มนตร์อัคคี บทที่ 4 : นิมิตพระจันทร์
โดย : ภัสรสา
“มนตร์อัคคี” โดย ภัสรสา นิยายออนไลน์ ที่ อ่านเอา อยากให้ทุกคนได้ อ่านออนไลน์ ได้ลงจนจบบริบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางผู้เขียนใจดีมอบ 5 บทแรกไว้ให้อ่านกันที่อ่านเอา และหากติดใจอยากอ่านต่อคุณผู้อ่านสามารถซื้อมนตร์อัคคีฉบับรวมเล่มที่ สำนักพิมพ์ภัสรสา
****************************
– 4 –
หลังเทพอารักษ์กลับไปแล้ว กูณฑ์ค่อยเดินไปยังต้นน้ำตาพระจันทร์ นั่งขัดสมาธิลงเบื้องหน้า ส่งจิตไปตรวจสอบทุกอณูของต้นไม้ที่รักยิ่งของตนว่ายังสมบูรณ์สวยงามไม่มีสิ่งใดเสียหาย ไม่มีมนตร์ใดมากล้ำกรายให้เป็นภัย เริ่มตั้งแต่รากไล่ไปที่ลำต้น ใบ ยอดอ่อน ดอก ตรวจกระทั่งอากาศโดยรอบต้นว่าสะอาดบริสุทธิ์ดี เป็นที่พอใจแล้วจึงรวบรวมจิตกลับมาเพื่อกำหนดจิต ทำสมาธิ
มีบางสิ่งติดอยู่ในห้วงความคิดของเทพแห่งไฟ… สัมผัสที่ให้พลังเยียวยาของพลอยราตรี
กูณฑ์คิดว่าบางทีอาจลองตามรอยเทพแห่งการเยียวยาจากกระแสเยียวยาที่อาจหลงเหลืออยู่ในตัว กูณฑ์พยายามสกัดรวบรวมกระแสอันน้อยนิดนั้น แต่กลับต้องลืมตาขึ้นเมื่อรู้สึกถึงความเคลื่อนไหว
พระจันทร์!
กูณฑ์เบิกตาโพลง ลุกขึ้นยืน มองสบตากับพระจันทร์ที่ยืนอยู่เบื้องหลังต้นน้ำตาพระจันทร์ โดยไม่กล่าวทักทายกูณฑ์รีบพุ่งตัวไปหมายกอดหญิงอันเป็นที่รักไว้แนบอก ทว่าความรวดร้าวหนาวเย็นที่จู่โจมทั้งภายในและภายนอกร่างกายเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน รู้ตัวอีกทีกูณฑ์ก็นอนอยู่บนพื้นซึ่งห่างจากพระจันทร์เกือบสามเมตร และภายในตัวเขาก็ราวกับถูกไฟนรกแผดเผาเจ็บปวดทรมานไม่ต่างจากตอนที่พระพฤหัสสร้างรอยรูปข้าวหลามตัดที่ท้อง
“อย่า…”
เสียงแผ่วเบานั้นทำให้กูณฑ์หันมองพระจันทร์ แล้วต้องเจ็บปวดยิ่งกว่าเมื่อเห็นสายตาของพระจันทร์ที่มองมา มันเป็นสายตาที่บอกว่าพระจันทร์เองก็ทุกข์ทรมานไม่ต่างกัน กูณฑ์ลุกขึ้นยืน แต่ไม่พยายามเข้าไปใกล้พระจันทร์แล้ว เหมือนรู้แล้วว่าตนไม่อาจได้กอดพระจันทร์อย่างใจต้องการ ไม่อาจทำแม้แต่การเฉียดเข้าใกล้ “พระจันทร์ ตอนนี้เจ้าอยู่ที่ไหน”
พระจันทร์ส่ายหน้า และพูดซ้ำคำเดิม “อย่า…”
กูณฑ์ส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ ที่สุดก็เอ่ยปากถาม “อย่าอะไร”
“อย่าตามหาข้า”
กูณฑ์ส่ายหน้า ปฏิเสธทันควัน “ไม่ ข้าจะตามหาจนกว่าจะเจอเจ้า”
“อย่า…”
“ไม่ เจ้าห้ามข้าไม่ได้”
“อย่าเพิ่ง…”
อย่าเพิ่ง… กูณฑ์นิ่งไปอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก เหมือนพระจันทร์จะห้ามไม่ให้ตามหา แต่ไม่ได้ห้ามตลอดไป
“ไม่ใช่ตอนนี้”
“แล้วต้องตอนไหน” กูณฑ์ถามกลับอย่างรวดเร็ว ทว่าพระจันทร์ทำเพียงส่ายหน้า ร่างกายซีดจางลงเรื่อยๆ โปร่งแสงขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งจางหายไปในที่สุด พอเห็นพระจันทร์หายไปต่อหน้าต่อตากูณฑ์ก็ตะโกนก้อง “ไม่!”
