มนตร์อัคคี บทที่ 3 : มิดไนต์ : แมวนิล
โดย : ภัสรสา
“มนตร์อัคคี” โดย ภัสรสา นิยายออนไลน์ ที่ อ่านเอา อยากให้ทุกคนได้ อ่านออนไลน์ ได้ลงจนจบบริบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางผู้เขียนใจดีมอบ 5 บทแรกไว้ให้อ่านกันที่อ่านเอา และหากติดใจอยากอ่านต่อคุณผู้อ่านสามารถซื้อมนตร์อัคคีฉบับรวมเล่มที่ สำนักพิมพ์ภัสรสา
****************************
– 3 –
บ้านนิศากรอยู่ในซอยเล็กๆ มีทางที่โรยด้วยหินกรวดแยกออกไปจากทางคอนกรีต ขับลึกเข้าไปราวสองร้อยเมตรก็ถึง หน้าบ้านดูเล็กจริงอย่างที่นิศากรว่า เพราะเพียงกูณฑ์จอดรถยุโรปของตนตรงที่ที่นิศากรชี้ ก็แทบปิดทางเข้าทั้งหมด กะด้วยตาแล้วหน้าบ้านมีพื้นที่เพียงสามเมตรเกือบสี่เท่านั้น
นิศากรเตรียมจะเปิดประตูเล็กของรั้ว กระนั้นก็ยังหันมาถามแขกทั้งคู่เพื่อความแน่ใจ “กลัวหมาหรือแมวไหมคะ”
พอเห็นทั้งสองส่ายหน้า ก็ส่งยิ้มให้แล้วเปิดประตูรั้ว เดินนำเข้าไปอีกราวห้าสิบเมตรก็ถึงประตูรั้วเตี้ยๆ อีกชั้น เบื้องหลังประตูรั้วนั้นทำให้รติกับกูณฑ์ต้องลอบมองหน้ากัน ขณะที่รติมีรอยยิ้ม ทว่ากูณฑ์กลับทำหน้าเมื่อย
เท่าที่ดูคร่าวๆ บรรดาหมาแมวที่โผล่หน้าสลอนมาต้อนรับนิศากรน่าจะไม่ต่ำว่ายี่สิบตัว กูณฑ์ไม่ได้รังเกียจสัตว์สี่ขาเหล่านั้น แต่ก็ไม่ได้ชอบหรือเอ็นดูมากเหมือนรติที่หน้าบานอยู่ตอนนี้แน่
นิศากรหันมองแขกเพื่อลอบดูปฏิกิริยา ก่อนเบาใจเพราะทั้งคู่ไม่มีท่าทีตื่นตกใจ จึงให้ข้อมูล “พวกนี้ไม่ดุเลยค่ะ เล่นได้ทุกตัว”
รติยิ้มรับ เดินตามนิศากรเข้าไป นั่งลงลูบหัวหมาไทยสีนวลที่เข้ามาดมเป็นตัวแรก จากนั้นก็เวียนเกาเนื้อเกาตัวให้อีกหลายๆ ตัวที่เข้ามาดม รวมไปถึงแมวที่เข้ามาถูขาแขนอย่างประจบประแจงด้วย และคงนั่งตรงนั้นอีกนานถ้ากูณฑ์ไม่พูดขึ้น
“ลูกแมวกับหมาตัวนั้นอยู่ไหนครับ”
รติจึงได้สติ ลุกขึ้นยืนแต่ก็ยังมีแมวลายสลิดสีส้มติดมือขึ้นมาอยู่ในอ้อมกอดหนึ่งตัว “นั่นสิคะคุณนิ รติก็มัวแต่เล่นเพลิน”
นิศากรยิ้ม ดูออกว่าดีใจที่รติดูท่าจะหลงเสน่ห์สัตว์เลี้ยงของตน ก่อนผายมือเข้าไปด้านใน “ตัวที่มาใหม่พลอยจะยังไม่ปล่อยออกนอกบ้านค่ะ จนกว่าจะแน่ใจว่าแข็งแรง ได้รับวัคซีนครบถ้วนแล้ว พี่ๆ ชินกลิ่นแล้วถึงจะยอมปล่อย เข้าด้านในกันค่ะ”
เทพทั้งสององค์เดินตามมนุษย์เข้าไป รับรู้ว่าที่ดินผืนนี้ยาวมากกว่ากว้าง เพราะแม้หน้าจะแคบทว่ายิ่งเดินก็ยิ่งลึกเข้าไปแบบที่ทำให้กูณฑ์พูดกับรติในใจ
“ลึกผิดปกติไหม”
รตินิ่งไปครู่ ด้วยความที่เพลินกับแมวในอ้อมกอดจึงไม่ทันสังเกต แต่พอกูณฑ์ถามมาจึงค่อยระลึกได้ ก่อนตอบกลับ “ไว้เราค่อยเช็กกันอีกทีก็ได้ค่ะ”
คงทำอะไรมากกว่านั้นไม่ได้อยู่แล้ว เดินลึกเข้าไปอีกราวสองร้อยเมตร จึงจะถึงตัวบ้าน เป็นบ้านชั้นเดียวหลังเล็ก แต่หน้าบ้านซึ่งมีชุดเก้าอี้หินอ่อนวางอยู่นั้น มีพลอยราตรีนั่งป้อนนมแมวอยู่ โดยมีสุนัขตัวที่กูณฑ์สาปนอนหนุนตัก ซึ่งพอเดินเข้าไปใกล้ เจ้าหมาตัวนั้นก็ผงกหัวขึ้นมาและแยกเขี้ยวขู่…
รติหัวเราะ เพราะรู้ว่าหมาตัวนั้นขู่กูณฑ์ ซึ่งก็ต้องรีบเตือนกูณฑ์ในใจ “มันขู่เพราะท่านทำร้ายมันก่อน อย่าถือสามัน”
กูณฑ์ที่กำลังจะส่งพลังไปดีดหูเจ้าหมาอหังการ์อีกสองสามทีเลยต้องหยุด ก่อนเบ้ปากเพราะทันทีที่มือเล็กของพลอยราตรีลูบตัวมัน มันก็กลับส่งเสียงครางหงิงอย่างออดอ้อน เฮอะ! ไอ้หมาสำออย
นิศากรส่งเสียงบอกพลอยราตรี แม้จะแน่ใจว่าน้องรู้แล้วว่ามีแขก ทว่าก็ยังไม่ละสายตาจากลูกแมวในมือตน “พลอย คุณรติกับคุณกูณฑ์อยากมาดูว่าแมวกับหมาเป็นยังไงบ้าง”
“เจ๋งกับจ๋อง” พลอยราตรีบอกเสียงเรียบ แต่นิศากรซึ่งอยู่ด้วยกันมานานเดาได้ “อ้อ แมวชื่อเจ๋ง หมาชื่อจ๋องใช่ไหม”
