มนตร์อัคคี บทที่ 2 : ลูกแมวน้อย
โดย : ภัสรสา
“มนตร์อัคคี” โดย ภัสรสา นิยายออนไลน์ ที่ อ่านเอา อยากให้ทุกคนได้ อ่านออนไลน์ ได้ลงจนจบบริบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางผู้เขียนใจดีมอบ 5 บทแรกไว้ให้อ่านกันที่อ่านเอา และหากติดใจอยากอ่านต่อคุณผู้อ่านสามารถซื้อมนตร์อัคคีฉบับรวมเล่มที่ สำนักพิมพ์ภัสรสา
****************************
– 2 –
น่าเบื่อ… น่าเบื่อ… น่าเบื่อ…
กูณฑ์คิดอย่างเบื่อหน่ายขณะปล่อยให้กายหยาบทำตามสิ่งที่ควรทำราวกับหุ่นยนต์ที่ตั้งโปรแกรมไว้แล้ว ส่วนจิตลอยล่องเหนือบริเวณศูนย์พักพิงผู้ประสบภัยชั่วคราว สอดส่ายสายตาไปทั่วบริเวณหวังพบเทพแห่งการเยียวยา เมื่อไม่พบก็เตรียมหนีไปจุดอื่น ทว่า…
“แก๊สหมดค่ะ”
เสียงกระซิบของรติที่ดังขึ้นทำให้กูณฑ์ชะงัก ถอนใจยาวๆ แล้วยอมกลับเข้ากายหยาบ อยากบอกว่าเรื่องแค่นี้ให้พฤกษ์ช่วยก็ได้เพราะควบคุมไฟได้เช่นกัน แต่นึกได้ก่อนว่าวันนี้พฤกษ์ไม่ได้อยู่ข้างตัวรติอย่างเคยเพราะยังต้องไปช่วยฟื้นฟูสรรพชีวิตทั้งมวลในจุดอื่น กูณฑ์มองหัวเตาแก๊สปราดเดียวแล้วหันไปพยักหน้ากับรติ ทำให้หญิงสาวรีบเปิดแก๊สขึ้นอีกครั้ง ยิ้มได้เมื่อมันติดทันทีแถมพวยพุ่งลุกโชนกว่าเดิมมากนัก ขอบคุณกูณฑ์ไปทางจิตแล้วช่วยคนอื่นทำอาหารต่อ
กูณฑ์เองมองไปรอบๆ แล้วรู้สึกว่าในศูนย์พักพิงแห่งนี้วุ่นวายกว่าตอนเขามาถึงใหม่ๆ มาก อาจเพราะทุกชีวิตตื่นหมดแล้ว เสียงเด็กร้อง เสียงดุว่า เสียงหมาเห่าแมวขู่นกร้องให้ขรมไปหมด กูณฑ์กำลังจะทำให้เสียงน่ารำคาญเหล่านี้หายไปจากโสตประสาทของตน พลันเกิดเสียงกรีดร้องแหลมเข้ามาเสียก่อนจึงหันไปมอง เห็นหมาตัวโตตัวหนึ่งทำท่าจะกระโดดขย้ำหญิงสาวที่นอนขดตัวอยู่กับพื้น ได้ยินเสียงรติพูดและกูณฑ์รู้ว่านั่นคือการร่ายมนตร์ด้วย
“อย่า…”
ใช่ หมาตัวนั้นชะงัก กูณฑ์เองจึงปัดมือหนึ่งทีเพื่อให้ทุกอย่างจบ ซึ่งผลก็คือหมาตัวนั้นสะดุ้งเหมือนโดนตีแรงๆ แล้ววิ่งหนีไปอีกทาง กูณฑ์เห็นคนที่นอนอยู่กับพื้นลุกขึ้นนั่งโดยมีคนแถวนั้นคอยช่วยแล้วคุ้นหน้า จึงหันไปทางรติ “นั่นสาวโสดที่ร่วมรายการนี่”
รติพยักหน้ารับ นิ่งคิดอยู่ครู่ก็นึกออก “คุณนิศากร”
