แก่นไม้หอม บทที่ 43 : รอยร้าว

แก่นไม้หอม บทที่ 43 : รอยร้าว

โดย : กิ่งฉัตร

แก่นไม้หอม นวนิยายออนไลน์ โดย กิ่งฉัตร ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ กับเรื่องราวที่จะทำให้คุณได้รู้ว่าผู้หญิงเป็นเมียและแม่ไม่ต่างจากแก่นไม้ที่แข็งแกร่ง มั่นคงและทรหดที่ยึดให้ใบได้แผ่กว้าง และหากโลกนี้เชื่อว่าผู้ชายเป็นใหญ่ แต่จริงๆ แล้วทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนเป็นหยินที่โอบหยางทั้งสิ้น

กุ้ยเตียงผิดสัญญา…

หลังจากนอนพัก ‘ดูอาการ’ อยู่สี่ชั่วโมงเศษ  ยังไม่ทันส่งต่อไปโรงพยาบาลที่ใหญ่กว่าหรือวางแผนการผ่าตัดใด  หญิงสาวก็จากไปอย่างสงบ  แพทย์ชันสูตรลงความเห็นว่าเสียจากอาการเส้นเลือดในสมองแตกเฉียบพลัน

ตลอดเวลาตั้งแต่ล้มลงจนหมดลมหายใจ  กุ้ยเตียงไม่ได้ลืมตาขึ้นเลย  ไม่แม้แต่จะได้ยินเสียงร้องไห้ของซิ่วเฮียงและลูก ๆ ของทั้งสองบ้าน  ฉื่อไท่กับภรรยาที่รู้ข่าวและรีบตามมาโรงพยาบาล…มาเกาะตาแดง ๆ ร้องเรียกม้า ๆ อยู่ข้างเตียง  แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว

งานศพของกุ้ยเตียงจัดที่วัดหัวลำโพงเหมือนงานของส่วง  แต่ศาลาเล็กกว่าและแขกที่มาวันแรก ๆ ส่วนใหญ่มีเพียงญาติพี่น้องเท่านั้น   เด็ก ๆ บ้านลานมะเกลือกับสองหนุ่มบ้านต้นชมพู่นั่งเรียงรายกันเป็นพระอันดับ  แต่ละคนหูตาแดงร้องไห้กันมาทั้งคืน  ฉื่อกกยังร้องหาม้าจะหาม้าอยู่เป็นระยะ  เขาไม่ยอมเชื่อว่าม้าที่เพิ่งนั่งกินข้าวกันพูดคุยกันอยู่ดี ๆ นาทีหนึ่ง  อีกนาทีจะล้มลงกองกับพื้นและไม่ฟื้นขึ้นมาอีก  ม้าจะไม่อยู่แล้วได้ยังไง  เพิ่งคุยกันอยู่ชัด ๆ

“ม้า  กกจะหาม้า…”

ฉื่อเพียวต้องกอดน้องชายไว้เพื่อปลอบโยน  ทั้ง ๆ ที่เด็กหญิงเองก็หวาดกลัวจับใจเหมือนกัน

หมุยเจ็งที่รู้ข่าวร้ายของลูกสาวคนเดียวเสียใจจนลมจับ  รู้ตัวก็ร้องไห้จนเป็นลมไปสองสามรอบกว่าจะตั้งสติได้และมางานลูกสาวด้วยสภาพที่ไร้ชีวิตจิตใจ  บรรดาพี่ชายน้องชายและสะใภ้รวมไปถึงหลาน ๆ ก็มางานกันหมดตั้งแต่วันแรก ๆ

ในตอนแรกซิ่วเฮียงยังนึกว่าหลีมุ่ยอาจจะไม่พอใจที่กุ้ยเตียงจากไปก่อนงานมงคลของลูกชายหล่อนไม่กี่วัน  แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้วหลีมุ่ยกลับเป็นสะใภ้คนเดียวของบ้านโบ๊เบ๊ที่เสียใจกับการตายของน้องสามีคนนี้ที่สุด  หล่อนร้องไห้จนตาแดงจมูกแดงไปหมด  บ่นกับโลงศพว่า

“ทำไมลื้อรีบไปนัก  ทำไมไม่อยู่เป็นเพื่อนอั๊วก่อน  อาเตียงเอ๊ย…หลับให้สบายนะไม่ต้องห่วงอะไรทางนี้  ลูก ๆ ลื้ออั๊วจะดูแลให้เองไม่ให้ใครเขารังแก”

หลีมุ่ยกอดปลอบเด็ก ๆ บ้านลานมะเกลือทุกคน  แถมยังมีเมตตาตบบ่าเด็กชายสองคนจากบ้านต้นชมพู่ด้วย

กุ้ยเตียงนั้นเสียในเวลาหลังเที่ยงคืนแต่ยังไม่ถึงเช้า  ตามความเชื่อเรื่องเวลาการตายของคนจีนที่เทียบเวลาตายกับเวลากินอาหารสามมื้อนั้น  การตายหลังเที่ยงคืนเท่ากับว่ากุ้ยเตียงจากไปโดยยังไม่ได้กินอะไร  และทิ้งอาหารทั้งสามมื้อหรือบุญกุศลและทรัพย์สมบัติไว้ให้ลูกหลานเบื้องหลังทั้งหมด  ดังนั้นการจัดอาหารเซ่นไหว้จึงต้องทำเตรียมเป็นพิเศษ  ในตอนแรกซิ่วเฮียงก็ว่าจะทำเองแต่หลีมุ่ยกลับแย่งหน้าที่จัดเตรียมอาหารเซ่นไหว้ให้แทน  แถมยังเตรียมได้ครบไม่ขาดข้าวและเต้าหู้รวมถึงของคาวหวานอื่น ๆ

ท่าทางกระตือรือร้นเต็มใจช่วยจริงจังอย่างไม่เกี่ยงงอนของหลีมุ่ยทำให้ใคร ๆ พากันประหลาดใจ  ขนาดฉื่อย้งยังแอบมาปรึกษาเรื่องอากิ๋มของตนกับซิ่วเฮียงอย่างจริงจังว่า

