มนตร์อัคคี บทที่ 1 : เทพแห่งไฟ

มนตร์อัคคี บทที่ 1 : เทพแห่งไฟ

โดย : ภัสรสา

“มนตร์อัคคี” โดย ภัสรสา นิยายออนไลน์ ที่ อ่านเอา อยากให้ทุกคนได้ อ่านออนไลน์ ได้ลงจนจบบริบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางผู้เขียนใจดีมอบ 5 บทแรกไว้ให้อ่านกันที่อ่านเอา และหากติดใจอยากอ่านต่อคุณผู้อ่านสามารถซื้อมนตร์อัคคีฉบับรวมเล่มที่ สำนักพิมพ์ภัสรสา

****************************

– 1 –

ผลจากการสะสางยังคงอยู่… บรรดาเทพผู้ปกป้องยังคงให้ความช่วยเหลือเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นกับมนุษย์เท่าที่สามารถทำได้ ทั้งทางด้านมนตราที่ต้องกระทำอย่างลับๆ และด้านทรัพย์สินเงินทองของมนุษย์ที่เทพหลายองค์มีสะสมก็ต่างส่งไปบริจาคช่วยเหลือ

ตอนนี้พฤกษ์นั่งอยู่ในวิมานตน ทว่าเลือกจุดพักอาศัยชั่วคราวของผู้ประสบภัยขึ้นมาจุดหนึ่ง แล้วส่งพลังไปกับผืนดินผืนน้ำและสายลมเพื่อเยียวยาพืชพรรณกับสรรพสัตว์เท่าที่ทำได้ รติที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ส่งความรักและความเมตตาไปเพื่อให้ผู้ที่มีจิตเหมาะสมได้รับพลังเพื่อให้มีกำลังใจแข็งแรง พร้อมช่วยเหลือผู้อื่น

พฤกษ์ได้ยินชายาตนถอนใจจึงเพ่งดูว่าเกิดสิ่งใดขึ้น พลันรู้ว่าจุดช่วยเหลือที่ตนกำลังส่งพลังให้อยู่นั้นเกิดการขโมยของบริจาคขึ้น จึงส่งข้อความบอกชายาผ่านสัญญาณจิต “ปล่อยวางเถอะรติ นั่นกรรมของเขา”

เทพแห่งความรักถอนใจอีกเฮือก “ก็แค่เบื่อที่ยังมาขโมยของกันในเวลาแบบนี้”

พฤกษ์ชักชวนรติให้ออกจากจุดเดิมเพื่อไปดูจุดใหม่ ทว่าทั้งคู่กลับต้องชะงัก เมื่ออยู่ๆ เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้น หันไปมองก็เห็นว่าหัวขโมยกำลังเต้นเร่า ด้วยของในมือจู่ๆ ก็ลุกเป็นไฟ… รติอดยิ้มขำไม่ได้ ขณะพฤกษ์มีสีหน้าเบื่อหน่าย ส่งเสียงเรียกอย่างเหนื่อยอ่อน “กูณฑ์”

“คิดถึงข้าก็มาหา”

พฤกษ์ลืมตาขึ้น หันมองหน้ารติก็เห็นว่ามองมาอยู่แล้ว จึงพยักหน้าแล้วจับมือเพื่อพาเดินทางไปยังเคหสถานของกูณฑ์ เมื่อถึงก็พบภาพที่คาดไว้ล่วงหน้าได้ถูกต้อง คือกูณฑ์นั่งนิ่งอยู่หน้าต้นน้ำตาพระจันทร์ ดวงตาสีเพลิงลืมโพลงบ่งบอกว่ายังตามหาเทพแห่งการเยียวยาอยู่ พูดด้วยแม้อีกฝ่ายไม่มีท่าทีจะหยุดกิจกรรมของตนเพื่อทักทาย

“ยังส่งส่วนหนึ่งของเจ้าติดตามข้าไปเหรอ”

กูณฑ์ยังคงนั่งนิ่ง และ ‘ส่วนหนึ่ง’ ของกูณฑ์ก็ลอยขึ้นมาเบื้องหน้าพฤกษ์ เป็นเปลวไฟเล็กๆ ที่ส่งเสียงได้

“เทพแห่งการเยียวยาอาจกำลังช่วยเหลือมนุษย์ที่บาดเจ็บจากการสะสางอยู่”

พฤกษ์หัวเราะหึ “ข้าไม่ว่าอะไรถ้าเจ้าติดตามไปเพื่อหาเทพแห่งการเยียวยา แต่การที่อยู่ๆ ไปเผาข้าวของ มันคงไม่ดี”

“ของโจรก็ร้อนอยู่แล้ว ข้าแค่ทำให้ร้อนเพิ่มขึ้นอีกหน่อย”

พฤกษ์ถอนใจยืดยาว ส่งพลังตัวเองไปรอบๆ เพื่อบำรุงสวนสวยที่ตนเป็นคนสร้าง… ไม่กี่เดือนก่อนวิมานของกูณฑ์ไม่มีต้นไม้อยู่เลย แม้หญ้าสักต้นก็ไม่อาจแทงทะลุผืนดิน อันที่จริงกูณฑ์มีลานดินตรงนี้ไว้เพื่อต้อนรับธราผู้เป็นเทพแห่งดินเท่านั้น ด้วยพลังของกูณฑ์เป็นภัยกับพฤกษา

