หลังภาพมายา บทที่ 1 : หลังภาพของความสุข
โดย : จันทร์จร
หลังภาพมายา นวนิยายรักเข้มข้น รางวัลชนะเลิศจากโครงการช่องวันอ่านเอาปีที่ ๓ โดย จันทร์จร กับเรื่องราวที่อาจจะทำให้คุณเปลี่ยนมุมมองความรักไปตลอดกาล…เมื่อเธอต้องการหย่า แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิด แผนการแยบยลจึงเกิดขึ้น โดยมีน้องสาวมาเอี่ยว จุดจบของรักและความต้องการนี้จะเป็นอย่างไร อ่านพร้อมกันได้ใน anowl.co
“ไม่เห็นจะเข้าใจเลย”
เสียงบ่นดังมาจากคนที่เพิ่งวางกระเป๋าลงบนโต๊ะกระจกใส ขณะที่เจ้าตัวกวาดสายตาไปทั่วร้านกาแฟ ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วกระแทกตัวลงโซฟาอย่างไม่พอใจนัก
“แล้วร้านกาแฟดีๆ ข้างนอกมีตั้งมาก ทำไมเลือกร้านใต้คณะฉันล่ะเนี่ย”
อรวีย์มองค้อนใส่คนที่นัดเธอออกมา แต่แทนที่จะพากันออกไปหาร้านดีๆ อย่างที่เคยทำ ครั้งนี้อีกฝ่ายกลับเลือกร้านใต้ตึกคณะที่เธอสอน แล้วยังทำท่าจิบกาแฟรออย่างสบายใจ
“ไม่ดีเหรอ เธอจะได้ไม่ต้องออกจากที่ทำงานไปไกลๆ อีกอย่างฉันเห็นร้านนี้เขาปรับปรุงใหม่ ดูโมเดิร์นน่านั่งกว่าร้านที่เราไปคราวที่แล้วอีก” คนที่นั่งรออยู่ก่อนอดที่จะเปรียบเทียบกับร้านที่เพื่อนรักเลือกให้คราวที่แล้วไม่ได้ เพราะนอกจากจะต้องนั่งรถไปไกลแล้ว ร้านยังอยู่ลึกลับและคับแคบจนน่าอึดอัด เทียบกับร้านใต้คณะที่รสชาติกาแฟอาจไม่ได้ดีเท่า แต่บรรยากาศและการตกแต่งกลับดูสบายและน่านั่งกว่ามาก ซึ่งแน่นอนว่าเพื่อนของเธอก็ไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้อยู่ดี
“ให้ฉันออกไปไกลๆ บ้างเถอะกี้ เบื่อจะแย่ แล้วเทอมนี้เหมือนจะต้องให้เอฟลูกศิษย์เยอะด้วย” พูดจบอรวีย์ก็มองรอบตัวอีกครั้งว่าจะมีนักศึกษาในคลาสอยู่ในร้านหรือไม่ ด้วยไม่อยากอึดอัดเวลาถูกลูกศิษย์ทำหน้าอ้อนวอนขอเกรด
กีรดาได้แต่ยิ้มและรับฟังเสียงบ่น พลางยกแก้วเซรามิกสีขาวที่เติมเต็มด้วยลาเต้ร้อนขึ้นมาจิบ ก่อนจะวางลงอย่างนุ่มนวล
“ที่แท้…ก็ตั้งใจหลบหน้าลูกศิษย์นี่เอง”
“แหงสิ เธอก็รู้ว่าฉันเป็นคนใจอ่อน” อรวีย์ยอมรับ พร้อมกับมองการแต่งตัวของเพื่อนที่ดูจะพิเศษกว่าปกติ “นี่คงไม่ได้มาแค่ชวนฉันกินกาแฟหรอกใช่ไหม”
“ฉันมาเรื่องภูมิน่ะ อีกไม่กี่วันเขาก็ต้องมาบรรยายพิเศษในคลาสของเธอแล้ว ก็เลยว่าจะมาคุยเรื่องเงินบริจาคให้คณะด้วย” กีรดาอธิบายถึงเหตุผลของการมาในวันนี้
อรวีย์พยักหน้า ด้วยจำได้แล้วว่าเธอเองที่เป็นคนเชิญสามีของเพื่อนมาเป็นวิทยากรบรรยายพิเศษ ในฐานะที่เขาเป็นนักธุรกิจที่เคยประสบความสำเร็จ อีกทั้งเขายังเป็นผู้สนับสนุนคนสำคัญที่มอบเงินบริจาคให้คณะเป็นประจำติดต่อกันหลายปี และที่บอกว่าเคยเป็นเพราะในตอนนี้เขาได้ผันตัวไปลงเล่นการเมืองแล้ว
“นี่ถ้าไม่บอกฉันก็เกือบลืมแล้วนะเนี่ย มิน่าล่ะ…เธอถึงได้แต่งตัวสวยเชียว ชุดเนี่ยราคารวมกันกี่แสนล่ะจ๊ะ คุณภรรยานักการเมือง”
เธอแซวตามประสาคนคุ้นเคย ว่าแล้วก็อดที่จะมองการแต่งตัวของเพื่อนอีกครั้งไม่ได้ ด้วยความสนใจในรสนิยมการแต่งตัวที่ดูหรูหราอย่างเสมอต้นเสมอปลายนับตั้งแต่แต่งงาน ดูได้จากชุดเดรสผ้าไหมสีดำสนิทจากคอลเล็กชันปีล่าสุด ที่ถูกสวมทับด้วยสูทจากแบรนด์เดียวกัน ขับให้ผู้สวมใส่งามสง่าราวกับหลุดออกมาจากรันเวย์ ซึ่งคำนวณจากราคาแล้วสามารถแปลงเป็นค่าเทอมของนักศึกษาได้หลายคน
ขณะที่คนถูกแซวได้แต่หัวเราะเบาๆ ด้วยสรรพนามที่อรวีย์เรียกสามีเธอนั้นช่างห่างเหิน ทั้งที่เธอและเขาก็เป็นเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยเหมือนกัน
