
แก่นไม้หอม บทที่ 43 : รอยร้าว
โดย : กิ่งฉัตร
แก่นไม้หอม นวนิยายออนไลน์ โดย กิ่งฉัตร ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ กับเรื่องราวที่จะทำให้คุณได้รู้ว่าผู้หญิงเป็นเมียและแม่ไม่ต่างจากแก่นไม้ที่แข็งแกร่ง มั่นคงและทรหดที่ยึดให้ใบได้แผ่กว้าง และหากโลกนี้เชื่อว่าผู้ชายเป็นใหญ่ แต่จริงๆ แล้วทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนเป็นหยินที่โอบหยางทั้งสิ้น
กุ้ยเตียงผิดสัญญา…
หลังจากนอนพัก ‘ดูอาการ’ อยู่สี่ชั่วโมงเศษ ยังไม่ทันส่งต่อไปโรงพยาบาลที่ใหญ่กว่าหรือวางแผนการผ่าตัดใด หญิงสาวก็จากไปอย่างสงบ แพทย์ชันสูตรลงความเห็นว่าเสียจากอาการเส้นเลือดในสมองแตกเฉียบพลัน
ตลอดเวลาตั้งแต่ล้มลงจนหมดลมหายใจ กุ้ยเตียงไม่ได้ลืมตาขึ้นเลย ไม่แม้แต่จะได้ยินเสียงร้องไห้ของซิ่วเฮียงและลูก ๆ ของทั้งสองบ้าน ฉื่อไท่กับภรรยาที่รู้ข่าวและรีบตามมาโรงพยาบาล…มาเกาะตาแดง ๆ ร้องเรียกม้า ๆ อยู่ข้างเตียง แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว
งานศพของกุ้ยเตียงจัดที่วัดหัวลำโพงเหมือนงานของส่วง แต่ศาลาเล็กกว่าและแขกที่มาวันแรก ๆ ส่วนใหญ่มีเพียงญาติพี่น้องเท่านั้น เด็ก ๆ บ้านลานมะเกลือกับสองหนุ่มบ้านต้นชมพู่นั่งเรียงรายกันเป็นพระอันดับ แต่ละคนหูตาแดงร้องไห้กันมาทั้งคืน ฉื่อกกยังร้องหาม้าจะหาม้าอยู่เป็นระยะ เขาไม่ยอมเชื่อว่าม้าที่เพิ่งนั่งกินข้าวกันพูดคุยกันอยู่ดี ๆ นาทีหนึ่ง อีกนาทีจะล้มลงกองกับพื้นและไม่ฟื้นขึ้นมาอีก ม้าจะไม่อยู่แล้วได้ยังไง เพิ่งคุยกันอยู่ชัด ๆ
“ม้า กกจะหาม้า…”
ฉื่อเพียวต้องกอดน้องชายไว้เพื่อปลอบโยน ทั้ง ๆ ที่เด็กหญิงเองก็หวาดกลัวจับใจเหมือนกัน
หมุยเจ็งที่รู้ข่าวร้ายของลูกสาวคนเดียวเสียใจจนลมจับ รู้ตัวก็ร้องไห้จนเป็นลมไปสองสามรอบกว่าจะตั้งสติได้และมางานลูกสาวด้วยสภาพที่ไร้ชีวิตจิตใจ บรรดาพี่ชายน้องชายและสะใภ้รวมไปถึงหลาน ๆ ก็มางานกันหมดตั้งแต่วันแรก ๆ
ในตอนแรกซิ่วเฮียงยังนึกว่าหลีมุ่ยอาจจะไม่พอใจที่กุ้ยเตียงจากไปก่อนงานมงคลของลูกชายหล่อนไม่กี่วัน แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้วหลีมุ่ยกลับเป็นสะใภ้คนเดียวของบ้านโบ๊เบ๊ที่เสียใจกับการตายของน้องสามีคนนี้ที่สุด หล่อนร้องไห้จนตาแดงจมูกแดงไปหมด บ่นกับโลงศพว่า
“ทำไมลื้อรีบไปนัก ทำไมไม่อยู่เป็นเพื่อนอั๊วก่อน อาเตียงเอ๊ย…หลับให้สบายนะไม่ต้องห่วงอะไรทางนี้ ลูก ๆ ลื้ออั๊วจะดูแลให้เองไม่ให้ใครเขารังแก”
หลีมุ่ยกอดปลอบเด็ก ๆ บ้านลานมะเกลือทุกคน แถมยังมีเมตตาตบบ่าเด็กชายสองคนจากบ้านต้นชมพู่ด้วย
กุ้ยเตียงนั้นเสียในเวลาหลังเที่ยงคืนแต่ยังไม่ถึงเช้า ตามความเชื่อเรื่องเวลาการตายของคนจีนที่เทียบเวลาตายกับเวลากินอาหารสามมื้อนั้น การตายหลังเที่ยงคืนเท่ากับว่ากุ้ยเตียงจากไปโดยยังไม่ได้กินอะไร และทิ้งอาหารทั้งสามมื้อหรือบุญกุศลและทรัพย์สมบัติไว้ให้ลูกหลานเบื้องหลังทั้งหมด ดังนั้นการจัดอาหารเซ่นไหว้จึงต้องทำเตรียมเป็นพิเศษ ในตอนแรกซิ่วเฮียงก็ว่าจะทำเองแต่หลีมุ่ยกลับแย่งหน้าที่จัดเตรียมอาหารเซ่นไหว้ให้แทน แถมยังเตรียมได้ครบไม่ขาดข้าวและเต้าหู้รวมถึงของคาวหวานอื่น ๆ
ท่าทางกระตือรือร้นเต็มใจช่วยจริงจังอย่างไม่เกี่ยงงอนของหลีมุ่ยทำให้ใคร ๆ พากันประหลาดใจ ขนาดฉื่อย้งยังแอบมาปรึกษาเรื่องอากิ๋มของตนกับซิ่วเฮียงอย่างจริงจังว่า