นิศากร… พระจันทร์ แต่แม้ชื่อจะแปลว่าพระจันทร์ก็ใช่ว่าจะเป็นพระจันทร์ของเขา มีมนุษย์ชื่อแปลว่าพระจันทร์ถมถืดไป กูณฑ์เดินตามรติเข้าไปหานิศากร ช่วยประคองพามานั่งเก้าอี้ในร่ม เห็นแมวตัวจ้อยในอ้อมกอดแล้วพอเดาเหตุการณ์ได้ บางทีมนุษย์ก็เมตตาเกินตัว เป็นความโง่ที่น่าเอ็นดูสำหรับเขา กูณฑ์เอ่ยถาม “ช่วยแมวเหรอครับ”
นิศากรเงยหน้ามองกูณฑ์ แล้วพยักหน้า “ค่ะ พอดีนิได้ยินเสียงแมวร้องเลยเดินหา เจอมันอยู่ตรงโน้น”
รติพิจารณาดูลูกแมวแล้วค่อนข้างแน่ใจ “ยังเล็กมาก น่าจะยังไม่หย่านม แม่มันน่าจะอยู่แถวนี้นะคะ”
“นิเดินวนดูแล้ว ไม่เจอเลยค่ะ แล้วมีลูกแมวอีกสามตัวตายแล้ว มีมันรอดอยู่ตัวเดียวค่ะ นิเลยอุ้มมา ไม่คิดว่าจะเจอหมาตัวนั้น”
เท่านั้นสองเทพก็หันมองหน้ากัน กูณฑ์พูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “มีคนเอามาทิ้งหรือเปล่า”
รติพลอยหน้าสลดไปด้วย รีบเสนออีกหนึ่งทางเลือกเพื่อดูแลแมวน้อย หรืออย่างน้อยก็ยื้อเวลาจนกว่าพฤกษ์จะมา “เอาลูกแมวไปส่งคลินิกสัตว์แถวนี้ดีไหมคะ”
นิศากรส่ายหน้า ส่งยิ้มให้แทนคำขอบคุณ “นิโทรเรียกน้องมารับให้ไปดูแลดีกว่าค่ะ”
“อ้อ น้องคุณนิเป็นสัตวแพทย์เหรอคะ”
นิศากรหัวเราะ “เป็นหมอเถื่อนค่ะ แต่ก็เป็นหมอเทวดาด้วย”
หมอเทวดา… กูณฑ์จับคำนั้นและมีสมาธิกับมันทันทีด้วยเป็นหนึ่งในคำที่สั่งให้จิตตนจดจำเป็นคำสำคัญไว้
“สัตว์อะไรก็ตามอาการแย่แค่ไหน ถ้าได้น้องนิดูแลแล้ว รอดทุกรายเลยค่ะ”
ถ้าขนาดนั้นก็คงต้องประลองกันหน่อย… กูณฑ์มองลูกแมวตัวน้อยในมือนิศากรแล้วหรี่ตาลง ประเมินว่ามันจะรับพลังของตนได้ในระดับไหน ทว่าก่อนจะทันได้ทำอะไร มือของรติที่จับแขนมาพร้อมพลังที่ทำให้รู้สึกเหมือนโดนเข็มทิ่มเบาๆ ก็ทำให้หันไปมอง ได้ยินเสียงรติอยู่ในหัว
‘อย่าทำอะไรลูกแมวนะคะ’
‘มันไม่ได้เป็นอะไร แค่อยากรู้ว่านายหมอเทวดานั่นเจ๋งแค่ไหน นี่อาจเป็นเบาะแสแรกของเทพแห่งการเยียวยาที่เราตามหาก็ได้’
รตินิ่งไปเพื่อครุ่นคิด ทว่าในที่สุดก็ตัดสินใจได้ ‘ต้องไม่ใช่ลูกแมวตัวนี้ค่ะ ตอนนี้มันอ่อนแอมากอยู่แล้ว โดนพลังท่านนิดเดียวมันอาจตายได้ พลังท่านไม่ให้คุณในทางรักษา อย่าลืมสิคะ ถ้าลูกแมวเป็นอะไรขึ้นมา บาปจะเป็นของท่าน’
กูณฑ์ยังมองหน้ารติอีกเป็นครู่ ในที่สุดก็ตัดสินใจได้จึงหันหลังออกเดินไปอีกทาง สายตาสอดส่อง…
เจ้าหมาเกเรตัวนั้นไปไหนแล้ว!