“กิ๋มมุ่ยเป็นอะไรไปน่ะเฮียงแจ้   ม้าตายทำสมองเขากระทบกระเทือนหรือไง  จู่ ๆ ก็เปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือขนาดนี้  ตอนแรกย้งนึกว่ากิ๋มมุ่ยจะโวยวายว่าม้าตายทำให้งานแต่งเฮียฮงไม่เป็นมงคล  แต่กิ๋มมุ่ยกลับไม่พูดอะไรเรื่องนี้สักคำ  แถมเมื่อวานยังไล่กอดพวกเราทุกคน  พูดปลอบดี๊ดี  แล้วยังเรื่องอาหารไหว้ม้าอีก  ตอนอากงเสียย้งจำได้ว่ากิ๋มมุ่ยไม่แตะอะไรเลย  ให้ม้าจัดการแทนให้หมด  มางานนี้กิ๋มมุ่ยแย่งเฮียงแจ้ทำหมด  บอกว่าเข้าครัวทำเองด้วยนะ  เฮียงแจ้ว่าเราควรจะกลัวกันดีหรือให้หมอมาตรวจกิ๋มมุ่ยดี”

โชคดีที่อาการ ‘ดีผิดปกติ’ ราวถูกนางฟ้าเข้าสิงของหลีมุ่ยเป็นอยู่ได้ไม่จบงานศพ  เพราะวันหลังๆ ของงาน พี่สะใภ้ของกุ้ยเตียงก็เรียกฉื่อไท่ไปหาสอนว่า

“ต่อไปลื้อต้องดูแลน้อง ๆ ให้ดีแทนม้าลื้อนะอาไท่  แล้วทรัพย์สินอะไรที่ม้าลื้อทิ้งไว้น่ะต้องตรวจสอบให้ดี  อย่าให้ใครปอกลอกเอาไปได้  แล้วถ้าไม่ใช่ญาติใช่โยมไม่มีสายเลือดเดียวกัน  ลื้อห้ามวางใจเชียว  มีปัญหาอะไรให้มาหากู๋ลื้อ  ห้ามไว้ใจใครเด็ดขาด”

ตอนที่ ‘ใคร’ ได้ยินเรื่องนี้  หญิงสาวกลอกตาอย่างอ่อนใจ  แต่พอสบสายตากับฉื่อย้ง  ทั้งคู่ก็ถอนใจออกมาอย่างโล่งอก  อย่างน้อยก็สบายใจได้อย่างว่ากิ๋มมุ่ยยังเหมือนเดิม!

หลีมุ่ยพยายามใช้ทุกจังหวะเหมาะ ๆ ที่มีพูดเข้าหูฉื่อไท่  ไม่ใช่แค่เรื่องไม่ไว้ใจใคร  หรือเรื่องเงินที่ญาติมิตรและสมาคมใส่ซองช่วยมาต้องเก็บให้ดีเท่านั้น  แต่เป็นเรื่องที่ต้องสานงานเดิมทุกอย่างที่กุ้ยเตียงเคยทำด้วย

ฉื่อไท่ที่รู้จักนิสัยกิ๋มมุ่ยดีฟังหูซ้ายทะลุหูขวา  เออออไปด้วยตามมารยาทเท่านั้น  แต่นงนุชเพิ่งแต่งเข้าบ้านลานมะเกลือมาแค่ครึ่งปี  แม้จะเคยได้ยินว่าป้าสะใภ้คนนี้นิสัยไม่ค่อยดีเท่าไหร่  ทั้งขี้งกเห็นแก่ตัว  ปากร้ายใจดำ  แต่ในงานนี้หญิงสาวเห็นหลีมุ่ยช่วยเหลือทุกอย่าง  ช่วยจัดนั่นทำนี่สั่งโน่นจนลูกสะใภ้อย่างหล่อนสบายไปไม่ต้องหัวหมุนวุ่นวาย  ความรู้สึกของนงนุชที่มีต่อป้าสะใภ้คนนี้จึงค่อนข้างดี  พอหลีมุ่ยพูดอะไรหล่อนก็ฟังอย่างตั้งใจ  แม้จะไม่ถึงขนาดว่าเชื่อหมดทุกเรื่อง  แต่ใจก็เอนเอียงไปไม่น้อย  ดังนั้นสายตาที่มองเฮียงแจ้ของสามีก็เริ่มเปลี่ยนไป  ยิ่งคืนที่ครอบครัวของซิ่วเฮียงมาร่วมงานศพและเซียมลั้งดึงตัวลูกสาวไปซุบซิบถามไถ่เรื่องการดูแลร้านที่สะพานหันและเก็บค่าเช่าบ้านที่ลานมะเกลือ  นงนุชก็ยิ่งปักใจว่าเรื่องที่หลีมุ่ยเตือนนั้นต้องมีมูลความจริงแน่

ซิ่วเฮียงไม่รู้และไม่เคยนึกว่าคนอย่างหลีมุ่ยจะกล่อมสะใภ้ใหม่ได้สำเร็จ  หญิงสาวมัวแต่วุ่นวายเรื่องงานของหยี่แจ้  กลางวันจัดการงานกลางคืนปลอบโยนเด็ก ๆ ที่ยังฝันร้ายและฉื่อกกที่ตื่นขึ้นมาร้องไห้กลางดึกทุกคืน  ไหนจะเรื่องงานศพไหนจะเรื่องพิธีฝังในสุสาน

วันที่ฝังกุ้ยเตียงเคียงข้างส่วงนั้นฟ้าเปิด  แดดแรงจนพื้นปูนที่ฮวงซุ้ยร้อนมาก  ลูกหลานและญาติพี่น้องที่มาร่วมพิธีต่างต้องกางร่มหรือหาที่ร่มรอระหว่างขุดหลุมและจัดส่งโลงใหม่ลงไป  มีเพียงซิ่วเฮียงที่ยืนมองโลงของคนสองคนที่หล่อนรักเคียงคู่กันด้วยความโศกเศร้า  ฝืนไว้พยายามไม่ร้องไห้จนแสบตาไปหมด  หญิงสาวกระซิบว่า

“เถ้าแก่กับหยี่แจ้รอก่อนนะจ๊ะ  แล้วเฮียงจะรีบตามไปอยู่ด้วย  เฮียงสัญญา”