นั่นเป็นเหตุให้ความรักระหว่างกูณฑ์กับเทพแห่งบุปผชาติไม่อาจลงเอย ขณะเทพแห่งบุปผชาติรวดร้าวใจจนต้องหนีขึ้นไปรับตำแหน่งพระจันทร์ ด้วยกูณฑ์ตีตัวออกห่างทำทีเป็นเทพมากรัก ตอนนั้นพฤกษ์มองเห็นว่ากูณฑ์ทำเช่นนั้นก็เพื่อรักษาชีวิตของเทพแห่งบุปผชาติไว้ ยิ่งรักมากเท่าไร ยิ่งแสดงความรู้สึกมากเท่าไรก็ยิ่งทำร้าย ครั้งหนึ่งตอนที่ยังรักกันเทพแห่งบุปผชาติโดนพลังของกูณฑ์แผดเผาเจียนดับสูญ

และเมื่อครั้งอดีตพระศุกร์โกงมาตรวัดบาปบุญเพื่อทำให้การสะสางโลกมนุษย์เกิดเร็วขึ้น เมื่อหายนะกำลังจะทำให้คนจำนวนมากถึงแก่ความตาย พระจันทร์จึงทำชีพพลีเพื่อแลกกับความปลอดภัยของทุกคน ในอ้อมกอดสุดท้ายที่กูณฑ์ใช้มันเพื่อหวังเหนี่ยวรั้งเทพผู้เป็นที่รัก พฤกษ์สัมผัสได้และแน่ใจว่าพลังบางอย่างของพระจันทร์ได้ถ่ายทอดสู่ตัวกูณฑ์ นั่นทำให้เขาตัดสินใจส่งต้นน้ำตาพระจันทร์ต้นสุดท้ายมาไว้ที่นี่ ตามด้วยไม้ดอกแสนรักของพระจันทร์ ตอนนี้มันเจริญงอกงามสมบูรณ์ ทำให้สวนนี้สวยงามไม่แพ้สวนสวรรค์ชั้นใด กลิ่นหอมตลบจนติดตัวผู้มาเยือนไปสามวัน

ตอนนี้พลังของกูณฑ์จะไม่ทำร้ายพระจันทร์อีกต่อไปแล้ว ทว่าไม่มีพระจันทร์แล้วเช่นกัน…

“ได้เบาะแสอะไรบ้างไหม” พฤกษ์เอ่ยถาม เห็นส่วนหนึ่งของกูณฑ์สลายหายวับไป พลันรู้สึกได้ว่ากูณฑ์กำลังกอบรวมทุกเศษเสี้ยวของจิตตนที่ส่งกระจัดกระจายออกไปตามหาเทพแห่งการเยียวยา ใช้เวลาราวสามนาที พลังงานทุกอย่างก็สงบนิ่ง และกูณฑ์หันมาหา ดวงตากลายเป็นสีสนิมดังเดิม มองหน้าพฤกษ์อยู่หลายวินาทีกว่าจะตอบ “ไม่ได้เลย”

พฤกษ์นิ่วหน้าแม้ไม่ได้ประหลาดใจนัก ถ้าเจอง่ายๆ เทพแห่งการเยียวยาก็คงไม่สูญหายไปเป็นพันๆ ปี “ยังเหลือจุดช่วยเหลืออีกหลายสิบจุด”

กูณฑ์พยักหน้า เขาก็คงส่งส่วนหนึ่งของตนตามติดพฤกษ์ไปสังเกตการณ์เช่นเคย แต่บางทีกูณฑ์ก็อยากให้เรื่องมันง่ายกว่านั้น “เจ้าแมวนิลยังอยู่กับท่านหรือเปล่า”

พฤกษ์เลิกคิ้ว มองหน้ากูณฑ์แล้วส่ายหน้า ไม่พูดคำใด ทำให้กูณฑ์ต้องเดาเอาเอง

“ไม่อยู่เหรอ หรือท่านส่งให้ใครเอาไปเลี้ยงแล้ว”

