หนึ่งในหล้า บทที่ 2 : ภายใต้ดาวพฤหัส
โดย : กฤษณา อโศกสิน
หนึ่งในหล้า นวนิยายชุดโหราศาสตร์ของ กฤษณา อโศกสิน เล่าถึง ‘ยุคทอง’ ชายหนุ่มผู้มีดาวพฤหัสเป็นดาวสำคัญที่มีอิทธิพลโน้มนำชีวิตของเขาจนได้พบกับหญิงสาวนาม ‘ปรางสี’ จุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์เกิดขึ้นเพราะความตั้งใจหรืออิทธิพลของดวงดาว และเขาจะเลือกเดินบนเส้นทางใด นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์
เขาซื้อของกินของใช้ที่กำลังจะหมด จนได้ถุงขนาดย่อมสี่ห้าถุง มีขนมจีน ผัดเผ็ดปลาดุกกับก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นต้มยำ พร้อมด้วยกระดาษเปียกติดไปใช้ระหว่างเดินทางกับยาอีกสองสามชนิดอันเป็นสมุนไพรไทยที่เขาใช้ประจำดังเช่นฟ้าทะลายโจรที่กินแก้ไอ แก้ไข้ ยาหอมยี่ห้อเก่าแก่สองชนิดที่มีขายเฉพาะร้านเดียวซึ่งอยู่ข้างตลาดแห่งนี้ รวมทั้งสเปรย์บรรเทาอาการปวดเมื่อยที่ผลิตจากสมุนไพรไทยเช่นกัน โดยไม่ลืมมะขามแขกสำหรับถ่ายท้องคนธาตุหนัก
ครั้นแล้วจึงข้ามถนนตรงทางม้าลาย
แดดเริ่มแรงเมื่อยามสายมาถึง…หากเขาก็ค่อนข้างซึ้งใจในชั่วโมงสบายๆที่สามารถเดินทอดน่องได้ แวะทักทายกับเฮียเจ้าของร้านอาหารที่เขากับอัจฉรามักจะพาลูกหลานมาแวะรับประทานของอร่อยที่ร้านนี้เป็นประจำ
ย่ำเท้าเลาะเลียบจากซอยใหญ่เข้าซอยเล็กจนกระทั่งถึงประตูบ้าน อินทรีกลับไม่รู้สึกเหนื่อยแต่อย่างใด กดรีโมทให้ประตูใหญ่เลื่อน พลางเดินไปส่งของกินให้ชะอมนำไปใส่จาน เตรียมรับประทานเที่ยงนี้ แล้วจึงเปิดพัดลมเล็กๆให้ความเย็นชื่นชะโลมกาย พิงพนักโซฟาพอสบายๆเพื่อเตรียมกายใจเริ่มสิ่งใหม่ซึ่งก็คือสิ่งเก่าที่เคยวางดายไว้นานครันขึ้นมาปัดฝุ่น
นั่นก็คือสมุดเล่มใหญ่ที่มีดวงชะตาบุคคลนับร้อยๆดวง บรรจุอยู่ถึงสามสี่เล่มหนาๆ
หนึ่งในหลายเล่มมีดวงของครอบครัวยุคทองรวมอยู่
คือ พ่อ แม่ พี่สาวนามว่าพันมุกที่อินทรีก็ตั้งชื่อให้
ขณะที่เขาก็ยังคงนึกถึงคำว่า ‘ผู้บริหาร’ ตลอดชั่วโมงที่ผ่านไป
ผู้บริหาร…มิว่าใหญ่หรือเล็ก ‘ดวง’ จะบ่งบอก
ครั้นดึงสมุดปกแข็งเล่มที่คล้ายหุ้มด้วยผ้าตาๆสีน้ำตาลออกมาเปิด ก็พบดวงชะตาของชายหนุ่มนามยุคทองและครอบครัวทันใด