คืนนั้นฉื่อกกที่ย้ายบ้านมานอนกับซิ่วเฮียงชั่วคราวร้องไห้เหมือนเดิมแต่เป็นการร้องกระซิก ๆ ไม่ใช่ร้องแบบสุดเสียงอย่างที่เขาร้องมาตลอดหลายวัน  ซิ่วเฮียงจึงต้องนอนกอดเขาไว้  ในขณะที่ฉื่อเพียวที่นอนกับหล่อนเป็นประจำอยู่แล้วเข้ามากอดข้าง ๆ อีกคน

“เฮียงแจ้  เพียวกลัว…”

“ไม่มีอะไรน่ากลัวอีกแล้ว   หลับเถอะนะ  พรุ่งนี้ทุกอย่างจะดีกว่าวันนี้แน่…”  เพราะเมื่อสูญเสียจนถึงที่สุด  ไม่มีอะไรจะสูญเสียอีกแล้ว  ไม่มีอะไรจะเจ็บปวดหรือทุกข์ตรมมากไปกว่านี้  พรุ่งนี้ย่อมจะดีขึ้นอย่างแน่นอน  “เชื่อเฮียงแจ้เถอะนะ”

ไม่นานเด็กทั้งสองที่เหนื่อยอ่อนก็หลับลงพร้อมคราบน้ำตา  เหลือเพียงหญิงสาวที่ยังคงลืมตาอยู่ในความมืด  ความมืดและความเดียวดาย

แม้พรุ่งนี้ทุกอย่างจะดีขึ้น  แต่คืนนี้หัวใจและบ่าของหล่อนรู้สึกหนักเหลือเกิน…

ไม่ใช่แค่ซิ่วเฮียงที่นอนไม่หลับ  นงนุชเองก็ลืมตาโพลงอยู่ในความมืด

วันนี้ตอนที่นำร่างของกุ้ยเตียงฝังลงเคียงข้างพ่อสามีที่หล่อนเคยเห็นแต่เพียงภาพถ่ายนั้น  หญิงสาวก็เริ่มตระหนักว่าต่อไปนี้ฉื่อไท่คือหัวหน้าครอบครัวนี้  ญาติผู้ใหญ่เกือบทั้งหมดให้ความสำคัญกับเขา  ส่วนใหญ่เข้ามาพูดคุยแสดงความเสียใจและกำชับให้เขาดูแลน้อง ๆ ต่อจากมารดาให้ดี

น้อง ๆ ไม่นับฉื่อย้งที่มีงานมีการทำเรียบร้อย  ฉื่อไท่มีน้องทั้งน้องร่วมแม่เดียวกันกับน้องต่างแม่ที่ต้องดูแลห้าคน  ฉื่อไช้โตสุดกำลังเรียนมัธยมหกปีหน้าจะเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย  ส่วนคนเล็กสุดคือฉื่อกกอายุยังไม่ครบสิบดีเลย

เด็กห้าคนที่สามีหล่อนต้องรับผิดชอบ  ต้องช่วยเฮียงแจ้เลี้ยงดูส่งเสียตามฐานะพี่ชายคนโต

นงนุชคิดแล้วเวียนหัวแกมหวั่นใจ  หล่อนเป็นน้องคนเล็กในบ้านมาตลอดไม่เคยต้องดูแลใคร  แต่พอแต่งงานได้แค่หกเดือนกลับต้องมาช่วยสามีดูแลเด็กห้าคน  ค่าอาหารการกินเห็นว่าซื้อหาจากเงินค่าเช่าเรือนแถวที่ลานมะเกลือจึงตัดออกไปได้  แต่ค่าเล่าเรียน  ค่าเสื้อผ้า  ค่าขนมน้อง ๆ รวม ๆ แล้วน่าจะสูงกว่าค่าอาหารมาก  อีกอย่างตั้งแต่แต่งงานเข้าบ้านนี้มา  หล่อนไม่เคยเห็นฉื่อกก ฉื่อไช้และฉื่อแชนั่งรถประจำทางไปโรงเรียนเลย

กุ้ยเตียงจ้างอาเต็กอดีตคนงานลานมะเกลือที่ตอนนี้เป็นเจ้าของอู่รถรับจ้างคอยวิ่งรับส่งลูกชายคนเล็กกับพี่ ๆ ลูกซิ่วเฮียงทุกวัน   เห็นว่าค่ารถเดือนละหลายร้อยอยู่

เงินหลายร้อยจ่ายทุกเดือนรวมแล้วก็หลายพัน  บวกกับค่าใช้จ่ายอื่น ๆ  ปี ๆ หนึ่งรวมแล้วไม่รู้กี่หมื่นกี่แสน

ถามหน่อยเถอะ  สามีของหล่อนที่ทำงานตามอารมณ์  ทำสองวันหยุดงานสามวันจะแบกภาระพวกนี้ไหวหรือ

ยิ่งคิดนงนุชยิ่งกลัว  หล่อนสะกิดสามีถามขึ้นว่า

“เฮีย  เรื่องน้อง ๆ เฮียจะทำยังไง  ห้าคนยังเด็ก ๆ อยู่ทั้งนั้น  แต่ละคนค่าเล่าเรียนเท่าไหร่  แล้วยังค่าเครื่องแบบ  ค่าโน่นนี่อีกเยอะแยะ  รายได้จากร้านเดือน ๆ จะพอไหมเฮีย”

“พอสิ”  ฉื่อไท่ตอบแบบง่วงจัด  วันนี้เขาเหนื่อยมาทั้งวัน  ทั้งเสียใจทั้งอ่อนล้า  ไม่อยากคุยอะไรอีกแล้วอยากนอนอย่างเดียว  แต่ก็ยังฝืนพึมพำตอบว่า “ค่าอาหารค่าคนงานในบ้านไม่ต้องยุ่ง  ค่าขนมอาไช้กับอาแช เฮียงแจ้ดูแลอยู่ เราไม่ต้องจ่าย  ที่เหลือมันจะเท่าไหร่กัน…”

“เยอะนะเฮีย  ค่าเล่าเรียนเทอมนึงไม่ใช่ถูก ๆ”  โดยเฉพาะโรงเรียนที่น้อง ๆ ผู้ชายสามคนเรียนอยู่  ได้ข่าวว่าค่าเล่าเรียนแพงหูฉี่

