หลังภาพมายา บทที่ 3 : ละครลวง

หลังภาพมายา บทที่ 3 : ละครลวง

โดย : จันทร์จร

Loading

หลังภาพมายา นวนิยายรักเข้มข้น รางวัลชนะเลิศจากโครงการช่องวันอ่านเอาปีที่ ๓ โดย จันทร์จร  กับเรื่องราวที่อาจจะทำให้คุณเปลี่ยนมุมมองความรักไปตลอดกาล…เมื่อเธอต้องการหย่า แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิด แผนการแยบยลจึงเกิดขึ้น โดยมีน้องสาวมาเอี่ยว จุดจบของรักและความต้องการนี้จะเป็นอย่างไร อ่านพร้อมกันได้ใน anowl.co

ตรงหน้าของเธอนั้นคือถ้วยกระเบื้องพอร์ซเลนสีฟ้าขาวบรรจุข้าวต้มร้อนๆ ราดด้วยน้ำซุปหมูใสแจ๋วมองเห็นข้าวเรียงตัวสวยไม่มีขุ่นมัวแม้แต่น้อย แต่สำหรับกีรดาแล้ว ในตอนนี้แม้ถ้วยกระเบื้องจะรังสรรค์ขึ้นมาด้วยความพิถีพิถันมากแค่ไหน หรือน้ำซุปจะเป็นสีทองใสบริสุทธิ์เพียงใด ความเป็นจริงนั่นก็คือข้าวต้มหมู ที่เธอแค่ตักเข้าปากไปเพื่อเติมพลังสำหรับเช้านี้เท่านั้น

เพื่อจะเป็นภรรยาที่เหมาะสม ถึงจะมีเรื่องที่ต้องขัดใจตัวเองบ้าง แต่เธอก็พอจะยอมได้ตลอด ทุกวันเธอออกจากบ้านด้วยเสื้อผ้าราคาแพง พบปะผู้คนด้วยบุคลิกที่เยี่ยมยอด ทำให้ใครต่อใครอิจฉาชีวิตคู่ที่แสนสุขสันต์ดั่งฉากในนิยายตอนจบ ทั้งที่ความจริงล้วนแต่เป็นเรื่องเสแสร้ง และผู้ที่ทำให้เป็นเรื่องลวงโลกอย่างแท้จริงก็คือเขาที่แอบไปสร้างครอบครัวใหม่นั่นเอง

“ขอกาแฟกับไข่ลวกให้ฉันด้วย”

เสียงจากคนที่กำลังเดินลงมาทำให้ห้องอาหารนี้ดูวุ่นวายในชั่วพริบตา แต่กีรดานั้นชินชาเสียแล้วกับการมองเห็นคนรับใช้เดินชนกันชุลมุน ทุกครั้งที่คุณผู้ชายของบ้านมีอารมณ์อยากร่วมมื้อเช้า ซึ่งจะมีแค่ไม่กี่วันในหนึ่งเดือน

“วันนี้ไม่รอสั่งกาแฟร้านประจำเหรอคะ” เธอถามคนที่กำลังนั่งลงตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม เพราะรู้ดีว่าช่วงหลังมานี้เขาไม่เคยดื่มกาแฟที่บ้าน แน่นอนว่าเรื่องที่ทักทำให้เขาต้องชะงักและมองหน้าเธอทันที

“คุณไม่พอใจอะไรผมรึเปล่า” ภาคภูมิเดินเข้าไปหาภรรยา ระหว่างเอามือฉีกขนมปังปิ้งเข้าปากอย่างอารมณ์ดี

“แล้วคุณทำอะไรให้กี้ไม่พอใจรึเปล่าล่ะคะ”

“ทำไมพูดเหมือนพวกเมียหลวงที่กำลังจับผิดว่าผัวไปมีเมียน้อยรึเปล่ายังงั้นแหละ”

แม้เขายิ้มให้กับความแสนงอนของเธอ สำหรับกีรดาแล้วนั่นเป็นรอยยิ้มอันแสนเลือดเย็น เพราะสิ่งที่เขาทำคือการโกหกหน้าตาย และทำลายความเชื่อมั่นในชีวิตคู่ลงอย่างย่อยยับ

“จริงๆ มันก็ไม่ต่างสักเท่าไรหรอกค่ะ” กีรดาตอบและรู้สึกถึงสัมผัสจากวงแขนของสามี ที่โน้มลงมากอดเธอจากด้านหลัง

“คุณไม่ต้องกังวลไปหรอก ผมรับรองว่าทุกอย่างยังอยู่ในข้อตกลงของเรา”

รู้สึกเหมือนว่าสามีจะหลงใหลการหลอกลวงเธออย่างถอนตัวไม่ขึ้นไปแล้ว เพราะความจริงเขาได้ฉีกสัญญาข้อตกลงด้วยมือของตัวเอง เพียงแต่คิดว่าสามารถเก็บซ่อนเอาไว้ได้อย่างแยบยลจนเธอไม่รู้เท่านั้น และในเมื่อเขาเล่นละครหลอกเธอได้ เธอเองก็จะเล่นละครลวงฉากนี้ไปกับเขาด้วย

“ค่ะ”

กีรดาพยายามแล้วที่จะข่มใจและแสร้งทำเป็นไม่รู้ หากแต่สิ่งที่แสดงออกมานั้นก็ยังดูกล้ำกลืนจนคนที่ได้ยินรู้สึกได้ถึงอารมณ์อันอ่อนไหว นั่นทำให้ภาคภูมิกอดเธอแน่นขึ้น