“นักการเมืองอะไรกัน ก็แค่ว่าที่ผู้สมัคร แล้วภูมิก็เพื่อนเธอเหมือนกันทำตัวห่างเหินไปได้ เดี๋ยวเสร็จจากที่นี่ก็ต้องไปงานศพญาติของแม่ต่อ แล้วเย็นนี้ก็ต้องไปทานข้าวกับคุณพ่อคุณแม่ด้วย ภูมิเขาอยากให้ฉันดูดีทุกครั้งที่ต้องไปเจอท่าน ก็เลยต้องตั้งใจหน่อย”
คำอธิบายของกีรดานั้น ไม่ได้ทำให้ความสนใจในสิ่งที่ฉาบอยู่บนเปลือกนอกลดลงไปเลย กลับกันยิ่งทำให้คนมองรู้สึกอิจฉาเล็กๆ ที่คนอย่างเธอนั้นดูมีชีวิตที่โชคดีไม่ต่างจากซินเดอเรลลา
“เธอเนี่ยดีจังเลยนะ นอกจากจะได้แฟนรวยแล้ว พ่อแม่สามีก็คอยสนับสนุนทุกอย่าง” อรวีย์คิดถึงช่วงเวลาที่ทั้งสามยังเป็นเพื่อนร่วมคณะ ก่อนที่กีรดาจะแต่งงานกับภาคภูมิหลังจากเรียนจบกันไปหลายปี จนได้ใช้ชีวิตที่ร่ำรวยและสุขสบาย อีกทั้งยังมีพ่อแม่สามีที่รักและเอ็นดู
“มันก็ไม่ทั้งหมดหรอก เธอก็รู้” ผู้ที่ถูกมองว่าใช้ชีวิตน่าอิจฉาได้แต่จิบกาแฟอีกครั้ง แล้วละความจริงเอาไว้ในฐานที่เข้าใจ ว่าแท้จริงแล้วชีวิตคู่ที่ดูเหมือนฝันของใครหลายคนนั้นไม่ได้เป็นอย่างภาพที่เห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตัวเธอที่เป็นตัวละครหน้าฉากของเรื่องนี้
กีรดาหลบสายตาอยากรู้อยากเห็นของเพื่อนรัก แล้วมองไปดูบรรยากาศร้านกาแฟที่ตกแต่งใหม่แทน ก่อนสายตาจะไปสะดุดเข้ากับใบหน้าเปื้อนยิ้มของหญิงสาวหลังเคาน์เตอร์กาแฟ เธอคนนั้นอายุสักยี่สิบกลางๆ แต่กลับมีรอยยิ้มสดใสราวกับเด็กสาว มองไปมองมาก็รู้สึกเพลินตาจนเกือบลืมไปแล้วว่า นี่เป็นหญิงสาวคนเดียวกันกับเจ้าของร้านกาแฟที่เธอเคยเจอครั้งแรกเมื่อเกือบสองปีที่แล้ว
“ไม่เห็นหน้ากันตั้งนาน สวยขึ้นจนเกือบจำไม่ได้” เธอเอ่ยปากชมเจ้าของร้านสาว แล้วอดอิจฉาความเยาว์วัยของเธอคนนั้นไม่ได้ เทียบกับคนที่อีกไม่กี่ปีก็จะสี่สิบอย่างตัวเองแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายมีความน่ามองกว่าแม้จะอยู่ในชุดธรรมดา และหน้าตาที่แต่งแต้มเพียงเล็กน้อย
“พูดถึงใครกัน…” อรวีย์ทำหน้าฉงนและหันไปมองตามเพื่อน ก่อนจะเจอเข้ากับเจ้าของร้าน “อ๋อ…นั่นน่ะเหรอ ก็ตั้งแต่เลิกกับอาจารย์คนนั้นก็ดูเหมือนชีวิตจะดีขึ้นเรื่อยๆ นะ แต่ได้ยินเขานินทากันว่าช่วงนี้น่าจะกลับไปหากินทางเก่าอีกแล้ว”
“หากินทางเก่า?” กีรดาสงสัย เท่าที่พอรู้เธอคนนั้นเคยเป็นแฟนเก็บของอาจารย์คนหนึ่งในคณะ ก่อนจะร่วมกันเปิดร้านกาแฟแห่งนี้ด้วยกัน และดูเหมือนจะเลิกรากันไปแล้วแต่ร้านนี้ยังคงเป็นของเธออยู่ ที่รู้เพราะนี่เป็นหัวข้อนินทาอันดับต้นๆ ที่อรวีย์จะเก็บมาเล่าให้ฟังโดยเฉพาะเวลาที่มีโอกาสมาร้านนี้
ส่วนแหล่งข้อมูลสำคัญ เมื่อเห็นเพื่อนทำท่างงงวยก็รีบเอามือป้องปากแล้วเล่าเสริมทันที
“ก็เป็นเมียน้อยไง ไม่งั้นจะเอาเงินที่ไหนมาแต่งร้านใหม่ซะสวยแบบนี้ ลำพังขายกาแฟใต้ตึกคณะกำไรก็ไม่ได้มากมายอะไร ไหนจะค่าจ้างลูกน้อง ค่าเช่า ค่าน้ำไฟ จะขายแพงมากก็ไม่ได้ ฉันให้รวมกันทั้งปียังไงก็ไม่พอค่าตกแต่งร้านให้ได้ขนาดนี้หรอก ถ้าไม่มีนายทุนช่วย”
“เธอเนี่ยช่างจับผิดตลอด” แม้ปากจะว่าเพื่อนรักแต่กีรดาก็ไม่ได้ปฏิเสธ อย่างที่เห็นว่าเธอคนนั้นสามารถตกแต่งร้านใหม่ให้สวยหรู และดูใหญ่ผิดหูผิดตาจากเดิมที่เป็นร้านนั่งเล่นใต้ตึกคณะไปไกล หากเป็นคนธรรมดาที่พอเหลือกำไรจากร้านกาแฟ ก็ไม่น่าจะสามารถกู้เงินได้มากขนาดนี้