“อื้อ” ตอบรับแล้วก็หันไปส่งเสียงเรียกคนในบ้าน “เพชร เอานมแมวมาเพิ่มให้หน่อย… ตัวเล็กแต่ทำไมกินจุจังเรา”
ประโยคหลังนั่นหันมาบ่นอุบอิบกับเจ้าตัวเล็กในมือ และเพราะนมหมดแล้ว จึงว่างพอจะหันไปทางแขก “นั่งไหม”
รติเลยได้มองหน้ากูณฑ์อีกที ตัดสินใจเดินนำเข้าไปนั่งก่อน เอื้อมมือไปลูบตัวจ๋อง ก่อนลูบเจ๋งด้วยนิ้วชี้อย่างแผ่วเบา ยิ้มได้เมื่อเจ๋งร้องเหมียวตอบรับแล้วคลอเคลียนิ้วตน ซึ่งนั่นก็ทำให้พลอยราตรียิ้ม ออกปาก “มันชอบคุณ”
รติยิ้มตอบพลอยราตรี หันไปมองคนซึ่งเพิ่งเดินออกมาจากบ้าน ยิ้มให้เมื่อพบว่าคนคนนั้นเป็นเด็กผู้ชายอายุน่าจะราวๆ ห้าหรือหกขวบหน้าตาน่าเอ็นดู ทว่ายังไม่ทันได้ทำอะไรมากกว่ายิ้มก็ต้องรีบหันไปทางกูณฑ์ซึ่งส่งเสียงร้องออกมา ยิ่งเห็นว่าเทพหนุ่มกุมท้องแล้วงอตัว ทุกอย่างล้วนแสดงว่ากำลังเจ็บปวดก็ยิ่งตกใจ โผเข้าไปประคอง “คุณกูณฑ์ เกิดอะไรขึ้น”
กูณฑ์ส่ายหน้าอย่างยังไม่อาจตอบคำใด ความรู้สึกเจ็บปวดคล้ายตอนโดนพระพฤหัสยิงพลังใส่กลับมาอีกครั้ง ดีว่ามันเจ็บน้อยกว่า และเกิดในระยะเวลาน้อยกว่า ก่อนกูณฑ์จะยิ่งแปลกใจและแน่ใจมากขึ้นอีกเมื่อพลอยราตรีเอื้อมมือมาจับแขน เอ่ยถาม
“เป็นอะไร”
มีกระแสแผ่วเบาที่กูณฑ์สัมผัสได้ว่าเป็นกระแสแห่งการเยียวยาไหลวนจากปลายนิ้วสู่ตัวเขา ซึ่งหากเขาเป็นมนุษย์มันคงได้ผลมากกว่านี้ เพียงแต่เขาเป็นเทพ มันจึงไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก กูณฑ์เริ่มแน่ใจว่าพลอยราตรีต้องเกี่ยวข้องกับเทพแห่งการเยียวยาแน่ เพียงแต่พลังอ่อนด้อยกว่ามากนัก คงสืบเชื้อสายมาจากเทพแห่งการเยียวยาแต่แน่นอนว่าคงไม่ใช่แค่รุ่นหลานหรือเหลน เพราะถ้าสายเลือดยังใกล้ชิดพลังไม่มีทางอ่อนขนาดนี้ ที่ยากคือเขาไม่มีทางรู้เลยว่าตอนปฏิสนธิลูกหลานนั้นเทพแห่งการเยียวยาอยู่ในเพศใด เท่ากับเขาต้องสืบทั้งหมดทุกคนที่เป็นต้นตระกูลของพลอยราตรี แค่คิดก็อยากขึ้นไปหาพระพฤหัส… แต่ยังไม่ขึ้นหรอก
“ใครเหรอ”
นั่นเป็นคำถามจากเด็กน้อยที่เพิ่งออกมา ซึ่งนิศากรก็รีบแนะนำ “เพชร นี่คุณกูณฑ์กับคุณรติ คนที่พี่ไปทำงานด้วย… คุณกูณฑ์ คุณรติคะ นี่เพชรทิวา น้องชายของพลอยค่ะ”
พอเพชรทิวายกมือสวัสดีกูณฑ์กับรติแล้ว นิศากรจึงบอก “เดี๋ยวนิไปเอาน้ำมาให้ค่ะ คุณกูณฑ์กับคุณรติอยากได้กาแฟ ชา หรือน้ำผลไม้ไหมคะ”
รติตอบได้ก่อน “ขอน้ำเปล่าพอค่ะ”
“น้ำเปล่าด้วยครับ… ผมไปช่วยดีกว่า” กูณฑ์บอกแล้วลุกยืนเคียงนิศากร ซึ่งล่อกแล่กอย่างเห็นได้ชัด กระนั้นก็ไม่ปฏิเสธ เดินนำเข้าตัวบ้านไป พอเข้าไปภายในกูณฑ์ก็ต้องเลิกคิ้วอีกเพราะสายตาตนถูกดึงไปยังรอยดำๆ ตามมุมห้องและผนัง และถ้าเทพแห่งไฟอย่างเขาบอกไม่ได้ว่านี่คือรอยไฟไหม้ก็คงไม่มีใครบอกได้แล้ว คิดอยู่พักกูณฑ์ก็เอ่ยถาม “ตอนเกิดเรื่องไฟไหม้ที่นี่เหรอครับ”
นิศากรขมวดคิ้วอย่างงงๆ แต่พอมองไปรอบๆ เห็นรอยไฟไหม้ ประกอบกับนึกออกว่าตอนเกิดเรื่องของกูณฑ์คือตอนที่เกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่เมื่อไม่กี่เดือนก่อน จึงพยักหน้า “ค่ะ”
กูณฑ์ละความสนใจจากรอยไฟไหม้ได้ ก็ต้องเลิกคิ้วอีกรอบเพราะเพิ่งเห็นว่ายังมีหมาแมวอีกจำนวนหนึ่งอยู่ในบ้าน อดถามไม่ได้ “นี่… ได้นับไหมครับว่ามีหมากับแมวอย่างละกี่ตัว”
นิศากรยิ้ม ตอบพลางเปิดตู้เย็นหยิบน้ำมารินใส่แก้ว “พลอยจะแม่นกว่าค่ะ นิรู้แค่คร่าวๆ ว่ามีหมาประมาณยี่สิบ แมวเกือบๆ สี่สิบค่ะ จำหลักหน่วยไม่ได้”
“มีคนฝากเลี้ยง หรือว่ายังไงครับ”
“ส่วนใหญ่เป็นหมาแมวจรจัดค่ะ เมื่อก่อนไม่ได้เยอะแบบนี้หรอกนะคะ หลังจากเกิดหายนะก็มีแมวหมาหลงมาอีกเยอะเลย”
“อ้อ… ค่าใช้จ่ายน่าจะเยอะน่าดูนะครับ”