“ผมรู้ว่าช่วงนี้ผมทำตัวไม่น่ารักกับคุณสักเท่าไร…” ภาคภูมิกระชับวงแขนพร้อมกับมองดูหญิงสาวอีกคนที่กำลังเข้ามาในห้องนี้ แล้วกระซิบกับภรรยาให้ได้ยินกันแค่สองคน “แต่คุณคงไม่อยากให้น้องสาวเห็นว่า เราสองคนบาดหมางใจกันหรอกใช่ไหม”

ระหว่างที่ฟังสิ่งที่เขาบอก ศิรตาก็เดินเข้ามาพอดี ดูท่าน้องสาวของเธอจะตกใจไม่น้อยที่ได้เห็นการแสดงความรักของสามีภรรยาในตอนเช้าเช่นนี้ และยิ่งมากไปกว่านั้นเมื่อภาคภูมิก้มลงมาหอมแก้มเธอฟอดใหญ่

“ต้าลงมาขัดจังหวะรึเปล่าคะ” ศิรตาเอ่ยด้วยความเกรงใจ และคิดว่าตัวเองอาจมาขัดช่วงเวลาดีๆ ของพี่สาวและสามี ขณะที่ภาคภูมินั้นเดินกลับมานั่งที่เก้าอี้ และเอ่ยทักเธออย่างอารมณ์ดี

“มาได้เวลาพอดีเลย ทานมื้อเช้าด้วยกันก่อนสิ”

คนที่เพิ่งเข้ามานั่งลงตรงข้างพี่สาวที่ยังแสดงสีหน้าเรียบเฉย ซึ่งเดาไม่ออกเลยว่าเธอกำลังเขินอายหรือกระอักกระอ่วนใจอยู่กันแน่

“เมื่อคืนหลับสบายดีไหม”

“สบายดีค่ะ แต่ก็ยังรู้สึกว่าแปลกที่นิดหน่อย” หญิงสาวตอบเจ้าของบ้านตามตรง

“งั้นก็ทำตัวตามสบายนะ คิดเสียว่าที่นี่เป็นบ้านตัวเอง”

คำพูดที่แสนจะเรียบง่ายของภาคภูมิ ทำเอาเธอต้องแอบมองความโอ่อ่าหรูหราของบ้านอีกครั้ง เทียบกับบ้านแม่ที่เล็กกว่าหลายเท่าแล้ว ก็คิดกับตัวเองว่าเธอคงไม่มีวันมองว่าสิ่งที่เห็นนี้จะเป็นบ้านตัวเองได้แน่

ระหว่างที่มองเขาทำหน้าที่พี่เขยที่แสนดีนั้น กีรดายังไม่ไว้ใจกับท่าทีของเขานัก มีบางอย่างที่กำลังติดใจเธอ อาจเพราะการแสดงออกที่ดูดีจนเกินกว่าที่เขาเป็น โดยเฉพาะกับสิ่งที่เขากำลังจะพูด

“โชคดีนะที่ต้าเรียนบัญชีแล้วมีประสบการณ์มาก่อน พี่กำลังคิดเลยว่าถ้าต่อไปต้าทำงานได้คล่อง คงจะขึ้นมาทำงานแทนกี้ได้ไม่ยาก แล้วพี่จะได้ให้กี้ออกจากงานสักที”

เขามองไปที่กีรดาและส่งยิ้ม ขณะที่เธอกลับรู้สึกขนลุกกับรอยยิ้มที่จอมปลอมนั่น และรู้ได้ทันทีว่าภาคภูมิกำลังมีแผนบางอย่างในใจ แล้วอาจกำลังล่อลวงให้เชื่อมั่นในตัวเขาอีกครั้ง

“ทำไมถึงได้ไวนักล่ะคะ เลือกตั้งครั้งหน้ายังอีกเป็นปีไม่ใช่เหรอคะ”

“ไม่หรอกเวลานี้แหละกำลังเหมาะสม ผมรู้ว่าที่ผ่านมากี้ทำเพื่อผมมาโดยตลอด ถึงเวลาที่คุณควรจะมาอยู่ข้างผม เป็นมาดามไม่ต้องทำอะไรนอกจากใช้เงิน อย่างที่แม่ผมเป็นไง…ไม่ดีเหรอ”

ดีกับผีน่ะสิ…เขากำลังจะเก็บเธอเข้ากรุ โดยไม่พูดถึงเรื่องหุ้นที่เธอควรได้ต่างหาก แล้วคนอย่างภาคภูมิไม่มีทางให้อะไรเธอง่ายๆ แน่ โดยเฉพาะกับเรื่องที่เคยทำให้เธอและเขาขัดแย้งกันจนเกือบกลายเป็นเรื่องใหญ่มาก่อน กีรดาไม่ได้ตอบโต้อะไรแล้วมองดูสามีเล่นละครฉากนี้อย่างใจเย็น

“แล้วก็สำหรับต้า พี่มีของขวัญสำหรับงานใหม่ให้ ตามมาสิ”

ภาคภูมิลุกขึ้นแล้วเดินนำสองพี่น้องไปดูรถยุโรปป้ายแดงสีดำสนิท ที่จอดเด่นอยู่ตรงหน้าประตูบ้าน ก่อนจะรับกุญแจจากคนขับรถแล้วส่งมันให้กับศิรตา

“นี่มันไม่มากไปเหรอคะพี่ภูมิ ต้ารับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ แค่เรื่องงานกับที่พักก็มากพอแล้ว” ศิรตาไม่กล้ารับด้วยราคาของมันนั้นสูงเกินกว่าที่คนอย่างเธอจะเอื้อมถึง

