หลังภาพมายา บทที่ 4 : อาหารค่ำมื้อสุดท้าย
โดย : จันทร์จร
หลังภาพมายา นวนิยายรักเข้มข้น รางวัลชนะเลิศจากโครงการช่องวันอ่านเอาปีที่ ๓ โดย จันทร์จร กับเรื่องราวที่อาจจะทำให้คุณเปลี่ยนมุมมองความรักไปตลอดกาล…เมื่อเธอต้องการหย่า แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิด แผนการแยบยลจึงเกิดขึ้น โดยมีน้องสาวมาเอี่ยว จุดจบของรักและความต้องการนี้จะเป็นอย่างไร อ่านพร้อมกันได้ใน anowl.co
ภาคภูมิไม่คิดเลยว่าทุกอย่างที่เขากังวลนั้นจะถาโถมเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย หลังจากที่ถูกกีรดาจับได้ถึงการมีอยู่ของภรรยาอีกบ้าน ก็เพียงพอที่จะทำให้เขารู้สึกอับอายตัวเองอยู่ไม่น้อย แต่คล้อยหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน เขาก็ได้รับคำชวนให้ร่วมมื้อเที่ยงกับคนที่เขาไม่อยากให้รู้ความลับอันน่าอายนี้อีกคน
“แม่ได้ข่าวที่กี้จะเอาน้องสาวขึ้นมาบริหารแทน เรื่องมันยังไงกันแน่” พรพรรณเอ่ยออกมาระหว่างมื้ออาหาร พร้อมกับเหลือบตามองลูกชายที่ยังทำเหมือนทองไม่รู้ร้อน
“ที่แท้ก็ชวนผมมาคุยเรื่องนี้เองเหรอครับ” ภาคภูมิแสร้งยิ้ม ในใจที่ยังเคลือบแคลงอยู่นั้นกระจ่างไปเมื่อรู้ในสิ่งที่มารดาสงสัย
ทว่ากับพรพรรณนั้นไม่ได้พอใจกับสิ่งที่ได้ยินเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าลูกชายไม่ได้ยี่หระกับสิ่งที่เธอกำลังเป็นกังวล ซึ่งผิดกับปกติที่ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรในบริษัทนั้น เขาจะต้องเอามาบอกเธอเป็นคนแรกเสมอโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่ลูกสะใภ้มีเอี่ยวในผลประโยชน์ด้วย
“แม่จริงจังนะภูมิ เมียลูกทำอะไรไม่ปรึกษาใครเลยสักคน มันยังไงกันแน่”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับว่ากี้เขาคิดอะไรอยู่ แค่เปลี่ยนคนบริหารเป็นต้า ก็ไม่น่าจะแปลกอะไร ยังไง เพราะผมว่ากี้คงไม่น่าทิ้งให้น้องบริหารคนเดียวแน่” เขายักไหล่ ไม่ใช่ว่าไม่รับรู้ในสิ่งที่กีรดาตัดสินใจ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้การปล่อยให้อีกฝ่ายได้ทำตามใจตัวเองบ้าง อาจส่งผลดีกับตัวเขามากกว่า
“นี่ลูกพูดแบบนั้นได้ยังไง ตำแหน่งผู้บริหารมันสำคัญกับกำไรที่เราจะได้รับเลยนะ เขามีความสามารถมากขนาดนั้นรึไง แล้วนี่ต่อไปจะขนญาติฝั่งนั้นมาอีกกี่คน” ได้ยินแบบนั้นคนฟังก็แทบอยากจะทุบโต๊ะ เนื่องจากเธอไม่เคยเห็นด้วยที่กีรดาจะพาน้องเข้ามาทำงานในตำแหน่งใหญ่ เป็นผู้ช่วยยังพอว่า แต่ถึงขนาดจะให้ขึ้นมาบริหารงานต่อจากตัวเองโดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากผู้ถือหุ้นใหญ่อย่างเธอนั้น เรื่องนี้ถือว่าปล่อยผ่านไม่ได้เด็ดขาด
“กี้เขาก็เป็นคนร่วมสร้างพีจีเอ็นมาเหมือนกันนะครับ แล้วคนที่ให้ผมซื้อบริษัทนั้นมาก็เป็นเขา” ผู้ที่มีชนักติดหลังได้แต่ยกเหตุผลที่พอจะฟังขึ้นมาอธิบายให้มารดาเข้าใจ อย่างที่รู้ว่าคนที่ส่งเสริมให้เขาซื้อบริษัทนี้ก็คือกีรดา ถึงแม้เธอจะไม่ได้ลงเงินแต่การตัดสินใจส่วนใหญ่ล้วนแต่มาจากมันสมองของเธอทั้งสิ้น ที่สามารถพลิกจากบริษัทใกล้เจ๊ง กลายเป็นบริษัทผลิตสื่อครบวงจรที่สร้างกำไรให้ตัวเองได้ภายในสองปี และเขาก็รู้ดีว่าที่ผ่านมาเขาแทบไม่ได้ให้อะไรเธอเป็นชิ้นเป็นอัน