“ก็มันจริงนี่…” อรวีย์เบ้ปากให้กับหนทางที่เธอคนนั้นเป็น แล้วถอนหายใจออกมาแรงๆ “ผู้หญิงบางคนคิดแค่ว่าเงินก็คือเงิน เขาไม่สนใจหรอกว่าจะได้มาด้วยวิธีไหน ดูอย่างเราสองคนสิ แข่งกันแทบตายเพื่อเกียรตินิยม สุดท้ายก็เป็นมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่งไม่เห็นจะต่างจากพวกเรียนเอาแค่จบตรงไหน ส่วนเธอกว่าจะได้ใช้ชีวิตหรูหราแบบนี้ ต้องใช้เวลากี่ปีกว่าพ่อแม่ภูมิจะยอมรับ เทียบกับพวกที่ได้เงินมาง่ายๆ แค่ยอมเป็นเมียน้อยคนอื่น…บางทีฉันก็อดอิจฉาไม่ได้เหมือนกัน”
สิ่งที่เอ่ยออกมานั้นสะท้อนตัวตนของผู้พูดได้เป็นอย่างดี กับคนที่พยายามเรื่องวิชาการแทบตายอย่างเธอ พอเห็นคนที่แทบไม่ต้องใช้สมองแต่สามารถมีความเป็นอยู่สุขสบายเช่นนั้น ก็แอบคิดอยู่เหมือนกันว่าโลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย
กีรดาได้แต่คิดตามอยู่ในใจ เพราะคนเรามองกันแค่ภายนอกแบบนี้ไงเธอถึงต้องพยายามถีบตัวเองขึ้น จนได้มาใช้ชีวิตในสังคมชั้นสูงที่ใครหลายคนใฝ่ฝัน แต่ปลายทางที่สวยงามนั้นกลับไม่ได้เป็นอย่างที่คิด แสงสว่างที่เห็นมาตลอดแท้จริงแล้วกลับว่างเปล่า คล้ายกับหิ่งห้อยที่อยากจะไปอยู่กับแสงไฟเจิดจ้า แต่พอได้สัมผัสแสงนั้นกลับกลืนกินตัวเธอ และแม้จะพยายามส่องแสงเพียงไรก็ไม่เจิดจรัสพอให้ใครมองเห็น ด้วยแสงไฟดวงใหญ่นั้นได้กลบแสงในตัวเธอจนหมดสิ้นแล้ว
แต่สำหรับคนที่อยู่ใกล้ตัวเธอแล้ว หลายคนต่างมองว่ากีรดานั้นเป็นต้นแบบของชีวิตที่ประสบความสำเร็จ เธอได้สามีเป็นผู้บริหารที่มีความสามารถประกอบกับครอบครัวของเขาที่รวยล้นฟ้า ไปไหนมาไหนด้วยรถหรูและมีคนขับรถ มีข้าวของเครื่องใช้ราคาแพง สามารถปลดหนี้ให้แม่ได้ โดยเฉพาะบรรดาญาติพี่น้องของเธอ ที่พากันชื่นชมเยินยอกับความสำเร็จในการหาสามี มากกว่าจะมองว่าเธอเป็นคนมีความสามารถ ทั้งที่ความจริงทุกอย่างที่เป็นนั้น ล้วนมาจากความพยายามของกีรดาทั้งสิ้น
กีรดาออกมาจากงานศพด้วยความหงุดหงิด จนไม่ได้กลับมาพักผ่อนที่บ้านแม่อย่างที่ตั้งใจ เพราะนอกจากจะถูกพูดถึงแต่เรื่องครอบครัวสามีแล้ว เธอยังต้องมานั่งฟังญาติทะเลาะกันเพราะแย่งสมบัติคนตายอีก แต่นั่นไม่เท่ากับเรื่องเดิมๆ ที่ทำให้เธอต้องมีปากเสียงกับแม่อีกครั้ง
“เดี๋ยวไปรับคุณภูมิเลยนะคะ” หญิงสาวบอกคนขับรถระหว่างทาง พอเห็นว่ากำลังจะถึงในอีกไม่นานเธอจึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แล้วกดโทร.หาสามีทันที
“ค่ะคุณภูมิ อีกเดี๋ยวกี้จะถึงแล้วนะคะ”
น้ำเสียงหวานไถ่ถามเมื่อได้ยินเสียงตอบรับจากปลายสาย แม้อารมณ์ของตัวเองกำลังขุ่นมัวอยู่ แต่ก็พยายามปรับน้ำเสียงเป็นปกติเวลาพูดคุยกับสามี แล้วสั่งให้คนขับรถมาส่งเธอที่หน้าพรรคการเมือง ที่ช่วงนี้ดูเหมือนสามีของเธอจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการวางแผนการเลือกตั้งในปีหน้า ตรงนั้นมีรถของเขาจอดรออยู่ก่อนแล้ว หญิงสาวโทร.หาเขาอีกครั้งในทันทีที่เธอถึง
และเพียงไม่นานภาคภูมิก็ลงมาพร้อมกับผู้ช่วย กีรดาลงจากรถแล้วเปลี่ยนไปยังรถของเขาแทน ด้วยเป็นความต้องการของสามีที่อยากให้ไปถึงบ้านพ่อกับแม่เขาด้วยกัน มากกว่าที่จะแยกกันไป
“ทำไมมาถึงไวจัง บ่ายนี้คุณมีงานที่บ้านไม่ใช่เหรอ ผมอุตส่าห์โทรบอกคุณแม่ไว้ว่าวันนี้เราจะไปช้าหน่อยแท้ๆ” ภาคภูมิเอ่ยทักภรรยาด้วยความแปลกใจ เพราะเท่าที่เข้าใจวันนี้เธอจะต้องไปงานศพญาติในช่วงบ่าย กว่าจะกลับมาหาเขาก็น่าจะเป็นช่วงหลังเลิกงาน
“กี้ไม่อยากอยู่นานน่ะค่ะ เบื่อฟังพวกเขาทะเลาะกันเรื่องสมบัติ ยังไม่ทันไรก็เริ่มแบ่งกันไม่ลงตัวแล้ว”