“ไม่หรอก พี่น่ะอยากซื้อรถให้กี้เขามานานแล้ว แต่พี่สาวเราเขาไม่ยอมขับรถเองสักที จะไปไหนมาไหนก็นั่งแต่รถตู้ให้คนขับพาไปตลอด แล้วเห็นกี้บอกว่าปกติต้าก็ขับรถไปไหนมาไหนเองอยู่แล้ว พี่ก็เลยเลือกคันนี้ให้ เผื่อเวลาจะไปไหนกันสองคน จะได้ไปกันสะดวกไม่ต้องรอคนขับ”

“แต่…” คนรับมองหน้าพี่สาว และเมื่อเห็นสีหน้าของกีรดาที่บ่งบอกว่าเธอควรรับเอาไว้ จึงไม่กล้าที่จะปฏิเสธความหวังดีของภาคภูมิ

“ขอบคุณค่ะพี่ภูมิ”

ศิรตารับกุญแจจากพี่เขยแล้วลงไปดูรถคันใหม่ ที่เธอไม่กล้าใช้คำว่ารถของตัวเอง

“คุณไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลย” กีรดาพูดกับสามีพอแค่ได้ยินกันสองคน และให้แปลกใจกับท่าทีของเขา ซึ่งผิดไปจากหลายวันที่ผ่านมา

“ทำไมล่ะ แบบนี้ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ” เขาหันมากุมมือเธอเอาไว้ “ที่ผ่านมาผมทำอะไรที่ไม่แคร์ความรู้สึกของกี้เอาไว้เยอะ แต่ต่อไปนี้ผมจะเอาใจใส่คุณให้มากกว่านี้ ผมสัญญา…”

และคราวนี้เขาก็แสดงความรักกับเธอด้วยการหอมแก้มอีกครั้ง แล้วจึงเดินไปขึ้นรถของตัวเองที่จอดอยู่ด้านหลัง กีรดามองตามรถของสามีที่แล่นออกไปด้วยอาการงงงัน ขณะที่ศิรตารีบตรงเข้ามาหาด้วยท่าทางยินดี

“ว้าว พี่ภูมินี่สุดยอดไปเลยนะคะ แบบนี้แสดงว่าบ้านนั้นเขายอมรับพี่กี้แล้วใช่ไหมคะ” เธอเข้าใจถึงสิ่งที่ภาคภูมิบอกว่าจะให้พี่สาวอยู่เป็นคุณนาย ขณะที่เขาจะเตรียมตัวลงเล่นการเมือง

ทว่ากับกีรดาเธอนั้นไม่คิดเช่นที่น้องสาวเอ่ยมาสักนิด

“เชื่อพี่เถอะ…ไม่ใช่อย่างที่ต้าคิดหรอก”

ความสมบูรณ์แบบที่ดูจะพอดีเกินไปนั้น ทำให้เธอรู้สึกได้ถึงสัญญาณเตือนบางอย่างถึงสิ่งที่ภาคภูมิกำลังกลบเกลื่อน เหตุใดสามีที่ห่างเหินกันมานาน ถึงได้เอาใจใส่ภรรยาอย่างแสนดีเช่นนั้น บางทีคำตอบในเรื่องนี้เธออาจรู้อยู่แก่ใจ ว่าอาจมีใครสักคนที่เตือนเขาให้รู้ว่าความลับที่ซ่อนไว้นั้น กำลังจะไม่เป็นความลับอีกต่อไป

 

ในช่วงเวลาที่ชีวิตคู่กำลังสั่นคลอน กีรดารู้ตัวดีว่าเธอต้องคิดทุกอย่างให้รอบคอบ เพราะต่อให้เธอเชื่อมั่นว่าคนอย่างสามีจะไม่ออกปากพูดเรื่องนี้แน่ เพราะจะเป็นการทำลายภาพลักษณ์ที่เขาสร้างขึ้นมา แต่อีกใจก็รู้ว่าตนเองไม่ควรประมาทกับความไม่แน่นอนนี้ด้วยเช่นกัน

“คุณมลคะ รายงานการประชุมกี้ขอก่อนสิบโมงวันพรุ่งนี้นะคะ” กีรดาสั่งผู้ช่วยหลังเสร็จจากการประชุมที่กินเวลาช่วงบ่ายไปทั้งหมดแล้ว ก่อนจะหันไปหาน้องสาวที่เดินออกจากห้องประชุมมาด้วยกัน

“ต้า เดี๋ยววันนี้ช่วยขับรถให้พี่หน่อย”

แม้จะสงสัยแต่ศิรตาก็ทำตามที่พี่สาวต้องการ จนกระทั่งกีรดาส่งโทรศัพท์มือถือที่หน้าจอระบุพิกัดสถานที่แห่งหนึ่งไว้บนแผนที่

“ไปตามหมุดที่พี่ปักไว้ในแผนที่นี้นะ พอใกล้ถึงแล้วพี่จะบอกเราเอง”

กีรดาขึ้นไปนั่งด้านหลังด้วยความเคยชิน ปล่อยให้ศิรตาพารถคันใหม่ขับตามที่พี่สาวบอกอย่างไม่มีปากเสียง แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ด้วยพิกัดที่ส่งให้นั้นคือหมู่บ้านแห่งหนึ่ง พอจะถามอะไรก็เหลือบไปเห็นพี่สาวกำลังจดบางอย่างลงในสมุดด้วยความตั้งใจ