“เยอะแต่ปีนึงจ่ายแค่สองครั้ง  ไม่เท่าไหร่หรอกน่า  นุชนอนเถอะเฮียง่วง  เรื่องเงินไม่ต้องห่วงหรอก  ม้าทำร้านหาเงินมาใช้ในบ้านได้สบาย ๆ ทุกเดือน  เฮียก็ทำได้เหมือนกันแหละ  นอนเถอะมีอะไรพรุ่งนี้ค่อยคุยกัน”

ฉื่อไท่หลับไปแล้ว  แต่นงนุชยังนอนไม่หลับ  หล่อนไม่ได้เชื่อมั่นในตัวสามีเท่าที่เขาประเมินตัวเอง  และเพราะไม่เชื่อตาจึงค้างแข็งด้วยความกังวล…

 

หลังจากต้องรับช่วงงานร้านอึ้งซุ้ยหลีเต็มตัวเพียงสามเดือน  ฉื่อไท่ก็รู้แล้วว่าเขาประเมินตัวเองสูงไปหน่อย  ชายหนุ่มเคยเห็นมารดาแค่นั่งโทรศัพท์สั่งโน่นสั่งนี่  เอาสมุดตัวอย่างมาเลือกผ้าเลือกของเข้าร้าน  คุยกับยี่ปั๊วคุยราคากันไปหัวเราะเฮฮาร่าเริง  เขาที่ช่วยคุมรับของส่งของ  ดูคนขายขายของให้ลูกค้ายังดูเหมือนเหนื่อยกายมากกว่ามาก

แต่พอม้าไม่อยู่  เขาต้องรับงานแทนถึงได้รู้ว่า  งานที่เห็นว่าง่าย ๆ สบาย ๆ มันไม่ได้ง่ายและสบายอย่างที่คิด  สินค้าที่เลือกเข้าร้านใช่ว่าจะจิ้มเลือกเอาส่ง ๆ  มือไม่ดีตาไม่ถึงสั่งของมาก็ขายไม่ออก  ยี่ปั๊วที่เห็นคุยดีเข้าอกเข้าใจยิ้มแย้มหัวเราะร่าเริงที่แท้คือฉลามร้ายที่เขาต้องต่อรองอย่างระมัดระวัง  เขาเพิ่งเข้าใจรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของม้าคือหน้ากากที่สวมไว้เพื่อต่อสู้ในสนามการค้า

พอเขารับช่วงมา  นอกจากจะต้องเจอปัญหาไม่มีฝีมือในการต่อรองแล้ว  ตัวร้านเองก็ไม่ได้มีเงินสดพอจะสั่งซื้อสินค้าที่กำลังเป็นที่นิยมมาเก็บไว้มาก ๆ ดังนั้นจะซื้ออะไรจะสดจะเชื่อก็ต้องระวังไปหมด

ที่สำคัญกิจการของร้านไม่ได้ดีอย่างที่เขาคิด  ร้านค้าในสะพานหันเริ่มเปลี่ยนรูปแบบไป  ลูกค้าที่ต้องการซื้อผ้าหรือเสื้อสำเร็จรูปจากจีนหันไปจับจ่ายที่สำเพ็งหรือพาหุรัดมากขึ้น  ลูกค้าที่เหลืออยู่ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าประจำที่แรงซื้อลดน้อยถอยลงทุกวันเท่านั้น

ตรงกันข้ามกับรายได้ที่เข้ามา  รายจ่ายของร้านกลับค่อนข้างสูง  ไหนจะต้องลงทุนซื้อของบางตัวเก็บไว้  ค่าน้ำค่าไฟ  ยังจะค่าแรงงานคนในร้าน  รายจ่ายของบ้านลานมะเกลือก็ไม่น้อยหน้า  ทุกเดือนมีค่าแรงของคนงานประจำสองคน  ค่าน้ำค่าไฟ  ค่าใช้จ่ายจิปาถะยิบย่อยไปหมด  แต่นั่น…ยังเทียบไม่ได้กับค่าเล่าเรียนของน้อง ๆ

พวกน้องสาวเรียนโรงเรียนรัฐบาล  ค่าเล่าเรียนไม่สูงเท่าไหร่  แต่ฉื่อไช้ ฉื่อแช ฉื่อกกเรียนโรงเรียนเก่าของเขา  ค่าเล่าเรียนเทอมหนึ่งของที่นี่ต่อคนมากเป็นสองเท่าของค่าเล่าเรียนทั้งปีของสามสาวรวมกัน

ฉื่อไท่กุมขมับ  เขานึกไม่ออกจริง ๆ ว่าม้าสามารถจัดการทั้งค่าใช้จ่ายของร้านและบ้านลานมะเกลือได้อย่างไร  ชายหนุ่มฝืนทำงานต่ออีกสองเดือน  ทำไปก็ยิ่งคิดว่าไม่มีประโยชน์อะไรเลย  หาเงินมาเท่าไหร่ก็ต้องให้กงสีเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมด  จะบริหารร้านให้มีรายได้เพิ่มพอจะเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวที่เคยสุรุ่ยสุร่ายเหมือนก่อนที่ม้าจะเสีย…เขาก็ไม่มีความสามารถถึงขนาดนั้น

ดังนั้นสองคนผัวเมียปรึกษากันคร่ำเครียดก่อนที่ฉื่อไท่จะตัดสินใจไปหาซิ่วเฮียงที่บ้านต้นชมพู่  ชายหนุ่มไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่ายเมื่อเอ่ยว่า

“เฮียงแจ้  อั๊วจะขายร้าน”

ซิ่วเฮียงนิ่งอึ้งไป  เนิ่นนานก่อนจะถามว่า

“ทำไม…”

“ร้านมันใหญ่ไปอั๊วดูแลไม่ไหว”  ฉื่อไท่บอกตามตรง  ไม่ไหวก็ว่าไม่ไหวไม่ต้องห่วงหน้าตากลัวถูกหาว่าไม่เก่ง  เพราะเขาไม่เก่งจริง ๆ  “เฮียงแจ้ก็รู้ว่าอั๊วไม่ชอบค้าขาย  ตั้งแต่ทำร้านมาร้านแทบไม่มีกำไรเลย  ใช้เงินสดที่ม้าทิ้งให้ก้นเก๊ะจนจะหมดแล้ว  อีกอย่างอั๊วอยากทำงานอื่นที่ท้าทายมากกว่านี้…”