อินทรีอดชื่นบานในใจขึ้นมาอีกมิได้ขณะลองไล่เลียงตัวเลขภายในวงกลมตรงหน้า ภายใต้ชื่อ ‘ยุคทอง ศิวาวัน’
ทันใดนั้น คำพยากรณ์เมื่อเกือบสองปีก่อนก็ย้อนเข้ามาแจ่มแจ้งเจิดจ้าอยู่เต็มสมอง
รู้ได้ทันใดถึงดาวสำคัญที่เขาจะต้องดึงออกมาให้ปรากฏเป็นตัวอักษร…ที่ทั้งละเอียดอ่อน ทั้งยอกย้อนซ้อนซับตามไม่ทัน
เช่นกันกับมนุษย์อย่างเราๆเขาๆนั่นเองที่มีทั้งน่าเกรงและน่าเข้าใกล้…คล้ายมีตัวตนบางครา หายวับไปกับตาบางครั้ง อีกสักครู่จึงออกมาหัวร่อร่า มิช้านักก็กลายเป็นอีกคนที่ไม่มีใครรู้จัก
สนุกนักก็ตรงนี้
ในที่สุด อินทรีก็ขมีขมันลุกไปยังโต๊ะทำงานที่อยู่ลับเข้าไปในอีกห้อง ดึงกระดาษ เอ 4 ที่มีติดบ้านเป็นประจำออกมาลองเขียนอักษรไทยสองคำ สามพยางค์ ความว่า
‘ดาวพฤหัส’
นานมากแล้วทีเดียวที่เขาใคร่เขียนถึงดาวดวงนี้
ดาวดวงที่สูงส่งด้วยเกียรติและศักดิ์ศรี เลอเลิศด้วยวุฒิภาวะและดวงปัญญา เป็นดาวประจำพิภพที่มิอาจขาดไปได้ ไม่ว่าวงการใด เทียบเท่ากับดาวอาทิตย์ ดาวจันทร์
นับตั้งแต่วงการตุลาการ ผู้พิพากษา ตำรวจ ครูอาจารย์ นักศึกษา นักเรียน สื่อมวลชน รวมทั้งผู้คนทั่วไปที่ต่างก็ใช้ชีวิตไปตามวิถีของตนอันปะปนกันไปทั้งดีเด่นและตกอับ
ขณะที่กำลังหาสมุดปกอ่อนเล่มบางที่ซื้อเตรียมไว้สำหรับแยกประเภทดวงชะตา ก็ได้ยินเสียงกริ่งดัง
ชะอมกำลังทำความสะอาดชั้นบน…จึงรีบลงมา หากเขาก็กำชับ
“ดูก่อนนะว่าใคร”
ไม่ให้ผลีผลามเปิดรับ นับเป็นกิจประจำวันของเจ้าของบ้านยุคใหม่
ชะอมหายไปไม่กี่อึดใจก็กลับเข้ามาพร้อมชายสูงอายุผู้คุ้นเคยคบหากันมานานตั้งแต่เขาเพิ่งมาซื้อที่ปลูกบ้านในซอยนี้
“อ้อ…พี่ตรี…เชิญเลยฮะ…เชิญเชิญ”
“เพิ่งได้อยู่บ้านวันนี้เองซีนะ” มนตรีถามไถ่อย่างสนิทชิดใกล้เป็นกันเอง พลางนั่งลงบนเก้าอี้รับแขกบุหนังแท้ดำเป็นเงา หากก็ดูเก่าแก่ไม่แพ้เรือนไม้ขนาดกลางที่ต่อเติมออกไปเมื่อครั้งลูกสาวลูกชายยังเป็นเด็กเล็ก แต่บัดนี้ต่างก็มีครอบครัวที่ทำให้ต้องแยกตัวออกไป “กำลังทำอะไรอยู่เหรอ…มีงานรออยู่แล้วนี่กลัวอะไร ถ้าเป็นเรา เราเปิดบ้านรับพยากรณ์ดวงชะตาแน่นอน”
“กลัวแขกเต็มบ้าน” เพื่อนผู้ร่วมซอยเดียวกันมาตั้งแต่ที่ดินตรงนี้ยังคงเป็นทุ่งหญ้าบึงใหญ่ ถนนยังเป็นทางดินลูกรังอัดแน่น แต่มากมายด้วยหลุมบ่อโดยเฉพาะหน้าฝน จนกระทั่งค่อยเปลี่ยนรูปแปลงร่างเป็นถนนลาดยางพร้อมท่อระบายน้ำหลังจากหลายทศวรรษผ่านไป…ตอบคำ