“แต่นั่นมันเงินเรานะภูมิ ต่อให้กี้เขาไม่ช่วยลูก เราก็จ้างทีมงานเก่งๆ มาทำงานก็ได้” พรพรรณโวยวาย พร้อมกับเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของบุตรชายตัวเอง “ปกติลูกไม่ตามใจเมียง่ายๆ แบบนี้นะ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ชายหนุ่มวางช้อนกินข้าวพร้อมกับระบายลมหายใจออกมายาวๆ จริงอยู่ที่เขารู้สึกผิดกับกีรดาถึงได้ปล่อยให้เธอทำตามใจในช่วงนี้ แต่ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปก็ไม่รู้ว่าเธอจะเรียกร้องอะไรขึ้นมาอีก
หลังจากชั่งใจว่าควรจะบอกเรื่องนี้กับมารดาดีหรือไม่ ในที่สุดภาคภูมิก็ตัดสินใจได้
“กี้เขา…จับได้ว่าผมมีคนอื่นครับ”
“มันก็เรื่องปกติไม่ใช่เหรอ ลูกไปเที่ยวกับพวกไซด์ไลน์มาตั้งกี่ครั้ง แล้วจู่ๆ จะมารับไม่ได้อะไรตอนนี้ หรือผู้หญิงพวกนั้นไประรานกี้”
“เปล่าครับ…”
สีหน้าของบุตรชายดูหนักใจอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่ตอบอะไรอีกนอกจากเม้มปากตัวเองแน่น ยิ่งทำให้คนที่รอฟังรู้สึกอึดอัด จนต้องตัดปัญหาด้วยการตัดสินใจแทน
“งั้นก็เลิกซะ ถ้ามีปัญหาก็ตัดออกไป อย่าทำให้เมียเราเอาเรื่องนี้มาอ้างเพื่อทำอะไรตามใจได้”
“ผม…” เขาถอนหายใจแรงๆ อีกครั้ง การบอกความจริงกับคนที่ตั้งความหวังกับตัวเขาเอาไว้สูงนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย “ผมเลิกไม่ได้ครับแม่”
ทีนี้ชายหนุ่มกลับตอบได้อย่างฉะฉานจนคนเป็นแม่แปลกใจ พอพิจารณาดูจากอากัปกิริยาที่เป็น ก็เดาได้ไม่ยากว่าลูกชายสุดที่รักของตนนั้น กำลังมีความลับบางอย่างที่ปิดเอาไว้
“นี่อย่าบอกนะว่าลูกมีบ้านเล็ก”
สิ้นประโยคคำถามจากพรพรรณ บรรยากาศบนโต๊ะกินข้าวก็เงียบสงัด และความเงียบนั่นเองคือคำตอบของคำถามที่ตรงไปตรงมาอย่างที่สุด
“ภูมิ แม่เคยบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าสร้างพันธะ แล้วนี่ถ้าอนาคตเกิดสองบ้านนี้มีปัญหาขึ้นมา มันจะส่งผลถึงงานการเมืองของลูกแค่ไหนรู้ตัวบ้างไหม ไหนจะคุณพ่อที่เกลียดเรื่องพวกนี้อีก แค่ลูกไปเที่ยวพวกไซด์ไลน์แม่ก็ช่วยปิดคุณพ่อจะแย่แล้วนะ” คราวนี้เป็นฝ่ายแม่ที่ได้แต่ทอดถอนใจ แล้วมองลูกชายอย่างไม่เชื่อสายตา ว่าลูกที่เธอแสนจะภูมิใจหนักหนากลับทำเรื่องน่าละอาย
“แม่อย่าให้คุณพ่อรู้เรื่องนี้นะครับ” ภาคภูมิรีบร้องห้ามด้วยสีหน้าตื่นกลัวอย่างที่สุด
“แน่ละ ลูกก็อย่าให้ใครคาบเรื่องนี้ไปบอกคุณพ่อก็แล้วกัน หาทางจัดการให้เรียบร้อย ไปตกลงกันให้ดีอย่าให้เป็นปัญหา” พรพรรณเอ่ยออกมาอย่างเด็ดขาด เพราะทั้งสองแม่ลูกต่างรู้ดีว่าการกระทำที่อาจนำพาชื่อเสียมาสู่วงศ์ตระกูลนั้น เป็นสิ่งที่ภาคย์รับไม่ได้เป็นที่สุด และไม่ต้องคิดเลยว่าลูกชายของเธอจะต้องเจอกับอะไรบ้าง
“ครับ”
ชายหนุ่มรับปากหนักแน่น ทว่ายังไม่พอที่จะทำให้คนเป็นแม่วางใจได้
“แต่ไม่ว่าจะตัดสินใจทำอะไร ลูกต้องบอกแม่ก่อน เข้าใจใช่ไหม”
คำเตือนของมารดาทำให้ภาคภูมิเริ่มกลับมาคิด ก่อนจะส่งข้อความบอกกับกีรดาว่าเย็นนี้เขาขอคุยเรื่องนี้ให้จบ เพราะนับตั้งแต่วันที่เธอบอกความจริง เขาก็ปฏิบัติตัวกับเธออย่างเกรงอกเกรงใจมาโดยตลอด นั่นอาจเป็นความรู้สึกผิดที่ละเมิดข้อตกลงของครอบครัว และความผูกพันที่มีมาอย่างยาวนานด้วยส่วนหนึ่ง แต่หากจะมีสักวันที่กีรดาจะโลภมากขึ้นมา เขาเองก็เริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่ตอนนี้จะเป็นผลดีต่อตนเองแล้วจริงๆ