“งานอะไรที่อาไท่ว่าท้าทายกว่านี้”

“อั๊วจะไปหางานทำที่อเมริกา  เพื่อนที่บริษัททัวร์ของนุชเขาบอกว่าทางนั้นถ้ามีทุนก็เปิดบริษัทเป็นตัวแทนขายตั๋วเครื่องบินให้คนไทยที่นั่นได้  หรือไม่ก็ลงทุนทำร้านอาหาร  แต่งร้านดีหน่อยจ้างพ่อครัวเก่งหน่อยก็ไม่ต้องเหนื่อยมากแล้ว”

ซิ่วเฮียงอยากหัวเราะจะเปิดบริษัทขายตั๋วหรือทำร้านอาหาร…มันไม่ใช่ค้าขายหรือ  ขายเสื้อผ้าไม่ได้เพราะไม่ชอบแต่จะไปขายตั๋วขายอาหาร  ตลกเกินไปไหม

ฉื่อไท่ที่เห็นแม่เลี้ยงไม่ตอบอะไร  นงนุชก็สะกิดยิก ๆ อยู่ข้าง ๆ ชายหนุ่มจึงรีบแสดงความไม่เห็นแก่ตัวว่า

“เรื่องเงินเฮียงแจ้ไม่ต้องห่วงนะ  ขายร้านสะพานหันแล้วอั๊วไม่ได้คิดจะเอาเงินไปหมด  แต่จะแบ่งให้น้อง ๆ ทุกคน  สิทธิเรื่องค่าเช่าบ้านที่ลานมะเกลืออั๊วก็จะไม่ยุ่ง  อั๊วให้เฮียงแจ้ดูแลเหมือนเดิมเพียงแต่ค่าเทอมพวกน้อง ๆ อาจจะต้องเอาเงินส่วนนี้มาช่วย…”

หญิงสาวฟังแล้วยิ้มขมขื่น  รื้อความทรงจำเขาว่า

“ตอนที่ม้าลื้อเสียใหม่ ๆ  เฮียงแจ้เอาบัญชีค่าเช่าบ้านที่ลานมะเกลือให้ลื้อกับเมียดูแล้วไม่ใช่หรือ  ค่าเช่าแต่ละเดือนหักที่ต้องจ่ายค่าซ่อมนั่นซ่อมนี่รวมแล้วไม่ถึงพันห้า  เงินแค่นี้ค่าอาหารสำหรับคนสิบกว่าคนกับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แทบไม่เหลือ  แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายค่าเทอมน้อง ๆ ลื้อ”

“เฮียงแจ้ให้อาย้งช่วยออกเงินบ้างสิ  เห็นว่าเงินเดือนอาย้งตั้งหลายพัน  แบ่งมาสักสี่ห้าร้อยก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”

“อาย้งให้อยู่แล้ว  ค่าน้ำค่าไฟบ้านโน้นอาย้งช่วยจ่ายมาสองสามเดือนแล้ว”  ซิ่วเฮียงบอกเสียงเย็น

ฉื่อไท่รู้สึกเหมือนถูกต้อนจนอึดอัด  เมียเขาสะกิดอีกเร่งให้เขาพูดให้ได้  ชายหนุ่มจึงตัดสินใจข่มความรู้สึกผิดบอกไปตรง ๆ ว่า

“เฮียงแจ้  อั๊วคิดดีแล้วถ้าไม่ขายร้านใครจะทำต่อ  อั๊วทำไม่ไหว  เฮียงแจ้ก็ไม่ชอบขายของ  อาย้งมีงานประจำแล้วเงินเดือนขนาดนั้นคงไม่ออกมาดูแลร้านแน่  อาไช้ยังเรียนไม่จบมัธยมเลย  อั๊วมองไม่เห็นทางรอดเลยจริง ๆ นะเฮียงแจ้…”

ซิ่วเฮียงฟังแล้วได้แต่ถอนใจยาว

“หยี่แจ้รักอึ้งซุ้ยหลีมาก…”

“อั๊วก็รัก  อั๊วโตมากับที่ร้าน  ถ้าไม่วิ่งเล่นที่ลานมะเกลือก็ไปเล่นที่ร้าน  ตั้งแต่เล็กจนโตมีหรืออั๊วจะไม่รักร้าน  แต่อั๊วทำต่อไม่ไหวแล้วจริง ๆ อั๊วทำไม่ได้จริง ๆ  ถ้าจะรอให้อาไช้เรียนจบมารับช่วงต่อ  ร้านคงเจ๊งไปแล้ว”

“อาไช้อาแชไม่เกี่ยว  ร้านนี้เป็นของม้าพวกลื้อเป็นมรดกของพวกลื้อ”

นงนุชที่นั่งเก็บปากเก็บคำอยู่ข้างสามีรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้ยินซิ่วเฮียงตัดบทขึ้นแบบนั้น  อย่าหาว่าหล่อนงกเลยเพราะคนเราต้องเห็นแก่ตัวเองและคนข้าง ๆ ตัวก่อนทั้งนั้น  น้องต่างแม่สองคนถอนตัวจากชามข้าวใบใหญ่ไป  ฉื่อไท่ก็จะได้ส่วนแบ่งมากขึ้น  แต่สามีแสนดีของหล่อนกลับตอบแม่เลี้ยงไปว่า

“มรดกพวกอั๊วอาไช้กับอาแชก็ต้องได้เหมือนกัน  ยังไงทั้งคู่ก็เป็นน้องชายอั๊ว”

ซิ่วเฮียงไม่ค้านแต่ก็ไม่รับอะไร  ฉื่อไท่กล่อมอีกพักใหญ่หญิงสาวจึงตัดบทไปว่า

“เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ขอเวลาเฮียงแจ้คิดสักคืน  อีกอย่างอาไท่…ลื้อต้องบอกน้อง ๆ ให้รู้เรื่องด้วย