พฤกษ์ส่ายหน้าอีก แมวนิลที่กูณฑ์ว่าเป็นแมวตัวที่เทพแห่งการเยียวยารักมาก เคยมาขอให้เขาให้พรแล้วยังพาไปไหนต่อไหนด้วยไม่เว้นแม้แต่ตอนเข้าประชุมเทพ เรียกว่าเห็นเทพแห่งการเยียวยาเป็นต้องเห็นแมวนิล เมื่อเทพแห่งการเยียวยาหายไป มีแมวบางส่วนหายไปด้วย ส่วนแมวที่เหลือมีบางตัวที่เทพองค์อื่นๆ รับดูแลต่อ เหลือให้พฤกษ์รับเลี้ยงอีกเพียงเกือบๆ สามร้อยตัวเท่านั้น ซึ่งในจำนวนนั้นมีแมวนิลรวมอยู่ด้วย ทั้งที่แต่แรกเป็นแมวที่เหล่าเทพแย่งชิงกันเนื่องด้วยเป็นแมวที่สวยต้องตา ขนสีดำสนิทเรียบลื่นดุจแพรเนื้อดี ดวงตาสีเหลืองสดใสราวบุษราคัมน้ำงาม และตอนอยู่กับเทพแห่งการเยียวยาก็ดูขี้อ้อนน่ารักน่าใคร่ แต่เมื่อเทพแห่งการเยียวยาไม่อยู่ แมวนิลก็คล้ายจะดุร้ายขึ้นมาก ใครเข้าใกล้เป็นขู่ฟ่อแยกเขี้ยวกางเล็บ ใครจับเป็นถูกตบถูกข่วน ที่แปลกคือแม้ไม่เป็นแผลขึ้นรอยแต่ก็ทำให้แสบร้อนได้หลายวันจนเหล่าเทพถอดใจ สุดท้ายก็มีเพียงพฤกษ์ที่จับได้ พฤกษ์ให้แมวนิลกับแมวตัวอื่นๆ อยู่รวมกันในอาณาบริเวณบ้านตน อาจมีแวะไปเล่นด้วยบ้างแต่ไม่ได้แวะไปบ่อยนัก เพียงให้มนตร์กับแมวไว้ว่าหากมีเรื่องเดือดร้อนให้ส่งสัญญาณเรียกพฤกษ์ได้ทันที จนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครส่งสัญญาณแปลว่าอยู่กันเรียบร้อยดี

“เอาแต่ส่ายหน้าแบบนี้ อยากให้ข้าอ่านใจท่านเองเหรอ”

พฤกษ์หัวเราะหึ บอกออกไปในที่สุด “ข้าส่ายหน้าเพื่อบอกว่า ข้าไม่ยอมให้เจ้าเอาแมวนิลไปทำอะไรทั้งนั้น”

กูณฑ์ทำหน้าเซ็งเมื่อถูกรู้ทัน เขาตั้งใจว่าถ้าได้ตัวแมวนิลมาจะลองใช้มันขู่เทพแห่งการเยียวยาสักหน่อย อาจเริ่มด้วยการจับกร้อนขนให้เหลือแต่หนังเกรียนๆ หรือลองขู่ว่าจะเอาไปให้อนัตตา เทพแห่งความตาย มันอาจได้ผลก็ได้เพราะที่ผ่านมาแมวทุกตัวอยู่ดีมีสุข เทพแห่งการเยียวยาจึงไม่ร้อนใจจะเผยตัว

“เจ้าควรอ่อนโยนให้มากกว่านี้ ถ้าพระจันทร์กลับมาได้แล้วรู้ว่าเจ้าตามหานางด้วยการทรมานแมว คิดสิว่านางจะรู้สึกยังไง”

“ถ้าข้าทรมานท่านแล้วพระจันทร์กลับมาจริงๆ ข้าก็คิดว่ามันคุ้มค่าที่จะลอง”

เสียงหัวเราะของรติทำให้พฤกษ์หันไปมอง อดพูดไม่ได้ “นั่นกูณฑ์ขู่ทำร้ายพี่นะ”

จากแค่หัวเราะเบาๆ รติเลยหัวเราะร่วน “ท่านกูณฑ์แค่บอกว่าอยากให้พระจันทร์กลับมามากแค่ไหนต่างหาก”

ฟังแล้วพฤกษ์ก็ถอนใจเบาๆ “พี่แค่อยากให้กูณฑ์ระวังตัวเองหน่อย แม้ไม่มีเจตนาร้าย แต่การกระทำชั่วร้ายก็ยังทำให้ศีลตกต่ำอยู่ดี”

นั่นทำให้รติระลึกได้ จึงส่งยิ้มประจบให้สวามี ก่อนหันไปทางกูณฑ์ “ข้าเห็นด้วยกับพี่พฤกษ์ พระจันทร์เป็นเทพที่อ่อนหวานและอ่อนโยนมาก ท่านคงรู้ดีใช่ไหม”

กูณฑ์นิ่งคิดครู่เดียวก็พยักหน้า… ก็ไม่ใช่เพราะความอ่อนหวานและอ่อนโยนนั้นหรอกหรือ ที่ทำให้เขาหลงรัก

“ถ้านางรู้ว่าท่าน… แกล้งแมว นางคงไม่ชอบใจ”

กูณฑ์ถอนใจเฮือกใหญ่ “โอเค ข้าจะไม่ยุ่งกับแมว”

พฤกษ์กับรติเบาใจได้ครู่เดียวเท่านั้น

“ข้าจะขึ้นไปหาพระพฤหัส”

บอกแล้วหายวับไปทันที กระนั้นก็ยังส่งเสียงมาบอกพฤกษ์

“ฝากท่านดูแลดอกไม้ในบ้านข้าด้วย”

พฤกษ์รอจนแน่ใจแล้วว่ากูณฑ์จะไม่พูดสิ่งใดอีกจึงหันมองหน้ารติ ที่คราวนี้ดูเริ่มกังวลขึ้นมาบ้าง จึงโอบไหล่ไว้แล้วพากลับวิมานตน เอ่ยปลอบเมื่อเห็นว่าชายายังกังวลไม่หยุด “ไม่ต้องห่วงพระพฤหัสหรอกรติ ทางนั้นรับมือกูณฑ์ได้สบาย”