“ยังชอบเขียนบันทึกเหมือนเดิมเลยนะคะ” หญิงสาวชวนคุยอย่างอารมณ์ดี โดยเฉพาะเวลาที่เห็นพี่สาวนั่งเขียนไดอารี่เหมือนอย่างแต่ก่อน

“บางเรื่องถ้าไม่จดไว้เราก็จะลืมเข้าสักวัน อย่างน้อยบันทึกพวกนี้ก็เป็นหลักฐานบอกว่าเราผ่านอะไรมาบ้าง”

“ก็คงเหมือนการขึ้นสเตตัสมั้งคะ เดี๋ยวนี้ใครเจออะไรก็โพสต์ลงโซเซียลกันหมดแล้ว”

“ไม่เหมือนนะ โพสต์อะไรลงโซเซียลมันก็เหมือนไปตะโกนหน้าบ้าน ไม่มีทางรู้เลยว่าคนที่เห็นจะรู้สึกกับเรายังไงบ้าง อย่างดีก็ไม่มีคนว่าอะไร แต่ถ้าซ้ำร้ายมีใครเอาไปพูดเสียหาย ต่อให้เราลบมันออกไปแต่ข้อความนั้นก็อาจมีคนเก็บไว้เป็นหลักฐานคอยกลับมาประจานเราอยู่เรื่อยๆ”

“ก็จริงนะคะ เดี๋ยวนี้ใครโพสต์อะไรลงโซเซียล แค่เรื่องนิดเดียวก็เป็นประเด็นกันแล้ว” ศิรตาเห็นด้วยกับสิ่งที่พี่สาวบอกและพอเข้าใจได้ ว่ากีรดาเองก็คงไม่สะดวกที่จะโพสต์อย่างไม่คิดอะไรเหมือนกับคนอื่นๆ เพราะหน้าที่การงานและภาพลักษณ์ที่ดี

ขณะนี้เป็นเวลาที่ผู้คนต่างพากันออกมาจากที่ทำงาน ทำให้ถนนหนาแน่นไปด้วยรถ ศิรตามองนาฬิกาก็พบว่านี่ใกล้ถึงเวลาที่สมควรจะกลับบ้านแล้ว จึงเริ่มกลัวว่าพี่สาวจะกลับไปไม่ทันสามี

“แล้วเราจะกลับบ้านทันมื้อเย็นเหรอคะ ออกมาแบบนี้ถ้าพี่ภูมิกลับบ้านมาแล้วไม่เจอพี่ เดี๋ยวเขาจะหาว่าได้รถใหม่ไม่ทันไร ต้าก็พาพี่สาวเถลไถลรึเปล่า”

“จะกลับหรือเปล่าพี่ก็ยังไม่รู้เลย” กีรดายิ้มเยาะหยันตัวเอง ยิ่งนึกถึงสิ่งที่เขาทำเมื่อเช้าเธอยิ่งอยากจะหัวร่อออกมาเสียตรงนั้น

ส่วนคนที่เห็นพี่สาวประชดตัวเองอยู่ก็อดนึกสงสารขึ้นมาไม่ได้

“พี่กี้มีปัญหากับพี่ภูมิเหรอคะ”

“จะเรียกว่ามีในตอนนี้มันก็เหมือนจะไวไปรึเปล่านะ” คนพูดกวาดสายตามองท้องถนนที่แน่นขนัดไปด้วยรถอย่างเฉยชา ด้วยจิตใจที่ไม่ได้ยินดีหรือยินร้ายกับสิ่งใดเลยในตอนนี้

“อะไรเนี่ย ไม่เห็นจะเข้าใจเลย” ศิรตางุนงง นับวันเธอยิ่งไม่เข้าใจสิ่งที่อยู่ในความคิดของพี่สาวมากขึ้นทุกที

“นั่นสิ พูดไปตอนนี้เราก็ไม่เข้าใจหรอก” กีรดาหันมาส่งยิ้มให้กับคนที่กำลังขับรถ

 

หลังจากใช้เวลาครู่ใหญ่ฝ่าการจราจรที่แออัดของเมืองหลวง เลี้ยวเข้าหมู่บ้านหรูแห่งหนึ่งซึ่งถือว่ามีระบบความปลอดภัยที่แน่นหนา และต้องแลกบัตรเพื่อเข้าไปในตัวหมู่บ้าน

“แถวนี้ใกล้ๆ กับมอของพี่อรเลย นี่พี่อรเขาซื้อบ้านใหม่เหรอคะ” ศิรตามองดูบ้านหลังใหญ่ที่ราคาเกินกว่าครอบครัวชนชั้นกลางจะเอื้อมถึง และด้วยทำเลที่ตั้ง เธอจึงเดาว่านี่อาจเป็นบ้านเพื่อนรักของพี่สาว

“ไม่ใช่ อย่างอรน่ะเหรอจะกล้าย้ายออกจากบ้านพ่อแม่” พูดถึงอรวีย์เธอก็อดที่จะนินทาไม่ได้ ด้วยครอบครัวของอรวีย์นั้นขึ้นชื่อเรื่องความเข้มงวด และไม่ยอมให้ลูกสาวออกไปไหนง่ายๆ นี่อาจเป็นสาเหตุให้เพื่อนเธอยังครองตัวโสดจนถึงทุกวันนี้

“แล้วนี่เรามาหาใครกันเหรอคะ”

“ใกล้ถึงแล้วละ” กีรดามองบ้านหลังเป้าหมายซึ่งอยู่กลางซอย จนแน่ใจว่านี่คือบ้านที่ตนเองกำลังตามหา “หลังนี้นี่เอง…”