กูณฑ์ผวาจะตามไปคว้าพระจันทร์ ทว่ากลับผวายิ่งกว่า… เมื่อลืมตาพบว่าตนยังนั่งอยู่ที่เดิม ยังนั่งอยู่เบื้องหน้าต้นน้ำตาพระจันทร์ที่เดิม
กูณฑ์มองต้นน้ำตาพระจันทร์ก่อนหันมองไปรอบๆ รีบตรวจสอบทุกอณูในบ้านตนว่ามีมนตร์ใดแทรกซึมเข้ามาหรือไม่ ยัยศุวิลาตัวแสบแอบเข้ามาร่ายมนตร์แกล้งให้เขาเกิดนิมิตหรือเปล่า ถึงบางครั้งเขาจะจับศุวิลาไม่ได้อย่างธรา แต่ถ้าศุวิลาใช้มนตร์เขารู้แน่… ไม่มี
แปลกแท้ เขาเกิดนิมิตเองหรือ นั่นเกิดจากการที่เขาคิดถึงพระจันทร์มากเกินไป หรือมีใครทำสิ่งใดกับเขา หรือว่านั่นเป็นเบาะแสของพระจันทร์จริงๆ เป็นพระจันทร์จริงๆ ที่มาหาและพูดคุยกับเขา กูณฑ์หาคำตอบในเรื่องนี้ไม่ได้แน่ และผู้ที่รู้คำตอบเห็นท่าจะมีอยู่องค์เดียว… พระพฤหัส
กูณฑ์หายตัววับ กำหนดจิตไปยังเคหสถานของพระพฤหัส ลืมตาขึ้นแล้วพลันต้องแปลกใจ… เขายังอยู่บ้านตัวเอง ตำแหน่งเดียวกับที่นั่งอยู่เมื่อครู่… หรือเขาสับสนเกินไป สมาธิแตกซ่านเกินไป งั้นลองอีกที
กูณฑ์ลืมตาแล้วยิ้มได้ นี่สวนที่พระพฤหัสมักเอาไว้ต้อนรับแขก กูณฑ์กำลังจะอ้าปากเรียกพระพฤหัส…
ทว่าบริเวณโดยรอบกลับแปรเปลี่ยน กลายเป็นเขามาอยู่หน้าต้นน้ำตาพระจันทร์อีกครั้ง
เทพแห่งไฟยืนนิ่ง ยกสองมือขึ้นกอดออก เงยหน้าขึ้นไปมองเบื้องบนพร้อมกับรู้โดยพลัน… พระพฤหัสไม่อยากคุยกับเขา
ด๊ายยยยย กูณฑ์หัวร้อนทั้งที่แปลว่าโมโหและหัวร้อนในความหมายของคำว่าหัวร้อนจริงๆ เพราะศีรษะของกูณฑ์กลายเป็นเปลวเพลิง ตั้งจิตแน่วแน่เพื่อขึ้นไปหาพระพฤหัสอีกทีอย่างไม่ยอมแพ้ ทว่าคราวนี้ไปไม่ได้ถึงไหน กูณฑ์รู้สึกว่าจิตตนติดอยู่ระหว่างทาง พลันมีเสียงของพระพฤหัสดังขึ้น
“เจ้าถือเป็นเทพสนิทของธรา”
กูณฑ์นิ่งไปอย่างไม่คิดว่าพระพฤหัสจะเริ่มต้นบทสนทนาด้วยข้อความนี้ ครู่หนึ่งจึงตอบไป “ใช่”
“ธราจะว่าอย่างไรถ้ารู้ว่าเจ้า เทพแห่งไฟ ผู้ไม่ได้เป็นเทพอารักษ์ จะมาพบข้าผู้เป็นหัวหน้าเทพผู้กำหนดโดยไม่ผ่านการนัดหมายใด”
แน่ละ ธราย่อมตำหนิเขาแน่ แต่… “ข้าเพิ่งรู้ว่าท่านเป็นเทพเจ้ายศเจ้าอย่าง”
“อาจจะมากกว่าธราของเจ้าด้วยซ้ำ”
“เป็นเฉพาะกับข้าหรือเป็นกับเทพทุกองค์”
“ตอนนี้เป็นเฉพาะกับเจ้า”
ไฟบนหัวกูณฑ์ลุกโชนขึ้นอีกเพราะรู้ได้ว่าพระพฤหัสตั้งใจยั่วยุ แต่ไม่ได้ลืมไปว่าตนมีเรื่องต้องขอให้พระพฤหัสช่วย จึงยอมสงบปากสงบคำไม่ต่อล้อต่อเถียง รีบบอกจุดประสงค์ของตน “ข้ามีเรื่องอยากถามท่าน อยู่ๆ ข้าก็…”
แต่กูณฑ์ไม่ทันได้บอกพระพฤหัสก็ตอบกลับราวกับล่วงรู้ความในใจ
“ข้าหาใช่โหรประจำตัวเจ้า”
ไม่ใช่ราวกับ… แน่นอนว่าพระพฤหัสย่อมรู้อยู่แล้ว คงรู้ตั้งแต่ที่ส่งกูณฑ์กลับนิวาสสถานรอบแรกว่าจุดประสงค์ของกูณฑ์คือสิ่งใด
“และข้าบอกไว้แล้วใช่หรือไม่ ว่าหากรอยที่ท้องเจ้ายังไม่หาย อย่าขึ้นมาหาข้าอีก หรืออยากเห็นว่าหากข้าดำรงตำแหน่งเทพแห่งการทำลายล้างจะเป็นอย่างไร”
ให้อนัตตามารับเขาลงไปอยู่ด้วยเถอะ… กูณฑ์นิ่งเงียบ ครู่เดียวก็บอกเสียงอ่อย “ข้าคิดว่าท่านอาจจะชี้ทางให้ข้าได้”
“ที่ข้าทำได้ข้าทำไปแล้ว เทพแห่งไฟ เชื่อเถอะว่าหากต่อไปภายภาคหน้าข้ารู้อะไรที่พอจะชี้ทางให้เจ้าได้อีก ข้าจะลงไปหา ไปบอกเจ้าด้วยตัวเอง”