รติรู้ดีว่าในเวลานี้ภาระของพฤกษ์หนักหนาเกินกว่าจะเรียกมาช่วยลูกแมวหนึ่งตัว อีกทั้งเธอดูอาการในเบื้องต้นแล้ว ลูกแมวยังส่งเสียงร้องได้ อาการไม่แย่มากนัก จึงทำเพียงส่งพลังของตนไปให้เพื่อช่วยคลายความหวาดกลัวกังวล รู้สึกยินดีเมื่อนิศากรวางสายลงแล้วส่งข่าว
“น้องนิอยู่ใกล้ๆ แถวนี้พอดีค่ะ ไม่เกินสิบนาทีถึงแน่”
รติส่งยิ้มเป็นการตอบรับ ก่อนหันไปสนใจทีมงานที่เข้ามาถาม
“น้องรติ ปรัศนีไปไหนคะ”
รติหันมองไปรอบตัวเพื่อหากูณฑ์ ก่อนตอบตามจริง… “น่าจะไปตามดูหมาตัวเมื่อกี้ค่ะ”
“น้องรติสนิทกับปรัศนีใช่ไหมคะ ช่วยโทรตามได้ไหม พี่อยากได้ภาพปรัศนีกับสาวโสดมากกว่านี้”
รติเข้าใจ เธอทำรายการนี้มาสองปี รู้อยู่ว่ามีภาพให้เลือกเยอะๆ ย่อมดีกว่าสำหรับการตัดต่อเพื่อออกอากาศ แล้วพอคิดอะไรได้ ก็จับแขนทีมงาน เดินห่างออกจากนิศากรเพื่อเอ่ยถาม “เหตุการณ์ชุลมุนเมื่อกี้ถ่ายไว้ไหมคะ”
“ที่สาวโสดช่วยลูกแมวใช่ไหม ถ่ายค่ะ”
รติพยักหน้าอย่างพอใจ ก่อนบอกให้ทีมงานสบายใจ “เดี๋ยวรติโทรตามให้ค่ะ ทีมงานเก็บภาพมุมอื่นไปก่อนแล้วกันเนอะ”
หลังทีมงานแยกตัวไปแล้ว รติจึงกลับมาหานิศากรเพื่อดูลูกแมว เธอรู้ว่านิศากรไม่ใช่คู่ของกูณฑ์ แต่ในบรรดาสาวโสดรติชอบนิศากรมากที่สุด ถ้าต้องมีใครเป็นผู้ถูกเลือกชั่วคราวเธอก็อยากให้เป็นนิศากร และรติแน่ใจว่าแค่ประโยคนั้นที่พูดก็เป็นสัญญาณที่ดีให้ทีมงานเก็บภาพนิศากร และภาพนิศากรกับกูณฑ์เยอะๆ เพราะเธอเล็งให้สองคนนี้คู่กัน…
“น้องนิมาแล้วค่ะ”
รติเดินตามนิศากรที่เดินเร็วๆ ไปยังรถคันหนึ่ง เป็นรถญี่ปุ่นยี่ห้อยอดนิยมทว่ารุ่นนี้ถ้ารติจำไม่ผิดมันออกมาเกินยี่สิบปีแล้ว ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะยังมีรถรุ่นนี้วิ่งได้อยู่จริงๆ คนที่ลงมาจากรถคือชายหญิงคู่หนึ่ง ฝ่ายชายมีผ้าประคองไหล่แสดงว่ามีอาการบาดเจ็บ แต่เพียงมองหน้าชายคนที่ลงมารติก็แน่ใจ ความแน่ใจนั้นทำให้รติชะงักฝีเท้า เพราะมันทำให้เกิดความไม่แน่ใจขึ้นมาว่านิศากรโกหก หรือว่ายังไม่รู้ตัว…