ก่อนจะทำอะไรต้องคุยกันให้ชัด  อย่าทำอะไรปิด ๆ บัง ๆ แล้วให้น้อง ๆ รู้กันทีหลัง  น้อง ๆ จะหมดศรัทธาในตัวลื้อเอา”

ฉื่อไท่ยอมตามใจหล่อนจูงเมียกลับบ้านลานมะเกลือไป

คืนนั้นเป็นอีกคืนที่ซิ่วเฮียงนอนไม่หลับ  แม้จะรู้ว่าด้วยความสามารถและนิสัยสบาย ๆ ไม่สู้งานหนักของฉื่อไท่…สักวันอึ้งซุ้ยหลีก็คงต้องปิดลง  แต่หล่อนไม่คิดว่าเรื่องจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้  หยี่แจ้เพิ่งจากไปได้ไม่ถึงปี  ร้านที่เป็นเหมือนชีวิตหยี่แจ้ก็เอาไว้ไม่อยู่แล้ว

ดูเหมือนเวลาจะเพิ่งผ่านไปไม่นานนี่เองที่หญิงสาวงดงามราวภาพถ่ายในโฆษณาขายสินค้าจากจีนเอ่ยเล่าที่มาของร้านอย่างภาคภูมิใจว่า

‘ส่วนชื่อร้านนี้…คงเพราะอาส่วงรักม้าของเขามาก  สองแม่ลูกทนกับพวกบ้านใหญ่มาด้วยกันด้วยผูกพันกันมากกว่าใคร  อีกอย่างอาส่วงเคยเล่าว่าม้าเขาสวยมาก  เตี่ยของเขามักซื้อเสื้อผ้าสวย ๆ ให้ม้า  พออาส่วงเปิดร้านนี้เขานึกถึงม้า เลยตั้งชื่อร้านนี้ว่าอึ้งซุ้ยหลี’

อึ้งซุ้ยหลี…อู่ข้าวอู่น้ำหลักของคนบ้านลานมะเกลือและบ้านต้นชมพู่  จากนี้ไปคงไม่มีอีกแล้ว

หยี่แจ้จ๊ะ…เฮียงขอโทษที่รักษาร้านที่หยี่แจ้รักไว้ไม่ได้  ขอโทษ…ที่รักษาไว้ไม่ได้จริง ๆ

 

เย็นวันรุ่งขึ้นสมาชิกชื่อตัวกลาง “ฉื่อ” ทุกคนรวมถึงซิ่วเฮียงและนงนุชก็มารวมตัวกันในห้องทำงานเล็กของกุ้ยเตียง  เรื่องแพร่ไปแล้วว่าเฮียไท่อยากจะขายร้านเพื่อไปลงทุนทำธุรกิจที่อเมริกา  ดังนั้นสายตาของน้อง ๆ จึงมองพี่ชายคนโตอย่างไม่ดีเท่าไหร่  และด้วยความที่รู้นิสัยไปเรื่อย ๆ ไม่กระตือรือร้นอะไรของพี่ชายดี  บรรดาน้อง ๆ จึงมั่นใจว่าซ้อนุชที่ไม่ค่อยสุงสิงกับน้องสามีคนใดเป็นคนต้นคิดเรื่องนี้

ดังนั้นจึงมีเสียงพึมพำตามลมว่า…คิดได้ไง  สมบัติม้าทิ้งไว้ให้คิดจะขายได้ไง  เข้ามาไม่เท่าไหร่ก็ทำให้พี่น้องแตกแยก  ขนาดคำด่าว่าตัวล้างผลาญก็ยังแว่วให้ได้ยิน

ฉื่อไท่ไม่สนใจปฏิกิริยาของน้อง ๆ  เขาคาดไว้แล้วว่าจะต้องถูกต่อต้านจึงเตรียมใจรับมือไม่มีอาการหวั่นไหว  พอทุกคนมาพร้อมหน้าก็อธิบายสถานการณ์ของร้านเหมือนกับที่พูดกับซิ่วเฮียงไปเมื่อวาน  พอน้อง ๆ ที่นำทีมโดยฉื่อฮวงเริ่มจะโวยวายไม่พอใจ  ชายหนุ่มก็ตัดบทว่า

“อั๊วเป็นลูกชายคนโตของเตี่ยกับม้า  ตามธรรมเนียมทรัพย์สินของเตี่ยกับม้าส่วนใหญ่ต้องเป็นของอั๊วอยู่แล้ว  ร้านนี้ม้าก็ตั้งใจยกให้อั๊วถึงได้ให้อั๊วไปทำงานด้วยตั้งหลายปี  ฉะนั้นของของอั๊ว อั๊วจะขาย!”

“สมบัติอาไท่จริง เฮียงแจ้ไม่เถียง  แต่ที่เตี่ยกับม้ายกทุกอย่างให้ลื้อก็เพราะต้องการให้ลื้อช่วยดูแลน้อง ๆ  หวังให้ลื้อเป็นพ่อเป็นแม่ของน้อง ๆ แทนเตี่ยกับม้า”

นงนุชฟังแล้วอยากจะถอนใจยาว  สามีหล่อนอายุแค่ยี่สิบห้าเองนะทำไมต้องเลี้ยงน้องห้าคนเหมือนลูกด้วย  เฮียงแจ้ยังอยู่ไม่ใช่หรือ  น่าจะเป็นหน้าที่ของเฮียงแจ้มากกว่าที่ต้องเลี้ยงเด็ก ๆ ทั้งสองบ้าน  กิ๋มมุ่ยพูดถูก  แม่เลี้ยงของเฮียไท่ทำเป็นดีแต่จริง ๆ แล้วเห็นแก่ตัวเห็นแก่ลูกตัวเองเป็นหลัก  ทว่าต่อให้ใจคิดในแง่ร้ายเพียงใดหญิงสาวก็ฉลาดพอจะไม่พูดออกมาตรง ๆ หล่อนแค่ยืนอยู่ข้าง ๆ ฉื่อไท่และพร้อมจะสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่