จิตใจกูณฑ์สงบเยือกเย็นลง เปลวเพลิงที่ศีรษะมอดดับ พลันนึกออกว่าตอนนี้พระพฤหัสเองก็มีเรื่องวุ่นวายใดอยู่ เอ่ยถามอย่างต้องการช่วยเหลือ “แล้วสิ่งที่ท่านตามหาเป็นอย่างไร”
เกิดความนิ่งเงียบเป็นครู่ใหญ่จนกูณฑ์นึกว่าคงไม่ได้คำตอบ และอีกเดี๋ยวพระพฤหัสก็คงส่งตนกลับบ้าน ทว่า…
“ทุกครั้งที่ได้เบาะแส เมื่อตามไปก็พบเพียงความเปล่า เหมือนตามหาน้ำหยดในทะเลทรายที่ระเหยหายในชั่วพริบตา”
กูณฑ์ไม่รู้จะพูดคำใด ที่สุดจึงบอกเพียง “ข้าว่าท่านเป็นกวีได้”
สิ้นคำนั้นกูณฑ์ก็กลับมาอยู่หน้าต้นน้ำตาพระจันทร์… กูณฑ์ยังทำหน้างงๆ อยู่อีกพัก พอแน่ใจว่าพระพฤหัสตัดการติดต่อแน่นอนแล้วจึงค่อยยกมุมปากขึ้น บันเทิงใจที่อย่างน้อยก็ได้ยั่วประสาทพระพฤหัสกลับบ้าง ก่อนคิดถึงเทพอีกองค์ที่น่าจะช่วยเขาคิดได้ จึงส่งกระแสจิตหา พออีกฝั่งตอบรับจึงหายตัววับไป ปากที่กำลังจะอ้าหุบฉับเมื่อเห็นธราที่นั่งรออยู่ นิ่วหน้าเล็กน้อยพยายามจับสัมผัสที่ทำให้ตนชะงัก เมื่อแน่ใจจึงค่อยค้อมศีรษะลงเพื่อทำความเคารพ พอเห็นธราพยักหน้าน้อยๆ รับแล้วจึงค่อยถาม “แล้วกับองค์อารักษ์ล่ะ”
ตอนนี้กูณฑ์สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าระดับบารมีของธราสูงกว่าตน ไม่ก้ำกึ่งอย่างที่ผ่านมาแล้ว แต่กับเทพอารักษ์อย่างพฤกษ์ กูณฑ์ยังไม่แน่ใจ
ธราเองพอได้รับคำถามนั้นก็ถอนใจยาว บอกไป “องค์อารักษ์ก็คือองค์อารักษ์”
กูณฑ์เลิกคิ้ว อดถามไม่ได้ “แบบที่มนุษย์พูดกันว่าแม่ก็คือแม่น่ะเหรอ”
ธราไม่สนใจประโยคยั่วประสาทนั้น เพราะขืนสนก็คงได้เรียกอนัตตาขึ้นมาเป็นว่าเล่น บอกกฎข้อหนึ่งที่เทพทุกคนควรรู้ไปให้ชัดเจน “จะมีเทพผู้ปกป้ององค์ใดสูงเสมอเทพอารักษ์เป็นไม่มี”
กูณฑ์พยักหน้ารับ พอธราผายมือไปที่ว่างข้างตน ปรากฏเก้าอี้เพลิงขึ้นแล้วจึงเดินไปนั่ง ยังไม่ทันเอ่ยปากอีกฝ่ายก็ถามมาก่อน
“มีเรื่องใด”
“ข้านิมิตเห็นพระจันทร์”
ธรานิ่วหน้าเล็กน้อย โบกมือผ่านหน้ากูณฑ์แผ่วเบา บอกได้ทันที “ไม่มีมนตร์ใดปกคลุมเจ้า”
กูณฑ์พยักหน้ารับ เพราะเขาตรวจสอบด้วยตัวเองแล้วก็พบแบบนั้น แน่นอนว่าถ้าได้เทพระดับสูงกว่าอย่างธรามาช่วยตรวจอีกก็ยิ่งทำให้แน่ใจมากขึ้น
“เพื่อให้แน่ใจ เจ้าควรไปให้องค์อารักษ์ดูอีกที”
ด้วยตำแหน่งและด้วยระดับชั้นบุญบารมี ตอนนี้เทพองค์ใดก็มิสามารถหลบซ่อนมนตร์จากพฤกษ์ได้หากพฤกษ์ทำการตรวจสอบ ทว่ากูณฑ์ยังไม่อยากให้คนรู้เรื่องนี้มาก “ข้ายังเกรงๆ ว่า… จะเกิดจากจิตข้าเอง”
ธราพยักหน้าหนึ่งครั้งเพื่อบอกว่าตนเข้าใจที่กูณฑ์พูดรวมถึงเข้าใจความคิดด้วย กูณฑ์ยังกลัวว่านิมิตถึงพระจันทร์นั้นจะเป็นเพราะความต้องการของจิตที่มากเกินไปจึงสร้างนิมิตขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นเทพใดรู้เข้าอาจถูกหัวเราะเยาะ แต่ไม่ใช่พฤกษ์แน่ “องค์อารักษ์คงไม่เยาะเจ้า”
กูณฑ์หัวเราะหึ “แต่จะสงสารข้า”
ซึ่งกูณฑ์ไม่ได้อยากให้ใครมาสงสาร ธราเข้าใจดีจึงพยักหน้าอีกครั้ง เอ่ยถามนอกเรื่องไป “การตามหาเทพแห่งการเยียวยาเป็นอย่างไร”
กูณฑ์จึงนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ตนมีนัดถ่ายทำรายการกับรติอีก แต่เวลายังมีพอให้เล่ารายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับบ้านของนิศากรและความแปลกของพลอยราตรีให้ธราฟัง หลังจากทุกอย่างจบลง ธราจึงบอก