“กิ๋มมุ่ยเป็นอะไรไปน่ะเฮียงแจ้ ม้าตายทำสมองเขากระทบกระเทือนหรือไง จู่ ๆ ก็เปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือขนาดนี้ ตอนแรกย้งนึกว่ากิ๋มมุ่ยจะโวยวายว่าม้าตายทำให้งานแต่งเฮียฮงไม่เป็นมงคล แต่กิ๋มมุ่ยกลับไม่พูดอะไรเรื่องนี้สักคำ แถมเมื่อวานยังไล่กอดพวกเราทุกคน พูดปลอบดี๊ดี แล้วยังเรื่องอาหารไหว้ม้าอีก ตอนอากงเสียย้งจำได้ว่ากิ๋มมุ่ยไม่แตะอะไรเลย ให้ม้าจัดการแทนให้หมด มางานนี้กิ๋มมุ่ยแย่งเฮียงแจ้ทำหมด บอกว่าเข้าครัวทำเองด้วยนะ เฮียงแจ้ว่าเราควรจะกลัวกันดีหรือให้หมอมาตรวจกิ๋มมุ่ยดี”
โชคดีที่อาการ ‘ดีผิดปกติ’ ราวถูกนางฟ้าเข้าสิงของหลีมุ่ยเป็นอยู่ได้ไม่จบงานศพ เพราะวันหลังๆ ของงาน พี่สะใภ้ของกุ้ยเตียงก็เรียกฉื่อไท่ไปหาสอนว่า
“ต่อไปลื้อต้องดูแลน้อง ๆ ให้ดีแทนม้าลื้อนะอาไท่ แล้วทรัพย์สินอะไรที่ม้าลื้อทิ้งไว้น่ะต้องตรวจสอบให้ดี อย่าให้ใครปอกลอกเอาไปได้ แล้วถ้าไม่ใช่ญาติใช่โยมไม่มีสายเลือดเดียวกัน ลื้อห้ามวางใจเชียว มีปัญหาอะไรให้มาหากู๋ลื้อ ห้ามไว้ใจใครเด็ดขาด”
ตอนที่ ‘ใคร’ ได้ยินเรื่องนี้ หญิงสาวกลอกตาอย่างอ่อนใจ แต่พอสบสายตากับฉื่อย้ง ทั้งคู่ก็ถอนใจออกมาอย่างโล่งอก อย่างน้อยก็สบายใจได้อย่างว่ากิ๋มมุ่ยยังเหมือนเดิม!
หลีมุ่ยพยายามใช้ทุกจังหวะเหมาะ ๆ ที่มีพูดเข้าหูฉื่อไท่ ไม่ใช่แค่เรื่องไม่ไว้ใจใคร หรือเรื่องเงินที่ญาติมิตรและสมาคมใส่ซองช่วยมาต้องเก็บให้ดีเท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่ต้องสานงานเดิมทุกอย่างที่กุ้ยเตียงเคยทำด้วย
ฉื่อไท่ที่รู้จักนิสัยกิ๋มมุ่ยดีฟังหูซ้ายทะลุหูขวา เออออไปด้วยตามมารยาทเท่านั้น แต่นงนุชเพิ่งแต่งเข้าบ้านลานมะเกลือมาแค่ครึ่งปี แม้จะเคยได้ยินว่าป้าสะใภ้คนนี้นิสัยไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ทั้งขี้งกเห็นแก่ตัว ปากร้ายใจดำ แต่ในงานนี้หญิงสาวเห็นหลีมุ่ยช่วยเหลือทุกอย่าง ช่วยจัดนั่นทำนี่สั่งโน่นจนลูกสะใภ้อย่างหล่อนสบายไปไม่ต้องหัวหมุนวุ่นวาย ความรู้สึกของนงนุชที่มีต่อป้าสะใภ้คนนี้จึงค่อนข้างดี พอหลีมุ่ยพูดอะไรหล่อนก็ฟังอย่างตั้งใจ แม้จะไม่ถึงขนาดว่าเชื่อหมดทุกเรื่อง แต่ใจก็เอนเอียงไปไม่น้อย ดังนั้นสายตาที่มองเฮียงแจ้ของสามีก็เริ่มเปลี่ยนไป ยิ่งคืนที่ครอบครัวของซิ่วเฮียงมาร่วมงานศพและเซียมลั้งดึงตัวลูกสาวไปซุบซิบถามไถ่เรื่องการดูแลร้านที่สะพานหันและเก็บค่าเช่าบ้านที่ลานมะเกลือ นงนุชก็ยิ่งปักใจว่าเรื่องที่หลีมุ่ยเตือนนั้นต้องมีมูลความจริงแน่
ซิ่วเฮียงไม่รู้และไม่เคยนึกว่าคนอย่างหลีมุ่ยจะกล่อมสะใภ้ใหม่ได้สำเร็จ หญิงสาวมัวแต่วุ่นวายเรื่องงานของหยี่แจ้ กลางวันจัดการงานกลางคืนปลอบโยนเด็ก ๆ ที่ยังฝันร้ายและฉื่อกกที่ตื่นขึ้นมาร้องไห้กลางดึกทุกคืน ไหนจะเรื่องงานศพไหนจะเรื่องพิธีฝังในสุสาน
วันที่ฝังกุ้ยเตียงเคียงข้างส่วงนั้นฟ้าเปิด แดดแรงจนพื้นปูนที่ฮวงซุ้ยร้อนมาก ลูกหลานและญาติพี่น้องที่มาร่วมพิธีต่างต้องกางร่มหรือหาที่ร่มรอระหว่างขุดหลุมและจัดส่งโลงใหม่ลงไป มีเพียงซิ่วเฮียงที่ยืนมองโลงของคนสองคนที่หล่อนรักเคียงคู่กันด้วยความโศกเศร้า ฝืนไว้พยายามไม่ร้องไห้จนแสบตาไปหมด หญิงสาวกระซิบว่า
“เถ้าแก่กับหยี่แจ้รอก่อนนะจ๊ะ แล้วเฮียงจะรีบตามไปอยู่ด้วย เฮียงสัญญา”
คืนนั้นฉื่อกกที่ย้ายบ้านมานอนกับซิ่วเฮียงชั่วคราวร้องไห้เหมือนเดิมแต่เป็นการร้องกระซิก ๆ ไม่ใช่ร้องแบบสุดเสียงอย่างที่เขาร้องมาตลอดหลายวัน ซิ่วเฮียงจึงต้องนอนกอดเขาไว้ ในขณะที่ฉื่อเพียวที่นอนกับหล่อนเป็นประจำอยู่แล้วเข้ามากอดข้าง ๆ อีกคน
“เฮียงแจ้ เพียวกลัว…”
“ไม่มีอะไรน่ากลัวอีกแล้ว หลับเถอะนะ พรุ่งนี้ทุกอย่างจะดีกว่าวันนี้แน่…” เพราะเมื่อสูญเสียจนถึงที่สุด ไม่มีอะไรจะสูญเสียอีกแล้ว ไม่มีอะไรจะเจ็บปวดหรือทุกข์ตรมมากไปกว่านี้ พรุ่งนี้ย่อมจะดีขึ้นอย่างแน่นอน “เชื่อเฮียงแจ้เถอะนะ”