จบประโยคนั้นของเขา นิศากรก็มือสั่นจนรินน้ำกระฉอกออกนอกแก้ว รีบกุลีกุจอหยิบผ้ามาเช็ด และยิ่งหน้าซีดเมื่อศศินเดินมาจากหลังบ้าน เอ่ยทักแบบไม่รู้อีโหน่อีเหน่เพราะไม่เห็นกูณฑ์ที่เดินแยกไปดูกระสอบอาหารหมาและแมวที่อยู่อีกทางทำให้ไม่อยู่ในขอบเขตสายตา
“กลับมาแล้วเหรอที่รัก”
พอเห็นกูณฑ์ ศศินเองก็หน้าซีดไม่ต่างกัน และได้แต่ยืนมองหน้ากับนิศากรอยู่อย่างนั้น ไม่อาจพูดคำใด กูณฑ์เห็นปฏิกิริยาของมนุษย์ทั้งสองแล้วหัวเราะหึ นึกขันอยู่ในใจ แม้จะหลอกลวง แต่อย่างน้อยปฏิกิริยาของคู่รักตรงหน้าก็ทำให้กูณฑ์รู้ว่าทั้งคู่ไม่ใช่มืออาชีพ ไม่ใช่นักต้มตุ๋น และคงไม่ได้โกหกคนอื่นบ่อยๆ ใช้เวลาครู่เดียวกูณฑ์ซึ่งรู้จักมนุษย์มาแล้วหลายร้อยจำพวกก็มองทุกอย่างทะลุปรุโปร่ง จึงเอ่ยถามเสียงเรียบ
“เดาว่าอยากได้เงินรางวัลใช่ไหม”
ในการไปออกรายการแต่ละครั้งจะมีเงินค่าตอบแทนให้ แม้ไม่ขึ้นหลักหมื่นแต่ก็ถือว่ามากกว่าเงินค่าแรงรายวันหลายเท่า แต่ถ้าได้เป็นคนที่ปรัศนีเลือกจะได้เงินค่าตอบแทนซึ่งเยอะมากขึ้นเป็นหลักหมื่น รติกำหนดไว้ให้เป็นค่าเสียเวลาที่จะต้องไปถ่ายทำต่อเพื่อโฆษณาให้สปอนเซอร์ แล้วพอกูณฑ์เห็นว่านิศากรหน้าแดง น้ำตาคลอเบ้า ก็รีบโบกมือ หัวเราะออกมาคล้ายอยากให้รู้ว่าเขาไม่ได้โกรธเคืองหรือต้องการเอาเรื่อง
“อย่าเพิ่งร้องไห้ ผมคิดว่าพอเข้าใจเหตุผลของพวกคุณนะ… อยากได้เงินมาดูแลหมาแมวใช่ไหม”
ศศินดูจากท่าทีของกูณฑ์แล้วตัดสินใจก้าวเข้าไปโอบเอวนิศากรที่กำลังเช็ดน้ำตาไว้ เอ่ยสารภาพในสิ่งที่กูณฑ์เองก็รู้อยู่แล้ว “ครับ… พอดีช่วงก่อนหน้า ผมเพิ่งถูกให้ออกจากงานเลยค่อนข้างลำบาก ตอนแผ่นดินไหวก็มาแขนหักไปหางานก็ไม่ได้ จะไปรับจ้างทำงานอะไรก็ไม่ค่อยได้เลยยังลุ่มๆ ดอนๆ อยู่ อาหารหมาแมวก็ใกล้จะหมด”
กูณฑ์พยักหน้า ก่อนเสนอแนะ “ทำไมไม่ลดจำนวนหมาแมวลงล่ะ”
ถามไปแล้วก็เห็นศศินกับนิศากรหันมองหน้ากัน คราวนี้นิศากรเป็นฝ่ายตอบ “เรื่องหมาแมวที่รับเลี้ยง พลอยเป็นคนตัดสินใจค่ะ”
“แล้วน้องพลอยรู้สถานการณ์การเงินไหมครับ”
“รู้”
เสียงเรียบนิ่งที่ตอบมาจากด้านหลังทำให้กูณฑ์หันไปมอง เห็นพลอยราตรีมายืนมองอยู่ พอสบตากันก็บอกเสียงเรียบ
“เห็นหายมานาน เลยตามเข้ามา” แล้วพลอยราตรีก็ละสายตาจากกูณฑ์หันไปมองพี่ชายกับพี่สาวร่วมบ้าน พิจารณาอยู่ครู่ก็เอ่ยถาม ไม่เจาะจงว่าถามใคร “รู้ความจริงแล้วเหรอ”
นิศากรพยักหน้า พลอยราตรีจึงหันไปทางกูณฑ์ “พลอยเป็นคนให้พี่นิไปรายการนี้เอง”
อ้อ ตัวต้นคิดอยู่นี่… และดูท่าทางจะไม่สะทกสะท้าน ไม่รู้สึกผิดเท่านิศากรกับศศินด้วย กูณฑ์เลยถามไป “รู้ไหมว่าโกหกมันผิดศีล”
พลอยราตรีมองหน้ากูณฑ์ นิ่งอยู่ครู่ก็ร่ายยาว “มุสาวาทาเวระมะณี สิกขาปะทังสะมาทิยามิ”
กูณฑ์ถึงกับเลิกคิ้ว ไม่คิดว่าจะเจอย้อนไม้นี้ “ก็รู้นี่”
“รู้… ออกไปนั่งคุยข้างนอกได้ไหม”
นั่นประโยคขอร้องสินะ… กูณฑ์ถอนใจยาว ก่อนเดินออกไปหน้าบ้านเป็นคนแรก ไปนั่งลงข้างรติที่ลูบตัวเจ้าเจ๋งตัวจ้อยอยู่ โดยมีเด็กชายเพชรทิวานั่งมองอยู่ใกล้ๆ บอกอย่างให้ข้อมูล
“รู้ความจริงแล้วนะ”
รติหันมองหน้ากูณฑ์ รู้ทันทีว่าความจริงที่ว่าคืออะไร และเป็นเพชรทิวาที่เอ่ยถาม
“รู้เรื่องพี่ศินกับพี่นิเหรอฮะ”
กูณฑ์มองเด็กชาย วินาทีที่ได้สบตากูณฑ์ก็ประหลาดใจ… นี่ราวกับไม่ใช่แววตาของเด็กมนุษย์วัยห้าขวบ แต่เขายังไม่ได้มองลึกลงไปในอดีตของเพชรทิวา เป็นไปได้ว่าเด็กชายอาจเจอเรื่องเลวร้ายมา อาจมีหายนะบางอย่างเกิดขึ้นที่ทำให้แววตาที่ควรจะใสซื่อกลับมีบางสิ่งปนเปื้อน ราวกับเป็นคนที่เกิดมาแล้วเกินสามสิบปี กูณฑ์รู้สึกตัวอีกทีตอนรติส่งเสียงเรียกเข้ามาในหัว จึงพยักหน้ารับเด็กชาย รู้สึกดีนิดหน่อยที่ใบหน้าเพชรทิวาดูซึมลง เห็นชัดว่ารู้สึกผิดมากกว่าพี่สาว