เทพสาวหักห้ามความสงสัยเอาไว้ก่อน เดินไปรวมกลุ่มกับนิศากร แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรกูณฑ์ก็เดินเข้ามาแล้วเอ่ยถาม
“หมอเทวดามาแล้วใช่ไหม”
นิศากรเป็นคนตอบ “ค่ะ มาแล้วค่ะ”
กูณฑ์พยักหน้า หันไปพูดกับชายหนุ่มที่ยืนข้างนิศากร ประหลาดใจนิดหน่อยเพราะดูเหมือนจะแขนหัก หากก็ยังคิดอีกว่านี่อาจเป็นการพรางตัวของเทพแห่งการเยียวยาก็ได้ “ดูแมวเสร็จแล้วช่วยไปดูหมาทางโน้นหน่อยนะครับ เหมือนมันจะอาการไม่ค่อยดี”
พูดไปแล้วก็แปลกใจเล็กน้อยที่นิศากรกับชายหนุ่มคนนั้นทำหน้าเลิ่กลั่ก ก่อนเป็นนิศากรที่เฉลย
“คุณกูณฑ์คะ คนนี้ศศิน เอ่อ… พี่ชายนิค่ะ แต่พี่ศินไม่ใช่หมอเทวดาค่ะ”
ศศิน… นี่ก็แปลว่าพระจันทร์ แต่ก็คงไม่ใช่พระจันทร์ของเขาเพราะไม่อย่างนั้นรติคงบอกแล้ว อ้อ คนนี้ไม่ใช่หมอเทวดา “อ้าว แล้วตกลงคนไหนครับ”
นิศากรก้าวไปจับแขนผู้หญิงอีกคนที่ยืนหน้านิ่งอยู่ “คนนี้ค่ะ น้องพลอย พลอยราตรี” ว่าแล้วนิศากรก็หันไปบอกคนรู้จักตน “ศิน พลอย นี่คุณกูณฑ์ ปรัศนีที่ถ่ายรายการด้วย คนนี้คุณรติ เจ้าของรายการ”
กูณฑ์ยืนนิ่งขณะศศินกับพลอยราตรียกมือไหว้ตนกับรติ รู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูกที่บทจะเจอคนชื่อพระจันทร์ก็เจอเสียสามคนรวด และไม่ใช่คนที่รติซึ่งเป็นเทพแห่งความรักส่งสัญญาณใดๆ ให้… ว่าไป หรือนี่จะเป็นเบาะแสว่าเขากำลังเข้าใกล้พระจันทร์ เด็กที่ชื่อพลอยราตรีอาจเป็นเทพแห่งการเยียวยาก็ได้
“ขอดูลูกแมวหน่อย” พลอยราตรีออกปากหลังจากยืนมองลูกแมวมาตลอดแต่นิศากรไม่ส่งให้เสียที แล้วพอได้ลูกแมวมาไว้ในมือก็ลูบไล้ลำตัว จับพลิกคว่ำพลิกหงายอยู่ครู่ก็บอก “ไม่เป็นอะไรหรอก เดี๋ยวต้องแวะซื้อนมให้ก่อนเข้าบ้าน คงต้องป้อนนมให้สักพัก”
นิศากรส่งเสียงตอบรับ เอ่ยถาม “ให้พี่หาบ้านให้ไหม หรือเราจะเลี้ยงเองดี”
พลอยราตรีตอบได้ทันที “ตัวนี้เราเลี้ยงเอง เดี๋ยวพลอยเอากลับบ้านเลย… พี่นิยังถ่ายรายการไม่เสร็จใช่ไหม”