“สมบัติญาติคุณก็มีแค่เงินเก็บจากการขายที่ไม่ใช่เหรอ แต่ก็อย่างว่า พวกเขาไม่เคยมีมากขนาดนี้มาก่อน ขายที่แถวชานเมืองได้เงินมากกว่าถูกรางวัลที่หนึ่งยกชุด ทั้งชีวิตจะหาเงินขนาดนั้นได้อีกรึเปล่าก็ไม่รู้ โชคดีที่แม่คุณมีลูกสาวแค่สองคน คุณเองก็มีผม คงไม่ต้องไปแย่งสมบัติกับน้องให้อายเขาหรอกนะ”
แม้จะรู้ว่าสามีไม่ได้มีเจตนาจะแช่งแม่ของเธอ แต่กีรดาก็ยังรู้สึกสะอึกไม่น้อยกับคำพูดที่เหมือนจะดูถูกญาติตัวเอง และปลอบตัวเองว่านี่ก็เป็นนิสัยอีกอย่างหนึ่งของเขาแล้วปล่อยให้มันผ่านไป
“ค่ะ”
เธอเก็บกลืนความไม่พอใจเอาไว้ เพราะไม่อยากเอามาเป็นปัญหา ก่อนที่สายตาจะสะดุดเข้ากับบางอย่างที่ไม่น่าจะอยู่ในรถของเขา มันคือกล่องบรรจุแผ่นเช็ดเครื่องสำอางยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งวางอยู่ข้างแก้วกาแฟร้านประจำที่ดื่มหมดแล้ว
“นี่มัน…”
ภาคภูมิมองตามสิ่งที่ภรรยากำลังหยิบขึ้นมา แล้วรีบอธิบายถึงการมาของสิ่งนั้นด้วยท่าทางที่เหมือนไม่ได้ใส่ใจหรือให้ความสำคัญอะไรกับมัน
“อ๋อ…จากงานเลี้ยงเมื่อคืนน่ะ สงสัยคนขับคงเก็บไปไม่หมด” หลังจากให้คำตอบแล้วเขาก็มองดูปฏิกิริยาของเธอ และเห็นว่ากีรดายังคงนิ่งเงียบจนไม่แน่ใจว่ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ “ไม่สบายใจรึเปล่า”
เป็นอีกครั้งที่กีรดาต้องกลืนความรู้สึกตัวเองเอาไว้ ก่อนจะส่งยิ้มให้กับสามีว่าเธอไม่ได้เป็นอะไร
“เปล่าค่ะ เรื่องนี้เราตกลงกันแล้ว…กี้เข้าใจค่ะ”
เธอตอบเหมือนกับทุกครั้งที่พบสิ่งของสำหรับผู้หญิงในรถสามี ขณะที่กำลังจะวางกล่องใส่แผ่นเช็ดเครื่องสำอางลงที่เดิม ภาคภูมิก็ฉวยมันไปจากมือเธอและโยนไปที่ด้านข้างคนขับ
“โชค ลงจากรถก็อย่าลืมเอาไอ้นี่ไปทิ้งด้วย” เขาสั่งคนขับรถก่อนจะหันมาหาภรรยาตัวเอง แล้วหอมแก้มเธอเบาๆ พร้อมกับจับมือเธอเอาไว้
“ขอบคุณนะที่เข้าใจผม”
กีรดายิ้มรับแม้จะไม่รู้สึกอะไรเลยกับริมฝีปากที่มาชนแก้มเมื่อครู่ และได้แต่ถามตัวเองในใจว่าตนนั้นคิดถูกหรือไม่ที่ให้เขาออกไปหาความสุขนอกบ้านได้ เพื่อชีวิตคู่ที่สงบราบรื่น โดยมีข้อแม้ว่าจะต้องเป็นการหาความสุขแค่ชั่วคราวเท่านั้น และเขาก็รับปากว่าจะไม่ให้ใครมาเป็นภรรยานอกจากเธอคนเดียว
สองสามีภรรยาใช้เวลาเดินทางไม่นานก็มาถึงคฤหาสน์หลังใหญ่ บ้านที่ภาคภูมิใช้ชีวิตและเติบโตมา และหลังจากแต่งงานก็เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ในหนึ่งอาทิตย์ เขาจะพาเธอมาทานข้าวกับครอบครัวอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นวันศุกร์เช่นเดียวกันกับวันนี้
มื้อเย็นยังดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบแบบแผน ไม่ต่างอะไรจากทุกครั้ง มีการพูดกันเรื่องสัพเพเหระกันบ้างตามประสา จนกระทั่งพรพรรณแม่ของภาคภูมิเอ่ยบางอย่างกับเธอ
“วันนี้กลับบ้านไม่ใช่เหรอ ครอบครัวเป็นยังไงบ้างล่ะ”
“แม่สบายดีค่ะ ส่วนน้องสาว…กี้เพิ่งให้เขาลาออกจากงานเก่า แล้วจะให้เขามาทำงานเป็นผู้ช่วยกี้ที่บริษัท” กีรดาตอบตามจริงเรื่องที่ต้องการให้น้องสาวเข้ามาทำงานกับตน แต่ดูเหมือนคำตอบจะไม่ถูกใจคนถามเท่าไรนัก เห็นได้จากการที่พรพรรณลดความสนใจจากอาหาร และหันมามองหน้าเธออย่างจริงจัง
“เอาญาติเข้ามาก็ต้องทำงานให้ดีกว่าพนักงานคนอื่น อย่าให้ใครเขามานินทาลับหลังมันจะเสียมาถึงทางนี้ด้วย หวังว่าเธอคงทบทวนเรื่องนี้เป็นอย่างดีแล้วนะ”
“ค่ะคุณแม่”
แม้คำพูดของแม่สามีทำให้กีรดารู้สึกไม่พอใจสักเท่าไร แต่ก็ทำอะไรไปไม่ได้มากกว่าการตอบรับ และเหมือนว่าโลกนี้จะไม่ใจร้ายกับเธอนัก เมื่อคนที่มีอำนาจที่สุดในบ้านเริ่มมีปฏิกิริยากับหัวข้อสนทนานี้