ภาคภูมิเก็บความระแวงสงสัยในตัวภรรยาระหว่างขับรถกลับบ้าน พอลองตรองดูแล้ว ในความเงียบที่คิดว่าดี แท้จริงแล้วอาจไม่เป็นอย่างที่เห็น ถึงกีรดาจะยังต้องพึ่งพาเขาในหลายเรื่อง แต่เธอก็เป็นคนฉลาด ดังนั้นเขาควรจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย ก่อนที่เธอจะนำพาความเสียหายมาสู่ตัวเขามากกว่านี้
ในทันทีที่เดินเข้ามาในตัวบ้าน สิ่งที่ได้เห็นคือรอยยิ้มน้อยๆ อย่างเป็นมิตร และโต๊ะอาหารที่ดูจะพิเศษกว่าทุกมื้อ เห็นได้ชัดว่าคนทำตั้งใจและบรรจงสรรค์สร้างมื้อนี้อย่างใจเย็น หากไม่ใช่ด้วยหน้าที่ของภรรยาที่แสนดีแล้ว นี่ก็คือละครลวงอันแสนแยบยลเพื่อที่จะล่อเขาให้ตกหลุมพราง และให้ในสิ่งที่เธอต้องการ
“กลับมาแล้วเหรอคะ กี้เตรียมมื้อค่ำเสร็จพอดี ทีแรกตอนเห็นข้อความของคุณ ก็คิดว่าจะจ้างเชฟมาทำเชฟเทเบิลให้ แต่คิดว่าคุณอาจไม่สะดวกใจเลยให้พ่อครัวทำสเต๊กดีกว่า ไหนๆ คุณก็ให้เกียรติร่วมมื้อเย็นกับกี้แล้ว เราก็น่าจะให้มันพิเศษกว่าปกติหน่อย จริงไหมคะ” กีรดายังคงจัดโต๊ะอาหาร เหมือนดินเนอร์สุดพิเศษ
ผู้เป็นสามีมองสเต๊กเนื้อชั้นดีสองจานที่วางอยู่คนละฝั่ง บนโต๊ะอาหารสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีแก้วไวน์ว่างเปล่าสองแก้ว ตรงกลางของโต๊ะคือความว่างเปล่ามีเพียงแสงสว่างจากโคมระย้าด้านบนเท่านั้น
“คุณต้องการอะไรกันแน่”
“คุณพูดเหมือนเรื่องนี้กี้เป็นคนเริ่มนะคะ” เธอตอบอย่างใจเย็นพลางหยิบแก้วขึ้นมาใบหนึ่งแล้วรินไวน์แดงด้วยความบรรจง ก่อนจะยื่นมันให้กับเขา
แต่แทนที่ภาคภูมิจะหยิบมัน เขากลับฉวยข้อมือเธอและบีบเอาไว้แน่น แม้เธอจะเจ็บจากแรงกดที่ข้อมือมากแค่ไหน แต่กีรดาก็ยังฮึบไว้และแข็งใจกลืนความรู้สึกนั้นเอาไว้อย่างเย็นชา
“อย่าล้ำเส้นผมนะกี้” เขาเอ่ยอย่างคนโกรธจัดจนใบหน้าแดงก่ำ
“ใครกันแน่คะที่ล้ำเส้น” เธอเอ่ยพร้อมกับน้ำตาคลอเบ้า และก้อนความรู้สึกมากมายที่อัดแน่นอยู่ในคอ ก่อนจะตั้งสติแล้วเอามันออกไปอย่างรวดเร็ว “ขอโทษนะคะ รู้สึกช่วงนี้กี้จะเจอเรื่องสะเทือนใจมากไปหน่อย คุณเองก็คงทราบว่าสิ่งที่คุณทำมันมีผลต่อกี้มากแค่ไหน”
พูดจบเธอก็วางแก้วไวน์แดงลงบนโต๊ะ พร้อมกับเดินกลับไปรินไวน์ใส่แก้วของตัวเอง รอจนเขานั่งเก้าอี้เธอจึงนั่งลงบ้าง แล้วยกแก้วไวน์ขึ้นมาคล้ายจะชวนให้เขาดื่มพร้อมกับเธอ ทว่าภาคภูมินั้นได้แต่มองแก้วบรรจุไวน์แดงของตัวเองอย่างไม่ไว้ใจนัก
เมื่อมองคนตรงหน้าก็ได้เห็นรอยยิ้ม ที่เหมือนจะล่วงเข้ามาในความคิดของเขาได้
“ระแวงเหรอคะ ทีนี้คงพอเข้าใจแล้วสินะคะว่ากี้รู้สึกยังไงกับสิ่งที่คุณทำ แต่วางใจเถอะค่ะ กี้ไม่ทำอะไรสิ้นคิดหรอก”
กีรดาจิบไวน์ในแก้วของตนเองแล้ววางลงกับโต๊ะด้วยสีหน้าถูกใจ แต่สำหรับคนที่ถูกดักทางนั้น กลับไม่ได้รู้สึกสนุกเลยสักนิด
“จะพูดอะไรก็ว่ามาเลยดีกว่า ผมเหนื่อย อยากพักจะแย่”
หญิงสาวหัวเราะเบาๆ กับท่าทางหัวเสียของสามี ไม่บ่อยนักในระยะหลังที่เขาจะยอมฟังในสิ่งที่เธอร้องขอ ซึ่งทั้งหมดก็เป็นเพราะเรื่องนั้นเรื่องเดียว
“บอกตามตรงว่าเรื่องนั้น มันทำให้กี้รู้สึกไม่มั่นคงสักเท่าไร ที่ผ่านมากี้เชื่อฟังคุณทำตามที่คุณบอกมาโดยตลอด ต่อให้เป็นเรื่องที่ผู้หญิงส่วนใหญ่รับไม่ได้ กี้ก็ยอม…”
คนฟังเริ่มให้ความสนใจมากขึ้น เมื่อเห็นว่ากีรดานิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วเสมองไปทางอื่นพร้อมกับสูดลมหายใจลึกๆ คล้ายกับกำลังข่มความเจ็บปวดเอาไว้ ก่อนที่เธอจะกระดกแก้วไวน์ดื่มจนหมดในทีเดียว