คนทำหน้าที่ขับรถยังไม่เข้าใจอะไรมากนัก ด้วยกีรดาสั่งแค่ให้เธอขับผ่านบ้านหลังหนึ่งไปอย่างช้าๆ จนกระทั่งสายตาไปเห็นทะเบียนรถหมายเลขตองที่จอดอยู่หน้าบ้าน ซึ่งเธอจำได้เป็นอย่างดีว่าเป็นรถของใคร

“พี่กี้…นั่นเหมือนรถพี่ภูมิเลย…” ศิรตาพูดต่อไม่ออก และเริ่มรับรู้ได้อย่างรวดเร็วถึงการมาที่นี่ในครั้งนี้

“ใช่จ้ะ เป็นอย่างที่เราคิดนั่นแหละ…”

คนที่นั่งด้านหลังเฉลย หลังจากรับรู้ความจริงด้วยตาของตัวเอง ว่าสาเหตุของการออกนอกบ้านเกือบทุกวันนั้น หาใช่การไปเที่ยวสังสรรค์ตามประสาผู้ชายอย่างที่สามีเธอกล่าวอ้าง แต่เขากำลังสร้างครอบครัวใหม่กับหญิงสาวอีกคน แม้จะได้เห็นความจริงเหล่านี้ผ่านรูปมาแล้ว แต่คราวนี้ทุกอย่างที่เคยได้เห็นนั้นกลับสว่างวาบออกมาชัดเจนเป็นรูปธรรมยิ่งกว่า

 

สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับพี่สาวตนเอง ศิรตาไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยถามอะไร นอกจากรับฟังความจริงจากปากกีรดาว่าเธอกำลังถูกนอกใจ แค่นั้นก็นับเป็นข่าวร้ายที่น่าตกใจแล้ว ในทีแรกเธอโกรธภาคภูมิที่กล้าหลอกพี่สาวเธอจนแทบขาดสติ ต่อมาก็เริ่มหวาดระแวงความอารีที่เขามอบให้ และเริ่มกลัวจุดจบด้วยรู้ดีว่ากีรดาเองยังต้องพึ่งพาครอบครัวสามีอีกมาก

จนกระทั่งกลับมาถึงบ้าน ศิรตาก็ไม่อาจสลัดความข้องใจของตนออกไปได้

“แล้ว…พี่กี้จะทำยังไงต่อคะ”

“ก็คงต้องคุยกันให้รู้เรื่องก่อน โวยวายไปตอนนี้ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร”

กีรดาบอกอย่างใจเย็นจนคนได้ยินรู้สึกแปลกใจ ซึ่งพี่สาวเธอก็เป็นเช่นนี้มาตลอด ในสีหน้าที่เหมือนจะไม่รู้สึกอะไรนั้น กลับซ่อนความคิดเอาไว้อย่างหลากหลาย แต่เมื่อคิดว่าคนพูดต้องเผชิญกับอะไรมาบ้าง ศิรตาก็พอเดาออกว่าภายในของคนที่ถูกนอกใจนั้น อาจกำลังร่ำร้องอย่างบ้าคลั่งอยู่ก็เป็นได้

และต่อให้เธออยากจะปลอบใจกีรดามากแค่ไหน แต่ก็รู้ดีว่านั่นหาใช่สิ่งที่พี่สาวต้องการ จึงได้แต่นั่งอยู่เป็นเพื่อนเงียบๆ เหม่อมองบ้านโมเดิร์นหลังโตที่มีเพียงแค่ผู้หญิงสองคนนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น กับแม่บ้านที่เพิ่งเดินเข้ามา

“คุณต้าคะ สูทที่ส่งซักแห้งไว้ ทางร้านเอามาส่งแล้วนะคะ”

เสียงของแม่บ้านทำลายความเงียบสงบเพียงครู่หนึ่ง ศิรตารีบเดินไปเอาเสื้อสูทที่เธอฝากส่งร้านซักแห้งไว้

“ขอบคุณค่ะป้า”

“นั่นสูทใครทำไมตัวใหญ่จัง” กีรดาละความสนใจจากบทความเกี่ยวกับกฎหมายการฟ้องหย่า เมื่อเห็นว่าน้องสาวของตนเดินหอบถุงใส่สูทใบโต ซึ่งดูอย่างไรก็ไม่น่าใช่สูทของผู้หญิง

“อ๋อ ของคนที่ต้าไปทำกาแฟหกใส่เขาน่ะค่ะ ไม่รู้จะชดเชยยังไงก็เลยขอสูทเขามาซัก โชคดีที่ซักออกไม่งั้นคงได้ใช้เงินเดือนแรกไปกับค่าสูทแน่”

“ไหนขอพี่ดูหน่อยสิ” เธอรับถุงใส่ชุดสูทมาจากน้องสาว แล้วแหวกซิบดูภายใน ก่อนจะเห็นว่านี่เป็นยี่ห้อเดียวกับที่สามีเธอชอบใช้ “ใครกันถึงได้ใส่สูทแพงขนาดนี้ ไปทำกาแฟหกใส่ประธานบริษัทเข้ารึไง”

“ต้าก็ไม่รู้จักเขาหรอกค่ะ แต่ถ้าแพงแบบนี้สงสัยต้องรีบหาทางคืนแล้ว”