“เอาน้องมาเป็นผู้ช่วยตัวเองก็ดีนะ พ่อเห็นด้วย คนมีประสบการณ์แล้วให้เขาได้เรียนรู้งานจากคนเก่งๆ เขาจะได้ก้าวหน้า ไว้ถ้าเขาทำงานแทนกี้ได้ เราก็จะได้คนมีความสามารถเพิ่มอีกคน”
น้ำเสียงกังวานของผู้เป็นเจ้าของบ้าน เหมือนดั่งสายฝนชโลมจิตใจที่เหี่ยวเฉาของกีรดาให้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง ภาคย์เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง และยังเป็นผู้สนับสนุนคนสำคัญของพรรคการเมืองที่ภาคภูมิสังกัด เขาจึงเป็นบุคคลที่เธอนับถืออย่างสูงสุดในทุกเรื่อง
ทว่าสำหรับภาคภูมิพ่อคือบุคคลที่ควรยำเกรงมากที่สุดในชีวิต โดยเฉพาะยามที่เขากำลังก้าวเข้ามาเป็นว่าที่นักการเมือง ซึ่งงานนี้พรรคของเขาจะต้องชนะการเลือกตั้งเท่านั้น
“แล้วแกล่ะภูมิ เรื่องที่มีคนถอนตัวออกจากทีมเศรษฐกิจ ได้ใครมาแทนแล้วหรือยัง”
สิ้นประโยคคำถามเกี่ยวกับสถานการณ์ที่กำลังเป็นปัญหาในตอนนี้ ภาคภูมิแทบจะวางทุกอย่างที่อยู่ในมือลงทันที และให้ความสนใจทั้งหมดทั้งมวลอยู่กับคำพูดของผู้เป็นพ่อ
“ครับคุณพ่อ ตอนนี้ทางผมกับทีมงานกำลังหารือกันอยู่” เขาตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ แน่นอนว่านั่นไม่ได้ทำให้ภาคย์รู้สึกพอใจ
“ทำไมมันช้านักล่ะ แบบนี้จะไปสู้ใครได้ยังไง”
ดวงตาคมกริบจากชายสูงวัยจ้องมาที่ลูกชายคนเดียว เพื่อรอฟังคำตอบที่น่าพึงพอใจ ขณะที่ภาคภูมิได้แต่นั่งตัวตรงนิ่ง ทว่าดวงตาของเขากลับสั่นไหว ร่างกายร้อนวูบวาบอย่างฉับพลันจนเหงื่อไหลซึม และไม่กล้าสู้หน้ากับพ่อตัวเองโดยตรง บรรยากาศรอบโต๊ะอาหารในตอนนี้เงียบกริบ ชนิดว่าหากมีใครสักคนหายใจดังกว่าปกติทุกคนจะได้ยินอย่างไม่ต้องสงสัย
กีรดามองท่าทางของสามีและรู้ดีว่าเขากำลังกดดันอย่างหนัก ด้วยหากตอบแล้วไม่ทำให้คุณพ่อพึงพอใจ นั่นหมายถึงเขากำลังทำให้ท่านผิดหวัง และคนอย่างภาคย์นั้นเกลียดความผิดหวังเป็นที่สุด ดังนั้นนี่จึงเป็นเวลาอันสมควรที่เธอจะช่วยเขากู้สถานการณ์
“จริงๆ ก็มีคนที่ภูมิกำลังสนใจอยู่ค่ะ คุณพ่อจำอรวีย์เพื่อนของภูมิสมัยมหาวิทยาลัยได้ไหมคะ รายนั้นเขาเป็นลูกสาวคนเดียวของอดีตรัฐมนตรีองอาจ มีดีกรีเป็นอาจารย์ภาควิชาเศรษฐศาสตร์ ความสามารถไม่ได้น้อยไปกว่าคนที่เพิ่งถอนตัวออกไปเลย อีกอย่างตอนนี้คนกำลังให้ความสนใจกับผู้หญิงเก่งอยู่ กี้ว่า…เขาก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับทีมเศรษฐกิจของพรรคเหมือนกันนะคะ”
กีรดาเอ่ยถึงหนึ่งในแผนที่พอจะเป็นไปได้ ซึ่งทำให้คนที่รอฟังคำตอบรู้สึกพึงพอใจไม่น้อย ผิดกับภาคภูมิที่กำลังมองเธอด้วยสายตาโกรธจัดจนแดงก่ำ
“ฟังดูดีนะ น่าแปลกใจที่ทำไมลูกชายฉันจำเรื่องนี้ไม่ได้” ภาคย์ส่งสายตาจับผิดไปยังลูกชายที่บัดนี้ก็ยังไม่ยอมสู้หน้า
“คือผม…” ภาคภูมิพูดไม่ออก ทั้งที่ความจริงแล้วเรื่องพวกนั้นเขาก็เคยคิดอยู่ แต่ทำไมในสถานการณ์แบบนี้ เขาจึงไม่ตัดสินใจตอบออกไปก็ไม่รู้
“ช่วงนี้ภูมิมีเรื่องต้องคิดหลายเรื่องน่ะค่ะ เลยอาจจะลืมไปบ้าง” หญิงสาวยังคงทำหน้าที่กู้หน้าให้สามีตัวเองอย่างเต็มที่
“งั้นก็โชคดีนะที่มีเมียคอยช่วยตัดสินเรื่องสำคัญได้ สมแล้วที่เรียนได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งมา”
ชายสูงวัยเอ่ยชมลูกสะใภ้ จนคนที่นั่งเงียบอยู่นานอย่างพรพรรณต้องรีบตัดบทสนทนานี้เสีย