มนตรีเป็นอดีตข้าราชการเช่นเดียวกันกับเขา แต่ฐานะเดิมดีกว่า จึงอยู่อาศัยภายในตึกหลังกะทัดรัดรวมกับเครือญาติภายในกำแพงยาว หากก็มีแก่ใจเดินมาคุยด้วยเป็นครั้งคราว ปีละหลายครั้งหลายหน ยามเจ้าตัวมีเรื่องร้อนรนบางประการที่ใคร่มาถามไถ่ถึงการเดินทางของดวงดาว
อินทรีเป็นผู้ที่ชื่นชอบวิชานี้เป็นนิจมา จึงมักเต็มใจเสวนาอรรถาธิบายถึงความป็นมาเป็นไปของดวงดาราในจักรวาลจำเพาะผู้กำลังกังขาในปัญหาชีวิตซึ่งบางเรื่องราวแก้ได้ แต่บางความในใจเต็มไปด้วยเงื่อนปม…แก้ไม่ตก…อินทรีก็มักจะช่วยคลี่คลายให้ความฟกช้ำของแต่ละคนบรรเทาเพียงพอต่อการเดินหน้าสืบไป
“พี่น่ะอิจฉาคุณจัง อยู่กันสองคนผัวเมีย ไม่มีเรื่อง” ผู้มาเยือนเอ่ยขึ้น “ลูกสองคนแต่งงานไปก็อยู่กันดีนะ…หลานก็เริ่มโตแล้ว…คนโตกี่ขวบแล้วล่ะ”
“แค่สี่ขวบเองพี่ อีกคนสองขวบ สองพอแล้ว เลี้ยงไม่ไหว” เจ้าตัวยิ้มๆ พลางส่ายหน้าเมื่อนึกถึง อัศจรรย์กับอัญมณีผู้มีครอบครัวแล้วแยกตัวไปอยู่บ้านภรรยา และสามีของแต่ละคน พ้นไปจากบ้านนี้ แต่ก็มาเยี่ยมพ่อแม่ทุกสัปดาห์เว้นอาทิตย์ที่ไม่ว่าง
มนตรีอึ้งไปเมื่อนึกถึงลูกของตนเองซึ่งตัวเขาไม่อยากเอ่ยถึง
จำเพาะในวันนี้ เรื่องที่เขานำมาให้อินทรีช่วย ก็คือ
“เอออิน…พี่มีดวงใครคนหนึ่งมาให้อินช่วยผูกแล้วทายให้หน่อยจะได้ไหม” ขณะเอ่ย เขาก็ดึงกระดาษขาวแผ่นเล็กที่พับสี่จากกระเป๋าเสื้อบนซ้ายส่งให้ “ยังไม่ผูกเดี๋ยวนี้ก็ได้…เก็บไว้ก่อน…ตอนนี้มาคุยกันก่อน”
“แล้วพี่จะใจร้อนโทร.มาทวงดึกๆไหมล่ะ” เขาก็ได้แต่สัพยอกอย่างรู้ไส้
อีกฝ่ายก็เลยหัวเราะๆอย่างยอมรับว่าคงใช่
“อินอยู่กับดวงมานาน” มนตรีเอ่ยคำด้วยน้ำเสียงค่อนข้างขรึมขึ้น “ก็คงรู้แล้วใช่ไหมว่า ชีวิตคนเรานี่ดีร้ายไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน เริ่มต้นกับอวสานก็ไม่ตรงกัน…นิสัย…ถ้าจะให้ระบุเลยไปถึงสันดานก็ต่างกัน ทั้งต่างมากแล้วก็ไม่มาก…ยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆเดี๋ยวนี้เลยก็ได้…อย่างพี่กับอินนี่ละ…โอย…วันนี้ พี่มานี่มาอย่างมีทุกข์นะ…มาอย่างอิจฉาคนมีสุขอย่างอินเลยละ”