ไม่นานเด็กทั้งสองที่เหนื่อยอ่อนก็หลับลงพร้อมคราบน้ำตา เหลือเพียงหญิงสาวที่ยังคงลืมตาอยู่ในความมืด ความมืดและความเดียวดาย
แม้พรุ่งนี้ทุกอย่างจะดีขึ้น แต่คืนนี้หัวใจและบ่าของหล่อนรู้สึกหนักเหลือเกิน…
ไม่ใช่แค่ซิ่วเฮียงที่นอนไม่หลับ นงนุชเองก็ลืมตาโพลงอยู่ในความมืด
วันนี้ตอนที่นำร่างของกุ้ยเตียงฝังลงเคียงข้างพ่อสามีที่หล่อนเคยเห็นแต่เพียงภาพถ่ายนั้น หญิงสาวก็เริ่มตระหนักว่าต่อไปนี้ฉื่อไท่คือหัวหน้าครอบครัวนี้ ญาติผู้ใหญ่เกือบทั้งหมดให้ความสำคัญกับเขา ส่วนใหญ่เข้ามาพูดคุยแสดงความเสียใจและกำชับให้เขาดูแลน้อง ๆ ต่อจากมารดาให้ดี
น้อง ๆ ไม่นับฉื่อย้งที่มีงานมีการทำเรียบร้อย ฉื่อไท่มีน้องทั้งน้องร่วมแม่เดียวกันกับน้องต่างแม่ที่ต้องดูแลห้าคน ฉื่อไช้โตสุดกำลังเรียนมัธยมหกปีหน้าจะเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย ส่วนคนเล็กสุดคือฉื่อกกอายุยังไม่ครบสิบดีเลย
เด็กห้าคนที่สามีหล่อนต้องรับผิดชอบ ต้องช่วยเฮียงแจ้เลี้ยงดูส่งเสียตามฐานะพี่ชายคนโต
นงนุชคิดแล้วเวียนหัวแกมหวั่นใจ หล่อนเป็นน้องคนเล็กในบ้านมาตลอดไม่เคยต้องดูแลใคร แต่พอแต่งงานได้แค่หกเดือนกลับต้องมาช่วยสามีดูแลเด็กห้าคน ค่าอาหารการกินเห็นว่าซื้อหาจากเงินค่าเช่าเรือนแถวที่ลานมะเกลือจึงตัดออกไปได้ แต่ค่าเล่าเรียน ค่าเสื้อผ้า ค่าขนมน้อง ๆ รวม ๆ แล้วน่าจะสูงกว่าค่าอาหารมาก อีกอย่างตั้งแต่แต่งงานเข้าบ้านนี้มา หล่อนไม่เคยเห็นฉื่อกก ฉื่อไช้และฉื่อแชนั่งรถประจำทางไปโรงเรียนเลย
กุ้ยเตียงจ้างอาเต็กอดีตคนงานลานมะเกลือที่ตอนนี้เป็นเจ้าของอู่รถรับจ้างคอยวิ่งรับส่งลูกชายคนเล็กกับพี่ ๆ ลูกซิ่วเฮียงทุกวัน เห็นว่าค่ารถเดือนละหลายร้อยอยู่
เงินหลายร้อยจ่ายทุกเดือนรวมแล้วก็หลายพัน บวกกับค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ปี ๆ หนึ่งรวมแล้วไม่รู้กี่หมื่นกี่แสน
ถามหน่อยเถอะ สามีของหล่อนที่ทำงานตามอารมณ์ ทำสองวันหยุดงานสามวันจะแบกภาระพวกนี้ไหวหรือ
ยิ่งคิดนงนุชยิ่งกลัว หล่อนสะกิดสามีถามขึ้นว่า
“เฮีย เรื่องน้อง ๆ เฮียจะทำยังไง ห้าคนยังเด็ก ๆ อยู่ทั้งนั้น แต่ละคนค่าเล่าเรียนเท่าไหร่ แล้วยังค่าเครื่องแบบ ค่าโน่นนี่อีกเยอะแยะ รายได้จากร้านเดือน ๆ จะพอไหมเฮีย”
“พอสิ” ฉื่อไท่ตอบแบบง่วงจัด วันนี้เขาเหนื่อยมาทั้งวัน ทั้งเสียใจทั้งอ่อนล้า ไม่อยากคุยอะไรอีกแล้วอยากนอนอย่างเดียว แต่ก็ยังฝืนพึมพำตอบว่า “ค่าอาหารค่าคนงานในบ้านไม่ต้องยุ่ง ค่าขนมอาไช้กับอาแช เฮียงแจ้ดูแลอยู่ เราไม่ต้องจ่าย ที่เหลือมันจะเท่าไหร่กัน…”
“เยอะนะเฮีย ค่าเล่าเรียนเทอมนึงไม่ใช่ถูก ๆ” โดยเฉพาะโรงเรียนที่น้อง ๆ ผู้ชายสามคนเรียนอยู่ ได้ข่าวว่าค่าเล่าเรียนแพงหูฉี่
“เยอะแต่ปีนึงจ่ายแค่สองครั้ง ไม่เท่าไหร่หรอกน่า นุชนอนเถอะเฮียง่วง เรื่องเงินไม่ต้องห่วงหรอก ม้าทำร้านหาเงินมาใช้ในบ้านได้สบาย ๆ ทุกเดือน เฮียก็ทำได้เหมือนกันแหละ นอนเถอะมีอะไรพรุ่งนี้ค่อยคุยกัน”
ฉื่อไท่หลับไปแล้ว แต่นงนุชยังนอนไม่หลับ หล่อนไม่ได้เชื่อมั่นในตัวสามีเท่าที่เขาประเมินตัวเอง และเพราะไม่เชื่อตาจึงค้างแข็งด้วยความกังวล…
หลังจากต้องรับช่วงงานร้านอึ้งซุ้ยหลีเต็มตัวเพียงสามเดือน ฉื่อไท่ก็รู้แล้วว่าเขาประเมินตัวเองสูงไปหน่อย ชายหนุ่มเคยเห็นมารดาแค่นั่งโทรศัพท์สั่งโน่นสั่งนี่ เอาสมุดตัวอย่างมาเลือกผ้าเลือกของเข้าร้าน คุยกับยี่ปั๊วคุยราคากันไปหัวเราะเฮฮาร่าเริง เขาที่ช่วยคุมรับของส่งของ ดูคนขายขายของให้ลูกค้ายังดูเหมือนเหนื่อยกายมากกว่ามาก