หากรติกลับส่ายหน้า เธอรู้ดีอยู่แล้วว่าพระพฤหัสตบะบารมีแก่กล้าแค่ไหน “รติห่วงท่านกูณฑ์ต่างหาก… พี่พฤกษ์ตามไปดีไหม”

พฤกษ์หัวเราะ ทบทวนอีกนิดว่าตนจำเป็นต้องตามไปหรือไม่ แล้วค่อยตอบ “ไม่ต้องหรอก ให้พระพฤหัสสั่งสอนให้ได้สติเสียบ้าง อาจจะดีสำหรับกูณฑ์ก็ได้”

เพราะพฤกษ์แน่ใจ ต่อให้กูณฑ์ป่วนประสาทแค่ไหนพระพฤหัสก็ไม่โมโหจนขาดสติแน่ อย่างดีก็คงแค่ทำอะไรสักอย่างให้ตนหายรำคาญ และมันคงดีกว่าถ้าทำให้กูณฑ์สงบจิตสงบใจได้บ้าง แรกๆ ที่สูญเสียพระจันทร์ พฤกษ์พอสงสาร แต่นานวันกูณฑ์ชักป่วนหนักขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งไม่มีวี่แววจะได้เจอเทพแห่งการเยียวยากูณฑ์ก็ยิ่งหงุดหงิด ยิ่งหงุดหงิดก็ยิ่งป่วน

ให้โดนพระพฤหัส ‘ตบเกรียน’ บ้างก็ดี!

กูณฑ์ ไม่ อยาก จะ เชื่อ เลย…

เขาขออนุญาตเข้านิวาสสถานของพระพฤหัสทางจิต ทางนั้นก็ตอบรับรวดเร็วไม่ได้ปล่อยให้รอนานแต่อย่างใด ทว่าเพียงเขาเข้าเขตอาณาบริเวณของพระพฤหัสก็ราวกับโดนแช่แข็ง ไม่สามารถทำอะไรได้เลย ขยับตัวก็ไม่ได้ กะพริบตายังไม่ได้ พระพฤหัสทำอะไรกับเขา!

“จะเรียกว่ามนตร์ตราสังก็ได้”

กูณฑ์จะตอบ… แต่ขยับปากไม่ได้! เลยใช้วิธีสื่อสารทางจิตแทน “เราไม่ได้มีกฎห้ามใช้มนตร์บังคับเทพด้วยกันหรอกเหรอ”

“ห้ามบังคับจิตใจ ข้าไม่ได้บังคับใจเจ้า”

“ที่ไหนได้ ข้าอยากขยับตัว”

“ใจเจ้าก็ยังคิดได้อยู่ว่าอยากขยับตัว”

กูณฑ์นิ่งไปนาน รู้ดีว่าหากเป็นเรื่องกฎบรรพกาลทั้งฉบับดั้งเดิมฉบับปรับปรุงครั้งที่หนึ่ง สอง และสาม จะหาใครแม่นเกินธรากับพระพฤหัสเป็นไม่มี ดังนั้นป่วยการที่เขาจะเถียง และทำไมกูณฑ์จะไม่รู้ ที่พระพฤหัสทำแบบนี้… “ท่านแค่อยากให้ข้ารู้ตัวว่าอ่อนด้อยกว่าท่าน”

ใช่ เพราะหากเป็นเทพที่อ่อนฤทธิ์กว่าไม่มีทางทำกับเขาแบบนี้ได้แน่ อีกอย่างมนตร์นี้ก็พิเศษ ไม่ใช่ว่าเทพทุกองค์จะสามารถใช้มนตร์นี้กับเทพด้วยกันได้ “และอยากอวดข้าใช่ไหมล่ะว่าท่านมีสายเลือดแห่งเทพบรรพกาล”

พระพฤหัสฟังแล้วยิ้มน้อยๆ บอกไป “ข้าแค่ไม่มีเวลาเหลือแบบองค์อารักษ์ของเจ้า และข้าไม่ชอบต่อล้อต่อเถียง… ไม่ว่าเจ้าจะมาบนนี้ด้วยเหตุใด คำตอบของข้าคือไม่ กลับลงไปและอย่ามายุ่งกับข้าหากไม่มีเหตุอันควร และอย่างที่เจ้ารู้ ข้าเป็นสายเลือดแห่งเทพบรรพกาล แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าสาแหรกเดียวกับอนัตตา”

หะ… กูณฑ์อยากกะพริบตาปริบแทนคำตอบแต่ทำไม่ได้ เขารู้แค่พระพฤหัสสืบเชื้อสายมาจากเทพบรรพกาล แต่เพิ่งรู้ว่าเป็นสายเทพผู้ทำลาย เขานึกว่าเป็นสายเทพผู้สร้างเสียอีก

“ใช่ หากข้าไม่รับตำแหน่งพระพฤหัสข้าคือเทพแห่งการทำลายล้าง อย่ามายุ่งกับข้าสุ่มสี่สุ่มห้า เนื้อแท้แล้วข้าอำมหิตกว่าธราของเจ้ามากนัก”