“โธ่…คุณคะ เวลาพักผ่อนของครอบครัวอย่าชวนคุยเรื่องเครียดๆ สิคะ อีกอย่างคุณก็วางใจให้ภูมิจัดการเรื่องนี้ไปแล้ว ปล่อยให้เขาดูแลกันเองเถอะค่ะ ลูกเราน่ะเก่งออก…อย่างน้อยเขาก็เคยทำให้บริษัทที่ใกล้เจ๊งกลับมาลืมตาอ้าปากได้ภายในสามปี คุณเองก็เห็นผลงานลูกแล้วไม่ใช่เหรอคะ แค่ทาบทามคนที่น่าสนใจมาร่วมทีม คงไม่ใช่เรื่องยากหรอกนะคะ” เธอเอ่ยถึงผลงานของลูกชายก่อนที่จะลาออกจากบริษัทเพื่อจะได้เป็นนักการเมืองอย่างเต็มตัว ซึ่งนั่นคือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ภาคย์เริ่มไว้ใจและคาดหวังกับอนาคตของลูกชาย ว่าจะสามารถชนะการเลือกตั้งและเอื้อผลประโยชน์ให้กับธุรกิจของครอบครัวได้
“ก็ถ้ามีกี้คอยช่วยแบบนี้ ฉันก็ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้วมั้ง” ผู้เป็นพ่อยังมองที่บุตรชายสลับกับลูกสะใภ้ เพราะสิ่งหนึ่งที่ทุกคนต่างรู้กันดีก็คือ ทุกความสำเร็จของภาคภูมินั้น ส่วนหนึ่งคือเขามีภรรยาที่เก่งกาจคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังนั่นเอง
เสร็จจากมื้อเย็นแล้ว กีรดาเลือกที่จะมาเดินพักผ่อนชื่นชมบรรยากาศของคฤหาสน์ที่มีโอกาสได้มาแค่อาทิตย์ละครั้ง แล้วครุ่นคิดเรื่องบนโต๊ะอาหารเมื่อครู่ ถึงเธอจะให้คำตอบที่ทำให้พ่อสามีพึงพอใจ แต่ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ไม่อาจลืมสายตาที่ภาคภูมิมองตัวเองบนโต๊ะอาหารได้
“บอกผมสิ คุณตั้งใจจะทำอะไรกันแน่”
เสียงจากด้านหลังทำเอาหญิงสาวสะดุ้งอย่างแรง ก่อนจะหันไปเจอกับสามีตัวเองที่เดินตรงเข้ามา
“หมายถึงอะไรคะ กี้ไม่เข้าใจ”
“คุณฉีกหน้าผมกลางโต๊ะกินข้าว ต่อหน้าพ่อแม่ ยังจะทำเป็นไม่รู้อะไรอีกเหรอ”
สีหน้าของเขาดูโกรธจัด เพราะเสียหน้าจากเหตุการณ์บนโต๊ะอาหารต่อหน้าครอบครัว ทำให้เขาโมโหจนขาดสติ โดยเฉพาะกับเธอคนที่ทำให้พ่อมองลูกชายคนเดียวเป็นตัวตลก
“กี้กำลังช่วยคุณอยู่นะคะ คุณพ่อเป็นคนชัดเจน ถามอะไรต้องได้คำตอบ คุณเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าท่านกำลังจับตาดูการทำงานของคุณอยู่ แล้วเมื่อกี้ถ้ากี้ไม่ตอบเรื่องนั้นไป คุณเองก็ไม่มีคำตอบให้ท่านอยู่ดี ไม่ใช่เหรอคะ”
กีรดาไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องไม่พอใจเธอขนาดนั้น เธอพยายามอธิบายแต่นั่นไม่ทำให้โทสะของชายหนุ่มลดลงเลย ในทันทีที่ถึงตัวภรรยาเขาก็กระชากแขนเรียวด้วยมือข้างเดียว จนเสื้อราคาแพงนั้นเป็นรอยยับ
“ตั้งแต่ผมลาออกจากบริษัท คุณก็ไม่เคยช่วยงานผมที่พรรคด้วยซ้ำ แล้วจะมารู้เรื่องปัญหาในทีมได้ยังไง ถ้าไม่ใช่ว่าคุณสาระแนส่งคนมาสืบเรื่องนี้…ใครเป็นคนบอกคุณ” ชายหนุ่มคาดคั้นต่อ
“ทำไมกี้จะไม่รู้คะ ข่าวออกจะดังขนาดนั้น แล้วกี้ก็เคยบอกแล้วว่าอรเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ คุณเองต่างหากที่ไม่ยอมรับ เพราะว่าอรเป็นผู้หญิงน่ะ” เธออธิบายอย่างใจเย็นพร้อมกับพยายามแกะนิ้วมือที่กำท่อนแขนตัวเองเอาไว้ แต่นั่นกลับทำให้เขาบีบแรงขึ้นจนหญิงสาวหลุดร้องออกมาด้วยความเจ็บ
“แต่ที่ทำวันนี้ มันจงใจทำให้ผมอายต่อหน้าคุณพ่อ ต่อไปคุณต้องบอกผมให้หมด แล้วอย่าได้ทำอย่างเมื่อกี้นี้อีกเด็ดขาด”
คำพูดของเขาทำให้คนที่ได้ยินหันมามองขวับด้วยความขุ่นเคือง แววตาอ่อนแอน่าสงสารเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นวาวโรจน์ แต่เพียงแวบเดียวก็กลับมาเป็นเช่นเดิม
“ค่ะ กี้ขอโทษ”
เธอกล่าวอย่างเจ็บใจ ทั้งที่เชื่อมั่นว่าตนไม่ได้ทำอะไรผิดเลย โชคดีที่สถานการณ์ไม่เลวร้ายไปกว่าที่เป็น เมื่อมีเสียงหนึ่งดังมาจากในบ้าน