แต่พอม้าไม่อยู่ เขาต้องรับงานแทนถึงได้รู้ว่า งานที่เห็นว่าง่าย ๆ สบาย ๆ มันไม่ได้ง่ายและสบายอย่างที่คิด สินค้าที่เลือกเข้าร้านใช่ว่าจะจิ้มเลือกเอาส่ง ๆ มือไม่ดีตาไม่ถึงสั่งของมาก็ขายไม่ออก ยี่ปั๊วที่เห็นคุยดีเข้าอกเข้าใจยิ้มแย้มหัวเราะร่าเริงที่แท้คือฉลามร้ายที่เขาต้องต่อรองอย่างระมัดระวัง เขาเพิ่งเข้าใจรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของม้าคือหน้ากากที่สวมไว้เพื่อต่อสู้ในสนามการค้า
พอเขารับช่วงมา นอกจากจะต้องเจอปัญหาไม่มีฝีมือในการต่อรองแล้ว ตัวร้านเองก็ไม่ได้มีเงินสดพอจะสั่งซื้อสินค้าที่กำลังเป็นที่นิยมมาเก็บไว้มาก ๆ ดังนั้นจะซื้ออะไรจะสดจะเชื่อก็ต้องระวังไปหมด
ที่สำคัญกิจการของร้านไม่ได้ดีอย่างที่เขาคิด ร้านค้าในสะพานหันเริ่มเปลี่ยนรูปแบบไป ลูกค้าที่ต้องการซื้อผ้าหรือเสื้อสำเร็จรูปจากจีนหันไปจับจ่ายที่สำเพ็งหรือพาหุรัดมากขึ้น ลูกค้าที่เหลืออยู่ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าประจำที่แรงซื้อลดน้อยถอยลงทุกวันเท่านั้น
ตรงกันข้ามกับรายได้ที่เข้ามา รายจ่ายของร้านกลับค่อนข้างสูง ไหนจะต้องลงทุนซื้อของบางตัวเก็บไว้ ค่าน้ำค่าไฟ ยังจะค่าแรงงานคนในร้าน รายจ่ายของบ้านลานมะเกลือก็ไม่น้อยหน้า ทุกเดือนมีค่าแรงของคนงานประจำสองคน ค่าน้ำค่าไฟ ค่าใช้จ่ายจิปาถะยิบย่อยไปหมด แต่นั่น…ยังเทียบไม่ได้กับค่าเล่าเรียนของน้อง ๆ
พวกน้องสาวเรียนโรงเรียนรัฐบาล ค่าเล่าเรียนไม่สูงเท่าไหร่ แต่ฉื่อไช้ ฉื่อแช ฉื่อกกเรียนโรงเรียนเก่าของเขา ค่าเล่าเรียนเทอมหนึ่งของที่นี่ต่อคนมากเป็นสองเท่าของค่าเล่าเรียนทั้งปีของสามสาวรวมกัน
ฉื่อไท่กุมขมับ เขานึกไม่ออกจริง ๆ ว่าม้าสามารถจัดการทั้งค่าใช้จ่ายของร้านและบ้านลานมะเกลือได้อย่างไร ชายหนุ่มฝืนทำงานต่ออีกสองเดือน ทำไปก็ยิ่งคิดว่าไม่มีประโยชน์อะไรเลย หาเงินมาเท่าไหร่ก็ต้องให้กงสีเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมด จะบริหารร้านให้มีรายได้เพิ่มพอจะเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวที่เคยสุรุ่ยสุร่ายเหมือนก่อนที่ม้าจะเสีย…เขาก็ไม่มีความสามารถถึงขนาดนั้น
ดังนั้นสองคนผัวเมียปรึกษากันคร่ำเครียดก่อนที่ฉื่อไท่จะตัดสินใจไปหาซิ่วเฮียงที่บ้านต้นชมพู่ ชายหนุ่มไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่ายเมื่อเอ่ยว่า
“เฮียงแจ้ อั๊วจะขายร้าน”
ซิ่วเฮียงนิ่งอึ้งไป เนิ่นนานก่อนจะถามว่า
“ทำไม…”
“ร้านมันใหญ่ไปอั๊วดูแลไม่ไหว” ฉื่อไท่บอกตามตรง ไม่ไหวก็ว่าไม่ไหวไม่ต้องห่วงหน้าตากลัวถูกหาว่าไม่เก่ง เพราะเขาไม่เก่งจริง ๆ “เฮียงแจ้ก็รู้ว่าอั๊วไม่ชอบค้าขาย ตั้งแต่ทำร้านมาร้านแทบไม่มีกำไรเลย ใช้เงินสดที่ม้าทิ้งให้ก้นเก๊ะจนจะหมดแล้ว อีกอย่างอั๊วอยากทำงานอื่นที่ท้าทายมากกว่านี้…”
“งานอะไรที่อาไท่ว่าท้าทายกว่านี้”
“อั๊วจะไปหางานทำที่อเมริกา เพื่อนที่บริษัททัวร์ของนุชเขาบอกว่าทางนั้นถ้ามีทุนก็เปิดบริษัทเป็นตัวแทนขายตั๋วเครื่องบินให้คนไทยที่นั่นได้ หรือไม่ก็ลงทุนทำร้านอาหาร แต่งร้านดีหน่อยจ้างพ่อครัวเก่งหน่อยก็ไม่ต้องเหนื่อยมากแล้ว”
ซิ่วเฮียงอยากหัวเราะจะเปิดบริษัทขายตั๋วหรือทำร้านอาหาร…มันไม่ใช่ค้าขายหรือ ขายเสื้อผ้าไม่ได้เพราะไม่ชอบแต่จะไปขายตั๋วขายอาหาร ตลกเกินไปไหม
ฉื่อไท่ที่เห็นแม่เลี้ยงไม่ตอบอะไร นงนุชก็สะกิดยิก ๆ อยู่ข้าง ๆ ชายหนุ่มจึงรีบแสดงความไม่เห็นแก่ตัวว่า
“เรื่องเงินเฮียงแจ้ไม่ต้องห่วงนะ ขายร้านสะพานหันแล้วอั๊วไม่ได้คิดจะเอาเงินไปหมด แต่จะแบ่งให้น้อง ๆ ทุกคน สิทธิเรื่องค่าเช่าบ้านที่ลานมะเกลืออั๊วก็จะไม่ยุ่ง อั๊วให้เฮียงแจ้ดูแลเหมือนเดิมเพียงแต่ค่าเทอมพวกน้อง ๆ อาจจะต้องเอาเงินส่วนนี้มาช่วย…”