“ไว้ข้าจะไปที่บ้านนั้น”
กูณฑ์ยิ้มได้ทันที หากธราได้ไปเยือนบ้านนั้นคงได้เบาะแสอะไรเพิ่มเติมจากดินบ้างไม่มากก็น้อย หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีกูณฑ์ก็ได้ยินเสียงรติเรียกพร้อมเอ่ยเตือน
‘ท่านกูณฑ์ อีกสองชั่วโมงในสตูดิโอนะคะ’
กูณฑ์ตอบรับกลับไป เอ่ยลาธรากลับวิมานตน หลังไปยืนนิ่งอยู่หน้าต้นน้ำตาพระจันทร์อีกพักก็ตัดสินใจได้ ระหว่างที่ยังไม่มีอะไรทำเขาควรจะกลับไปที่บ้านหลังนั้น กูณฑ์ไม่รู้เหมือนกันว่าไปแล้วจะได้อะไรเพิ่มเติมหรือไม่แต่ก็อยากไป ตัดสินใจได้แล้วจึงไปยังโรงจอดพาหนะของมนุษย์ที่ตนมี เลือกรถเอสยูวีคันโต ด้วยตั้งใจจะไปซื้ออาหารสำหรับสุนัขและแมวที่ร้านของมนุษย์ก่อนด้วย เรียบร้อยแล้วดิ่งตรงไปยังบ้านของนิศากร
กูณฑ์บังคับให้รถจอดหน้าบ้าน ลงจากรถแล้วเปิดประตูรั้วเดินเข้าไปภายใน แต่แล้วกลับต้องชะงักเมื่อรู้สึกเหมือนมีบางอย่างตกลงเบื้องหน้าเฉียดหัวเขาไปนิดเดียว แต่เพราะไม่รู้สึกถึงอันตรายจึงไม่ได้ร่ายมนตร์ป้องกัน… เจ้าแมวดำตัวนั้น กูณฑ์หันมองไปรอบๆ ตรงจุดนี้ไม่มีกิ่งไม้ ไม่มีอะไรให้แมวตัวนั้นเกาะแล้วกระโดดลงมาแน่ ที่ใกล้ที่สุดก็เป็นต้นไม้ใหญ่ที่ห่างไปราวห้าเมตร มันทำราวกับหายตัวมากระนั้น
กูณฑ์ยืนนิ่งสบตาสีเหลืองอำพันของแมวตัวนั้น เจ้าแมวเองก็ไม่ได้หลบตาไปไหน นิ้วเทพแห่งไฟกระดิกริกๆ ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าปลายนิ้วเริ่มเป็นสีแดงเรื่อเรือง เป็นไปได้ว่าแมวตัวนั้นก็คงเห็นไม่ก็รู้สึกได้ถึงอันตรายมันจึงเริ่มแยกเขี้ยว ส่งเสียงแฟ่ หากนั่นยิ่งทำให้ดวงตาสีสนิมของกูณฑ์วาววาบขึ้น กูณฑ์กำลังเลือกว่าจะเผาหางหรือหัวหรือว่าขาดี ทว่าทุกอย่างพลันต้องสลายหายไปเมื่อ…
“มิดไนต์”
กูณฑ์ดับไฟที่ปลายนิ้วแม้แน่ใจว่ามนุษย์ไม่มีทางเห็น เงยหน้ามองคนเรียกชื่อแมว เห็นพลอยราตรียืนมองอยู่ สีหน้าท่าทางไม่ไว้ใจอย่างเห็นได้ชัด ครู่เดียวก็เห็นเจ้าแมวกวนประสาทตัวนั้นไปเดินวนเวียนคลอเคลียพลอยราตรี แต่ยังคงส่งสายตาไม่เป็นมิตรมาให้… สายตาแบบเดียวกับที่พลอยราตรีใช้มองเขานี่แหละ
“คุณ… มาทำไม”
มนุษย์ หรือเปล่าก็ยังระบุไม่ได้… ช่างความจำสั้นจริง กูณฑ์รู้ว่าพลอยราตรีจำชื่อเขาไม่ได้ จึงบอกให้ “กูณฑ์ ว่าจะมารับคุณนิไปสตูดิโอ”
คนฟังเลิกคิ้ว เอียงหน้าด้วยท่าทางประหลาดใจ ถามน้ำเสียงประหลาดใจไม่เก็บอาการ “แค่นั้นเหรอ”
กูณฑ์เลยชี้นิ้วโป้งไปทางด้านหลังซึ่งรถตนจอดอยู่ “เอาอาหารหมาแมวมาให้ด้วย” บอกไปแล้วเห็นอีกฝ่ายยังจ้องกันไม่หยุดหย่อน จึงกระแทกเสียงถาม “หรือไม่เอา”
“เอา” พลอยราตรีตอบ แล้วต้องรับกุญแจรถที่คนตัวสูงโยนหวือมา ตามด้วยการขยับหลบคนที่เดินผ่านซึ่งทำท่าเหมือนจะชนแน่ๆ ถ้าเธอไม่หลบ
“ไปเอาเอง อยู่หลังรถ”
แล้วเขาก็เดินผ่านเธอเข้าบ้านไป… พลอยราตรีส่งเสียงคล้ายๆ ชิอยู่ในลำคอ นี่ถ้าไม่ใช่อาหารหมาแมวนะ เธอจะโยนกุญแจรถเขาทิ้ง แต่เพราะมันเป็นสิ่งที่เธออยากได้ ที่สุดจึงต้องสงบจิตใจแล้วเดินไปยังรถของเขา กดปลดล็อกแล้วเปิดประตูด้านหลังขึ้น กระไอบางอย่างที่ลอยมาปะทะหน้าทำเอาหญิงสาวนิ่งขึงไป มันเป็นความอุ่นค่อนไปทางร้อนราวกับเจ้าของรถเปิดเครื่องทำความร้อนแทนที่จะเปิดแอร์ให้รถเย็น พลอยราตรีรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพัดลมดูดอากาศที่ดูดเอากระไอที่หลงเหลืออยู่ในรถเข้าสู่ร่างกาย แต่แปลกที่มันไม่ได้ทำให้รู้สึกไม่ดีแต่ก็ยังระบุไม่ได้ว่ารู้สึกอย่างไร แล้วไหนจะกลิ่นหอมอ่อนๆ ซึ่งเธอระบุไม่ได้ว่ามันเป็นกลิ่นอะไร มันทำให้เธอ…