“อื้อ ฝากด้วยนะ”
พลอยราตรีพยักหน้ารับ หันไปหากูณฑ์ “หมาอยู่ไหน”
กูณฑ์เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ ยอมรับว่าไม่คุ้นเคยกับการที่มีเด็กสาวอายุอานามไม่น่าเกินยี่สิบมาพูดกับตนด้วยน้ำเสียงติดจะห้วนและเย็นชา เพราะโดยปกติด้วยรัศมีเทพซึ่งแม้มนุษย์จะไม่เห็นไม่รับรู้ แต่ก็ทำให้แทบทุกคนพูดจาสุภาพด้วย ทว่าไม่ได้คิดมากเพราะอย่างไรก็คุ้นเคยอยู่แล้วว่ามนุษย์มีหลายประเภท พลอยราตรีอาจเป็นคนกระด้างอยู่แล้วโดยนิสัย รีบชี้ไปยังจุดหมาย “ทางโน้น”
บอกแล้วออกเดินนำโดยมีรติเดินขนาบข้าง ส่งเสียงมาถามในหัว
‘ท่านทำอะไรหมา’
‘นิดหน่อย ข้าแค่อยากพิสูจน์บางอย่าง’
ไม่มีบทสนทนาใดอีก กูณฑ์หยุดเมื่อถึงจุดที่ร่ายมนตร์ใส่สุนัขที่แสนโชคร้ายไว้ มันทำได้แค่นอนนิ่ง กลอกตาไปมา ส่งเสียงงื้ดๆ เบาๆ อยู่ในลำคอ หันไปมองหมอเทวดา ก็เห็นกำลังส่งลูกแมวคืนให้นิศากร เดินตรงเข้าไปหาผู้ป่วย ลูบไล้ตัวอยู่ไม่กี่อึดใจ เจ้าหมาตัวนั้นก็ขยับได้
กูณฑ์หันขวับมองหน้ารติ พยักหน้าหนักแน่นแทนการบอก ใช่แน่ ถ้านี่ไม่ใช่เทพแห่งการเยียวยาก็ต้องเกี่ยวข้องกันในทางใดทางหนึ่ง อาการตัวแข็งของหมาเกิดเพราะเขาทำ แม้จะเป็นมนตร์พื้นฐานง่ายๆ แต่คนที่จะแก้ได้อย่างน้อยก็ต้องมีความเป็นเทพอยู่ในตัว พลอยราตรีไม่มีรัศมีเทพให้เห็น ดังนั้นคงไม่ใช่เทพ แต่อาจเป็นลูกครึ่ง หรือลูกเสี้ยว หรืออาจแค่ได้รับพรจากเทพ แต่นั่นก็คือเบาะแส
กูณฑ์หันไปมองพลอยราตรีอีกที ไม่รู้จะรู้สึกอย่างไรตอนเห็นเจ้าหมาตัวนั้นระริกระรี้ประจบประแจงพลอยราตรีอย่างเห็นได้ชัด ครู่เดียวพลอยราตรีก็หันไปมองนิศากร
“เอาเจ้านี่กลับบ้านอีกตัวนะ แล้วหาบ้านให้มันกัน”
นิศากรถอนใจยาว หากก็พยักหน้ารับ “เอาสิ”
“พลอยกลับละนะ ไป พี่ศิน กลับกัน เพชรมันรอกินข้าวอยู่ด้วย”
ผู้มีชื่อว่าพระจันทร์ทั้งสามคนเดินกลับไปโดยมีกูณฑ์กับรติเดินตามห่างๆ รติหันไประบายความอึดอัดกับกูณฑ์