“แต่พอคุณละเมิดข้อตกลงของเรา กี้ก็ชักจะไม่แน่ใจว่าควรจะให้โอกาสคุณดีไหม”
เธอถอนหายใจ แล้วมองเขาด้วยสายตาที่เหมือนจะกำลังรอฟังคำตอบ ขณะที่เขากลับรู้สึกอึดอัดจนอยากจะเดินหนี
“คุณอยากให้ผมทำอะไร ขอโทษเหรอ”
“นั่นก็เป็นเรื่องที่คุณควรจะทำไม่ใช่เหรอคะ แต่กี้รู้ค่ะว่าคงทำให้คุณลำบากใจพอสมควร” กีรดาถอนหายใจอีกครั้ง “คุณน่าจะรู้ว่าเรื่องพวกนี้ในทางกฎหมาย กี้สามารถทำอะไรได้บ้าง”
“อย่าแม้แต่จะคิดนะกี้ คุณก็รู้ว่ามันจะส่งผลอะไรถึงผม” ภาคภูมิร้องห้ามด้วยความลืมตัวเมื่อได้ยินสิ่งที่เธอบอก ภายในยิ่งรู้สึกเหมือนถูกบีบให้เขาไม่เหลือทางเลือก เพราะไม่ว่าเธอจะตัดสินใจทำอะไร ย่อมไม่ส่งผลดีต่อชื่อเสียงของเขาในอนาคต
ในขณะที่เธอกลับฉีกยิ้มอย่างผู้มีชัย
“ใช่ไหมล่ะคะ ว่าที่นักการเมืองหนุ่มไฟแรง แต่มีข่าวว่านอกใจภรรยาจนนำไปสู่การฟ้องหย่า คงยากหน่อยนะคะที่จะไม่ให้คนสนใจ ยิ่งเป็นเรื่องผัวเมียแบบนี้ด้วย”
ผู้เป็นสามีได้แต่มองใบหน้าของภรรยา ที่แม้จะยังเห็นรอยน้ำตาและดวงตาที่แดงช้ำ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือเธอกำลังต้อนเขาไปสู่หนทางที่เธอต้องการ นั่นทำให้เขารู้สึกโกรธจัดจนอยากจะพังทุกอย่างลงเสียตรงนี้ แต่ก็ได้แต่ข่มใจไว้
“บอกมาว่าคุณต้องการอะไร เราจะได้จบเรื่องบ้าๆ นี้กันสักที”
“ดูเหมือนคุณจะเลิกกับผู้หญิงคนนั้นไม่ได้สินะคะ”
เธอตัดสินเพราะตั้งแต่เริ่มบทสนทนา ยังไม่ได้ยินเรื่องที่เขาจะเลิกกับภรรยาอีกคนเลยสักครั้ง เมื่อลองคิดดูแล้วในฐานะคนที่มาก่อน กีรดาก็อดรู้สึกอิจฉาความผูกพันที่เขามีให้เธอคนนั้นไม่ได้ จึงได้แต่ถอนหายใจและเลือกที่จะทำสิ่งที่ได้ประโยชน์ มากกว่าการทวงความรักคืนจากสามีที่นอกใจ
“ก็ได้ค่ะในเมื่อเป็นความสุขของคุณทำไมกี้จะยอมไม่ได้ แต่กี้ขอหุ้นในพีจีเอ็นครึ่งนึงที่แม่คุณถืออยู่”
“จะบ้าเหรอกี้ เรื่องนี้เราคุยกันแล้วไม่ใช่เหรอ คุณก็รู้ว่าเราทำแบบนั้นไม่ได้” เขารีบปฏิเสธ อย่างที่รู้ว่าอีกไม่นานเขาต้องลงเล่นการเมือง นั่นเป็นเหตุให้เขายกหุ้นในพีจีเอ็นทั้งหมดให้มารดา และเตรียมให้เธอลาออกจากทุกตำแหน่งในบริษัทนั้นภายในปีนี้ ดังนั้นการที่กีรดาขอหุ้นคืนจึงขัดกับเส้นทางการเมืองในอนาคตของเขา ที่ไม่อยากให้เธอมีส่วนข้องเกี่ยวกับบริษัทสื่อ
“กี้ไม่ได้แต่กับต้าคงไม่มีปัญหาใช่ไหมคะ หรือไม่เราก็หย่ากันเงียบๆ ถ้าคุณไม่อยากถูกฟ้อง คุณต้องเลือกสักทางแล้วจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จก่อนที่พีจีเอ็นจะกลับเข้าตลาดหลักทรัพย์ จากนั้นเราสองคนจะแยกกันอยู่แต่โดยดี จบเรื่องแล้วคุณอยากให้กี้อยู่ตำแหน่งไหน ถึงตอนนั้นกี้จะลองพิจารณาดูอีกทีค่ะ แต่สิ่งที่คุณควรรู้ไว้ ก็คือเรื่องนี้จะไม่จบลงอย่างสันติแน่ ถ้าคุณจะปล่อยมันเอาไว้แล้วไม่ทำอะไรเลย”
สิ่งที่เธอบอกทำเอาชายหนุ่มอึ้งไปครู่หนึ่ง เธอพร้อมจะหักหลังเขาเพื่อที่จะได้ในสิ่งที่ต้องการ หรือนี่เองคือเหตุผลที่เธอพาน้องสาวเข้ามาทำงานในบริษัทเดียวกัน รวมถึงให้อำนาจในการบริหารในอนาคต และนั่นเท่ากับว่าสิ่งที่แม่เขาเตือนถูกต้องทุกอย่างเลยไม่ใช่หรือ
“นี่สินะสิ่งที่คุณต้องการแต่แรกน่ะ” ภาคภูมิกัดฟันกรอด พร้อมกับลุกเดินเข้าไปหาเธอ เพื่อมองใบหน้าของภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของตัวเองให้ชัด ว่าภายใต้แววตาที่ใสซื่อเหมือนเหยื่อที่ถูกกระทำนั้น แท้จริงเธอกำลังซ่อนอะไรไว้กันแน่