อินทรีฟังแล้วยิ้มๆ หากก็ส่ายหน้า
“โธ่…พี่ฮะ…ผมนี่ไม่มีอะไรให้พี่อิจฉาเลยพี่ก็ทราบ” เจ้าของบ้านยืนยันพร้อมลงเสียงแสดงอาการจริงใจ “พี่รู้ฐานะผมดีตั้งแต่ปีแรกที่มาซื้อที่ซอยนี้ปลูกบ้านเลยใช่ไหมล่ะฮะ…พี่ซื้อสี่แปลง แปลงละร้อยตารางวา รวมเป็นหนึ่งไร่ ปลูกตึกสองหลังมีสะพานเชื่อมตึกทั้งชั้นล่างชั้นบน…อื้อฮือ…ตอนนั้นน่ะ ผมยังจำได้เลยว่า ใครต่อใครก็ยังโจษกันตรึมว่าเจ้าของที่ทำไมใจถึงมาลงทุนปลูกคฤหาสน์ในซอยที่แม้แต่รถก็ยังโขยกเขยกแทบไม่ไหว…ตอนนั้น ผมก็มีปัญญาแค่ผ่อนส่งจนได้โฉนด ปลูกบ้านไม้สองชั้นหลังเท่าฝ่ามือ เพิ่งมาต่อออกไปก็ตอนลูกเป็นหนุ่มเป็นสาวแค่นั้น…เทียบไม่ได้เลยกับพี่”
“ก็แค่บ้านใหญ่…” อีกฝ่ายได้แต่ส่ายหน้า “อย่างอื่นน่ะเล็กนิด…ไม่เหมือนอิน…บ้านเล็ก อย่างอื่นใหญ่”
“แต่ผมก็เคยมีทุกข์นะพี่” อินทรีปลอบใจ “พี่คงไม่เคยรู้ว่าตอนลูกกำลังโต ผมก็กู้ธนาคารแล้วผ่อนใช้เหมือนกัน เพราะเราสองคนมีแค่เงินเดือน…กินใช้ไปเดือนต่อเดือน…เพียงแต่เราช่วยกันระวังการใช้จ่าย คือ ชีวิตน่ะ ถ้าเข้าใจกัน…มันก็ไปได้ไงพี่ครับ เพราะการเงินนี่สำคัญมาก คนเรา ถ้าการเงินพัง มันพังหมดไงฮะ”
“จริงที่สุด” คราวนี้ อินทรีจึงแลเห็นน้ำตาเอ่อขึ้นจางๆในหน่วยตาที่เปลือกตาโตกว้างเริ่มขึ้นกลีบเหี่ยวหลุบลงมา
ก็น่าหรอกที่เพื่อนร่วมซอยของเขาจะมีทุกข์
ดังนั้น อินทรีจึงลุกเดินไปดึงสมุดปกแข็งเล่มหนาที่ซ้อนอยู่ข้างใต้ออก กลับมานั่งที่เดิมพลางพลิกหานามมนตรี ทวีลาภผลจนพบ แล้วเพ่งมอง
“ช่วงนี้ การเงินของพี่ค่อนข้างอลหม่านนะครับ ใช้จ่ายเยอะมาก”
“แน่นอน…พูดอีกก็ถูกอีก” ผู้พูดพยักหน้า ทำท่ากลัดกลุ้มอ่อนแรง “ว่าแต่ว่า…ช่วยดูดวงที่พี่ให้ไปนี่หน่อยละกัน…อยากรู้ว่าสมพงศ์กันไหม”
“ถ้าไม่ล่ะฮะ” อินทรีถามไว้ล่วงหน้า
เพื่อนร่วมซอยก็เลยอึ้งไปหน่อยๆ
“ก็ไม่เป็นไร ถึงไงพี่ก็…เอ้อ…ตัดสินใจแล้ว…”
เมื่อถึงตอนนี้ ใจอินทรีจึงเริ่มเต้นแรง ด้วยกลัวความแจ่มแจ้งของถ้อยคำ
ทั้งๆที่เคยนึกมาแต่แรกแล้วว่า…ชายผู้นี้กับภริยาของเขาจะอยู่ยั้งยืนยงไปได้อีกนานสักเท่าไร