ทั้งสามนั่งแลกความเงียบใส่กันอยู่ครู่ ศศิน นิศากร และพลอยราตรีก็เดินออกมา นิศากรยังไม่ลืมเอาน้ำเย็นออกมาเสิร์ฟให้แขก นั่งมองหน้ากันไปมาอยู่พัก ศศินกับนิศากรก็มองหน้าเหมือนจะส่งสัญญาณให้กัน แล้วหันมายกมือไหว้กูณฑ์กับรติ ก่อนนิศากรจะเป็นตัวแทนพูด
“พวกเราขอโทษจริงๆ นะคะ… ยังไงให้นิออกจากการแข่งขันก็ได้ค่ะ นิทำผิดกฎตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว”
ใช่ เพราะคุณสมบัติของผู้เข้าแข่งขันคือต้องโสด แต่… ใช่ ปกติถ้าไม่โสด รติต้องรู้
เทพสาวหน้านิ่วอยู่ครู่ ก่อนปัดความสงสัยนั้นให้ตกไปก่อน หันไปสบตากับกูณฑ์ซึ่งก็หันไปทางพลอยราตรี อีกฝ่ายเหมือนจะรู้ตัว จึงยกมือไหว้บ้าง พูดกับรติ
“เป็นความคิดพลอยเอง ขอโทษที่หลอก… พลอยอยากได้เงินมาซื้ออาหารให้หมาแมว”
กูณฑ์พูดทันที “เงินไม่มีจะเลี้ยงไว้ทำไมตั้งเยอะแยะ ทำไมไม่หาบ้าน ส่งต่อให้คนอื่นเลี้ยง”
พลอยราตรีหันขวับมองหน้ากูณฑ์ บอกเด็ดขาด “ไม่ได้”
“ทำไมจะไม่ได้ ผมช่วยลงประกาศให้เดี๋ยวนี้เลยยังได้ รับรองหายเกินครึ่ง” อินสตาแกรมของกูณฑ์มีคนติดตามอยู่เกือบหนึ่งแสนคนเชียวนะ
“ไม่ได้” พลอยราตรียังยืนยันคำเดิม ผิดแค่น้ำเสียงแข็งกร้าวขึ้น ดวงตากระด้างแสดงถึงความโกรธชัดเจน
นั่นไม่ทำให้กูณฑ์แปลกใจ แต่ที่ทำให้แปลกใจคือ… บรรดาหมาแมวที่รายรอบกลายเป็นมีท่าทีไม่เป็นมิตร บ้างเห่า บ้างขู่ แม้แต่เจ้าเจ๋งที่อยู่ในมือรติยังงับนิ้วโป้งจนรติร้องดังอย่างตกใจพลางดึงมือกลับ ปรากฏรอยแผลเป็นจุดซึ่งเกิดเพราะรอยเขี้ยว เลือดซึมไหล กูณฑ์รีบคว้ามือรติมาดูพร้อมช่วยร่ายมนตร์ระงับความเจ็บ รู้ดีว่าหากมีบาดแผลขณะอยู่ในร่างมนุษย์ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเทพ แม้รติอาจคุ้นชินเพราะเคยจุติแล้วเกิดเป็นมนุษย์มาก่อนแต่ก็ไม่อยากประมาท ขณะนิศากรโผไปจับตัวพลอยราตรีที่ดูจะเป็นตัวต้นเหตุให้เหล่าสี่ขาอารมณ์แปรปรวน
แทบจะวินาทีเดียวกันนั้นเอง เสียงรถเบรกดังลั่นก็เรียกความสนใจของทุกคนไปได้อย่างดี ขณะคนอื่นๆ ยังมองแบบงุนงงสงสัย ทว่ากูณฑ์กับรติที่สบตากันรู้ทันที… พฤกษ์แน่
และใช่ ไม่นานเลยก็ปรากฏตัวพฤกษ์มาตามทางเดิน แล่นลิ่วตรงมาหาชายาของตน เอ่ยถามเสียงเข้ม “เกิดอะไรขึ้น”
แต่ยังไม่ทันมีใครได้ตอบ ก็เป็นศศินที่ลุกขึ้น เอ่ยถามอย่างต้องการปกป้องพื้นที่ตน “คุณเป็นใคร เข้ามาได้ยังไง”
ทว่าพฤกษ์โบกมือทีเดียว ศศินก็มีท่าทีสงบลง รวมถึงนิศากรด้วย หนำซ้ำนิศากรยังพูดออกมา
“เชิญคุณพฤกษ์นั่งเลยค่ะ… ทุกคน นี่คุณพฤกษ์ แฟนคุณรติ”
“อ้าว!” นั่นเสียงพลอยราตรี ตามด้วย “คุณรติก็มีแฟนนี่ ทำไมยังแข่งรายการนี้ได้”
กูณฑ์พูดทันที “ผมเป็นคนขอให้รติลงเอง เราตกลงกันไว้ว่าถ้าผมไม่อยากเลือกใคร ผมจะเลือกรติให้รายการจบๆ ไป”
“อ้าว!” พลอยราตรีร้องอีก “แบบนี้ไม่เท่ากับโกงเหรอ”
“ไม่” กูณฑ์ปฏิเสธทันควัน “ถ้ามีคนที่ผมถูกใจผมก็เลือก ผมไม่ได้ล็อกไว้ว่าต้องเลือกรติ”
พลอยราตรีตั้งท่าจะเถียงอีก ทว่าพฤกษ์โบกมือด้วยอยากให้เงียบปาก เขาต้องการรู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุให้ชายาเขาเจ็บตัว ก่อนพฤกษ์เองที่เป็นฝ่ายนิ่งไป เพราะ…
“แต่นี่ก็เท่ากับปิดโอกาสผู้หญิงไปหนึ่งคน ไม่งั้นพลอยก็ไปร่วมด้วยแล้ว”
มนตร์ที่เขาใช้กับมนุษย์ ใช้กับเด็กผู้หญิงคนนี้ไม่ได้… พฤกษ์หน้านิ่ว ก่อนเปลี่ยนไปใช้มนตร์ที่ใช้กับเทพในระดับเบาสุด เพราะไม่เห็นรัศมีเทพในตัวเด็กคนนี้ จึงคิดว่าอาจเป็นลูกครึ่งเทพ ทว่าฉับพลันที่มนตร์ออกจากตัว และคนรับมนตร์ล้มหงายหลังไปพฤกษ์ก็ยิ่งมึนงง ได้แต่ยืนนิ่งตอนรติลุกขึ้นจับแขนเขาอย่างตกใจ พร้อมๆ กับที่หมากับแมวพากันวิ่งหลบหายไป สบตากับกูณฑ์ที่เข้าไปช่วยศศิน นิศากร กับเพชรทิวาประคองตัวพลอยราตรี แต่ต้องให้สัญญาณกูณฑ์ช่วยเหลือพลอยราตรีก่อน เพราะผู้ชายคนเดียวอย่างศศินใช้แขนไม่ได้หนึ่งข้างการประคองพลอยราตรีเลยดูเก้ๆ กังๆ