กูณฑ์นิ่งอึ้ง คิดอะไรไม่ออกเลยในนาทีนั้น… นี่เขาเข้าใจผิดมาตลอดเลยหรือ เขาคิดว่าพระพฤหัสเป็นเทพที่นุ่มนวล ใจเย็น ใจดี เหมือนเป็นพฤกษ์ในเวอร์ชั่นเทพผู้กำหนด เขาไม่เคยเห็นพระพฤหัสเกรี้ยวกราดใส่ใครแบบที่กำลังทำกับเขามาก่อนเลย

“เวลานี้มีหลายเรื่องวุ่นวายนัก เทพแห่งไฟ เจ้าแตกจิตเป็นล้านส่วนเพื่อตามหาเทพแห่งการเยียวยา ข้าแตกจิตมากกว่าเจ้าสิบเท่าเพื่อตามหาสิ่งที่ข้าก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไร”

กูณฑ์เข้าใจความเกรี้ยวกราดของพระพฤหัสได้ในวินาทีนั้น พูดให้ง่ายเข้าคือตอนนี้พระพฤหัสทำสิ่งที่หนักหนาสาหัสกว่าเขาเป็นสิบเท่า อาจเป็นร้อยเท่าด้วยถ้าขนาดเทพผู้หยั่งรู้ยังไม่รู้ว่าตนตามหาอะไรกันแน่… และเขาก็ดันขึ้นมากวน เพราะความรู้สึกผิด ทำให้กูณฑ์ถามอยู่ในใจ “ข้าช่วยอะไรท่านได้บ้าง”

พระพฤหัสมองหน้ากูณฑ์ คลายมนตร์ตราสังออกให้ ก่อนตอบ “ช่วยตามหาเทพแห่งการเยียวยาให้เจอ… และถ้ามีอะไรที่เจ้าทำได้อีก คือการเตือนธราว่าเจ้าได้บทเรียนอะไรมา อย่าให้เขาซ้ำรอยเจ้า”

ซ้ำรอย… กูณฑ์นิ่วหน้า ยังไม่แน่ใจว่าพระพฤหัสหมายถึงสิ่งใด ต่อไปภายภาคหน้าธราอาจอยากขึ้นมาป่วนพระพฤหัสแบบเขาอย่างนั้นหรือ อาจอยากให้เขาเตือนธราว่าอย่าทำ ฉับพลันนั้นกูณฑ์ก็ต้องถอยห่างจากพระพฤหัสเสียสองก้าว เพราะจู่ๆ ดวงตาของพระพฤหัสก็กลับกลายเป็นสีดำมืดที่มีจุดแต่งแต้มคล้ายดวงดาวระยิบพราย ยกนิ้วชี้ชี้มาทางเขา ปรากฏลำแสงบางอย่างจากปลายนิ้วพุ่งเข้าใส่ และในทันทีทันใดนั้นกูณฑ์ก็เจ็บปวดราวจะดับขันธ์จนทรุดตัวลงไป มือขวายกขึ้นเตรียมเรียกไฟมาใช้งาน ทว่าสิ่งที่ลอยขึ้นจากมือมีเพียงควันไฟ มันส่งเสียงดังฟู่อย่างอ่อนแรงแล้วดับไป… พระพฤหัสดับไฟเขาหรือ

กูณฑ์เปิดเสื้อขึ้นดู พบว่ากลางท้องของตนมีน้ำแข็งเกาะเต็มพื้นที่ ก่อนมันจะค่อยๆ จางหาย… จางหาย จนเหลือเพียงรอยรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดขนาดเล็กเพียงปลายนิ้วก้อยอยู่ตรงมุมท้องด้านซ้าย และกูณฑ์ก็กลับมาเสกไฟได้อีกครั้ง กูณฑ์มองพระพฤหัส ตั้งใจว่าถ้าตนจะโดนโจมตีอีกคงต้องตอบโต้ แต่กลับพบว่าพระพฤหัสเองก็มองรอยบนท้องเขาด้วยท่าทีพิศวงเช่นกัน พอสบตาเขาก็เอ่ยถาม

“หายเจ็บแล้วใช่ไหม”

กูณฑ์ถึงกับกัดฟันกรอด พระพฤหัสถามด้วยท่าทีเหมือนแค่เหยียบเท้าเขา… อาจเพราะรู้ตัว พระพฤหัสจึงหัวเราะ และบอกด้วยลักษณะที่กูณฑ์คุ้นตา คือนุ่มนวล และใจดี

“ขอโทษที่เกิดเรื่องรุนแรง… ถ้ารอยนั้นยังไม่หาย อย่ามาพบข้าอีก”

กูณฑ์อ้าปากกำลังจะพูด แต่แล้วกลับทำได้เพียงอ้าปาก ตัวแข็งทื่อไปเสียอีกครั้ง รู้ตัวอีกทีก็โดนส่งกลับวิมานตน พอตั้งสติได้กูณฑ์ก็พ่นไฟออกทางปากและทางสองมือเพื่อระบายความโกรธ ตะโกนลั่นหวังว่าพระพฤหัสจะได้ยิน

“ต่อให้หายแล้วท่านก็ไม่ได้เจอข้าหรอก”

เทพใจดำ!