“คุณบังคับให้กี้ต้องทำแบบนี้เองนะคะ” กีรดาจ้องตอบนัยน์ตาที่ฉายความโกรธเกรี้ยว ในมือกำลังใช้มีดหั่นสเต๊กอย่างบรรจงแล้วกินมันต่อหน้าเขา ซึ่งนั่นทำให้โทสะของชายหนุ่มพลุ่งพล่าน และเผลอกระชากแขนเธอเอาไว้อย่างรุนแรง จนเธอหลุดปากร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
“คุณมันร้ายกว่าที่ผมคิดอีกนะ” พูดเสร็จเขาก็เหวี่ยงแขนที่อยู่ในมือออกไปอย่างไม่ไยดี ก่อนจะหันหลังเพื่อกลับไปยังที่นั่งของตน แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ
“นั่นมันก็ขึ้นอยู่กับคุณและคนของคุณค่ะ กี้จะถือว่าตอนนี้คุณได้ยอมรับข้อตกลงนั่นแล้ว และก็หวังว่าสัญญาของคุณคงจะใช้เวลาไม่นานนักนะคะ”
พูดจบเธอก็ยกแก้วไวน์ขึ้นมาดื่ม จังหวะนั้นเองที่กีรดารู้สึกถึงลมแรงๆ ที่เฉียดใบหน้าของตัวเองไปในระยะประชิด จากนั้นมันก็กระทบเข้ากับแก้วไวน์ เมื่อตั้งสติได้จึงเห็นว่าแรงลมเมื่อครู่มาจากฝ่ามือของสามี ที่ปัดแก้วไวน์จนหลุดจากมือของตน
เพล้ง!
เสียงแก้วกระทบพื้นแตกดังสนั่นห้อง ตามมาด้วยน้ำสีแดงที่ไหลนอง กีรดาได้แต่มองสิ่งที่หลุดออกจากมือเธอไปอยู่บนพื้นอย่างตกตะลึง พร้อมกับเบิกตามองคนที่เดินออกไปด้วยความหวาดกลัวลึกๆ หากเมื่อครู่เธอพยักหน้าเพียงน้อยนิด สิ่งที่ปะทะกับฝ่ามือของเขาก็คือใบหน้าของเธออย่างไม่ต้องสงสัย
และหลังจากที่มีเสียงแก้วแตกเกิดขึ้นไม่นาน คนในบ้านก็เริ่มเข้ามาดูด้วยความแตกตื่น กีรดามองเห็นแม่บ้านก้มลงทำความสะอาดพื้นและเก็บเศษแก้ว
“มะ…เมื่อกี้เราเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยค่ะ” คนที่นั่งหายใจแรงอยู่บนเก้าอี้รีบลงมาช่วยเก็บเศษแก้วอย่างรวดเร็ว โดยที่ตัวเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องทำเช่นนั้น
“ไม่ต้องค่ะคุณกี้ เดี๋ยวแก้วบาดมือ”
แม่บ้านสูงวัยพยายามกันไม่ให้นายหญิงของบ้านช่วย แต่ดูเหมือนเธอเองก็ไม่รู้ตัว เมื่อกีรดาช่วยหยิบจับเศษแก้วมือไม้สั่นไปหมด จนพลาดท่าถูกบาดเข้าอย่างจัง โชคยังดีที่ศิรตาเข้ามาทันเวลา
“เกิดอะไรขึ้นคะ” ศิรตาที่เพิ่งเดินสวนกับภาคภูมิรีบวิ่งเข้าไปจับมือพี่สาวที่ยังสั่น และเห็นเลือดไหลออกมา “นี่พี่กี้ถูกแก้วบาดนี่คะ มาค่ะ…เดี๋ยวต้าพาไปทำแผล”
“ไม่มีอะไรจ้ะต้า เมื่อกี้เราสองคนแค่…”
จู่ๆ คนพูดก็เงียบไปแล้วครู่เดียวเสียงสะอื้นก็ดังขึ้นมา ก่อนจะกลายเป็นเสียงร้องไห้อย่างเสียจริต ยิ่งเห็นดังนั้นศิรตายิ่งรู้สึกเห็นใจพี่สาว และแอบต่อว่าความใจร้ายของพี่เขยอยู่ในใจ
ส่วนคนที่เดินจากมาก็ไม่ได้สงบลงเลย ด้วยข้อเสนอของกีรดานั้นคงไม่เป็นที่ถูกใจของมารดาแน่ และที่สำคัญหากเขายอมทำตามที่เธอต้องการไม่ว่าจะทางเลือกไหน นั่นหมายถึงการยอมอ่อนข้อให้กับเธอ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการให้เกิดขึ้นอย่างที่สุด
เมื่อคิดไม่ตก สิ่งที่พอจะทำได้ คือการพูดคุยกับคนที่ทำให้เขาสบายใจที่สุดในเวลานี้ ภาคภูมิกดเบอร์โทรศัพท์ที่เขาจำได้ขึ้นใจ ก่อนจะรอฟังสัญญาณที่มาพร้อมกับเสียงหวาน
“ค่ะพี่ภูมิ”
เสียงปลายสายตอบรับด้วยน้ำเสียงยินดี ได้ยินแล้วรู้สึกเหมือนน้ำเย็นชโลมจิตใจที่ขุ่นมัวให้สดใส แต่ถึงอย่างนั้น เขาเองก็มีบางอย่างต้องบอกกับเธอด้วยเช่นกัน
