อมฤตาลัย ตอนที่ 12

อมฤตาลัย ตอนที่ 12

โดย : จินตวีร์ วิวัธน์

อมฤตาลัย นวนิยายเรื่องยาวเรื่องแรกของ จินตวีร์ วิวัธน์ นักเขียนสตรีที่เขียนนวนิยายแนววิทยาปาฏิหาริย์และมีผลงานโดดเด่นมากมาย วันนี้อ่านเอาได้นำอมฤตาลัยมาเผยแพร่ในโลกออนไลน์เป็นครั้งแรกในโครงการปากกาทอง เพื่อให้นักอ่านรุ่นเก่าได้คลายคิดถึงและเป็นโอกาสดีที่นักอ่านรุ่นใหม่จะได้มีโอกาสสัมผัสความสนุกของงานเขียนอมตะเรื่องนี้

ภายในห้องประชุมเล็กนั้น มีเครื่องประดับเพียงโต๊ะยาวพร้อมทั้งเก้าอี้ ๘ ตัวอยู่ชุดเดียว ผู้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เป็นชายไทย ๓ คน และเป็นชาวต่างประเทศหนึ่งคนรูปร่างสูงใหญ่ อายุประมาณ ๕๐ ปี ผิวคร้ามแดดอย่างคนที่ตรากตรำอยู่ทางภาคตะวันออกมานาน ผมสีทองยุ่งเหมือนไม่ได้พบหวีมานานวัน ริมฝีปากบางเฉียบกับหนวดเคราที่ขึ้นรกอยู่นั้น ทำให้ดวงหน้าดูเข้มดุ แต่ดวงตาสีฟ้าใสกระจ่างบอกให้รู้ว่าเป็นคนอารมณ์ดีคนหนึ่ง เขาแต่งกายตามสบาย ไม่ได้สวมเสื้อนอกหรือผูกเน็กไท อกเสื้อที่แบะออกนั้นเผยให้เห็นกางเขนทองคำอันเล็กห้อยติดกับสร้อยคอ แสดงว่าเป็นคนเคร่งศาสนาคนหนึ่ง

ข้างๆ ชายผู้นี้ ไวฑูรย์ อมรรัช กำลังพลิกชิ้นส่วนศิลาจารึกชิ้นหนึ่งไปมาอย่างสนใจยิ่ง

“เป็นอันว่า โปรเฟสเซอร์เชื่อแน่ว่ามีเมืองอมฤตาลัยอยู่จริงๆ” หนุ่มโบราณคดีเอ่ยขึ้น

“ผอมชั่วยางน้าน” ศาสตราจารย์ ดร.อดอล์ฟ ชไนเดอร์ ตอบเป็นภาษาไทยยานคางเสียงแปร่ง ครั้นเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าผู้ฟัง ก็เปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษช้าๆ

“และผมเชื่อต่อไปว่า เราอาจพบหลักฐานอื่นในประเทศไทยนี้แหละ”

“โปรเฟสเซอร์มีหลักฐานอื่นอีกไหมครับที่จะยืนยันความเชื่อนี้”

วิสัน สุรภิญโญ อาจารย์ทางโบราณคดีซึ่งนั่งขนาบอีกข้างหนึ่งเอ่ยขึ้น

“ความเชื่อของผมอยู่ที่ชิ้นส่วนจารึกนี้ ซึ่งไม่มีข้อสงสัยใดๆ กับอีกอย่างหนึ่งจากประวัติศาสตร์ และภูมิศาสตร์ขอมที่ได้ศึกษามาอย่างละเอียด แสดงว่าราชอาณาจักรขอมในสมัยโน้นเจริญรุ่งเรือง และมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล เมื่อแผ่อำนาจไปที่ใดก็สร้างเมือง สร้างเทวสถาน คือปราสาทหินไว้เป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจทุกที ยังมีหลายเมืองในประวัติศาสตร์ที่เราค้นไม่พบ ส่วนในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ซึ่งเมื่อก่อนเคยเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของขอมนั้นยังมีปราสาทหินอยู่มากมายหลายสิบแห่ง ถ้าค้นให้ดีอาจพบซากปราสาทหินเมืองอมฤตาลัยบ้างก็ได้”