“นิศากรเป็นคู่แท้กับศศิน”
กูณฑ์เลิกคิ้วอย่างไม่ทันคาดคิด “อ้าว ไหนว่าพี่ชาย”
“ข้าไม่แน่ใจว่าเป็นแฟนกันอยู่แล้วแล้วมาหลอกเพราะอยากออกรายการ หรือว่า… อาจจะยังไม่ลงเอยกัน”
กูณฑ์นิ่งไปอีกพัก สุดท้ายก็หันมาทางรติ “แต่ไม่ว่ายังไง เราควรไปเยี่ยมบ้านพลอยราตรีสักหน่อย”
เพียงมองหน้ารติก็รู้ถึงจุดประสงค์ กูณฑ์ใช้เวลาแรมเดือนตามหาเบาะแสเทพแห่งการเยียวยา วันนี้เป็นวันที่ใกล้เคียงกับการได้เบาะแสที่สุดแล้ว กูณฑ์คงตามไม่ลดละแน่ต่อให้บ้านของพลอยราตรีอยู่ไกลสุดขอบโลกก็เถอะ แต่… “ยังไงก็ถ่ายรายการให้จบก่อนนะ แล้วก็อย่าเอาแต่กายหยาบมาถ่ายด้วย ถือว่าข้าขอ”
กูณฑ์ยิ้มกว้าง เขาเจอเบาะแสที่ตามหามานานแล้ว ถือว่าตอนนี้ยังไม่มีความจำเป็นต้องหาต่อ ดังนั้นสิ่งที่รติขอนั้น “ได้ จัดไป!”
สาวๆ มนุษย์ทั้งหลายเตรียมตัวพบกับความฮ็อตปรอทแตกของเทพกูณฑ์ได้เลย!
แล้วพอกูณฑ์ให้ความร่วมมือ การถ่ายทำก็สนุกสนานขึ้นอีกมาก จากนิ่งๆ ยิ้มนิดๆ สลับพูดแค่คำว่าครับในช่วงก่อนหน้า กลายเป็นกูณฑ์คนเดิมที่ทีมงานรู้จักในการถ่ายทำครั้งก่อน คือชายหนุ่มผู้มีอารมณ์ขัน หยอกล้อหยอดมุกตลกใส่สาวโสดและทีมงาน จนต้องหทัย เลขานุการคนเก่งของรติเข้ามากระซิบ
“พี่รติ ทีมงานมาบอกกับต้อง ว่าจะขอถ่ายทำทั้งหมดใหม่อีกรอบได้ไหม แต่เอาคุณกูณฑ์เวอร์ชั่นนี้”
รติเพียงหัวเราะ รู้อยู่ว่ากูณฑ์ตอนนี้เหมือนเป็นคนละคนกับตอนอยู่แต่กายหยาบ เลยทำให้ทุกอย่างดูมีชีวิตชีวาขึ้นอีกมาก หาทางเลี่ยงให้กูณฑ์ “อยากนัดเช้าเองนี่”
“นั่นสิคะ ทีมงานก็แอบเม้าท์เหมือนกัน ว่าตอนเช้าคุณกูณฑ์อยู่แต่กายหยาบ ยังเรียกกายละเอียดเข้าร่างไม่ได้ สงสัยเมื่อคืนจะหนัก”
ประโยคสุดท้ายทำรติหน้านิ่ว บอกเสียงเบาหากก็เด็ดขาด “บอกทุกคนว่าอย่าพูดถึงแขกเราในแง่ไม่ดีลับหลังแบบนั้น”
นั่นทำให้ต้องหทัยหน้าเจื่อน เพราะว่าไปเธอเองก็เม้าท์กับทุกคนด้วยเหมือนกัน ตอบรับเสียงแผ่วแล้วรีบแยกตัวไปช่วยงานทุกคนต่อ ส่วนรติก็นิ่งฟังเมื่อกูณฑ์คุยด้วยในหัว