ทว่าคำนั้นกูณฑ์ไม่ได้พูดออกไป… เกรงใจสายเลือดแห่งเทพผู้ทำลายจริงๆ

 

“เจ้ารู้อยู่แล้วเหรอ เรื่องพระพฤหัสคือสายเลือดเทพผู้ทำลาย”

ธราพยักหน้าหลังได้ยินคำถามนั้นจากกูณฑ์ เพราะเขาไม่มีท่าทีแปลกใจหรือประหลาดใจตอนกูณฑ์เข้ามาหาแล้วบอกหน้าตาตื่นเรื่องนั้น กูณฑ์ถึงกับถอนใจเฮือก

“เจ้าไม่บอกข้าบ้างเลย”

ธรายักไหล่ “ไม่เห็นว่าสำคัญ”

“สำคัญสิ” กูณฑ์เถียงทันทีแล้วเปิดเสื้อตัวเองขึ้นหวังให้ธราเห็นรอยที่พระพฤหัสฝากไว้ ทว่าพอเห็นสายตาว่างเปล่าของธรา ก่อนสายตานั้นจะเหลือบมองหน้าเขาและถามอย่างเงียบงันว่าเขาเสียสติไปแล้วหรืออย่างไรที่มาเปิดเสื้อให้ดู จึงได้เอะใจและก้มลงดูท้องตน… ว่างเปล่า รอยข้าวหลามตัดนั้นหายไปแล้ว กูณฑ์กลอกตาไปมา พยายามนึกว่ารอยนั้นจะหายไปได้อย่างไร ก่อนเงยหน้าบอกธรา “พระพฤหัสใช้มนตร์ตราสังกับข้า”

ธราบอกเสียงเรียบ “ถ้าเขาใช้กับเจ้าได้ก็แปลว่ามีสิทธิ์”

กูณฑ์เหลือกตา สะบัดหน้าท่าทางหัวเสีย “แค่นั้นข้าไม่ว่าอะไรหรอก แต่พระพฤหัสยังทำอะไรกับข้าสักอย่าง ข้าเจ็บแทบดับขันธ์ จุดไฟก็ไม่ติด มันเคยทิ้งรอยมนตร์เป็นรูปข้าวหลามตัดไว้ตรงนี้”

ธรามอง ‘ตรงนี้’ ที่กูณฑ์ชี้ แน่ใจว่าตนไม่เห็นอะไร แต่ฟังจากปากกูณฑ์แล้วเป็นเรื่องใหญ่พอควร เพียงถ้าเทพที่ทำเป็นเทพองค์อื่นไม่ใช่พระพฤหัส ธราคงต้องไปขอเจรจาสักหน่อย แต่เพราะเป็นพระพฤหัส… “ทุกอย่างที่พระพฤหัสทำย่อมมีเหตุผล”

กูณฑ์รู้ แค่ไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุผลที่ต้องทำร้ายเขารุนแรงนั้นคืออะไร เขากวนพฤกษ์มากกว่า แถมแรงกว่าที่เคยกวนพระพฤหัสมาก พฤกษ์ยังไม่เคยทำอะไรรุนแรงกับเขาสักครั้ง ส่วนธราพอเห็นหน้าไม่เข้าใจของกูณฑ์ก็หัวเราะหึ ประกอบกับกูณฑ์เองก็ไม่เอาเสื้อลงเสียที จึงเอ่ยถามเสียงเรียบ “จะยั่วข้าเหรอ”

กูณฑ์เลยเอาเสื้อลง มองธราอย่างหน่ายใจ… แต่คำพูดล้อเล่นที่บอกว่าธรากำลังอารมณ์ดีมากนั้นก็ทำให้กูณฑ์เอะใจ ย้อนถาม “มีเรื่องอะไรดีๆ เหรอ”

ธรายกมุมปากขึ้นนิดหน่อย แล้วเหลือบตาไปทางลานดินกว้างใหญ่ของตน กูณฑ์หันมองตามแล้วพลันรู้ทันที ในลานดินนั้นมีแท่งดินทรงลูกบาศก์ขนาดพอจะขังคนได้สักคน… ไม่ก็เทพได้สักองค์ กูณฑ์หัวเราะหึ จุดไฟในมือตน หันไปถามธรา

“เผานางอีกสักรอบดีไหม” พลันต้องตกใจเมื่ออยู่ๆ ก็มีก้อนดินหุ้มมือตนไว้และมันหนักจนกูณฑ์ถึงกับแขนห้อย ดีที่ส่งพลังไปวูบเดียวมันก็แตกออกและสลายหายไป หันไปพูดกับธราเสียงตัดพ้อ “บอกกันดีๆ ก็ได้ ทำอย่างกับข้าเจอจากพระพฤหัสมาไม่เยอะพอ”

ธราไม่ยิ้ม พูดเสียงเรียบ “คราวก่อนที่ข้ายอมให้เจ้าเผาเทพในบ้านข้า เพราะเรามีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือให้เจ้าขึ้นเป็นเทพอารักษ์”

กูณฑ์เข้าใจได้ คราวนี้ไม่มีจุดประสงค์ใดที่เขาจะเผาศุวิลา เทพแห่งสายลมที่โดนกักขังไว้ในแท่งดินนั้น นอกจากเผาเล่นๆ เพื่อความสนุกที่ได้แกล้งเทพจอมดื้อ แต่ว่า… “เราอาจมีจุดมุ่งหมายเดียวกันก็ได้ ถ้าเจ้าอยากแกล้งนาง”