หญิงสาวฟังแล้วยิ้มขมขื่น รื้อความทรงจำเขาว่า
“ตอนที่ม้าลื้อเสียใหม่ ๆ เฮียงแจ้เอาบัญชีค่าเช่าบ้านที่ลานมะเกลือให้ลื้อกับเมียดูแล้วไม่ใช่หรือ ค่าเช่าแต่ละเดือนหักที่ต้องจ่ายค่าซ่อมนั่นซ่อมนี่รวมแล้วไม่ถึงพันห้า เงินแค่นี้ค่าอาหารสำหรับคนสิบกว่าคนกับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แทบไม่เหลือ แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายค่าเทอมน้อง ๆ ลื้อ”
“เฮียงแจ้ให้อาย้งช่วยออกเงินบ้างสิ เห็นว่าเงินเดือนอาย้งตั้งหลายพัน แบ่งมาสักสี่ห้าร้อยก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”
“อาย้งให้อยู่แล้ว ค่าน้ำค่าไฟบ้านโน้นอาย้งช่วยจ่ายมาสองสามเดือนแล้ว” ซิ่วเฮียงบอกเสียงเย็น
ฉื่อไท่รู้สึกเหมือนถูกต้อนจนอึดอัด เมียเขาสะกิดอีกเร่งให้เขาพูดให้ได้ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจข่มความรู้สึกผิดบอกไปตรง ๆ ว่า
“เฮียงแจ้ อั๊วคิดดีแล้วถ้าไม่ขายร้านใครจะทำต่อ อั๊วทำไม่ไหว เฮียงแจ้ก็ไม่ชอบขายของ อาย้งมีงานประจำแล้วเงินเดือนขนาดนั้นคงไม่ออกมาดูแลร้านแน่ อาไช้ยังเรียนไม่จบมัธยมเลย อั๊วมองไม่เห็นทางรอดเลยจริง ๆ นะเฮียงแจ้…”
ซิ่วเฮียงฟังแล้วได้แต่ถอนใจยาว
“หยี่แจ้รักอึ้งซุ้ยหลีมาก…”
“อั๊วก็รัก อั๊วโตมากับที่ร้าน ถ้าไม่วิ่งเล่นที่ลานมะเกลือก็ไปเล่นที่ร้าน ตั้งแต่เล็กจนโตมีหรืออั๊วจะไม่รักร้าน แต่อั๊วทำต่อไม่ไหวแล้วจริง ๆ อั๊วทำไม่ได้จริง ๆ ถ้าจะรอให้อาไช้เรียนจบมารับช่วงต่อ ร้านคงเจ๊งไปแล้ว”
“อาไช้อาแชไม่เกี่ยว ร้านนี้เป็นของม้าพวกลื้อเป็นมรดกของพวกลื้อ”
นงนุชที่นั่งเก็บปากเก็บคำอยู่ข้างสามีรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้ยินซิ่วเฮียงตัดบทขึ้นแบบนั้น อย่าหาว่าหล่อนงกเลยเพราะคนเราต้องเห็นแก่ตัวเองและคนข้าง ๆ ตัวก่อนทั้งนั้น น้องต่างแม่สองคนถอนตัวจากชามข้าวใบใหญ่ไป ฉื่อไท่ก็จะได้ส่วนแบ่งมากขึ้น แต่สามีแสนดีของหล่อนกลับตอบแม่เลี้ยงไปว่า
“มรดกพวกอั๊วอาไช้กับอาแชก็ต้องได้เหมือนกัน ยังไงทั้งคู่ก็เป็นน้องชายอั๊ว”
ซิ่วเฮียงไม่ค้านแต่ก็ไม่รับอะไร ฉื่อไท่กล่อมอีกพักใหญ่หญิงสาวจึงตัดบทไปว่า
“เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ขอเวลาเฮียงแจ้คิดสักคืน อีกอย่างอาไท่…ลื้อต้องบอกน้อง ๆ ให้รู้เรื่องด้วย
ก่อนจะทำอะไรต้องคุยกันให้ชัด อย่าทำอะไรปิด ๆ บัง ๆ แล้วให้น้อง ๆ รู้กันทีหลัง น้อง ๆ จะหมดศรัทธาในตัวลื้อเอา”
ฉื่อไท่ยอมตามใจหล่อนจูงเมียกลับบ้านลานมะเกลือไป
คืนนั้นเป็นอีกคืนที่ซิ่วเฮียงนอนไม่หลับ แม้จะรู้ว่าด้วยความสามารถและนิสัยสบาย ๆ ไม่สู้งานหนักของฉื่อไท่…สักวันอึ้งซุ้ยหลีก็คงต้องปิดลง แต่หล่อนไม่คิดว่าเรื่องจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้ หยี่แจ้เพิ่งจากไปได้ไม่ถึงปี ร้านที่เป็นเหมือนชีวิตหยี่แจ้ก็เอาไว้ไม่อยู่แล้ว
ดูเหมือนเวลาจะเพิ่งผ่านไปไม่นานนี่เองที่หญิงสาวงดงามราวภาพถ่ายในโฆษณาขายสินค้าจากจีนเอ่ยเล่าที่มาของร้านอย่างภาคภูมิใจว่า
‘ส่วนชื่อร้านนี้…คงเพราะอาส่วงรักม้าของเขามาก สองแม่ลูกทนกับพวกบ้านใหญ่มาด้วยกันด้วยผูกพันกันมากกว่าใคร อีกอย่างอาส่วงเคยเล่าว่าม้าเขาสวยมาก เตี่ยของเขามักซื้อเสื้อผ้าสวย ๆ ให้ม้า พออาส่วงเปิดร้านนี้เขานึกถึงม้า เลยตั้งชื่อร้านนี้ว่าอึ้งซุ้ยหลี’
อึ้งซุ้ยหลี…อู่ข้าวอู่น้ำหลักของคนบ้านลานมะเกลือและบ้านต้นชมพู่ จากนี้ไปคงไม่มีอีกแล้ว