ดูเหมือนศิรตาจะไม่รู้จริงๆ ว่าราคาของสูทตัวนี้มีมูลค่ามากกว่าเงินเดือนตัวเองเท่าไร เมื่อหมดความสนใจเธอก็คืนสูทให้กับน้องสาว ขณะเดียวกันก็เห็นคนที่สวมใส่สูทยี่ห้อเดียวกันอีกคนเดินเข้ามาภายในห้องพักผ่อน

“สองสาวคุยอะไรกัน” ภาคภูมิเดินตรงไปหอมแก้มภรรยา โดยที่อีกฝ่ายยังไม่ทันตั้งตัว “ขอโทษนะ วันนี้ผมกลับมาไม่ทันมื้อค่ำจนได้”

“ไม่หรอกค่ะ เย็นนี้กี้พาต้าไปฉลองงานใหม่มาเหมือนกัน” แม้จะยังทำสีหน้าไม่ถูกกับสิ่งที่เขาปฏิบัติกับเธอ แต่กีรดาก็คงเก็บความรู้สึกของตัวเองเอาไว้อย่างเหนียวแน่น

ส่วนคนที่เพิ่งรับรู้ความจริง เมื่อเห็นสิ่งที่พี่เขยทำกับพี่สาว เธอกลับรู้สึกหงุดหงิดอย่างรุนแรง จนไม่อาจทนดูละครลวงโลกฉากนี้ได้

“งั้นต้ากลับเข้าห้องก่อนนะคะ ชักจะเริ่มง่วงแล้ว”

หญิงสาวหอบเสื้อสูทตัวใหญ่แล้วรีบเดินขึ้นไปยังห้องนอนของตนเอง ทิ้งให้สองสามีภรรยาได้แต่มองตามด้วยความคิดที่หลากหลาย

“ผมมาขัดจังหวะพี่น้องรึเปล่าเนี่ย” ภาคภูมิเอ่ยอย่างมีอารมณ์ขัน ก่อนจะเดินไปที่เคาน์เตอร์บาร์แล้วหยิบขวดไวน์แดงพร้อมกับแก้วสองใบ

“ดื่มกันหน่อยไหม”

เขาบรรจงรินไวน์แดงใส่แก้วทั้งสอง แล้วส่งมันให้กับเธอ ซึ่งกีรดาก็รับมาดื่มอย่างไม่มีทีท่ารังเกียจ

“คุณไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้ก็ได้นะคะ”

“หมายถึงเรื่องไหนล่ะ” ผู้สวมบทบาทสามีที่แสนดียังไม่รู้ความหมายในคำพูดเหล่านั้น

“ก็ที่คุณทำอยู่ เราไม่จำเป็นต้องใกล้ชิดกันต่อหน้าต้าก็ได้ค่ะ กี้ไม่อยากให้คุณอึดอัด” เธอยั้งความไม่พอใจเอาไว้ แล้วพูดถึงแต่เรื่องที่เห็นอยู่ตรงหน้า เพราะเพียงแค่นี้ก็อึดอัดกับการแสดงแย่ๆ ของเขาเหลือทน

ทว่าสำหรับภาคภูมิแล้ว เขาไม่ได้สนใจสักเท่าไรว่าใครจะคิดเช่นไรกับสิ่งที่เขาทำ

“เข้าใจผิดแล้ว โอเคผมยอมรับว่าที่ผ่านมาผมทำตัวไม่ดีกับคุณสักเท่าไร แต่คุณก็ได้พิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่คุณช่วยผมในวันนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง”

“นี่คุณจะบอกว่า…” สิ่งที่เขาพูดเรียกความสนใจจากเธอได้แทบจะทันที

“ใช่ เรื่องอรน่ะ ผมไปทาบทามเขามาเข้าทีมเศรษฐกิจของพรรคแล้ว เขาก็ตอบตกลงนะแถมคุณพ่อของอรก็สนับสนุนเอามากๆ ด้วย คิดดูอีกทีก็เป็นโอกาสที่อรเขาจะได้ทำให้พ่อภูมิใจสักที อย่าบอกนะกี้ยังไม่รู้เรื่องนี้น่ะ”

“กี้ก็เพิ่งรู้จากคุณนี่แหละค่ะ งั้นก็ขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ” กีรดายกแก้วไวน์ขึ้นแล้วลิ้มรสอันหอมหวานแต่เจือขมปลายๆ ของมัน ขณะที่รับฟังเรื่องราวจากสามีและเก็บความสงสัยเอาไว้ ว่าเหตุใดอรวีย์ถึงไม่ยอมบอกเรื่องนี้กับเธอ หรือแท้จริงแล้วแม้แต่เพื่อนรักเองก็มีเรื่องที่ปกปิดอยู่เหมือนกัน

“แล้วคุณล่ะ อยากได้อะไรเป็นพิเศษอีกไหม” สายตาประกายมองภรรยาพร้อมกับปัดผมที่ประบ่าเธอออก

“กี้อยากให้คุณบอกความจริงมากกว่าค่ะ ว่าวันนี้คุณไปไหนมา”

พอเห็นสายตาที่แสดงถึงความอยากรู้อย่างแรงกล้า ภาคภูมิก็ได้แต่ถอนหายใจยาว

“โธ่กี้ เรื่องนี้เราคุยกันแล้วไม่ใช่เหรอ คุณก็รู้ว่าผู้ชายอย่างผมจะไปไหนได้” เขาละไว้ในฐานที่เข้าใจกัน เกี่ยวกับเรื่องที่เธอเองก็ยินยอมให้เขาออกไปเที่ยวนอกบ้านได้บ้างเป็นบางครั้ง เพื่อหาความแปลกใหม่และรักษาความสัมพันธ์ในครอบครัว ที่นับวันยิ่งเหมือนคนแปลกหน้าเข้าไปทุกที