กูณฑ์ตัดสินใจเป็นคนช้อนร่างพลอยราตรีขึ้น เอ่ยบอก “นำทางเลยครับ”
คนที่แล่นลิ่วเข้าบ้านไปก่อนคือศศิน รีบไปจัดโซฟาโดยการหยิบหมอนที่วางระเกะระกะออกเพื่อเปิดพื้นที่ให้กูณฑ์วางร่างของพลอยราตรีลง กูณฑ์หันไปทางพฤกษ์แล้วหลีกทางให้ เพราะมนตร์ของพฤกษ์ พฤกษ์ต้องเป็นคนแก้
รติรีบบอกกับทุกคนเพื่อให้ลดความเป็นห่วงลง “พี่พฤกษ์ช่วยได้ค่ะ”
นิศากรเอ่ยถาม “เป็นหมอเหรอคะ”
รติไม่ตอบเพราะต้องการเลี่ยงการโกหก รีบเอ่ยถาม “มียาดมติดบ้านไว้บ้างไหมคะ”
นั่นทำให้ศศินกับนิศากรกระจายตัวกันคงเพื่อไปตามหายาดม ส่วนเพชรทิวาเกาะขาพลอยราตรีด้วยท่าทีเป็นห่วง พฤกษ์อาศัยจังหวะที่ผู้ใหญ่ทั้งสองคนห่างไปโน้มตัวไปแตะหน้าผากพลอยราตรีเพื่อรักษาผลร้ายอันเกิดจากมนตร์ของตน สำเร็จแล้วจึงรีบหันมาทางรติ จับมือที่มีแผลขึ้นมาดู รติจึงรีบสื่อสารผ่านจิต
“ไม่เจ็บแล้วค่ะ แต่ยังไม่ทำให้แผลหายไป กลัวคนอื่นเห็นแล้วจะสงสัย”
พฤกษ์หน้านิ่ว มองหน้ารติ สื่อสารกลับ “แต่ไม่ควรมีอะไรทำร้ายรติได้”
กูณฑ์แทรกการสนทนาอันเงียบงันของทั้งคู่ทันที “ข้าว่าหลายสิ่งหลายอย่างในบ้านหลังนี้ไม่ธรรมดา”
พฤกษ์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ก่อนนิ่งเงียบเมื่อพลอยราตรีลืมตาตื่นแล้วทะลึ่งพรวดลุกขึ้นยืนบนโซฟา ก้มลงมองหน้าแขกทั้งสามคน และมาหยุดที่พฤกษ์ เอ่ยถามเสียงแข็ง
“ทำอะไรอะ”
“เธอ…” กูณฑ์เรียกด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก อย่างไรพฤกษ์ก็เป็นองค์อารักษ์ของเหล่าเทพผู้กำหนด เขายังต้องเคารพ แล้วเด็กนี่เป็นใครถึงมาพูดจาห้าวห้วนแบบนี้ พออีกฝ่ายหันมามอง ก็บอกไปคล้ายอยากสั่งสอน “ฉันกับคุณพฤกษ์แก่กว่าเธอเท่าไร พูดจาให้มันดีๆ หน่อย”
พลอยราตรียังไม่ทันได้โต้ตอบ เพราะต้องหันไปมองศศินกับนิศากรที่เดินเข้ามาจากคนละทิศ ในมือมียาดมอยู่ มองมาด้วยสายตาประหลาดใจ เป็นนิศากรที่พูดได้ก่อน
“พลอย… ทำไมยืนบนโซฟาอย่างนั้น”
พลอยราตรีมองหน้าคนถาม มองหน้าพฤกษ์ ค่อยๆ ก้าวลงจากโซฟาทั้งที่ยังจ้องหน้าพฤกษ์ไม่วางตา หันไปโอบไหล่เพชรทิวาเมื่ออีกฝ่ายเข้ามายืนชิด ลากน้องชายตนไปหลบหลังศศิน สายตายังจ้องมองไปยังพฤกษ์อย่างหวั่นระแวง ในที่สุดก็พูดขึ้น
“ไม่รับแขกแล้วได้ไหม เดี๋ยวต้องให้ข้าวหมาแมวแล้วนะ”
“พลอย…” นิศากรเรียกคล้ายจะปราม ด้วยประโยคนั้นเป็นการ ‘ไล่แขก’ อย่างเห็นได้ชัด เป็นรติที่รีบพูด “เห็นว่าเจ๋งกับจ๋องอยู่ดีก็โอเคแล้วค่ะ พวกเรากลับก่อนนะคะ”
“เดี๋ยวนิไปส่งค่ะ… พี่ศินอยู่กับเพชรพลอยนะ” นิศากรบอกแล้วเดินนำแขกออกไปนอกบ้าน ส่งเสียงชู่ๆ กับหมาแมวที่คล้ายจะล้อมเป็นวงอยู่ไกลๆ หน้าตาท่าทางไม่เป็นมิตรนัก “เอ เป็นอะไรกันนะ เจ้าพวกนี้ ปกติไม่เป็นแบบนี้นะคะ”
กูณฑ์หัวเราะหึ “วันนี้คงไม่ปกติ”
นิศากรหน้าเจื่อน ขณะกูณฑ์เองก็ต้องเงียบไว้ เพราะทั้งองค์อารักษ์ทั้งชายาหันมาปรามเขาด้วยสายตาอย่างพร้อมเพรียง เลยเสทำเป็นกวาดตามองไปรอบๆ สบตาดูหน้าบรรดาสัตว์สี่ขาที่รายล้อมอยู่ มองสูงขึ้นไปอีกนิดบนกิ่งไม้ ก็ยังมีแมวเกาะและจ้องมองลงมาอย่างพร้อมเพรียง นี่ถ้ากูณฑ์เป็นมนุษย์ก็คง ‘หลอน’ ไม่น้อยเลยกับสถานการณ์ตรงหน้า มันเหมือนเจ้าพวกสี่ห้าสิบตัวนี้กำลังจะล่าเหยื่อ และเขาก็เป็นเหยื่อ… กูณฑ์ชะงักเมื่อมองสูงขึ้นไปแล้วพบเจอบางสิ่ง เขาหยุดเดิน หรี่ตาเพื่อเพ่งมองไปยังสิ่งที่ทำให้เขาสะดุดใจ
แมวดำซึ่งมีดวงตาสีเหลืองสดใส กำลังจ้องหน้าเขาอยู่เช่นกัน
“อะไรเหรอคะคุณกูณฑ์” รติเอ่ยถามเมื่อเห็นว่ากูณฑ์หยุดเดิน พอเงยหน้ามองตามสายตาของกูณฑ์ก็ถึงกับออกปาก “ตัวโตจัง”
