด็ก ๆ ในบ้านกิน  ฉื่ออื่น ๆ ได้กินกันคนละหนี่งเม็ดแต่ฉื่อกกพิเศษได้สองเม็ด  ทำกันแบบนี้เป็นเรื่องปกติ

แต่ที่ไม่ปกติคืนนี้เพราะฉื่อกกนั้นเป็นเด็กฉลาดค่อนไปทางเจ้าเล่ห์  เขามีเหลี่ยมกว่าเหมยที่อายุเท่า ๆ กัน  รู้ว่าในบ้านจะแสดงฤทธิ์แสดงเดชอย่างไรก็ได้  แต่พอออกนอกบ้านต้องมีมาด  ทำตัวดีให้คนอื่นที่ไม่ใช่คนในบ้านชื่นชมเอ็นดู

อีกทั้งเขากับเหมยตีกันพัลวันแทบทุกงานที่เจอหน้ากัน  ดังนั้นการช่วยเด็กยู้คือการเล่นงานเหมยในทางหนึ่ง  เรียกได้ว่างานนี้นอกจากจะแสดงตัวเป็นคนดีพยุงความยุติธรรมแล้วยังสะใจที่เห็นยายเด็กอ้วนแทบลงไปนอนดิ้นเพราะไม่ได้ดังใจอีกด้วย

ฮิฮิ…

เด็กอ้วนกรีดร้องอย่างไม่พอใจจริง ๆ  ยิ่งเห็นฉื่อกกพยายามเอากุ้งยัดใส่ปากยู้  เหมยยิ่งโกรธ  รู้สึกถูกหยามจนทนไม่ได้  หล่อนจึงโดดลงจากเก้าอี้ตรงไปควักกุ้งออกจากปากยู้  โยนลงพื้นแล้วกระทืบ ๆ จนแหลก

ของอะไรที่หล่อนอยากกินแต่ไม่ได้กิน  คนอื่นก็อย่าหวังว่าจะได้กิน!

ที่สำคัญแย่งของคนอื่นมาเหยียบแล้วยังร้องไห้โฮ ๆ ลั่น

เด็กคนอื่น ๆ ในโต๊ะนิ่งไปด้วยความตกใจ  ผิดกับหลีมุ่ยที่ว่องไวอย่างไม่น่าเชื่อ  หล่อนลุกมาหาลูกสาวถามเสียงแหลมว่า

“อาเหมยเกิดอะไรขึ้น”

เหมยชี้นิ้วเร่า ๆ ไปที่ยู้  ร้องว่า

“ม้า  ยู้แย่งกุ้งเหมย”

หลีมุ่ยไม่ถามอะไรใครทั้งนั้น  ฟังจบปุ๊บก็ฟาดบ่าผอมบางของหลานสาวไปทีอย่างไม่เบานัก  ดุว่า

“ลื้อไปแย่งของพี่เขาได้ไง  นิสัยไม่ดีเหมือนแม่มันไม่มีผิด”

พี่เลี้ยงเหมยและเด็ก ๆ จากบ้านโบ๊เบ๊มองเฉย ๆ เพราะคุ้นเคยกับภาพแบบนี้ดี  แต่เด็กบ้านลานมะเกลือนิ่งอึ้งตะลึงกันไปหมด  แน่นอนว่าสองแม่บ้านลานมะเกลือก็ลำเอียงกันไม่น้อย  กุ้ยเตียงก็ตีฉื่อฮวงข้อหาสอนน้องยังไงให้สอบตกมาแล้ว  แต่การตีคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลยเพื่อคนผิดแบบนี้  แถมตีโดยไม่ถามไถ่อะไรสักคำแบบนี้…เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก

แถมคนผิดยังยิ้มเยาะด้วยความสะใจ  ฉื่อฮวนมองไปทางน้องชายคนเล็กที่ตะลึงไปเหมือนกันแล้วยิ้มเยาะ  ไงล่ะ…ฝีมือยายเด็กเหมยคนนี้เหนือกว่าลื้อเยอะ!

หลีมุ่ยกลับโต๊ะแล้ว  ก่อนกลับยังดุพี่เลี้ยงเด็กว่าดูแลลูกสาวหล่อนไม่ดีแถมขู่ว่าถ้ามีปัญหากันอีกจะไล่ให้กลับบ้านก่อนทั้งหมด  อาหารดี ๆ ขนมหวานที่รออยู่ไม่ต้องกินกันแล้ว

เด็ก ๆ ในโต๊ะนั่งกันเงียบ  มีเพียงเหมยที่ตักอาหารจานถัดไปกินอย่างอร่อย

ยู้เองก็นั่งเงียบ  แถมยังก้มหน้างุด ๆ น้ำตาร่วงเม็ดโตร่วงเผาะ ๆ  ถามว่าเจ็บไหมก็เจ็บนะแต่หล่อนชินกับการถูกตีแล้ว  แต่ที่เหนือกว่าเจ็บคือความอับอาย  อายและโกรธที่อาโกว่าแม่หล่อนอย่างไม่เป็นธรรมต่อหน้าคนอื่น ๆ