พลอยราตรีสะดุ้ง หลุดออกจากภวังค์เมื่อมิดไนต์กระโดดขึ้นจากพื้นมาอยู่บนกระสอบอาหารที่วางเรียงรายเบื้องหน้าเธอ หญิงสาวเอื้อมมือไปไล้หน้ายาวเลยไปถึงลำตัวแมวตัวโปรดแผ่วเบา ส่งยิ้มให้ แล้วบอกไป “มา ช่วยกันยกหน่อย มิดไนต์”
บอกแล้วยกกระสอบหนักห้ากิโลขึ้น หัวเราะเบาๆ เมื่อมิดไนต์กระโดดขึ้นมาอยู่บนกระสอบ… แต่ใช่ มันเบาขึ้น พลอยราตรีขนกระสอบอาหารไปวางในครัว โดยเลือกจะไม่ผ่านกลางตัวบ้าน แต่เดินเลาะทางเดินข้างบ้านไปยังประตูหลัง ศศินยืนทำอาหารอยู่หันมาเห็นก็นิ่วหน้า เอ่ยถาม
“อาหารหมาเหรอ ไปเอามาจากไหน”
“คุณแขกเขาซื้อมาให้”
ศศินได้ทักทายกับกูณฑ์แล้ว แต่ไม่รู้ว่ามีของฝากมาด้วย เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง “หนักมากไหม มีอีกเยอะหรือเปล่า”
“ไม่หนักเท่าไร น่าจะอีกสักห้าหกกระสอบมั้ง ไม่ต้องห่วงหรอก มิดไนต์ช่วยอยู่”
ศศินถึงกับหัวเราะ “ช่วยป่วนน่ะสิ… หรือพลอยจะมาทำกับข้าว เดี๋ยวพี่ไปยกเอง”
พลอยราตรีหน้านิ่ว เหลือบมองแขนข้างที่หักของศศินแล้วบอกเพียง “ทำไปเถอะ”
จากนั้นก็เดินไปเดินกลับขนกระสอบอาหาร ไม่ลืมเหลือบมองเข้าไปในบ้านอย่างอยากรู้อยากเห็น ก็เห็นว่ากูณฑ์นั่งคุยอยู่กับนิศากรโดยมีเพชรทิวานั่งเกาะแขนนิศากรอยู่… คุยอะไรกันนะ
กูณฑ์อยากสะกดนิศากรเพื่อล้วงข้อมูลเรื่องพลอยราตรี แต่ติดที่เด็กชายตัวน้อยเกาะเจ้าหล่อนไม่ห่าง ซึ่งมันทำให้เขาพบความแปลกอีกครั้ง… มนตร์สำหรับมนุษย์ใช้กับเพชรทิวาไม่ได้เช่นกัน เขาร่ายมนตร์ให้เด็กน้อยหลับใหล ผลคือเด็กนั่นยังนั่งตาแป๋วอยู่ จะร่ายมนตร์สำหรับเทพหรือลูกครึ่งเทพก็เกรงจะเกิดเหตุแบบที่พลอยราตรีแพ้มนตร์ของพฤกษ์เมื่อวานนี้ กูณฑ์ไม่อยากเสี่ยงทำร้ายเด็ก ที่ทำอยู่ตอนนี้จึงต้องเป็นการพูดคุยอ้อมไปอ้อมมาแทน
“วันนี้น้องเพชรหยุดเรียนเหรอครับ”
นิศากรโอบร่างเล็กไว้ ก่อนตอบเสียงเจื่อน “เพชรยังผวาหนักกับเรื่องร้ายที่เกิดค่ะ แกยังไม่อยากออกไปไหน นิเลยตั้งใจว่าค่อยให้เริ่มเรียนใหม่เทอมหน้า”
เรื่องร้าย… กูณฑ์มีสีหน้าเข้าใจ รู้ว่าเรื่องร้ายคงหมายถึงเหตุการณ์ที่อดีตพระศุกร์เกือบฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ไปแล้ว ขนาดผ่านมาเกือบสองเดือนก็ยังมีจุดที่เหล่าเทพยังต้องช่วยฟื้นฟูเยียวยา ร่องรอยความเสียหายยังมีให้เห็น บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เพชรทิวามีแววตาผิดไปจากเด็กห้าขวบก็เป็นได้
“แล้วพลอยล่ะครับ หยุดเรียนเหมือนกันเหรอ”
นิศากรพยักหน้า สีหน้าไม่สบายใจ “ค่ะ พลอยก็ต้องคอยอยู่ดูแลเพชร คอยปลอบเวลาเพชรเครียดค่ะ”
กูณฑ์ส่งยิ้มอบอุ่นให้นิศากร เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแบบที่ปกติแล้วมักทำให้มนุษย์ผู้หญิงทลายกำแพงที่มีให้คนแปลกหน้าลงเสมอ “แล้วพ่อแม่ของทั้งสองคนล่ะครับ”
“ตาย”