“ภูมิจ๊ะ…”
พรพรรณเข้ากู้สถานการณ์ในครอบครัวได้อย่างหวุดหวิด และเมื่อเห็นว่าเป็นใครภาคภูมิก็ปล่อยแขนภรรยาให้เป็นอิสระ
“มาอยู่ตรงนี้เองลูกรักของแม่ คุณพ่อเขาอยากคุยกับลูกน่ะ อยู่ที่ห้องทำงานอย่าให้ท่านรอนาน”
“ครับ…”
ภาคภูมิรับคำมารดา ก่อนจะไปเขามองหน้ากีรดาอย่างไม่พอใจนัก ทิ้งให้เธออยู่กับแม่สามีที่เดินเข้ามาแทนที่ลูกชายพร้อมกับส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจ
“ไปทำให้ภูมิไม่พอใจจนได้สินะ”
“แค่เรื่องไม่เข้าใจกันนิดหน่อยค่ะ”
ถึงกีรดาจะหลบหน้าและกลบเกลื่อนเรื่องราวเพื่อไม่ให้เป็นปัญหา แต่สายตาของคนเป็นแม่ย่อมรู้ดีว่าลูกชายของตนเป็นคนเช่นไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอแตะไปที่แขนบริเวณที่เป็นรอยผ้ายับของลูกสะใภ้ แล้วหญิงสาวออกอาการสะดุ้งตกใจด้วยความเจ็บที่ยังไม่จางหาย
“ภูมิน่ะ…ถึงเขาจะเป็นคนอ่อนโยน น่ารักใจดี แต่ถ้าโมโหเมื่อไรเขาจะเหมือนคุณพ่อเขาทันที โดยเฉพาะเวลาที่รู้สึกเสียหน้า เธอเองก็น่าจะพยายามเข้าใจภูมิให้มากหน่อยนะ”
คำพูดที่เหมือนเข้าใจเรื่องราวเป็นอย่างดีนั้น ไม่ได้ทำให้คนเจ็บรู้สึกดีขึ้นแต่อย่างใด ทว่าการต่อล้อต่อเถียง หรือเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตัวเองในเวลานี้นั้นก็ไม่ได้เป็นประโยชน์เช่นกัน
“ค่ะ กี้ผิดเอง” กีรดายอมรับสภาพแม้ภายในจะร่ำร้องอยากโทษให้เป็นความผิดของสามีใจจะขาด
“แต่เรื่องนั้น ฉันก็ต้องขอบใจเธอเหมือนกันที่ช่วยเขาไว้ คุณพ่อเขาคาดหวังกับภูมิไว้มากในฐานะลูกคนเดียว” พรพรรณเอ่ยอย่างคนที่รู้จักลูกของตัวเองเป็นอย่างดี และแน่นอนว่าหากเหตุการณ์บนโต๊ะอาหารไม่ได้ลูกสะใภ้ช่วย ก็ไม่รู้ว่าภาคภูมิจะต้องเจอความกดดันอะไรจากพ่อของตัวเองบ้าง
“เป็นหน้าที่ของกี้อยู่แล้วค่ะคุณแม่ วันหลังกี้จะคอยระวังให้มากขึ้นค่ะ” เธอตอบเหมือนคนที่กำลังประชดตัวเอง
“ลูกชายฉันนี่ก็เก่งนะ ที่หาผู้หญิงที่ช่วยสนับสนุนเขาได้ ทั้งที่ฉันพยายามจะหาคู่ครองที่เหมาะสมให้ตั้งมากมาย แต่ภูมิก็ยังยืนยันที่จะแต่งงานกับเธอ เขาคงเห็นอะไรในตัวเธอถึงได้ตัดสินใจแบบนั้น”
“ค่ะ…” สิ่งที่แม่สามีเอยออกมานั้นย้ำเตือนสถานะของเธอได้เป็นอย่างดี
ใช่แล้ว…ชีวิตการแต่งงานที่เหมือนฝันนั้นไม่ได้มาง่ายๆ อย่างที่ใครคิด เพราะกว่าครอบครัวของภาคภูมิจะยอมรับ กีรดาต้องพิสูจน์ตัวเองอยู่หลายปีว่าเธอนั้นเก่งกาจ และมีดีมากพอที่จะหนุนหลังสามีให้เจริญก้าวหน้าได้ โดยเฉพาะการตัดสินใจซื้อกิจการสื่อออนไลน์แห่งหนึ่งที่พลิกชีวิตภาคภูมิจากนักธุรกิจหน้าใหม่ เป็นผู้บริหารหนุ่มไฟแรงที่กู้บริษัทที่ใกล้เจ๊งให้แจ้งเกิดอีกครั้ง
ทว่าเรื่องที่พรพรรณต้องการนั้น หาใช่เรื่องความเก่งกาจของลูกสะใภ้เพียงอย่างเดียว
“แต่เรื่องงานน่ะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนเก่งๆ ที่เขาจะมาช่วยงานต่อเถอะ หน้าที่ของเมียที่ดีอีกอย่าง ก็คือการมีทายาทเพื่อให้ครอบครัวสมบูรณ์ เธอเองอายุก็มากขึ้น อีกไม่กี่ปีก็จะสี่สิบแล้ว ยังไม่คิดจะมีลูกอีกเหรอ”
“คุณแม่ไม่ต้องห่วงนะคะ กี้ไปฝากไข่เอาไว้แล้ว ไว้รอคุณภูมิพร้อมเมื่อไร เราจะไปปรึกษาหมอกันค่ะ” กีรดาตอบตามที่เตรียมเอาไว้ ด้วยเรื่องทายาทยังเป็นสิ่งที่แม่สามีพูดถึงทุกครั้ง และเธออยากจะบอกว่านั่นหาใช่หน้าที่ของใครคนหนึ่งเสียที่ไหน
“แล้วเมื่อไรล่ะถึงจะพร้อม คงไม่ใช่เพราะว่าเธอเองก็ทะเยอทะยานอยากจะทำแต่งาน จนไม่มีเวลาสนใจเรื่องอื่นในครอบครัวหรอกนะ”