กูณฑ์หันไปถามพฤกษ์ “นั่นแมวนิลหรือเปล่า”
พฤกษ์ร่ายคาถาเรียกชื่อแมวนิลในใจ ถ้าใช่แมวนิลต้องลงมาหาเขา และพอมันยังนิ่งสนิทพฤกษ์จึงตอบกูณฑ์ “ไม่ใช่”
“เหมือนมาก”
นิศากรที่ลอบฟังอยู่พอเดาได้จึงเอ่ยถาม “เหมือนแมวที่คุณกูณฑ์รู้จักเหรอคะ”
กูณฑ์พยักหน้ากับนิศากร “ครับ แมวนิล”
“แมวชื่อนิลเหรอคะ”
“ไม่ครับ แมว ชื่อแมวนิล… ผมรับเลี้ยงมันได้ไหม”
รติถึงกับตาโต ไม่ไว้วางใจกูณฑ์ขึ้นมาทันที รู้ๆ อยู่ว่าเขาไม่ได้เอ็นดูรักใคร่สัตว์ต่างๆ นัก ที่เอ็นดูก็เห็นจะมีแต่ปักษาสวรรค์ ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะพระจันทร์ชอบ หาใช่เป็นความชอบของตนแต่อย่างใด
นิศากรเองได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าลำบากใจขึ้นมาทันที ตอบเสียงอ่อย “ไม่ได้เลยค่ะ เจ้ามิดไนต์นี่ พลอยรักมาก หวงมากจริงๆ ค่ะ”
จบคำนั้น เจ้ามิดไนต์ก็กระโดดลงจากกิ่งไม้ที่ตนนอนอยู่ กูณฑ์เห็นแล้วรู้สึกเลยว่าถ้าไม่ขยับเจ้าแมวดำยักษ์ตัวนั้นคงแลนดิ้งบนหัวตน จึงก้าวถอยมาหนึ่งก้าวจังหวะเดียวกับที่เจ้ามิดไนต์ถึงพื้นพอดี มันเงยหน้ามองกูณฑ์ด้วยสายตาที่ทำให้นิ้วเทพแห่งไฟกระดิกริกๆ อยากลองเผาขนงามๆ ให้เกรียมเสียสองสามกระจุก แต่ได้ยินเสียงกระแอมของรติเป็นการดึงสติเสียก่อน จึงเพียงยืนนิ่งจ้องมองมันตอบ แล้วยืนมองมันสะบัดหางโบกไปมาก่อนเยื้องย่างไปอีกทาง มองตามไปก็เห็นว่ามันเดินไปหาพลอยราตรีที่มีเพชรทิวายืนแอบอยู่ด้านหลัง พอถึงตัวพลอยราตรีก็กระโดดเข้าสู่อ้อมกอดและอีกฝ่ายก็รับไว้ได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ พลอยราตรียังมองกลุ่มแขกของตนอยู่อีกพักก่อนหมุนตัวกลับเข้าบ้าน เปิดให้เห็นเพชรทิวาที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม จ้องมองด้วยแววตาที่แทบไม่แตกต่างจากพลอยราตรีทั้งๆ ที่อายุอานามน่าจะห่างกันเกินสิบปี ครู่หนึ่งก็เหมือนจะรู้ตัวว่าตกเป็นจุดสนใจ จึงรีบถอยเข้าบ้านไปอีกคน
กูณฑ์ พฤกษ์ รติ หันมองหน้ากันไปมา ก่อนนิศากรจะพูด
“นิขอโทษสำหรับทุกอย่างนะคะ นิแค่อยากได้เงินที่ทางรายการให้มาช่วยหมาแมวของเราจริงๆ ค่ะ ไม่ได้มีเจตนาอื่นแอบแฝงเลย ถ้างั้นนิขอถอนตัวเลยแล้วกันค่ะ” ว่าแล้วก็หันไปทางรติ “ให้ทางรายการบอกว่านิป่วยก็ได้ค่ะ ไม่มีปัญหา”
รติสบตากับกูณฑ์ ยังไม่ทันจะได้ปรึกษาหารือ ก็ต้องเบิกตากว้าง เพราะกูณฑ์บอกอย่างตัดสินใจแล้ว โดยไม่ปรึกษาใครด้วย
“ไม่ต้องถอนตัวครับ ผมจะเลือกคุณนิ”
ไม่ใช่แค่รติที่ตกใจ กระทั่งนิศากรเองก็คาดไม่ถึง
“ผมอยากช่วยหมาแมวครับ”
มุสาแน่ๆ รติแน่ใจ เขาน่ะหรือจะอยากช่วยหมาแมว ถึงอยากช่วยจริงก็มีวิธีอื่นอีกมาก กูณฑ์ต้องมีอะไรแอบแฝงแน่ๆ
ทว่านิศากรไม่คิดเหมือนรติ เพราะหญิงสาวมัวแต่ดีใจที่จะได้เงินมาจุนเจือครอบครัวสี่ขา ใบหน้าจึงยิ้มแย้มยินดี รีบยกมือไหว้กูณฑ์ “ขอบคุณคุณกูณฑ์มากเลยค่ะ ยัยพลอยต้องดีใจมากแน่”
กูณฑ์ยิ้มรับ ออกเดินอีกครั้งกระทั่งถึงรถของตน เอ่ยลานิศากร ขับรถออกจากบริเวณนั้นโดยมีรถของพฤกษ์ขับตามมา ทว่าทันทีที่นิศากรหันหลังกลับ รถทั้งสองคันก็เลือนหาย เทพทั้งสามองค์มาปรากฏกายในวิมานของพฤกษ์ รติเอ่ยถามทันที
“ท่านคิดจะทำอะไร”
กูณฑ์ยักไหล่ “ก็แค่อยากช่วย”
“ให้ข้าเชื่อเหรอ”
“อ้าว” กูณฑ์ตีหน้าซื่อ “ข้ามันไม่น่าเชื่อถือในสายตาเจ้าเลยหรือ เทพแห่งความรัก”
เจอประโยคและวิธีการเรียกแบบนี้เข้าไป เทพแห่งความรักก็ถึงกับพูดคำใดไม่ออก ปกติแล้วการเรียกชื่อตำแหน่งเทพเช่นนี้ มักใช้เวลาอยู่ในที่ประชุม หรือใช้พูดคุยเรื่องจริงจัง แม้รู้ว่าเธอล้อเล่นกับกูณฑ์ได้ รติก็ไม่อยากทำให้พฤกษ์ไม่ชอบใจ