ท่าทางหญิงสวยคนที่มนตรีเคยพามารู้จักเขากับอัจฉราครั้งหนึ่งซึ่งขณะนี้ก็ยังคงอยู่ที่นี่ จะครองเรือนครองรักกันไปได้นานสักเพียงไร ในเมื่ออีกตึกหนึ่งคือที่อยู่อาศัยของบุตรชายทั่งคู่ของมนตรีที่เกิดจากภรรยาเก่า มีญาติข้างนั้นคอยดูแล
พินิจดวงชะตาของเธอนานแล้ว หากมิเคยเล่าแจ้งแถลงไขให้ฝ่ายสามีล่วงรู้ ด้วยถือเป็นมารยาทของโหรที่ควรเก็บงำความจริงอันไม่พึงปรารถนาบางอย่างของบุคคล
เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงจ้องหน้านิ่ง มนตรีจึงปริปาก
“คือเราคงต้องหย่ากัน…ฝ่ายเขาก็มีคนใหม่ ฝ่ายพี่ก็มี…”
หมดเรื่องกันไป…อินทรีระบายลมหายใจยาวในฐานะผู้ทำนายทายทัก
เพราะล่วงรู้มานานแล้วว่า ดวงภรรยาเขาคือดวงของหญิงมีเสน่ห์ผู้เต็มไปด้วยเลศเล่ห์แพรวพราย
แต่เสียงกริ่งประตูก็ดังขัดจังหวะ
ชะอมออกไปเปิด
สักครู่ก็กลับมาพร้อมสตรีวัยสามสิบกว่า…ครั้นเห็นอินทรีมีแขกก็เพียงแต่บอกว่า
“คือหนูผ่านมา เลยอยากแวะคุยกับน้าอินนิดหน่อยน่ะค่ะ” พลางก็ส่งถุงใหญ่หนึ่งถุงให้ชะอมรับไป “ของรับประทานกลางวันนี้ค่ะน้า…แต่เดี๋ยวบ่ายๆหนูมาใหม่…ขออภัยด้วยนะคะที่มาขัดจังหวะ…ถ้างั้นหนูกลับก่อนนะคะ ไม่ต้องออกมาส่งหรอกค่ะ”
พลางหล่อนก็พนมมือไหว้แขกของอินทรีด้วยกิริยานอบน้อม ครั้นแล้วจึงกลับออกไป
โหรจำเป็นก็เลยบอกมนตรี
“แม่เขาเคยอยู่กรมเดียวกับผม สนิทกัน มีอะไรก็มาถาม”
“แค่วันแรกเกษียณยังแขกมากขนาดนี้” อีกฝ่ายพลอยสัพยอก “แล้ววันต่อๆไปคุณจะทำยังไง”
“ไม่เป็นไรครับ…วันไหนต้องเขียนหนังสือก็จะให้เด็กบอกว่าไม่อยู่…คงต้องมุสากันหน่อยแล้วละพี่”
“เขียนแน่ไหม” มนตรีถามไถ่ขณะลุกขึ้นยืน “ไงๆพิมพ์แล้วจองสิบเล่มเลยนะ…จะเอาไว้แจก..ฮ่าฮ่า…ว่าแต่ว่า อินนี่ไม่แก่เลยนะ รู้ตัวป่าว…ยืนขึ้นเทียบกันพี่แพ้หลุด เราหกสิบสอง แก่กว่าแค่สองปี เหมือนแก่กว่าสิบปี”
เจ้าของบ้านก็เลยหัวเราะ เดินตามออกไปส่งพลางบอก
“ก็พี่เล่นมีเมียตั้งสามสี่คน ตะละคนก็ล้วนแล้วรสมะนาว แค่ไล่จับ กระเพาะลำไส้พี่ก็เปื่อยแล้ว”
“คือ…พี่ก็ชอบไงอิน ชอบคนรสมะนาว ไม่ชอบคนรสน้ำเปล่า…อย่างซ่าหน่อยก็ต้องน้ำโซดา”
“ถ้างั้น ความสุขความทุกข์ก็ต้องเป็นของพี่อยู่ดีไงครับ”
อินทรีกลับจากประตูบ้านโดยพลันก็ได้แต่มือสั่น ใคร่หยิบดินสอไฟฟ้าจรดลงบนกระดานแก้วลื่นๆทันใดนั้น