“เดี๋ยวถ่ายจบแล้ว รติบอกนิศากรทีนะ ว่าอยากไปดูว่าลูกแมวกับหมาเป็นยังไง”
รติไม่มีปัญหา แต่ก็อดถามกลับไม่ได้ “ทำไมต้องเป็นข้าพูดด้วย”
“เพราะถ้าข้าพูดอาจทำให้คนอื่นตีความว่าข้าสนใจนิศากรเป็นพิเศษ หรือนิศากรอาจคิดว่าข้าสนใจเขาเป็นพิเศษ”
ก็… เป็นเหตุผลที่ฟังขึ้น ดังนั้นรติจึงตอบรับกูณฑ์ ช่วยกันตักอาหารใส่จานเพื่อให้ผู้ประสบภัยมารับไป จนในที่สุดทุกอย่างก็เสร็จสิ้น ทีมงานพากันเก็บข้าวของ ส่วนรติก็รีบเดินไปหานิศากร
“คุณนิคะ” รอจนเจ้าของชื่อหันมาส่งยิ้มให้ รติจึงบอกไป “ขอรติไปดูลูกแมวกับหมาตัวนั้นหน่อย คุณนิสะดวกไหมคะ”
นิศากรพยักหน้าทันที “ได้ค่ะ ไม่มีปัญหาเลย”
พอกูณฑ์ทำทีเป็นเข้ามาเฉียดวงสนทนา รติก็แอบกลอกตาเบาๆ แล้วหันไปเอ่ยชวนตามบทที่คล้ายจะโดนบังคับไว้ “คุณกูณฑ์คะ”
กูณฑ์ทำเป็นหันมาสนใจ ส่งเสียงตอบรับ “ครับ”
“รติจะไปดูลูกแมวกับหมาตัวนั้น คุณกูณฑ์สนใจไปด้วยกันไหมคะ” ชวนแล้วเห็นกูณฑ์ทำเป็นยกนาฬิกาขึ้นดูก็อยากจะพูดเหลือเกินว่าถ้าไม่ว่างก็ไม่เป็นไร แต่กูณฑ์คงรู้ทันจึงเลิกวางท่า รีบพูด “ได้เลยครับ วันนี้พอมีเวลา”
นิศากรยิ้มเจื่อนพอรู้ว่ากูณฑ์จะไปด้วย แต่ทำอะไรไม่ทันแล้ว พอรติไต่ถามเรื่องรถราจึงตอบไปตามตรงว่าไม่มีรถส่วนตัว และได้แต่เดินตามกูณฑ์กับรติไปยังรถของกูณฑ์ โดยรติแวะให้กุญแจรถตนกับต้องหทัย ให้ขับกลับสำนักงาน หลังนั่งบนรถได้สักพักแล้ว จึงออกตัว “คุณกูณฑ์ คุณรติคะ… บ้านนิ… เล็ก แล้วก็วุ่นวายหน่อยนะคะ”
กูณฑ์กับรติลอบสบตากัน ก่อนรติจะเป็นฝ่ายหันมาส่งยิ้มให้นิศากร “ไม่มีปัญหาค่ะคุณนิ ไม่ต้องกังวลนะคะ รติคงแค่ไปดูลูกแมวกับหมาตัวนั้นแป๊บเดียวค่ะ เผื่อมีอะไรให้ช่วย”
ประโยคซึ่งฟังเย็นใจของรติ ทำให้นิศากรเบาใจ ทว่าในส่วนลึกก็ยังกังวลกับความลับที่ตนปกปิดเอาไว้… สังหรณ์ของนิศากรเหมือนจะคอยบอกอยู่เรื่อยๆ ว่าไม่นานหรอก
อีกไม่นานมันจะไม่เป็นความลับอีกต่อไป…