พฤกษ์เองดูทรงแล้ว รู้ว่ารติต้อนกูณฑ์ไม่จนมุมแน่ จึงเป็นฝ่ายพูด “ถ้าคิดว่าข้ากับรติไม่จำเป็นต้องช่วย เจ้าไม่ต้องเล่า ข้าไม่อยากรู้”
กูณฑ์ทำทีเป็นครุ่นคิด ครู่เดียวก็เปิดปาก “เรื่องมันเป็นแบบนี้”
ทว่ายังไม่ทันได้พูด ก็เป็นรติที่รีบตัดจบ “ข้าไม่อยากรู้แล้ว”
“อ้าว… ไม่ใช่เจ้าเหรอที่ถามข้าแต่แรกว่าข้าจะทำอะไร”
“ข้าถาม แต่ตอนนี้ไม่อยากรู้แล้ว… อยู่ๆ ข้าก็รู้สึกว่าไม่ข้องเกี่ยวด้วยจะดีกว่า”
กูณฑ์หัวเราะ รู้ดีว่ารติไม่อยากยุ่งเพราะแน่ใจว่าสิ่งที่เขาทำอาจจะไม่ถูกต้อง เป็นเหตุให้ต้องบำเพ็ญเพียรเพิ่มหากอยากรักษาระดับชั้นของตัวเองเอาไว้ได้ แต่ถึงอย่างนั้นรติก็ควรรู้ “ไม่ทันแล้วรติ เรื่องนี้เจ้าต้องเกี่ยวด้วย เพราะหลังจากข้าเลือกนิศากรแล้ว รายการจะต้องขอไปถ่ายทำที่บ้านของนิศากร”
รติหน้านิ่ว หันไปสบตากับสวามีตน ทำหน้าเหมือนอยากให้ช่วยคลี่คลายสถานการณ์นี้ แต่พอพฤกษ์ยังนิ่ง สีหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรสักอย่างอยู่ ก็หันไปต่อรองกับกูณฑ์เอง “ปกติรายการเราไม่ได้ทำแบบนั้น พอเลือกคู่เดตได้แล้ว ก็ไปกินข้าวในร้านของสปอนเซอร์เรา”
“กำลังเจรจาให้ข้าสปอนเซอร์เพิ่มหรือเปล่า” กูณฑ์ถามอย่างตั้งใจจะเย้า รู้ดีอยู่แล้วว่าเจตนารติไม่ใช่แน่ๆ ที่ลำบากใจก็เพราะเกรงว่าการไปถ่ายทำที่บ้านของนิศากรซึ่งไม่ใช่พื้นที่สาธารณะ หรือพื้นที่การค้า จะเป็นการรบกวนความเป็นส่วนตัว แต่กูณฑ์มีข้ออ้างไว้อยู่แล้ว “ถ้าเราไปถ่ายที่บ้านนิศากร คนรักหมารักแมวอาจยื่นมือมาช่วย หรือมาขอรับไปเลี้ยง มันดีต่อนิศากรเอง รติคิดว่าเขาจะหาเงินแบบที่ทำกับเราได้อีกสักเท่าไร”
นั่น… จริง แล้วพอหันไปมองหน้าพฤกษ์ ก็เห็นเขาพยักหน้าแทนคำบอกว่าเห็นด้วย ที่สุดจึงหันมารับปากกับกูณฑ์ “ได้ เอาตามนั้น รติจะลองคุยกับนิศากรดู… แต่ถ้าคุณกูณฑ์ อนลพงศ์จะสปอนเซอร์เพิ่ม รติในนามบริษัทเลิฟแอดเฟิสต์ไซต์ก็ยินดีนะคะ”
กูณฑ์หัวเราะ รู้ว่าถ้าเขาสปอนเซอร์เพิ่มก็เท่ากับบริษัทของรติมีรายได้เพิ่ม แน่นอนว่าเทพอย่างเขาอย่างรติไม่จำเป็นต้องใช้เงินอยู่แล้ว แต่คนอื่นในบริษัทยังต้องกินต้องใช้ บริษัทมีเงินมากคนทำงานก็ยิ่งมั่นคง ซึ่งการให้เงินของเขาในอีกทางหนึ่งก็ถือเป็นการทำกุศลอย่างหนึ่งด้วย “ได้สิ ทำไมจะไม่ได้”
เท่านั้นรติก็หน้าบาน ส่วนกูณฑ์ก็เอ่ยปากขอลากลับเคหสถานของตน ทว่าพอกูณฑ์หันไปสบตาพฤกษ์ก็พลันรู้… รู้ว่าองค์อารักษ์รู้ทันว่าการร้องขอไปถ่ายทำที่บ้านนิศากรของเขามีอะไรมากกว่าอยากช่วย แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย พฤกษ์รู้ทันสิดี อย่างน้อยถ้าเขาต้องการความช่วยเหลือก็จะได้ไม่เสียเวลามาก กูณฑ์จึงยิ้มประจบให้พฤกษ์ ค้อมศีรษะลงเล็กน้อยแทนการอำลาและแทนคำขอบคุณล่วงหน้าแล้วหายวับกลับวิมานตน
ต้องรออีกหลายชั่วโมงทีเดียว กว่าพฤกษ์จะส่งสัญญาณขอเข้าวิมานของกูณฑ์ ซึ่งพอเจอหน้ากัน กูณฑ์ก็ถามทันที
“หนีชายาออกมาหาข้าได้แล้วเหรอ”
พฤกษ์หน้านิ่วกับประโยคกำกวมนั้น รู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจเย้า ปฏิเสธเสียงเรียบ “ไม่ได้หนี”
“ท่านบอกรติตรงๆ ว่าจะมาหาข้าเหรอ”
นั่นทำให้พฤกษ์ชักจะฉิว กูณฑ์ย่อมรู้อยู่แล้วว่าบอกไม่ได้ เพราะถ้าพฤกษ์อยากให้รติรู้เรื่องนี้ก็คงคุยเสียตั้งนานแล้ว ไม่ต้องรอจนดึกดื่นได้เวลาบำเพ็ญเพียรแล้วจึงปลีกตัวออกมา แล้วยังจะมาตีรวน ทำให้เขารู้สึกผิดที่มีเรื่องปิดบังชายา “จะคุยกับข้าหรืออยากขึ้นไปคุยกับพระพฤหัส”
เท่านั้นกูณฑ์ก็ทำสีหน้าขนพองสยองเกล้า ยอมบอกสิ่งที่ตนคิดง่ายๆ “ข้าคิดว่าพลอยราตรีต้องเกี่ยวข้องกับเทพแห่งการเยียวยาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง”
“เจ้ามีข้อพิสูจน์?”