หยี่แจ้จ๊ะ…เฮียงขอโทษที่รักษาร้านที่หยี่แจ้รักไว้ไม่ได้ ขอโทษ…ที่รักษาไว้ไม่ได้จริง ๆ
เย็นวันรุ่งขึ้นสมาชิกชื่อตัวกลาง “ฉื่อ” ทุกคนรวมถึงซิ่วเฮียงและนงนุชก็มารวมตัวกันในห้องทำงานเล็กของกุ้ยเตียง เรื่องแพร่ไปแล้วว่าเฮียไท่อยากจะขายร้านเพื่อไปลงทุนทำธุรกิจที่อเมริกา ดังนั้นสายตาของน้อง ๆ จึงมองพี่ชายคนโตอย่างไม่ดีเท่าไหร่ และด้วยความที่รู้นิสัยไปเรื่อย ๆ ไม่กระตือรือร้นอะไรของพี่ชายดี บรรดาน้อง ๆ จึงมั่นใจว่าซ้อนุชที่ไม่ค่อยสุงสิงกับน้องสามีคนใดเป็นคนต้นคิดเรื่องนี้
ดังนั้นจึงมีเสียงพึมพำตามลมว่า…คิดได้ไง สมบัติม้าทิ้งไว้ให้คิดจะขายได้ไง เข้ามาไม่เท่าไหร่ก็ทำให้พี่น้องแตกแยก ขนาดคำด่าว่าตัวล้างผลาญก็ยังแว่วให้ได้ยิน
ฉื่อไท่ไม่สนใจปฏิกิริยาของน้อง ๆ เขาคาดไว้แล้วว่าจะต้องถูกต่อต้านจึงเตรียมใจรับมือไม่มีอาการหวั่นไหว พอทุกคนมาพร้อมหน้าก็อธิบายสถานการณ์ของร้านเหมือนกับที่พูดกับซิ่วเฮียงไปเมื่อวาน พอน้อง ๆ ที่นำทีมโดยฉื่อฮวงเริ่มจะโวยวายไม่พอใจ ชายหนุ่มก็ตัดบทว่า
“อั๊วเป็นลูกชายคนโตของเตี่ยกับม้า ตามธรรมเนียมทรัพย์สินของเตี่ยกับม้าส่วนใหญ่ต้องเป็นของอั๊วอยู่แล้ว ร้านนี้ม้าก็ตั้งใจยกให้อั๊วถึงได้ให้อั๊วไปทำงานด้วยตั้งหลายปี ฉะนั้นของของอั๊ว อั๊วจะขาย!”
“สมบัติอาไท่จริง เฮียงแจ้ไม่เถียง แต่ที่เตี่ยกับม้ายกทุกอย่างให้ลื้อก็เพราะต้องการให้ลื้อช่วยดูแลน้อง ๆ หวังให้ลื้อเป็นพ่อเป็นแม่ของน้อง ๆ แทนเตี่ยกับม้า”
นงนุชฟังแล้วอยากจะถอนใจยาว สามีหล่อนอายุแค่ยี่สิบห้าเองนะทำไมต้องเลี้ยงน้องห้าคนเหมือนลูกด้วย เฮียงแจ้ยังอยู่ไม่ใช่หรือ น่าจะเป็นหน้าที่ของเฮียงแจ้มากกว่าที่ต้องเลี้ยงเด็ก ๆ ทั้งสองบ้าน กิ๋มมุ่ยพูดถูก แม่เลี้ยงของเฮียไท่ทำเป็นดีแต่จริง ๆ แล้วเห็นแก่ตัวเห็นแก่ลูกตัวเองเป็นหลัก ทว่าต่อให้ใจคิดในแง่ร้ายเพียงใดหญิงสาวก็ฉลาดพอจะไม่พูดออกมาตรง ๆ หล่อนแค่ยืนอยู่ข้าง ๆ ฉื่อไท่และพร้อมจะสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่
“อั๊วก็พยายามแล้วนะเฮียงแจ้ แต่อั๊วไม่ไหวจริง ๆ อีกอย่างกู๋ทงก็บอกว่าถ้าจะขายร้านให้รีบขายตอนนี้ ร้านยังมีกำไร อย่างน้อยเราก็ได้เงินก้อนขึ้นมา แต่ถ้ารอจนร้านขาดทุนมีแต่หนี้ไม่มีกำไร ดีไม่ดีขายร้านแล้วต้องเอาไปใช้หนี้หมด ไม่มีเงินเหลือสักสลึง”
“ตกลงที่ว่ามาทั้งหมดนี่กู๋ทงสอนหรือกิ๋มมุ่ยเป่าหูเฮียมา” ฉื่อย้งทนไม่ไหวถามขึ้นตรง ๆ
ฉื่อไท่ชะงัก หันมองน้องสาวอย่างไม่พอใจ เขาโต้ตอบว่า
“กิ๋มมุ่ยไม่ได้เป่าหูอั๊ว กิ๋มมุ่ยยังพยายามห้ามด้วยซ้ำว่าอย่าใจร้อน แต่อั๊วตัดสินใจแล้ว อั๊วจะไปทำธุรกิจที่อเมริกา”
“แล้วเฮียนึกว่าไปที่โน่นแล้วจะรอดเหรอ ต่อให้ไปแบบนายทุนเอาเงินก้อนไปทุ่มมันก็ต้องทำงานหนัก ต้องคิดวางแผน ต้องขยันทำงาน เฮียแน่ใจหรือว่าทำได้ ย้งไม่ได้ดูถูกเฮียนะ แต่ตั้งแต่เล็กจนโตเฮียเคยทำงานหนักที่ไหนกัน มีแต่ม้าทำให้คนงานทำให้หรือไม่ก็ชี้นิ้วให้น้องทำให้ทั้งนั้น ตัวเองนอนกระดิกหัวแม่เท้าสบาย แบบนี้หรือจะไปทำงานอเมริกา…ย้งเอาหัวเป็นประกันได้เลยว่าเฮียไปไม่รอดหรอก ลงทุนเท่าไหร่ก็เจ๊งหมด สู้หางานประจำแบบเช้าชามเย็นชามในเมืองไทยทำยังจะรุ่งเสียกว่า”
ฉื่อไท่หน้าแดงก่ำ โกรธที่น้องสาวคนโตพูดจี้ใจดำ หนำซ้ำพวกน้อง ๆ คนอื่น ๆ พากันพยักหน้าหรือออกปากแสดงความคิดเห็นสนับสนุนฉื่อย้งโดยไม่เกรงใจพี่ชายคนโตอย่างเขาแม้แต่น้อย ฉื่อไท่จึงตวาดใส่ว่า
“หุบปากไปเลยนะอาย้ง อั๊วทำได้ ไม่เหมือนลื้อหรอกที่ทำเป็นแต่พูดขึ้นเวทีการเมือง ทำให้ม้าปวดใจจนเป็นลม ไม่รู้ที่ม้าตายเพราะเสียใจเพราะเครียดจากการกระทำของลื้อหรือเปล่า!”