กูณฑ์นิ่งไป หันมองคนตอบซึ่งคือเพชรทิวา ดวงตาที่ได้สบกันทำกูณฑ์นิ่งงัน จริงอยู่ว่าเด็กห้าขวบอาจไม่เข้าใจความเจ็บปวดของคำว่าตาย แต่การพูดคำนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำนั้นเกิดกับพ่อแม่ตัวเองโดยสีหน้าและแววตาไม่รู้สึกสิ่งใดเลยมันทำให้กูณฑ์เริ่มเทความสนใจทั้งหมดมาที่เพชรทิวา ยิ่งมองกันนานเข้า กูณฑ์ยิ่งสัมผัสได้ถึงความลึกล้ำซึ่งก่อให้เกิดปริศนาในใจจนกูณฑ์เกือบถอดจิตของตัวเองพร้อมดึงจิตของเพชรทิวาขึ้นไปหาพระพฤหัส แต่ก็นั่นแหละ เขาไม่กล้าขัดใจพระพฤหัสติดๆ กันหรอก ดูแล้วเพชรทิวาไม่ได้มีรังสีอันตรายอันใดนัก การสะสางครั้งที่ผ่านมาอาจทำให้เด็กชายได้รับสะเก็ดพลังบางอย่างมาบางส่วน ไว้เขาค่อยให้พฤกษ์มาดูอีกทีก็ได้ ที่สุดกูณฑ์ก็ตัดสินใจพูด “เสียใจด้วยนะ”
และกูณฑ์เสียใจจริงๆ เพราะลึกๆ แล้วกูณฑ์ก็ยังคิด ที่การสะสางเกิดขึ้นได้ส่วนหนึ่งก็เพราะเขา…
มุมปากเพชรทิวากระตุกขึ้นคล้ายจะยิ้ม ก่อนหลบตากูณฑ์เอาหน้าซุกแขนนิศากร ซึ่งก็โอบรับร่างเล็กไว้แล้วหันมาคุยกับกูณฑ์ต่อ
“ค่ะ ทั้งเพชรทั้งพลอยอยู่กับพ่อแม่ด้วยตอนเกิดเรื่อง นิเลยไม่อยากเร่งรัดอะไรค่ะ ถ้าแกยังไม่อยากไปไหนก็ไม่เป็นไร”
“แล้ว… คุณนิเป็นอะไรกับเด็กทั้งสองคนเหรอครับ อาหรือว่าน้า”
นิศากรส่ายหน้า “เปล่าค่ะ เอ่อ… บ้านหลังนี้เป็นของปู่ผล คนที่เลี้ยงนิมา ไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดค่ะ ตอนเกิดเรื่องร้ายๆ ปู่ผลพาสองคนนี้มาบอกว่าเป็นหลาน ให้นิกับศินช่วยดูแลค่ะ”
ปู่ผล! คนนี้แหละคีย์เวิร์ดที่กูณฑ์มองหา “แล้วปู่ผลอยู่ไหนเหรอครับ” ถามแล้วก็พลันรู้ว่าต้องเกิดเรื่องไม่ดีแน่ เพราะดวงตาของนิศากรมีน้ำคละคลอ
“ปู่บาดเจ็บเยอะเลยค่ะ แถมไม่ยอมไปหาหมอ คอยไปช่วยคนนั้นคนนี้ พอเข้าวันที่สาม ปู่คงเหนื่อยมากเลยหลับไปแล้วไม่ตื่นมาอีกเลยค่ะ”
ตายแล้ว… ถ้าเป็นเทพแห่งการเยียวยาคงไม่ตายแน่ แล้วเขาจะสืบทางไหนต่อเล่านี่
“ตอนปู่ตาย เพชรก็อาการหนัก ทั้งชักทั้งกรี๊ด พลอยต้องคอยกอดน้องไว้ นิกับศินจะพาไปหาหมอแต่พอจะออกจากบ้านอาการเพชรก็ยิ่งแย่ลง เลยไม่ได้พาไปไหนเลยค่ะ ดีว่าตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว”
ถ้ามองในแง่มนุษย์ กูณฑ์คิดว่าเด็กน้อยค่อนข้างน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะสุขภาพจิต จึงเอ่ยถาม “มีไปคุยกับนักบำบัดบ้างไหมครับ”
คำถามนั้นดูจะยิ่งทำให้นิศากรหน้าเจื่อน ก่อนตอบเสียงเบา ท่าทีละอาย “ก็… กำลังดูเรื่องค่าใช้จ่ายอยู่ค่ะ”
กูณฑ์จึงเพิ่งนึกได้ว่าครอบครัวนี้มีปัญหาเรื่องการเงินอยู่ เหลือบมองเด็กชาย ก่อนเหลือบไปนอกหน้าต่างพลันได้สบตากับพลอยราตรีที่มองเข้ามาเพื่อสอดแนมพอดี เห็นอีกฝ่ายรีบหลบแล้วเดินหายไปจากสายตาก็ลองบอก “ผมรู้จักนักบำบัดคนหนึ่ง”
แย่ละ ทั้งหมดเห็นหน้าพฤกษ์แล้ว จะให้พฤกษ์จำแลงเป็นนักบำบัดคงไม่เหมาะ… จริงสิ ธรา พอได้เหยื่อองค์ใหม่กูณฑ์ก็รีบพูดต่อ “ช่วงนี้เขาบำบัดฟรีสำหรับคนที่เจอเหตุการณ์ร้ายที่เพิ่งผ่านมา ถ้าคุณนิสนใจ ผมจะนัดให้”
นิศากรดวงตาแวววาวทันที “ถ้าฟรี… นิรบกวนนิดนะคะ”
กูณฑ์พยักหน้า ยกโทรศัพท์มือถือมนุษย์ต่อสายหาธรา แจ้งความต้องการของตนไปทางจิตขณะเอ่ยปากบอก “คุณธรา ถ้าผมจะขอเวลาสักสองชั่วโมงสำหรับสองคน คุณธราว่างวันไหนครับ”