“อั๊วก็พยายามแล้วนะเฮียงแจ้  แต่อั๊วไม่ไหวจริง ๆ  อีกอย่างกู๋ทงก็บอกว่าถ้าจะขายร้านให้รีบขายตอนนี้  ร้านยังมีกำไร  อย่างน้อยเราก็ได้เงินก้อนขึ้นมา  แต่ถ้ารอจนร้านขาดทุนมีแต่หนี้ไม่มีกำไร  ดีไม่ดีขายร้านแล้วต้องเอาไปใช้หนี้หมด  ไม่มีเงินเหลือสักสลึง”

“ตกลงที่ว่ามาทั้งหมดนี่กู๋ทงสอนหรือกิ๋มมุ่ยเป่าหูเฮียมา”  ฉื่อย้งทนไม่ไหวถามขึ้นตรง ๆ

ฉื่อไท่ชะงัก  หันมองน้องสาวอย่างไม่พอใจ  เขาโต้ตอบว่า

“กิ๋มมุ่ยไม่ได้เป่าหูอั๊ว  กิ๋มมุ่ยยังพยายามห้ามด้วยซ้ำว่าอย่าใจร้อน  แต่อั๊วตัดสินใจแล้ว  อั๊วจะไปทำธุรกิจที่อเมริกา”

“แล้วเฮียนึกว่าไปที่โน่นแล้วจะรอดเหรอ  ต่อให้ไปแบบนายทุนเอาเงินก้อนไปทุ่มมันก็ต้องทำงานหนัก  ต้องคิดวางแผน  ต้องขยันทำงาน  เฮียแน่ใจหรือว่าทำได้  ย้งไม่ได้ดูถูกเฮียนะ  แต่ตั้งแต่เล็กจนโตเฮียเคยทำงานหนักที่ไหนกัน  มีแต่ม้าทำให้คนงานทำให้หรือไม่ก็ชี้นิ้วให้น้องทำให้ทั้งนั้น  ตัวเองนอนกระดิกหัวแม่เท้าสบาย  แบบนี้หรือจะไปทำงานอเมริกา…ย้งเอาหัวเป็นประกันได้เลยว่าเฮียไปไม่รอดหรอก  ลงทุนเท่าไหร่ก็เจ๊งหมด  สู้หางานประจำแบบเช้าชามเย็นชามในเมืองไทยทำยังจะรุ่งเสียกว่า”

ฉื่อไท่หน้าแดงก่ำ  โกรธที่น้องสาวคนโตพูดจี้ใจดำ  หนำซ้ำพวกน้อง ๆ คนอื่น ๆ พากันพยักหน้าหรือออกปากแสดงความคิดเห็นสนับสนุนฉื่อย้งโดยไม่เกรงใจพี่ชายคนโตอย่างเขาแม้แต่น้อย  ฉื่อไท่จึงตวาดใส่ว่า

“หุบปากไปเลยนะอาย้ง  อั๊วทำได้  ไม่เหมือนลื้อหรอกที่ทำเป็นแต่พูดขึ้นเวทีการเมือง  ทำให้ม้าปวดใจจนเป็นลม  ไม่รู้ที่ม้าตายเพราะเสียใจเพราะเครียดจากการกระทำของลื้อหรือเปล่า!”

“ไม่จริง  เฮียเถียงไม่ขึ้นแล้วอย่าพาลได้ไหม  เรื่องของย้งมันหลายปีแล้วมันจะเกี่ยวกับการตายของม้าได้ไง”  ฉื่อย้งตะเบ็งเสียงกลับทันที  เรื่องนี้เป็นสิ่งที่หล่อนเคยคิดเคยโทษตัวเองอยู่เหมือนกัน  แต่หมอแจ้งแล้วว่าสาเหตุของเส้นเลือดในสมองแตกของม้าอาจจะเกิดจากความดันสูง  โรคประจำตัวหรือแม้แต่ความเครียดในช่วงนั้น  ม้าไม่ได้จากไปเพราะหล่อน  เฮียงแจ้เองก็เคยบอกว่าไม่เกี่ยวกัน  และสอนไม่ให้หล่อนโทษตัวเอง  แต่วันนี้พี่ชายกลับชี้หน้าบอกว่า

“เกี่ยวสิ  ม้าอาจจะเครียดสะสมมาตั้งแต่ตอนนั้นเพราะลื้อ!”

“ไม่จริง  เฮียอย่ามามั่ว”

“อั๊วพูดเพราะมันเป็นไปได้”

สองพี่น้องทำท่าเหมือนจะวางมวยกัน  ซิ่วเฮียงที่ฟังอยู่นานจึงออกโรงห้าม

“พอได้แล้วทั้งคู่เลย  โต ๆ กันแล้วทำไมยังทะเลาะกันเหมือนเด็ก  ม้าพวกลื้อตายแล้วยังจะเรียกจะปลุกขึ้นมาให้ไม่เป็นสุขทำไม  แล้วเรื่องจะไปทำงานที่อเมริกาไหวไม่ไหวมันอีกเรื่องไหม  จะไปหรือไม่ไปค่อยมาคุยกันทีหลังได้  ตอนนี้มาคุยเรื่องร้านก่อน”

“เอาเลยเฮียงแจ้  ด่าเฮียเลย”  ฉื่อฮวงยุ

แต่เด็กสาวต้องผิดหวังเพราะซิ่วเฮียงไม่ด่า  แต่พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นเป็นปกติว่า

“เรื่องร้าน…เฮียงแจ้คิดแล้วทั้งคืน  ไตร่ตรองดีแล้ว  อาไท่ถ้าลื้อทำร้านไม่ไหวจริง ๆ อยากจะขายก็ขายเถอะ  เงินที่ขายได้ลื้อก็เก็บไว้ไม่ต้องแบ่งใคร…”

“เฮียงแจ้!”  น้อง ๆ ของฉื่อไท่ตกอกตกใจกันใหญ่  ผิดกับนงนุชที่แอบยิ้ม  แต่รอยยิ้มนั้นเจื่อนไปเล็กน้อยเมื่อซิ่วเฮียงไม่ฟังเสียงนกเสียงกา  พูดต่อว่า