“นางดูแลเยียวยาสัตว์บาดเจ็บต่างๆ ได้”
“มนุษย์บางคนได้รับพรจากเทพบางองค์”
หรือก็คือพรสวรรค์ หากกูณฑ์ส่ายหน้า “กระทั่งหมาที่โดนข้าสาป นางก็แก้ได้”
พฤกษ์นิ่งไป ไม่พูดสิ่งใดอีกเพราะนั่นค่อนข้างชัดเจนว่าไม่ใช่เพียงพรสวรรค์แล้ว รอฟังข้อพิสูจน์ของกูณฑ์ต่อ
“และสัมผัสของนางมีพลังเยียวยาจริง ตอนนางแตะตัวข้า ข้าสัมผัสได้ เพียงแต่มันอ่อนเสียจนน่าจะมีผลกับสัตว์เล็กและแผลบาดเจ็บเล็กๆ ของมนุษย์เท่านั้น… ดูอย่างที่ศศินแขนหัก นางยังเยียวยาไม่ได้ แล้วไหนจะมนตร์ของท่านอีกล่ะ”
พฤกษ์พยักหน้าทันที “นั่นคือสิ่งที่ติดใจข้าอยู่ มนตร์สงบคำระดับมนุษย์ไม่มีผลกับพลอยราตรี แต่พอใช้มนตร์ระดับเทพต่ำสุด ที่สามารถใช้กับลูกครึ่งเทพหรือแม้แต่ลูกเสี้ยวเทพได้ นางกลับรับไม่ไหวจนหมดสติไป ต่อไปเวลาจะใช้มนตร์กับนางคงต้องใช้มนตร์ครอบจักรวาล”
กูณฑ์ทำหน้าเมื่อย มนตร์ครอบจักรวาลที่พฤกษ์ว่าคือมนตร์ที่ร่ายโดยไม่ระบุว่าฝ่ายที่โดนร่ายใส่เป็นภพภูมิใด แต่แทนที่มันจะสั้นลงมันกลับยาวกว่าปกติเป็นเท่าตัว แต่เรื่องนั้นคงไม่สำคัญตอนนี้เพราะคงไม่ได้ไปร่ายมนตร์ใส่พลอยราตรีเร็วๆ นี้ กูณฑ์รีบพูดอีกหนึ่งข้อสงสัย “แล้วไหนจะพื้นที่บ้านหลังนั้น”
พูดจบปุ๊บก็สะบัดมือหนึ่งที ปรากฏภาพโฉนดที่ดินผืนหนึ่งขึ้นต่อหน้าพฤกษ์ “นี่คือผังของที่ดินนั้น ท่านคิดไหมว่ามันดูเล็กมากเมื่อเทียบกับพื้นที่จริงที่เราเพิ่งไปเหยียบมา”
พฤกษ์ไม่เสียเวลาคิด เพราะมันปรากฏชัดเจนอยู่แล้ว ดูเหมือนพื้นที่จริงจะใหญ่กว่าที่โฉนดระบุไว้ราวๆ สามเท่าได้ นั่นย่อมแปลว่ามีผู้มีพลังพิเศษขยายพื้นที่ใช้งานให้
“ข้าว่าพลอยราตรีคงมีเชื้อสายเทพแห่งการเยียวยา ที่เหลือคือต้องสืบว่ามาจากสายไหน สืบขึ้นไปจนกว่าจะเจอเทพแห่งการเยียวยา”
“เจ้าอยากทำด้วยตัวเองหรือไม่ เราอาจใช้เทพแห่งการค้นความจริงช่วยได้”
กูณฑ์ส่ายหน้า “เทพแห่งการค้นความจริงปากเบา ใครถามอะไรก็ตอบความจริงหมด ข้ายังไม่อยากให้ใครรู้เรื่องนี้ ท่านคงรู้ว่ามันจะวุ่นวายแค่ไหนถ้าเหล่าเทพได้ข่าวว่ามีเบาะแสเทพแห่งการเยียวยา”
ในหลายๆ ปัญหาของเหล่าเทพ สามารถแก้ไขได้โดยเทพแห่งการเยียวยา คงเกิดเหตุชุลมุนแน่ด้วยคงมีเทพหลายองค์อยากขอความช่วยเหลือจากเทพที่สูญหายไปหลายพันปี ดังนั้นพฤกษ์จึงพยักหน้ารับ ก่อนย้ำสิ่งหนึ่งที่กลัวว่ากูณฑ์จะลืมไป “ทำอะไรก็ระวังให้มาก ทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ข้ารู้ว่าเจ้าได้พลังและบารมีเพิ่มขึ้นมากจากการบำเพ็ญเพียรเพื่อมุ่งมั่นตามหาเทพแห่งการเยียวยา แต่อย่าลืมเพิ่มเมตตากรุณาด้วย”
กูณฑ์มองหน้าพฤกษ์นิ่ง ผ่านไปราวชั่วอึดใจมนุษย์จึงค่อยยกมือประนม กล่าวเสียงเรียบ หน้าตาย “สาธุ องค์อารักษ์”
พฤกษ์มองหน้ากูณฑ์ อยากจะถอนหายใจหรือไม่ก็กลอกตาใส่ยิ่งนัก แต่รู้ว่าถ้าทำคงยิ่งสร้างความบันเทิงให้อีกฝ่าย จึงได้แต่พยักหน้ารับ เอ่ยลากลับวิมานตนพลางคิดในใจ… ถือเสียว่าฝึกเจริญขันติแล้วกัน!