“เจ้าจะหาเรื่องให้ข้ามุสา”
นั่นเป็นเสียงตอบจากธรา กูณฑ์จำต้องเก็บรอยยิ้มของตัวเองไว้ ตอบกลับไปทางจิต ‘ระดับชั้นท่านไม่ตกง่ายๆ หรอกน่า แล้วการนี้ก็ช่วยเหลือคนด้วย ถือเป็นกุศล’
“จบเรื่องของรติ เจ้าก็พามาแล้วกัน”
พอธราไฟเขียวมา กูณฑ์จึงกล่าวขอบคุณ วางสายแล้วบอกนิศากร “อีกสักสองสามวันนะครับ ทางนั้นจะคอนเฟิร์มอีกที ส่วนเราก็คงถ่ายรายการเสร็จพอดี ยังไงผมจะมารับ”
นิศากรยกมือไหว้ขอบคุณกูณฑ์ ก่อนหันไปอีกทางเมื่อได้ยินเสียงถามมา
“มารับอะไรอีก ถ่ายรายการที่สตูดิโอแล้วยังไม่จบอีกเหรอ”
กูณฑ์หันไปมองพลอยราตรี มองหญิงสาวเดินผ่านเขาเข้าไปนั่งข้างนิศากร เห็นเพชรทิวาขยับตัวไปนั่งตักพี่สาว ก่อนหันมองพนักวางแขนโซฟาที่ตนนั่งอยู่เมื่อได้ยินเสียงตุบดังขึ้น ไม่แปลกใจเลยที่เห็นเจ้าแมวมิดไนต์ แล้วต้องรีบขยับหลบเมื่อหางมันปัดเข้าหน้าเขาอย่างจัง มองอีกทีเจ้าสี่ขาตัวดำเมี่ยมก็ไปอยู่ข้างๆ พลอยราตรีแล้ว… ครั้งหน้าถ้ามีโอกาสเขาจะไม่ลังเลแล้ว เผาหางก่อนเลยอันดับแรก!
“คุณกูณฑ์นัดนักบำบัดให้น่ะพลอย” นิศากรตอบพลอยราตรี ซึ่งถามกลับทันทีเสียงห้วน “บำบัดใคร”
“เพชรกับพลอยไง”
“ทำไมเราต้องไปบำบัดด้วย”
“นี่” พอเห็นนิศากรอ้ำอึ้ง กูณฑ์ก็พูดให้เอง “เธอจะไม่ไปบำบัดก็ได้ถ้าคิดว่าตัวเองไม่ได้รับผลกระทบ แต่น้องเธอล่ะ เห็นคุณนิว่าน้องเธอไม่ยอมไปโรงเรียน แล้วก็ยังเครียดอยู่ไม่ใช่เหรอ แบบนี้มันเข้าข่ายกระทบกับชีวิตประจำวันแล้ว ควรให้น้องเธอได้ไปคุยกับนักบำบัดสักหน่อย”
พลอยราตรีมองหน้ากูณฑ์ ก่อนหันไปพูดกับนิศากรต่อราวกับกูณฑ์ไม่มีตัวตน “เรามีเงินเหรอ”
“เพื่อนคุณกูณฑ์ทำบำบัดฟรีสำหรับคนที่เจอเหตุการณ์นี้อยู่”
คราวนี้พลอยราตรีหันมาทางกูณฑ์ “เพื่อนเป็นนักบำบัดเหรอ”
“ใช่”
“ชื่ออะไร”
“ธรา”
พลอยราตรีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เอ่ยถามต่อรวดเร็ว “นามสกุลล่ะ”
แค่นั้นกูณฑ์ก็รู้ว่าเจ้าหล่อนจะสืบค้นข้อมูล… แหม ฉลาด กูณฑ์จึงตอบนามกสุลของธรา พร้อมๆ กับสร้างข้อมูลที่พลอยราตรีควรเจอ “ภูเบศเทวา”
“ไม่เห็นเจอ”
หืม… กูณฑ์หน้านิ่ว ก่อนเอื้อมไปหยิบมือถือออกจากมือพลอยราตรี พอเห็นว่าอะไรเป็นอะไรก็ถอนใจเฮือกอย่างรำคาญใจ พลอยราตรีสะกดผิด จาก ภูเบศ เป็น ภูเบส ถ้าเป็นข้อมูลปกติกูเกิลคงขึ้นคำใกล้เคียงมาให้ แต่นี่เป็นข้อมูลที่เขาสร้างจึงไม่ขึ้นสิ่งใดเลย พอแก้ให้แล้วกดค้นหา เห็นผลงานตัวเองโชว์หราเป็นที่เรียบร้อยจึงยื่นคืนพลอยราตรี พร้อมบอก “เธอสะกดภูเบศผิด”
พลอยราตรีนั่งไล่ดูข้อมูลที่ขึ้นมา ก่อนต้องหยุดเมื่อนิศากรยึดมือถือไป
“พอแล้วพลอย อย่าเสียมารยาทสิ คุณกูณฑ์อุตส่าห์มีน้ำใจ”
“ใครจะรู้ล่ะพี่นิ เขาจะพาเราไปเจอนักบำบัดจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้”
ไม่จริงหรอก อันที่จริงกูณฑ์ไม่ได้หวังผลเรื่องการบำบัด แค่คิดว่าถ้าให้ธราได้เจอสองคนนี้อาจได้คำตอบก็ได้ ว่าครั้งต่อไปถ้าอยากร่ายมนตร์ใส่ต้องใช้มนตร์สำหรับใช้กับเผ่าพันธุ์ใด มนตร์มนุษย์ก็ใช้ไม่ได้ มนตร์เทพก็แรงไป และดูจากพฤติกรรมพลอยราตรีตอนนี้… เดี๋ยวพ่อก็ร่ายมนตร์มารใส่เสียหรอก!