“ไม่จริง เฮียเถียงไม่ขึ้นแล้วอย่าพาลได้ไหม เรื่องของย้งมันหลายปีแล้วมันจะเกี่ยวกับการตายของม้าได้ไง” ฉื่อย้งตะเบ็งเสียงกลับทันที เรื่องนี้เป็นสิ่งที่หล่อนเคยคิดเคยโทษตัวเองอยู่เหมือนกัน แต่หมอแจ้งแล้วว่าสาเหตุของเส้นเลือดในสมองแตกของม้าอาจจะเกิดจากความดันสูง โรคประจำตัวหรือแม้แต่ความเครียดในช่วงนั้น ม้าไม่ได้จากไปเพราะหล่อน เฮียงแจ้เองก็เคยบอกว่าไม่เกี่ยวกัน และสอนไม่ให้หล่อนโทษตัวเอง แต่วันนี้พี่ชายกลับชี้หน้าบอกว่า
“เกี่ยวสิ ม้าอาจจะเครียดสะสมมาตั้งแต่ตอนนั้นเพราะลื้อ!”
“ไม่จริง เฮียอย่ามามั่ว”
“อั๊วพูดเพราะมันเป็นไปได้”
สองพี่น้องทำท่าเหมือนจะวางมวยกัน ซิ่วเฮียงที่ฟังอยู่นานจึงออกโรงห้าม
“พอได้แล้วทั้งคู่เลย โต ๆ กันแล้วทำไมยังทะเลาะกันเหมือนเด็ก ม้าพวกลื้อตายแล้วยังจะเรียกจะปลุกขึ้นมาให้ไม่เป็นสุขทำไม แล้วเรื่องจะไปทำงานที่อเมริกาไหวไม่ไหวมันอีกเรื่องไหม จะไปหรือไม่ไปค่อยมาคุยกันทีหลังได้ ตอนนี้มาคุยเรื่องร้านก่อน”
“เอาเลยเฮียงแจ้ ด่าเฮียเลย” ฉื่อฮวงยุ
แต่เด็กสาวต้องผิดหวังเพราะซิ่วเฮียงไม่ด่า แต่พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นเป็นปกติว่า
“เรื่องร้าน…เฮียงแจ้คิดแล้วทั้งคืน ไตร่ตรองดีแล้ว อาไท่ถ้าลื้อทำร้านไม่ไหวจริง ๆ อยากจะขายก็ขายเถอะ เงินที่ขายได้ลื้อก็เก็บไว้ไม่ต้องแบ่งใคร…”
“เฮียงแจ้!” น้อง ๆ ของฉื่อไท่ตกอกตกใจกันใหญ่ ผิดกับนงนุชที่แอบยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นเจื่อนไปเล็กน้อยเมื่อซิ่วเฮียงไม่ฟังเสียงนกเสียงกา พูดต่อว่า
“หรือถ้ามีน้ำใจจะแบ่งเงินบางส่วนเปิดบัญชีเงินฝากให้น้อง ๆ ลื้อก็ได้ อันนั้นขึ้นอยู่กับลื้อเลย แต่เฮียงแจ้มีข้อแม้สองอย่าง อย่างแรกขายร้านได้เงินไปแล้วเงินเอาไปหมดได้ แต่อาไท่ต้องส่งน้องทุกคนเรียนจบจนทำงานเลี้ยงตัวเองได้ ลื้อทำได้ไหมอาไท่”
ฉื่อไท่หยุดคิดนิดหนึ่ง ว่ากันตามจริงแล้วร้านสองคูหาสะพานหันขายได้เงินก้อนใหญ่แน่นอน แต่เงินนั้นได้ครั้งเดียว ส่วนน้อง ๆ ยังเรียนกันอีกยาว ฉื่อกกอายุแค่แปดย่างเก้าขวบเท่านั้น ต้องเรียนอีกเป็นสิบปี ทว่าคิดอีกทีนี่คือหน้าที่ของพี่ชายคนโตอยู่แล้ว เตี่ยกับม้าคงหวังให้เขาดูแลน้อง…
ชายหนุ่มไม่มองหน้าภรรยาเมื่อรับคำว่า
“ได้ อั๊วส่งให้ได้ แต่สูงสุดก็แค่เลี้ยงตัวได้หรือจบปริญญาตรีเท่านั้นนะ ถ้าจะให้ส่งถึงโทถึงเอกไปเรียนเมืองนอกเมืองนาอั๊วคงไม่ไหว”
“ดี ลื้อรับปากแล้วนะอาไท่” ซิ่วเฮียงพยักหน้าอย่างพอใจก่อนชูนิ้วขึ้นสองนิ้ว เสริมว่า “ทีนี้อย่างที่สอง…สิทธิเช่าที่ราชพัสดุทั้งที่บ้านสองหลังนี้กับที่ลานมะเกลือไม่ให้ขายสิทธิต่อเด็ดขาด ตอนนี้เก็บค่าเช่าเป็นค่าใช้จ่ายในบ้านไปก่อน อีกหน่อยถ้าแยกบ้านกันแล้วก็แบ่งเงินรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายแล้วเท่า ๆ กันไปทุกคน”
ฉื่อไท่ยังไม่ทันพูดอะไรนงนุชก็แทรกถามขึ้นว่า
“ที่ว่าทุกคนนี่รวมเฮียไท่ด้วยใช่ไหมเฮียงแจ้”
น้อง ๆ เฮียไท่มองพี่สะใภ้อย่างขัดเคือง ฉื่อฮวงคนเดิมกระแทกเสียงไม่เบานักว่า
“เงินค่าร้านได้ไปหมดยังไม่พออีกหรือไง ยังจะเอาเงินค่าเช่าอีก ชูชก…ขอให้ท้องแตกตายสักวันเถอะ”
นงนุชมองไปทางน้องสาวคนกลางของสามีอย่างเกลียดชัง บ้านนี้แรงสุดปากดีที่สุดก็ฉื่อฮวงคนนี้ ส่วนคนอื่น ๆ ก็แค่ลูกหมางับ ๆ แล้วก็หนีไปชวนให้รำคาญเฉย ๆ แต่ฉื่อฮวงเป็นลูกหมาฟันคมที่งับแล้วสะบัดหัวแรงไม่ยอมปล่อยง่าย ๆ หญิงสาวอ้าปากคิดจะด่ากับลูกหมาหัวร้อนสักยก ทว่ายังไม่ทันได้เกิดศึกอีกคู่ ซิ่วเฮียงก็ตัดบทว่า
“ทุกคนก็คือทุกคน”
ฉื่อไท่หันไปสบตานงนุชเหมือนจะหารือ ฝ่ายหลังยังห่วงเรื่องต้องรับผิดชอบการเรียนน้อง ๆ อีกหลายปี แต่อาจจะเป็นเพราะตอนนั้นทั้งคู่อายุยังไม่มาก เล่ห์เหลี่ยมจะต่อรองอะไรยังไม่มี แถมแค่คิดถึงเงินก้อนโตที่จะได้จากการขายร้านแล้วก็คึกคักฮึกเหิม เงินเป็นช้างตัวใหญ่ข้อแม้อื่นเป็นหนูตัวจ้อย พอช้างเข้าตามีหรือจะเห็นหนูตัวเล็กตัวน้อย ดังนั้นทั้งคู่จึงตัดสินใจตรงกันว่า เอาเงินเข้ากระเป๋าก่อน ปัญหาอะไรในอนาคตไว้แก้กันภายหลัง ดังนั้นชายหนุ่มจึงพยักหน้า
“ตกลงเอาตามที่เฮียงแจ้ว่าเถอะ”