สิ่งที่ได้กลับมาจากบ้านสามียิ่งทำให้เธอกดดันจนไม่อาจข่มตาหลับลงได้ เพราะแม้ว่าเธอจะสามารถพิสูจน์ตัวเองจนทุกคนยอมรับในความสามารถ แต่มันจะมีค่าอะไรเมื่อสุดท้าย เธอก็เป็นได้แต่คนที่คอยเดินตามหลังสามีเสมอ
เมื่อนอนไม่หลับหญิงสาวจึงเลือกที่จะเดินออกมาจากห้อง แล้วมองไปยังห้องนอนสามีที่ยังปิดสนิท พลางครุ่นคิดถึงเวลาที่ใช้ชีวิตด้วยกันมาเจ็ดปี เธอกับเขาใช้เวลาไม่ถึงครึ่งหนึ่งของชีวิตคู่ในห้องนอนเดียวกัน ก่อนจะแยกเป็นคนละห้องจนถึงทุกวันนี้ แน่นอนว่าไม่ต้องหวังเรื่องการมีทายาทเลย เพราะแค่นอนร่วมเตียงเดียวกันเธอก็จำแทบไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายนั้นผ่านมาแล้วกี่เดือน
แต่เมื่อลงไปถึงชั้นล่างเพื่อหาเครื่องดื่มกีรดาก็ต้องแปลกใจ เพราะคนที่ควรจะอยู่ในห้องที่ปิดอยู่นั้น กลับกำลังยืนติดกระดุมแขนเสื้ออยู่ที่โถงด้านล่าง โดยมีแม่บ้านถือเสื้อคลุมให้อยู่ข้างๆ
“จะไปข้างนอกเหรอคะ”
“ผมนัดเพื่อนเอาไว้”
ภาคภูมิตอบคำถามภรรยาด้วยน้ำเสียงห้วนจัด และไม่แม้จะหันมามองหน้าคนที่กำลังเดินเข้ามาใกล้
“ยังโกรธอยู่เหรอคะ เห็นคุณเงียบใส่กี้มาตั้งแต่กลับมาจากบ้านคุณพ่อแล้ว”
กีรดาพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ พร้อมกับรับเสื้อคลุมจากแม่บ้านมาสวมใส่ให้สามี แต่ถึงจะทำดีเอาใจเขาขนาดนั้น ภาคภูมิก็ยังมองเธอด้วยสายตาเย็นชาเช่นเคย
“เป็นผม จะไม่ถามอะไรสิ้นคิดแบบนั้นหรอกนะ”
“คุณก็รู้ ว่ากี้หวังดีกับคุณ”
“งั้นเหรอ…” ผู้เป็นสามีเลิกคิ้วถามคนที่กล้าฉีกหน้าเขาอย่างไม่เหลือชิ้นดี “ทบทวนการกระทำของตัวเองเสียใหม่นะกี้ ถือว่าผมให้โอกาสคุณก็แล้วกัน”
แล้วเขาก็เดินออกไปขึ้นรถที่จอดรออยู่แล้ว และขับออกไปเองโดยไม่มีคนขับรถให้ กีรดาได้แต่มองตามไฟท้ายรถที่สว่างน้อยลงไปเรื่อยๆ ตามระยะทางที่ห่างไกลออกไปจากเธอทุกที ก่อนที่ทางออกจากบ้านจะมืดลงเมื่อรถคันนั้นผ่านพ้นประตูบ้านไป เหลือเพียงเธอและความอ้างว้างที่เกาะกุมจิตใจ
“คุณกี้ต้องการอะไรเพิ่มไหมคะ”
หญิงสาวหันไปตามเสียงที่เรียกเธอ ก่อนจะเจอเข้ากับแม่บ้านที่ยังคงยืนรอคำสั่ง เธอส่ายหน้าเล็กๆ ก่อนจะหันกลับไปมองยังหน้าบ้าน
“เมื่อกี้คุณภูมิได้บอกรึเปล่าคะ ว่าจะกลับตอนไหน”
“ไม่ได้บอกค่ะ คุณกี้ขึ้นไปพักผ่อนเถอะค่ะ…อย่ารอเลย” น้ำเสียงของแม่บ้านเต็มไปด้วยความเป็นห่วงผู้เป็นนายหญิง เพราะรู้ดีว่าคุณผู้ชายของบ้านกำลังออกไปหาความสุขข้างนอกโดยทิ้งเธอไว้ตามลำพัง และลองออกไปด้วยความไม่พอใจเช่นนี้ กว่าจะกลับเข้ามาอีกทีก็คงเป็นช่วงเช้า หรือไม่ก็มื้อเย็นของวันพรุ่งนี้เลย
กีรดาได้แต่ยิ้มเศร้า และสังเวชตัวเองที่แม้แต่คนรับใช้ยังมองตนด้วยความสงสาร ดูท่าสิ่งที่เธอคิดว่าตัวเองเป็นมันช่างดีและเลิศหรูนั้น แท้จริงเป็นเพียงแค่เปลือกที่เอาไว้หลอกคนอื่นไปวันๆ แต่กลับคนที่ใกล้ตัวเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็ดูออกว่าเธอไม่ได้มีความสุขกับสิ่งที่เป็นเลยสักนิด
“เรื่องห้องที่ให้เตรียมไว้ เรียบร้อยดีใช่ไหมคะ” เธอถามกลบเกลื่อนเรื่องราวเมื่อครู่
“เรียบร้อยค่ะ คุณกี้ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”
“ขอบคุณค่ะ…” กีรดาเอ่ยขอบคุณ แล้วมองนาฬิกาที่เป็นเวลาใกล้เที่ยงคืน “งั้นพวกเราก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนกันเถอะค่ะ ดึกมากแล้ว”
และแล้วคุณผู้หญิงของบ้านก็เดินกลับขึ้นไปตามลำพัง จะมีก็แต่สายตาของแม่บ้านที่มองอย่างเวทนา และให้กำลังใจเธออย่างเงียบๆ