ธราไม่ตอบ โบกมือหนึ่งทีแท่งดินนั้นพลันสลาย แต่แทนที่จะเห็นศุวิลายืนอยู่กลับกลายเป็นมีพายุหมุนที่ดูจะกรุ่นโกรธเอาการอาละวาดไปรอบๆ จนข้าวของพังราบเป็นหน้ากลอง หากสองเทพเพียงยืนนิ่งอย่างไม่สะทกสะท้าน

ในที่สุดพายุก็สงบ และศุวิลาก็ปรากฏตัว หอบหายใจแรงทั้งเหนื่อยทั้งโกรธ กำมือแน่นตอนกูณฑ์พูดอย่างจงใจยั่ว

“สุดพลังแล้วเหรอ ศุวิลา”

พอเห็นศุวิลาตัวเกร็ง ทำหน้าเหมือนจะกรี๊ด ร่างกายเริ่มจางแสดงว่าจะหายตัวเป็นสายลมแรงอีกครั้ง ธราก็บอกเสียงเรียบ “เกรี้ยวกราดมากเข้า ระวังจิตเจ้าจะแตก”

ศุวิลาชะงัก หันขวับไปมองหน้าธรา แล้วหายวับไปไม่พูดแม้สักคำ พอได้อยู่กันสองคน กูณฑ์ก็หันไปถามธรา

“คราวนี้นางบุกบ้านเจ้าทำไม”

ธราหัวเราะหึ “ก็แค่อยากรู้ว่าแอบเข้าบ้านข้าโดยที่ข้าไม่รู้ได้หรือยัง”

กูณฑ์ส่ายหน้า อดพูดไม่ได้ “องค์อารักษ์ไม่เคยบอกนางเหรอ ว่าพลังเจ้าแก่กล้าระดับไหน ทำไมดูเหมือนนางคิดอยู่เรื่อยว่าเป็นเทพระดับเดียวกับเจ้าหรือด้อยกว่าแค่นิดหน่อย”

กับกูณฑ์เองตอนนี้ ขอแค่พลังของธราเพิ่มขึ้นอีกนิดเดียวเทียบกับการก้าวขึ้นบันไดอีกเพียงขั้นเดียว เขาก็ต้องเรียกธราว่าท่าน

“ก็คงเหมือนที่ข้าไม่เคยบอกเจ้าว่าพระพฤหัสเป็นสายเทพผู้ทำลาย”

กูณฑ์พยักหน้ารับประโยคนั้นของธรา ก่อนเอ่ยอำลา “ข้าจะไปหาเทพแห่งการเยียวยาต่อ”

เพียงธราพยักหน้ารับ กูณฑ์ก็หายตัววับกลับวิมานตน เมื่อถึงกูณฑ์ตัดสินใจเปิดเสื้อดูอีกที และพบว่ารอยมนตร์รูปข้าวหลามตัดยังอยู่… เท่านั้นกูณฑ์ก็เข้าใจได้ รอยนี้จะไม่ปรากฏแก่สายตาผู้ใดนอกจากเขาสินะ

เทพแห่งไฟเอาเสื้อลง ออกเดินไปยังสวนของพระจันทร์ช้าๆ ค่อยๆ พิจารณาต้นไม้ไปทีละต้น ทีละกิ่ง ทีละใบ ทีละดอก ให้แน่ใจว่าลูกรักของพระจันทร์จะอยู่ดีที่สุด และไปยืนสงบนิ่งหน้าต้นน้ำตาพระจันทร์ ร่างสูงค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่ง ยกมือขึ้นไล้ใบและดอกน้ำตาพระจันทร์อย่างอ่อนโยนทะนุถนอม…

ไม่ว่าการค้นหานี้จะกินเวลายาวนานแค่ไหน กูณฑ์จะไม่หยุด… ไม่หยุดจนกว่าจะเจอ

กูณฑ์ชะงักเมื่อได้ยินเสียงรติขออนุญาตเข้ามาหา ส่งสัญญาณไปตอบรับครู่เดียวรติกับพฤกษ์ก็ปรากฏกายข้างตัว เอ่ยถาม “มีอะไรเหรอ”

“น้องๆ บริษัทข้าอยากทำงานมากๆ ข้าเลยอยากมาชวนท่านไปถ่ายรายการต่อ”

กูณฑ์เข้าใจ หลังผ่านวิกฤตมาได้ การอยู่เฉยๆ อาจยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกไม่มั่นคง อีกทั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นล้วนตามมาด้วยค่าใช้จ่ายมากมาย ใครบ้านพังรถพังก็ต้องซ่อม ข้าวของเสียหายก็ต้องซื้อใหม่… เมื่อมนุษย์กำหนดการใช้เงินตราขึ้นก็ต้องตกอยู่ใต้อำนาจของมัน ถ้าเขาไปถ่ายรายการ ก็ได้ช่วยหลายคนให้ได้ทำงาน ได้เงิน “เอาสิ”