การประชุมครอบครัวจบลงด้วยรอยยิ้มที่ได้ดังใจของฉื่อไท่กับเมีย ส่วนน้อง ๆ ที่เหลือได้แต่แค้นใจ คาใจว่าพี่ชายคนโตกับพี่สะใภ้เอาเปรียบ แต่อาจจะเพราะถูกสอนให้ ‘ยอม’ และเห็นความสำคัญของพี่ชายคนโตเหนือน้อง ๆ มาเนิ่นนาน…เด็กเล็กเด็กโตของทั้งสองบ้านจึงโกรธพี่ชายส่วนเดียว อีกเก้าส่วนที่เหลือทั้งหมดประเคนใส่นงนุชเต็มที่ หาว่าเพราะหญิงสาวยุยงเฮียไท่จึงเปลี่ยนไป ยิ่งพูดยิ่งโกรธไม่พอใจที่เฮียไท่แต่งกับผู้หญิงเจ้าเล่ห์ ใจดำ ละโมบ เห็นแก่ตัว เฮียงแจ้เอ็ดเตือนให้ระวังปากระวังใจกันบ้างก็เหมือนไม่มีใครยอมฟัง
ซิ่วเฮียงเลยได้แต่ปวดใจ รู้ดีว่าแม้หล่อนจะประคับประคอง ‘คน’ ให้ยังอยู่ร่วมกันได้ แต่ความสัมพันธ์ของพี่น้องบ้านลานมะเกลือมีรอยร้าวจนยากจะประสานเสียแล้ว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 44 : ฝันสลาย
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 43 : รอยร้าว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 42 : สัญญา
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 41 : อามาลัย
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 40 : พบหน้า
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 39 : ลูกไม่มีพ่อ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 38 : หมากฝรั่งบุหรี่
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 37 : พิราบขาว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 36 : คนนอก
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 35 : ผู้ชนะ (ตอนที่ 2)
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 34 : ผู้ชนะ (ตอนที่ 1)
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 33 : คดในข้องอในกระดูก
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 32 : สัญญาที่ไม่เป็นธรรม?
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 31 : แม่ม่ายลูกกำพร้า
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 30 : ฟ้าถล่ม
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 29 : ลูกชายลูกชาย
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 28 : ไม่มีอะไรแน่นอน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 27 : เด็กน้อยของซิ่วเฮียง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 26 : สันดานคนยากจะเปลี่ยน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 25: รถจี๊ปสีเขียว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 24 : หวังดีเกินไป รักเกินไป
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 23 : เรื่องที่เข้ากันได้
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 22 : หยี่แจ้ โอ่ยแจ้
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 21 : แต่งงาน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 20 : สู่ขอ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 19 : ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 18 : เห็นขี้ดีกว่าไส้
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 17 : กระต่ายก็กัดเป็น
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 16 : เลิกกับผัวแล้ว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 15 : ปุ๋ยดีไม่ควรปล่อยให้ไหลลงนาผู้อื่น
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 14 : ลานมะเกลือ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 13 : ศาลองค์แป๊ะกง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 12 : เข้ากรุง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 11 : ส้วมที่แตกแล้ว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 10 : บ้าน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 9 : หันหลังกลับ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 8 : พยอม
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 7 : หมดสิ้น
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 6 : หาญ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 5 : วาสนา
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 4 : ดอกไม้ผ้า
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 3 : ตุ้มหูทอง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 2 : แม่ผัว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 1 : ซิ่วเฮียง