“คุณก็รู้ดีว่ามันไม่ใช่”

เธอแย้ง สายตาจ้องไปยังคนที่กำลังโกหกหน้าตาย พอเห็นเขายังทำเหมือนไม่เข้าใจ กีรดาก็เปิดรูปถ่ายของเขากับผู้หญิงที่ตรงหน้าบ้านนั้นให้ดู

“บ้านหลังนั้นที่คุณเพิ่งซื้อมันให้กับเธอ ดูคุณจะมีความสุขกับครอบครัวใหม่มากเลยนะคะ”

“นี่คุณแอบตามผมงั้นเหรอ…” น้ำเสียงเขาเข้มขึ้นทันที

“กี้ได้มันมาจากเพื่อนสมัยเรียนค่ะ ตลกดีใช่ไหมล่ะคะ ที่สุดท้ายคนที่ไว้ใจก็กล้าทำในสิ่งที่เราต่างตกลงกันแล้ว”

“ผมจะจัดการเรื่องนี้เอง คุณไม่ต้องห่วง ยังไงผมก็ไม่ให้ใครอยู่เหนือกว่าคุณอยู่แล้ว” ภาคภูมิไม่กล้าพูดออกมาอย่างเต็มปาก

คำพูดเลื่อนลอยจากคนที่โป้ปดเธอทุกวัน ไม่อาจทำให้กีรดาเชื่อมั่นได้อีกต่อไป และเขาอาจยังไม่รู้ว่านี่เป็นฟางเส้นสุดท้ายที่เธอจะยอมอดทนให้กับการละครยอดแย่ ที่หลอกลวงสร้างฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“หวังว่าคุณจะรู้นะคะว่าต้องทำยังไง” กีรดายกไวน์ดื่มจนหมดแก้วแล้ววางมันลง พร้อมกับเตรียมเดินขึ้นไปยังห้องนอนของตน ทว่าไม่ทันกับที่อีกฝ่ายฉวยข้อมือเธอเอาไว้ก่อน

“เดี๋ยวก่อนสิ…”

ภาคภูมิขยับมาจับไหล่ทั้งสองข้าง มองนัยน์ตาของเธอและพบว่ามันช่างว่างเปล่า ซึ่งเขาไม่รู้เลยว่าภายในของคนที่ยอมเขามาตลอดนั้น เธอกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่

“เรายังรักกันอยู่…ใช่ไหม”

ผู้เป็นภรรยาไม่ได้ตอบอะไรกับท่าทีเชิงเสน่หาของสามี หรือจะพูดอีกทีคงไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะทำให้เธอรู้สึกรักใคร่และภักดีต่อชายคนนี้ ด้วยเขาได้ลบหลู่และย่ำยีความซื่อสัตย์ที่พึงมีต่อกันจนหมดสิ้น ในเมื่อสัญญาและข้อตกลงนั้นล้วนแล้วแต่เป็นคำลวง ต่อไปนี้เธอก็จะขอเรียกสิ่งที่เธอควรได้คืนกลับมาเสียที

 

ให้ตายสิ…

หญิงสาวถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้ากับรายการอบรม ในหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งของพี่สาวตัวเอง เนื่องจากเพิ่งได้รับคำสั่งสายฟ้าฟาดว่าตนเองนั้นคือผู้ที่จะมาทำหน้าที่บริหารงานแทนกีรดา เมื่อถึงเวลาที่อีกฝ่ายต้องลาออกไปด้วยหน้าที่การงานในอนาคตของสามี

แน่นอนว่าเรื่องนี้เธอไม่เคยคิดเตรียมใจ แต่ก็ไม่ได้อยู่เหนือความคาดเดา มันเริ่มตั้งแต่ที่กีรดาฝากงานให้เธอที่บริษัทเก่า และส่งไปเรียนหลักสูตรเพิ่มเติมมากมายที่จะเกี่ยวกับงานในอนาคต เพียงแต่ไม่คิดว่าทุกอย่างจะรวบรัดและรวดเร็วเพียงไม่กี่วันเช่นนี้

‘พี่อยากหย่า…แล้วจะให้พวกเขาโอนหุ้นส่วนที่ควรเป็นของพี่ให้ คอยดูแล้วกัน พี่ต้องทำให้ได้’

คำพูดของพี่สาวเมื่อเช้ายังตามมาหลอกหลอน ศิรตารู้ว่ากีรดามีแผนและรู้ว่าตัวเองมีหน้าที่ทำตามสิ่งที่พี่บอก แต่การงัดข้อกับครอบครัวสามีที่มีอิทธิพลในวงการธุรกิจและการเมืองนั้น เธอไม่มั่นใจเลยว่าทุกอย่างจะราบรื่น และแน่นอนว่าตนเองก็ไม่อยากอยู่ระหว่างเกมนี้ด้วยเช่นกัน

“เจอกันซะที…”

ศิรตาได้ยินเสียงของใครสักคนจากด้านหลัง จนเธอต้องละความสนใจจากแก้วกาแฟ แล้วหันไปมองก่อนจะเห็นว่าใครคนนั้นคือเจ้าของเสื้อสูทที่เธอพกไปมาอยู่ทุกวันนั่นเอง

“เจอคุณจนได้ นี่ค่ะสูทของคุณ”

“อย่าบอกนะว่าคุณมานั่งรอผมในร้านนี้ทุกวันเลยน่ะ”