แม่ไม่เคยแย่งของใคร  ไม่เคยลักขโมย  แม่ยู้ดีแสนดีที่สุด  แต่พอแม่ตายยู้กลับพูดอะไรเกี่ยวกับแม่ไม่ได้เลย  ต้องปล่อยให้อาโกวอากงอาม่ารวมถึงญาติฝั่งเตี่ยด่าว่าแม่  โทษแม่ทุกอย่างไม่เว้นแม้กระทั่งการตายของเตี่ย

แม่จ๋า…ยู้คิดถึงแม่เหลือเกิน…

เด็กหญิงคิดว่าเด็กบ้านลานมะเกลือคงจะหัวเราะหรือดูถูกหล่อนเหมือนเหมยหรือเด็กคนอื่น ๆ จากบ้านโบ๊เบ๊  แต่ระหว่างที่สะอื้นอยู่ฉื่อฮวงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็ตักเป็ดชิ้นใหญ่ใส่จานให้หล่อนโดยไม่พูดอะไรสักคำ  ฉื่อแชที่เป็นหนุ่มน้อยหน้าตาดีที่สุดในโต๊ะเรียกบริกรขอน้ำหวานให้  ฉื่อไช้บอกเบา ๆ ว่า

“กินเถอะ  กินเยอะ ๆ ของมีอีกเยอะไม่ต้องห่วง”

ยู้กินอาหารตรงหน้าพร้อมน้ำตา  แต่คราวนี้เป็นน้ำตาของความตื้นตันใจ  เด็กน้อยกินโดยไม่สนใจอาการฮึดฮัดของเหมยหรือสายตาไม่พอใจของพี่เลี้ยงเด็กที่ยังโมโหเรื่องถูกหลีมุ่ยเอ็ด

กระทั่งถึงเวลาของหวานขึ้นตั้งโต๊ะ  ห้องจัดงานว่างไปเกินครึ่งเพราะรางวัลออกไปหมดแล้วและผู้ร่วมงานเลี้ยงทยอยกันกลับ  หลีมุ่ยเองก็จะกลับแล้ว  อยู่ไปไม่มีประโยชน์  ปีนี้ไม่รู้ใครก้าวเท้าลงจากเตียงผิดด้านสองโต๊ะจึงพลาดรางวัลใหญ่  โต๊ะผู้ใหญ่ได้มาแค่กระติกน้ำแข็งเล็ก ๆ อันเดียวส่วนผ้าขนหนูเนื้อหยาบที่แจกให้ทุกโต๊ะที่ร้านขายถมถืดไปผืนละไม่กี่สตางค์  เมื่อหมดหวังหญิงสาวจึงเร่งยิก ๆ ให้ทุกคนกลับ

พี่เลี้ยงฉวยโอกาสที่เด็ก ๆ ต้องไปลาผู้ใหญ่รีบกวาดลิ้นจี่สองลูกในถ้วยของยู้เข้าปาก  กินหมดในคำเดียวแล้วเช็ดปากทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

ยู้ก้มหน้าไม่กล้าหืออือหรือค้าน  รู้ดีว่าถ้าเอะอะขึ้นมากลับไปคงถูกพี่เลี้ยงเด็กแอบหยิกแอบตีแน่นอน  แต่คาดไม่ถึงว่าจู่ ๆ ก็มีซองหมากฝรั่งบุหรี่มีรูปแมวดำด้านหน้ายับ ๆ ยื่นมาตรงหน้า

“ฉันให้กินแทนกุ้งนะ”

ยู้ยังลังเล  ฉื่อกกจึงคะยั้นคะยอว่า

“เอาไปเถอะ  แต่เหลือแค่สองอันเท่านั้นนะ  นอกนั้นฉันกินหมดแล้ว”

เด็กหญิงรับซองยับยู่มา  อาศัยที่ไม่มีใครมองรีบเก็บใส่กระเป๋ากระโปรงอย่างรวดเร็วพร้อมเอ่ยขอบใจเด็กชายเบา ๆ

ฉื่อกกไม่สนใจคำขอบใจ  พอแจกขนมให้ ‘เด็กดำ’ เสร็จก็วิ่งไปหาม้าไปลาอาม่าเตรียมกลับบ้าน

เขาไม่รู้เลยว่าเด็กดำตัวน้อยนั้นหวงแหนหมากฝรั่งบุหรี่สองมวนมากแค่ไหน  ตั้งใจไว้ว่าจะเก็บไว้นาน ๆ  แต่เพราะความหิวทำให้จำต้องหยิบมากินทีละอัน ๆ  บุหรี่หนึ่งมวนหวานมากเหลือเกิน  ทั้งหวานทั้งทำให้หายหิว  ยู้เคี้ยวช้า ๆ อยู่ครึ่งค่อนวันจนไม่หลงเหลือความหวานจึงยอมคายออก

แม้หมากฝรั่งจะหมดไปแล้วแต่ความประทับใจของเด็กหญิงที่มีต่อเด็ก ๆ บ้านลานมะเกลือ  โดยเฉพาะกับหนุ่ม ๆ สามฉื่อไม่เคยเลือนหายไปจากใจ

น่าเสียดายที่ปาหนันหรือยู้ไม่มีโอกาสได้พบกับเด็ก ๆ บ้านนั้นอีกจนกระทั่งหล่อนโตเป็นสาว

 



Don`t copy text!