“หรือถ้ามีน้ำใจจะแบ่งเงินบางส่วนเปิดบัญชีเงินฝากให้น้อง ๆ ลื้อก็ได้  อันนั้นขึ้นอยู่กับลื้อเลย  แต่เฮียงแจ้มีข้อแม้สองอย่าง  อย่างแรกขายร้านได้เงินไปแล้วเงินเอาไปหมดได้  แต่อาไท่ต้องส่งน้องทุกคนเรียนจบจนทำงานเลี้ยงตัวเองได้  ลื้อทำได้ไหมอาไท่”

ฉื่อไท่หยุดคิดนิดหนึ่ง  ว่ากันตามจริงแล้วร้านสองคูหาสะพานหันขายได้เงินก้อนใหญ่แน่นอน  แต่เงินนั้นได้ครั้งเดียว  ส่วนน้อง ๆ ยังเรียนกันอีกยาว  ฉื่อกกอายุแค่แปดย่างเก้าขวบเท่านั้น  ต้องเรียนอีกเป็นสิบปี  ทว่าคิดอีกทีนี่คือหน้าที่ของพี่ชายคนโตอยู่แล้ว  เตี่ยกับม้าคงหวังให้เขาดูแลน้อง…

ชายหนุ่มไม่มองหน้าภรรยาเมื่อรับคำว่า

“ได้  อั๊วส่งให้ได้  แต่สูงสุดก็แค่เลี้ยงตัวได้หรือจบปริญญาตรีเท่านั้นนะ  ถ้าจะให้ส่งถึงโทถึงเอกไปเรียนเมืองนอกเมืองนาอั๊วคงไม่ไหว”

“ดี  ลื้อรับปากแล้วนะอาไท่”  ซิ่วเฮียงพยักหน้าอย่างพอใจก่อนชูนิ้วขึ้นสองนิ้ว  เสริมว่า  “ทีนี้อย่างที่สอง…สิทธิเช่าที่ราชพัสดุทั้งที่บ้านสองหลังนี้กับที่ลานมะเกลือไม่ให้ขายสิทธิต่อเด็ดขาด  ตอนนี้เก็บค่าเช่าเป็นค่าใช้จ่ายในบ้านไปก่อน  อีกหน่อยถ้าแยกบ้านกันแล้วก็แบ่งเงินรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายแล้วเท่า ๆ กันไปทุกคน”

ฉื่อไท่ยังไม่ทันพูดอะไรนงนุชก็แทรกถามขึ้นว่า

“ที่ว่าทุกคนนี่รวมเฮียไท่ด้วยใช่ไหมเฮียงแจ้”

น้อง ๆ เฮียไท่มองพี่สะใภ้อย่างขัดเคือง  ฉื่อฮวงคนเดิมกระแทกเสียงไม่เบานักว่า

“เงินค่าร้านได้ไปหมดยังไม่พออีกหรือไง  ยังจะเอาเงินค่าเช่าอีก  ชูชก…ขอให้ท้องแตกตายสักวันเถอะ”

นงนุชมองไปทางน้องสาวคนกลางของสามีอย่างเกลียดชัง  บ้านนี้แรงสุดปากดีที่สุดก็ฉื่อฮวงคนนี้  ส่วนคนอื่น ๆ ก็แค่ลูกหมางับ ๆ แล้วก็หนีไปชวนให้รำคาญเฉย ๆ แต่ฉื่อฮวงเป็นลูกหมาฟันคมที่งับแล้วสะบัดหัวแรงไม่ยอมปล่อยง่าย ๆ  หญิงสาวอ้าปากคิดจะด่ากับลูกหมาหัวร้อนสักยก  ทว่ายังไม่ทันได้เกิดศึกอีกคู่  ซิ่วเฮียงก็ตัดบทว่า

“ทุกคนก็คือทุกคน”

ฉื่อไท่หันไปสบตานงนุชเหมือนจะหารือ  ฝ่ายหลังยังห่วงเรื่องต้องรับผิดชอบการเรียนน้อง ๆ อีกหลายปี  แต่อาจจะเป็นเพราะตอนนั้นทั้งคู่อายุยังไม่มาก  เล่ห์เหลี่ยมจะต่อรองอะไรยังไม่มี  แถมแค่คิดถึงเงินก้อนโตที่จะได้จากการขายร้านแล้วก็คึกคักฮึกเหิม  เงินเป็นช้างตัวใหญ่ข้อแม้อื่นเป็นหนูตัวจ้อย  พอช้างเข้าตามีหรือจะเห็นหนูตัวเล็กตัวน้อย  ดังนั้นทั้งคู่จึงตัดสินใจตรงกันว่า  เอาเงินเข้ากระเป๋าก่อน  ปัญหาอะไรในอนาคตไว้แก้กันภายหลัง  ดังนั้นชายหนุ่มจึงพยักหน้า

“ตกลงเอาตามที่เฮียงแจ้ว่าเถอะ”

การประชุมครอบครัวจบลงด้วยรอยยิ้มที่ได้ดังใจของฉื่อไท่กับเมีย  ส่วนน้อง ๆ ที่เหลือได้แต่แค้นใจ  คาใจว่าพี่ชายคนโตกับพี่สะใภ้เอาเปรียบ  แต่อาจจะเพราะถูกสอนให้ ‘ยอม’ และเห็นความสำคัญของพี่ชายคนโตเหนือน้อง ๆ มาเนิ่นนาน…เด็กเล็กเด็กโตของทั้งสองบ้านจึงโกรธพี่ชายส่วนเดียว  อีกเก้าส่วนที่เหลือทั้งหมดประเคนใส่นงนุชเต็มที่  หาว่าเพราะหญิงสาวยุยงเฮียไท่จึงเปลี่ยนไป  ยิ่งพูดยิ่งโกรธไม่พอใจที่เฮียไท่แต่งกับผู้หญิงเจ้าเล่ห์  ใจดำ  ละโมบ  เห็นแก่ตัว  เฮียงแจ้เอ็ดเตือนให้ระวังปากระวังใจกันบ้างก็เหมือนไม่มีใครยอมฟัง

ซิ่วเฮียงเลยได้แต่ปวดใจ  รู้ดีว่าแม้หล่อนจะประคับประคอง ‘คน’ ให้ยังอยู่ร่วมกันได้  แต่ความสัมพันธ์ของพี่น้องบ้านลานมะเกลือมีรอยร้าวจนยากจะประสานเสียแล้ว

 



Don`t copy text!