“พลอย พี่จะโกรธจริงๆ แล้วนะ ที่เราโกหกคุณกูณฑ์ก็ไม่เอาเรื่องแถมยังจะช่วยให้เราได้เงิน วันนี้ก็เอาอาหารหมาแมวมาให้ แล้วก็ช่วยเราเรื่องนักบำบัด ถ้าพลอยจะไม่ซาบซึ้งอย่างน้อยก็ไม่ต้องทำตัวแย่ๆ ได้ไหม”
“ก็เพราะเขาทำดีนี่แหละพลอยถึงระแวง เราไม่มีผลประโยชน์อะไรเลยจะมายุ่งกับเราทำไม”
“ก็คุณกูณฑ์เขาเป็นคนดีไง”
“ดีเกินไป พี่นิไม่เคยได้ยินเหรอ ดีเกินกว่าจะเป็นจริง Too good to be true. น่ะ”
ว่าไปก็ถูกของพลอยราตรี เขาก็ไม่ใช่คนจริงๆ แล้วก็ไม่ได้ทำดีโดยไม่ได้หวังผลด้วย ถ้าเป็นพฤกษ์กับรติก็คงใช่ สองคนนั้นรวมถึงเทพหลายๆ องค์มักชอบช่วยเหลือมนุษย์โดยไม่หวังสิ่งใด บางครั้งเขาก็ทำ แต่ไม่ใช่ครั้งนี้ เขาแค่ต้องรู้ให้ได้ว่าพลอยราตรีเกี่ยวข้องกับเทพแห่งการเยียวยาในทางใด พอกูณฑ์เห็นว่านิศากรดูโกรธขึ้นอีกจากที่โกรธมากอยู่แล้วก็รีบพูด “ไม่เป็นไรครับคุณนิ ผมเข้าใจพลอย ดีแล้วครับที่ระแวงไว้ก่อน คนสมัยนี้น่ากลัว”
พูดแล้วก็ก้มลงดูนาฬิกา พลางบอก “ผมว่าเราควรต้องออกภายในครึ่งชั่วโมงนี้ ระหว่างคุณนิกินข้าว ผมจะไปรอที่รถ”
พูดจบแล้วลุกขึ้นยืนโดยไม่เปิดโอกาสให้นิศากรชวนกินข้าวด้วยกัน ทว่าก่อนจะออกไปก็บอกอีกครั้ง “ให้คุณศินไปด้วยได้นะครับ ผมแจ้งทางรายการไว้แล้วว่าอาจมีผู้ติดตาม”
นิศากรส่ายหน้า “วันนี้พี่ศินมีนัดกับหมอค่ะ”
กำลังจะพูดต่อว่ากว่าจะเสร็จก็คงเย็น ทว่าพลอยราตรีแทรกขึ้นก่อน “พลอยจะไปด้วย”
นิศากรตั้งท่าจะปราม ทว่ากูณฑ์ตอบรับเสียก่อน
“เอาสิ เอาเพชรไปด้วยก็ได้ ไปกันทั้งบ้านเลย น่าสนุกดี”
ก่อนที่นิศากรจะรู้ว่านั่นกูณฑ์พูดจริงหรือประชด เพชรทิวาก็จับแขนเธอแล้วบอกเสียงแจ๋ว
“เพชรไปด้วยครับ”
เลยต้องหันไปยิ้มเจื่อนให้กูณฑ์ ทว่ากูณฑ์กลับยิ้มกว้าง ก้มลงไปส่งยิ้มให้เพชรทิวาพร้อมยกนิ้วโป้งสองนิ้วให้ด้วย… ถ้าไปกันหมดบ้านก็ดีจะได้ส่งข่าวให้ธรามาสำรวจสะดวกๆ หรือจะขนหมาแมวไปด้วยอีกสักสิบยี่สิบตัวก็ได้ กูณฑ์ไม่สนใจหรอก เขาไม่ใช่ฝ่ายที่ต้องมาคอยดูแลนี่!