“วันนี้อาจไม่ได้เข้าไปนะ ไม่สิ…ช่วงนี้พี่คงไม่ค่อยได้ไปหากัณนะ” ชายหนุ่มสารภาพแล้วก็รู้สึกใจหาย การไปอยู่กับเธอแค่ไม่กี่ชั่วโมงต่อวันนั้น ได้สร้างความสุขและสบายใจให้กับเขาได้อย่างมากมายอย่างที่ไม่อาจหาได้จากที่ไหน
“เกิดอะไรขึ้นกับพี่รึเปล่าคะ” น้ำเสียงหวานเจือด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะเงียบไปครู่หนึ่ง “เมียพี่…รู้เรื่องของเราแล้วใช่ไหมคะ”
“ใช่ พี่ไม่อยากให้เป็นปัญหา” ได้ยินดังนั้นเขาก็ได้แต่ยอมรับแต่โดยดี และแอบรู้สึกผิดเล็กๆ ที่ทำให้เธอพลอยไม่สบายใจไปด้วย
ปลายสายเงียบพักใหญ่ ราวกับเธอเองก็คงรู้สึกใจหายที่จะไม่เห็นหน้ากัน
“ค่ะ กัณเข้าใจ แต่พี่ภูมิจะกลับมาบ้านของเราใช่ไหมคะ กัณหมายถึงไม่จำเป็นต้องทุกวันก็ได้ แต่พี่จะกลับมาใช่ไหมคะ”
ได้ยินคำว่าบ้านจากปากของเธอ ภาคภูมิยิ่งรู้สึกถึงหัวใจที่พองโตไปด้วยความอบอุ่นอย่างประหลาด
“ครับ พี่จะกลับไป” เสียงทุ้มเอ่ยด้วยความรู้สึกดีขึ้น แต่ก็มีบางอย่างที่ยังรบกวนจิตใจของเขาไม่หาย “ถามอะไรหน่อยสิ กัณได้เล่าเรื่องของเราให้ใครฟังบ้างรึเปล่า”
“เปล่านะคะ คนที่รู้เรื่องของเราก็มีแค่…”
เธอนิ่งไปเหมือนจะนึกอะไรออก เช่นเดียวกับภาคภูมิที่คิดได้เช่นกัน ความลับของบ้านเล็กที่ปิดเอาไว้เนิ่นนานนั้น หากจะมีใครแพร่งพรายก็คงเป็นคนที่รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี และเป็นคนที่หิวเงินมากพอที่จะขายมันได้ แม้จะเป็นเรื่องของน้องสาวก็ตาม
“ขอโทษนะคะพี่ภูมิ กัณน่าจะระวังพี่รัชให้ดี แต่พี่ไม่ต้องห่วงนะคะ กัณจะอยู่ให้เงียบที่สุดจะไม่ให้ใครรู้เด็ดขาดว่าเราสองคนเป็นอะไรกัน”
หญิงสาวเอ่ยขอโทษด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความสำนึกผิด ภาคภูมิไม่โทษเธอ เพราะรู้ว่าเรื่องนี้คงทำให้เธอทุกข์ใจอยู่ไม่น้อย
“ไม่เป็นไรนะ เรื่องนี้พี่จัดการเอง กัณดูแลตัวเองให้ดีเถอะ ไม่ต้องเครียด แค่บอกให้รู้เฉยๆ กัณจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”
“ค่ะ พี่ภูมิก็ดูแลตัวเองด้วยนะคะ เดี๋ยวกัณส่งกาแฟให้นะคะ”
สิ้นเสียงหวานจากหญิงสาว ภาคภูมิก็ได้แต่ยิ้มด้วยหัวใจที่รู้สึกแช่มชื่นขึ้นมา แล้วตัดสินใจกับตัวเองอย่างแน่วแน่ว่าเขาเองก็คงจะต้องจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด
แต่สำหรับคนที่เพิ่งวางสายจากชายผู้อุปถัมภ์ เธอก็ได้จมอยู่กับความคิดของตัวเองเพียงลำพัง แต่ไม่นานก็ได้ยินเสียงจากใครบางคนที่นั่งฟังเธอพูดโทรศัพท์ตั้งแต่ต้น
“ตอแหลจริงจริ๊ง…”
เสียงแหลมเล็กลากยาวฟังแล้วน่ารำคาญพิกล เมื่อกัณฑินีหันไปมองตามเสียง ก็พบกับร่างในชุดสั้นกุดกำลังนอนกระดิกเท้าอยู่บนโซฟา แล้วลุกขึ้นนั่งมองมาทางเธออย่างคนที่รู้เท่าทันกัน
“นี่ฉันเป็นคนปากมากชอบเอาเรื่องของน้องไปขายตั้งแต่เมื่อไรกันน้า” รัชนีแสยะยิ้มมองน้องสาวตัวดีที่โบ้ยความผิดให้เธอ
“วุ่นวายจริง จะบ่นอะไรอีกล่ะ” คนถูกด่าได้แต่มองค้อน แล้วเดินไปตีขาพี่สาวที่ทำท่าจะวางพาดบนโต๊ะกระจก ด้วยกลัวว่าเฟอร์นิเจอร์ใหม่จะเป็นรอย
“จ้ะ…แม่คนเรื่องน้อย ทำไมไม่บอกผัวไปล่ะ ว่าเป็นกัณเองเนี่ยแหละค่ะที่ให้พี่สาวเอาเรื่องของเราไปบอกคนอื่น” คนพูดหัวเราะพร้อมกับพาดขาไว้ที่โต๊ะกระจกใส และครั้งนี้เธอไม่ยอมให้น้องเอามันออกไปได้
“นี่ เงียบไปเลยนะ อยากถูกไล่ออกจากบ้านรึไง” กัณฑินีได้แต่โวยวายด้วยความขัดใจ เพียงแค่เธอบอกให้รัชนีเอาเรื่องนี้ไปเมาท์มอยกับพวกไซด์ไลน์ด้วยกันเท่านั้น พี่สาวตัวดีกลับมองเป็นบุญคุณล้นเหลือจนน่ารำคาญ หากไม่ติดว่าเป็นพี่น้องคลานตามกันมา เธอคงไล่ออกจากบ้านไปตั้งแต่ที่ใช้งานเสร็จแล้ว