“อีกสามวันนะคะ ทีมงานตกลงกันว่าจะให้ปรับสคริปต์ให้ปรัศนีหนุ่มโสดกับสาวๆ ที่เหลือไปเป็นจิตอาสาช่วยดูแลผู้ประสบภัยที่อยู่ที่ศูนย์พักพิงชั่วคราวค่ะ จากที่จะให้ทำอาหารที่บ้านท่าน ก็เป็นช่วยกันทำอาหารกลางวันแจก ถัดไปอีกวันก็ไปถ่ายที่สตูฯ ต่อค่ะ”

กูณฑ์พยักหน้ารับ มองเทพแห่งความรัก เหลือบมองเทพอารักษ์ของตนแล้วอดถามไม่ได้ “รติยังเป็นหนึ่งในผู้ร่วมแข่งขันอยู่หรือเปล่า”

รติตอบได้ทันที “เป็นเหมือนเดิมค่ะ ถ้าท่านเลือกใครไม่ได้จริงๆ ก็เลือกข้าได้”

ฟังดังนั้นแล้วกูณฑ์ก็เหลือบมองพฤกษ์อีกที ซึ่งพฤกษ์ก็ถึงกับต้องออกปาก

“ข้าแยกแยะได้ ถ้าเจ้ากังวล”

กูณฑ์หัวเราะหึ “ใครจะไปรู้ เผื่อท่านโมโหขึ้นมาก็ทำร้ายข้าอีก ข้าไม่อยากเป็นที่รองรับอารมณ์ของพวกท่านหรอกนะ พวกเทพชั้นสูงส่งผู้มีสายเลือดแห่งเทพบรรพกาล”

พฤกษ์หน้านิ่ว เหลือบมองหน้ากับรติ รู้เลยว่าอารมณ์ของกูณฑ์ไม่ปกตินัก และในวินาทีต่อมาก็เดาได้ “โดนพระพฤหัสทำอะไรมา”

กูณฑ์รีบบอกเหมือนสบช่องจะ ‘ฟ้อง’ ได้พอดี “พระพฤหัสใช้มนตร์ตราสังกับข้า”

พฤกษ์มีสีหน้าครุ่นคิด ก่อนบอกด้วยประโยคที่คล้ายกับกูณฑ์จะเคยได้ยินมาแล้ว “เทพองค์ใดใช้มนตร์ตราสังกับเทพองค์ใดได้ ก็ถือเป็นสิทธิ์ที่จะทำ”

กูณฑ์ถึงกับไฟลุกพรึ่บไปทั้งหัวด้วยความเกรี้ยวกราด “นั่นธราก็บอกข้า แล้วพระพฤหัสก็…”

“ข้าเกือบดับขันธ์เจ้า”

นั่นทำให้กูณฑ์ชะงัก เปลวเพลิงหายไปจากศีรษะ เงยหน้าขึ้นมองด้านบน… เสียงพระพฤหัส

“ข้าจำได้ว่าขอโทษเจ้าแล้ว ไม่ทำให้หายโกรธรึ”

กูณฑ์ย้อนทันที “ข้ามีสิทธิ์ไม่หายโกรธหรือไง”

“มี… เจ้ามีสิทธิ์” เสียงพระพฤหัสราบเรียบและแสดงความยินยอมเต็มที่ ทิ้งให้เกิดความเงียบอยู่ชั่วอึดใจ จึงพูดอีก “ข้าต้องการหารือกับท่าน เทพอารักษ์ หากท่านเสร็จธุระกับเทพแห่งไฟ ขอเชิญที่วิมานข้า”

เกิดความเงียบอีกครู่ให้รู้ว่าจะไม่มีการติดต่อจากพระพฤหัสแล้ว พฤกษ์จึงหันมาทางกูณฑ์ “ข้าเชื่อว่าทุกสิ่งที่พระพฤหัสทำ ย่อมมีเหตผล”

กูณฑ์ถึงกับกลอกตา “นั่นธราก็พูด ช่างเถอะ ข้าไม่ติดใจอะไรแล้ว”

พฤกษ์ถอนใจยาว ก่อนบอกคล้ายจะเอาใจเทพผู้โดนทำร้ายเสียหน่อย “แต่ข้าจะถามหาเหตุผลให้ ไม่ว่าอย่างไรพระพฤหัสก็ไม่ควรทำร้ายเจ้า”

“แค่นั้นแหละที่ข้าอยากได้… พระพฤหัสทำขนาดนั้นกับข้าทำไม”

“ถ้าข้ารู้จะบอก”

หลังคำบอกนั้นของพฤกษ์ ทั้งพฤกษ์และรติก็เอ่ยลา กูณฑ์จึงได้กลับมาพิจารณาต้นน้ำตาพระจันทร์อีกครั้ง ตั้งจิตมั่นหวังสื่อสารให้ถึงพระจันทร์หากว่ายังมีเศษเสี้ยวของนางหลงเหลืออยู่…

ไม่ว่าตอนนี้เจ้าจะอยู่ที่ไหน ข้าจะติดตามเสาะหา จะทำทุกวิถีทางให้ได้กลับมาอยู่คู่เคียงกัน จะทำทุกอย่างให้ได้บอกต่อหน้าอีกครั้งว่า ‘รัก’ มากแค่ไหน… พระจันทร์ของข้า



Don`t copy text!