“จะว่างั้นก็คงถูกค่ะ ถึงคุณจะบอกว่าทำงานอยู่ที่นี่ แต่ตึกนี้มีตั้งหลายสิบชั้น ใครจะรู้ว่าคุณทำงานอยู่ชั้นไหน ชื่อคุณฉันก็ไม่รู้จัก” ศิรตาสารภาพ เธอมาร้านกาแฟใต้ตึกออฟฟิศเกือบทุกวันในช่วงเที่ยง ซึ่งแน่นอนว่าส่วนหนึ่งเธออยากจบภารกิจแบกเสื้อสูทราคาแพงไปมาเสียที

ทว่าใบหน้าของเขากลับดูประหลาดใจ

“ให้ตายเถอะ คุณจำผมไม่ได้จริงๆ ด้วย ผมรพีไง” เขาชี้หน้าตัวเองให้เธอพิจารณาดูให้ชัด แต่อีกฝ่ายก็ยังทำหน้างงจนต้องเฉลยด้วยตนเอง “ลูกพี่ลูกน้องของพี่ภูมิ สามีของพี่สาวคุณน่ะ ไม่รู้สึกคุ้นหน้าบ้างเลยเหรอ”

เหมือนสิ่งที่เขาบอกเล่าจะทำให้เธอเริ่มนึกออกขึ้นมาบ้าง แต่แล้วก็กลับมาทำหน้าใสซื่อดังเดิม

“แล้วเราเคยเจอกันด้วยเหรอคะ”

“ครั้งสุดท้ายก็น่าจะตอนงานแต่งพี่สาวคุณมั้ง” รพีเฉลยเพราะล่าสุดที่ได้เห็นญาติพี่น้องของกีรดา ก็น่าจะเป็นงานแต่งงานเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว

“นานขนาดนั้นใครจะไปจำได้คะ ตอนนั้นฉันยังเรียนไม่จบด้วยซ้ำ”

“นั่นสิ ทำไมผมถึงจำคุณได้กันนะ” เขายิ้มแล้วใช้นิ้วเคาะคางทำท่าครุ่นคิด แต่รู้สึกว่าหญิงสาวจะไม่ได้รู้สึกสนุกไปด้วย

“ฟังดูน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้นะคะ”

ศิรตายิ้มเจื่อน เพราะฟังดูเหมือนเขาเป็นพวกหมกมุ่นอะไรทำนองนั้น แต่รพีกลับหัวเราะชอบใจยกใหญ่

“ผมแหย่เล่นน่ะ ทีแรกวันที่เราเจอกันผมก็แค่รู้สึกว่าคุณหน้าคุ้น พอได้ยินคุณป้าเล่าว่าคุณเข้ามาทำงานในบริษัทผมก็เลยว่าต้องใช่แน่ๆ”

“อ๋อ…แบบนี้นี่เอง” เธอเออออทั้งที่ยังงงๆ และไม่เข้าใจว่าพรพรรณจะเล่าเรื่องพวกนี้ให้หลานชายฟังทำไม

“อย่าบอกนะว่า…คุณไม่รู้ว่าผมเป็นกรรมการในบริษัทที่คุณทำงานด้วย”

แม้เขาจะเฉลย ทว่าในตอนนี้ศิรตาเริ่มคิดว่าเรื่องภายในมันชักจะเยอะเกินไปเสียแล้ว

“เอ่อ…ฉันคงต้องใช้เวลาสักพักน่ะค่ะถึงจะรู้ทุกเรื่อง”

“เรียนรู้ให้ไวหน่อยก็ดีนะ จะได้ไม่ทำให้พี่สาวคุณผิดหวัง” รพีเอ่ยพลางยิ้มอย่างเป็นนัย แต่หญิงสาวกลับไม่ทันได้สังเกต

“พี่กี้คงไม่คาดหวังกับฉันมากหรอกค่ะ” เธอพยายามไม่พูดถึงเรื่องงานกับคนนอก โดยเฉพาะกับเรื่องที่กีรดากำลังเตรียมเอาไว้

“ก็ไม่แน่นะ อย่างน้อยเขาคงคิดแล้วว่าการเอาคุณเข้ามา อาจพลิกสถานการณ์อะไรๆ ได้หลายอย่างทีเดียว”

“อย่างเช่นอะไรล่ะคะ”

“ไม่รู้สินะ ผมก็พูดไปเรื่อย” ชายหนุ่มยักไหล่ “ว่าแต่เราคุยกันตั้งนานผมยังไม่รู้ชื่อคุณเลย คุณ…”

ระพีมองไปที่ป้ายคล้องคอของหญิงสาว ซึ่งเธอก็รีบเอามือปิดในทันที

“กีต้าร์ค่ะ เรียกฉันว่าต้าก็ได้” ด้วยความตกใจว่าเขาอาจจ้องในจุดที่ไม่สมควร เธอจึงเผลอบอกชื่อเล่นเต็มๆ ไปจนได้

“ครับ คุณกีต้าร์…”

รพีขยิบตาให้เธอ หวังว่าเธอคงจะสบายใจที่จะสนทนาขึ้นมาบ้าง ก่อนจะมองเวลาและหยิบนามบัตรตัวเองส่งให้เธอ

“เก็บนี่ไว้ เผื่อว่าคุณอาจลืมชื่อผมอีก”

ชายหนุ่มแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วใส่นามบัตรลงไปที่มือของเธอ จากนั้นเขาก็เดินจากไป ทิ้งให้ศิรตามองตามลูกพี่ลูกน้องของภาคภูมิอย่างงงงวย 

 



Don`t copy text!