“เชอะ นังน้องอวดดี ไหนบอกจะอยู่อย่างสงบปากสงบคำไง นี่ได้บ้านหลังเดียวแกกะเผาบ้านเขาแล้วเหรอ” ฝ่ายคนที่กำความลับของน้องเอาไว้ก็ได้แต่หัวเราะชอบใจ ถึงไม่รู้ว่าทำไมลูกค้าเก่าของเธออย่างภาคภูมิจะถูกอกถูกใจน้องสาวนัก แต่ดูจากสิ่งที่เขาให้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ผู้ชายคนนี้ต้องคิดจริงจังกับกัณฑินีมากพอตัว
“ไม่รู้อะไรก็เงียบไปดีกว่า…”
“จะทำอะไรก็ระวังหน่อยแล้วกัน ตอนนี้เมียเขารู้เรื่องแล้ว ที่สำคัญฉันว่าคงไม่ใช่แค่เมียเขาคนเดียวด้วย เพราะคุณรพีลูกพี่ลูกน้องของคุณภูมิก็มาถามเรื่องแกกับฉันเหมือนกัน ระวังตัวเอาไว้บ้างก็ดี ฉันไม่อยากมีปัญหาไปด้วย”
คำเตือนของรัชนีแฝงไปด้วยความหวังดีอย่างคนที่ผ่านเรื่องนี้มามาก และที่สำคัญเธอก็เป็นของเล่นให้ผู้ชายรวยๆ มานานพอที่จะรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ต้องระวังมากกว่าเมียหลวง ซึ่งนั่นทำให้คนที่ถูกเตือนก็เริ่มเป็นกังวล แต่ก็ยังตีสีหน้ากลบเกลื่อนความรู้สึกนั้นเอาไว้
“พูดอะไรน่ะไม่เห็นเข้าใจเลย แล้วเมื่อไรจะกลับไปสักที น่ารำคาญ” กัณฑินีแกล้งเอ่ยปากไล่พี่สาวที่ทำตัวรู้ดีไปเสียทุกเรื่อง
“แกจะไล่ฉันทำไม ยังไงวันนี้คุณภูมิเขาก็ไม่ได้มาเสียหน่อย ขอนอนบ้านหลักสิบล้านบ้างเป็นไร เฮ้อ…กว้างกว่าคอนโดฉันอีกนะเนี่ย จะมีเสี่ยคนไหนซื้อให้แบบนี้บ้างไหมนะ” คนรู้ทันมองบ้านหลังใหญ่ของน้องแล้วอดที่จะอิจฉาไม่ได้
“ก็หาเป็นตัวเป็นตนสักคนสิ ทำตัวเป็นพวกเมียเช่าอยู่ได้” กัณฑินีได้ทีข่มพี่สาวในสิ่งที่เธอไม่พอใจมานาน ถึงรัชนีจะมีเงินมีทองมากมาย แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่าสิ่งนั้นพี่สาวเธอต้องใช้อะไรเพื่อแลกกับมัน แม้จะดูเหมือนง่ายๆ ทว่าก็มีบางครั้งที่เธออยากให้พี่สาวหยุดหากินแบบนี้ แล้วหาที่พึ่งเป็นตัวเป็นตนสักที
“ไม่ละ คนอย่างฉันอยู่กับใครได้นานๆ เสียที่ไหน แบบนี้ก็ดีแล้ว…สนุกดี แถมมีของดีๆ ให้ใช้ตลอดด้วย” สาวรักอิสระรีบปฏิเสธ พร้อมกับมองกระเป๋าแบรนด์เนมใบใหม่ที่ได้จากเสี่ยใหญ่ใจดี
กัณฑินีได้แต่มองพี่สาวแล้วส่ายหน้าระอาใจ ไม่ว่าเธอจะเตือนสักกี่ครั้ง แต่ดูเหมือนรัชนีจะไม่ยอมเลิกอาชีพเพื่อนเที่ยวได้ ทั้งที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าจะไม่มีใครออกปากขอเลี้ยงดูอย่างจริงจัง เห็นแบบนี้เธอก็ได้แต่ตั้งปณิธานในใจ ว่าตนนั้นจะไม่ขอเป็นของเล่นใครอย่างพี่สาวเด็ดขาด และตอนนี้เธอก็มีเป้าหมายในชีวิตอย่างแน่ชัดแล้ว ขอเพียงแค่เวลาที่จะทำให้ใครคนนั้นเป็นอิสระพ้นพันธะเดิมเสียที
ผ่านไปหลายวัน พันธะของภาคภูมิก็ยังคงทำหน้าที่ศรีภรรยาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แม้ความสัมพันธ์ของเธอกับเขาจะห่างเหิน ยิ่งนับวันยิ่งเหมือนคนไม่รู้จักกันมากเข้าทุกทีก็ตาม ถึงจะอยู่บ้านด้วยกันบ่อยขึ้น แต่นับจากดินเนอร์วันนั้นทั้งสองคนก็ไม่ได้พูดคุยกันอีกเลย
แม้แต่วันที่น่าจะสำคัญที่สุดในชีวิตของเขา ภาคภูมิก็ไม่พาเธอไปออกงานอย่างเช่นทุกครั้ง กีรดาได้แต่นั่งดูข่าวเปิดตัวนักการเมืองรุ่นใหม่ของพรรคผ่านมือถือ ดูเหมือนทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดีจนน่าพอใจ ผู้คนให้ความสำคัญกับนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงที่ก้าวลงสนามการเมืองอย่างภาคภูมิมาก จนน่าเสียดายที่เธอไม่มีโอกาสได้แสดงความยินดีกับเขาอย่างใกล้ชิด และดูเหมือนเขาเองก็พยายามจะผลักเธอออกไปเรื่อยๆ ส่วนพักนี้เธอเองก็เริ่มมีเวลามากขึ้นเพราะได้มอบงานหลายอย่างให้ศิรตาทำ และดูเหมือนน้องสาวของเธอก็จะเข้าใจสถานการณ์ในครอบครัวพี่เป็นอย่างดี อีกทั้งยังทำหน้าที่แทนเธอได้อย่างไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
กีรดารอจนภาคภูมิกลับมาบ้าน เมื่อเห็นรถของเขาเข้ามาจอด เธอถึงเปิดขวดแชมเปญที่เตรียมไว้ รินใส่แก้วสองใบ แล้วยื่นมันให้กับสามีเมื่อเขาเดินผ่านประตูบ้านเข้ามา
“บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าวันนี้ผมมีงานเลี้ยง ไม่ต้องรอก็ได้” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างที่สุด
“กี้อยากร่วมแสดงความยินดีกับคุณน่ะค่ะ เสียดายนะคะที่วันนี้กี้ไม่ได้ไปด้วย”
นี่อาจเป็นงานแรกที่เขาไม่พาเธอไป ที่จริงเขาไม่แม้จะพูดถึงเรื่องนี้กับเธอเสียด้วยซ้ำ เธอยื่นแก้วให้เขาอีกครั้งเมื่อเข้ามาถึงกลางบ้าน และพอเขารับแก้วไปเธอก็กระดกแก้วของตัวเองจนหมด
“คุณไม่ต้องพยายามทำตัวเป็นเมียที่ดีหรอก เห็นแล้วผมจะอ้วก”
ภาคภูมิถือแก้วแชมเปญของตัวเองมานั่งที่เคาน์เตอร์ มองภรรยาที่เดินตามเข้ามานั่งข้างๆ อย่างผู้ที่มีแต้มต่อ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เขารู้สึกไม่พอใจอย่างมาก
“ก็แค่ทำหน้าที่ที่ควรจะทำค่ะ แต่ดูเหมือนว่าคุณจะลืมว่าหน้าที่ของตัวเองคืออะไร”
“อย่ามาสั่งผมนะกี้ อย่าลืมสิว่าตัวเองอยู่ในฐานะอะไร ขาดผมไปคุณก็ไม่เหลืออะไรเหมือนกัน” เขาตอกย้ำสถานะของเธอ เพราะถึงเธอจะเก่งแต่คนอย่างกีรดาที่เขารู้จัก ย่อมไม่ยอมทิ้งสิ่งที่เคยเป็นของตัวเองอย่างแน่นอน
“งั้นก็ทำตามที่ตกลงกันไว้สิคะ กี้ก็จะได้ทำลืมๆ หลักฐานการมีอยู่ของเมียคุณอีกคน” เธอเอ่ยออกมาอย่างคนที่ข่มความโกรธเอาไว้ไม่อยู่ โดยเฉพาะเมื่อถูกตอกย้ำด้วยสถานะอันแตกต่าง
“หลักฐานเหรอ” ภาคภูมิมองข่มภรรยาและแสยะยิ้มท้าทาย “เอาซี้…อยากรู้เหมือนกันว่าคุณจะทำอะไรได้ อยากฟ้องหย่าใช่ไหม ผมเซ็นใบหย่าให้คุณตอนนี้เลยก็ได้ แยกกันตอนนี้แหละเหมาะสมที่สุดแล้ว ดีกว่าปล่อยให้คนอย่างคุณมาแว้งกัดผมในอนาคต”
กีรดาเริ่มแปลกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของสามี จากที่เคยมั่นใจว่าเขาต้องทำตามสิ่งที่เธอต้องการ ตอนนี้ก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าจะเป็นอย่างที่คิด
“คุณคิดว่ากี้ไม่กล้าฟ้อง?”
“ใช่ คุณไม่ทำหรอก เพราะคนทะเยอทะยานอย่างคุณ กว่าจะถีบตัวเองมาจนถึงทุกวันนี้ คงไม่อยากกลับไปเป็นคนโนเนมที่ไม่ได้มีตัวตนในสังคมใช่ไหมล่ะ”
ผู้เป็นสามีมองภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายอย่างหยามเหยียด ใช่แล้ว…สิ่งที่เธอต้องการไม่ใช่แค่บริษัท แต่สถานะทางสังคมที่ได้รับจากเขาหลังแต่งงานด้วย และเขาก็รู้ดีว่ากีรดาไม่ยอมเสียมันไปอย่างแน่นอน เธอถึงได้เหลือทางเลือกไว้ให้เขาเพื่อที่ตัวเองจะได้มีพื้นที่ไว้เชิดหน้าในสังคมได้อย่างภาคภูมิเช่นกัน
ขณะที่คนฟังได้แต่นิ่งอึ้งและพูดไม่ออก เธอมองสามีที่คิดว่าตามเกมไม่ทันอย่างไม่เชื่อสายตา ไม่เพียงแค่การดูถูกเธอเท่านั้น แต่เขายังจี้จุดอ่อนอย่างจังจนเธอเองก็ไม่สามารถเถียงได้