“ทำไมถึงเชื่อว่าเมืองนี้อาจอยู่ในประเทศไทยล่ะครับ”

ไวฑูรย์ซักบ้าง ศาสตราจารย์ก็หันมายิ้มอย่างพอใจในคำถามนั้น

“ก็เพราะว่า ผมได้สำรวจซากโบราณสถานในกัมพูชาหมดทั่วบริเวณแล้วไม่พบน่ะซีครับ จึงเชื่อว่าเมืองนี้น่าจะอยู่ในแถบเทือกเขาเส้นกั้นอาณาเขตไทยเขมรมากกว่าที่อื่น ในจารึกนี้ออกพระนามพระเจ้ายโสวรมัน พระองค์เป็นผู้สร้างปราสาทเขาพระวิหารอันลือชื่อ ผมจึงคิดว่าเมืองอมฤตาลัย ซึ่งเป็นเมืองของพระธิดาพระองค์น่าจะอยู่ในละแวกใกล้เคียงกัน คือในเทือกเขาพนมดงรักในเขตไทย เราควรสำรวจกันที่จุดนี้ก่อน แล้วถ้าไม่พบเราค่อยกระจายวงกว้างออกไป ผมจึงขออนุญาตออกทำการสำรวจ หากพวกคุณเห็นด้วยและช่วยดำเนินเรื่องให้ผม เราจะไปด้วยกัน และขุดแต่งโบราณสถานที่พบออกอวดตาชาวโลกให้ได้”

“เดี๋ยวรับ โปรเฟสเซอร์ อย่าเพิ่งสรุปเร็วนัก ผมไม่คิดว่าหลักฐานเพียงเท่านี้ จะทำให้ผู้ใหญ่ของเราเชื่อและอนุมัติให้ออกสำรวจได้ เพราะหน่วยงานของเราก็เคยสำรวจแล้ว ไม่พบอะไรเพิ่มเติมจากของเดิมเลยนี่ครับ”

อาจารย์อโณทัย ธรรมธัช หัวหน้าแผนกจารึกผู้เชี่ยวชาญด้านการอ่านอักษรภาษาตะวันออกเอ่ยท้วงติง

“โปรเฟสเซอร์ครับ ที่ตำบลร่อลวยซึ่งพบเศษจารึกนี้น่ะ ไม่มีใครพบหลักฐานอื่นอีกหรือครับ”

วิสันซัก ศาสตราจารย์ชาวเยอรมันก็ส่ายศีรษะ “ไนน์ ไม่พบอีกเลย”

“งั้นก็คงลำบากหน่อยครับ หลักฐานเพียงแค่นี้ไม่พอแน่” อาจารย์อโณทัยพูดอย่างหนักใจ

“แต่ผมคิดว่าหลักฐานอื่นเราน่าจะหาได้อีก”

ไวฑูรย์โพล่งออกไปอย่างลืมตัว เมื่อนึกขึ้นได้ก็ให้เจ็บใจจนอยากเขกศีรษะตนเอง เสหยิบโน่นหยิบนี่มาดูแต่สายเกินไปเสียแล้ว ดวงตาทั้ง ๓ คู่ จ้องมองมาทางเขาเขม็งอย่างสนใจใคร่รู้

“หลักฐานอะไร ไวฑูรย์ คุณพบอะไรเข้าแล้วหรือ” อาจารย์อโณทัยถามทันที

“ผมพบนักสะสมโบราณวัตถุคนหนึ่งครับ แต่เสียใจเหลือเกินที่เขาไม่ยอมให้ความร่วมมือใดๆ ทั้งสิ้น และผมก็เผยชื่อไม่ได้ด้วยเพราะว่า…เขาขอร้องไว้ เขามีส่วนหนึ่งของทับหลังประตูปราสาท ซึ่งจำหลักลายแปลกมาก มีคนเล่าต่อกันมาว่าเป็นทับหลังปราสาทหินเมืองอมฤตาลัย เขาหวงมากครับ ผมเคยขอศึกษาดูแต่ไม่สำเร็จ”

“คุณจำรายละเอียดได้ไหมว่า ทับหลังอันนั้นเป็นรูปอะไร”

ศาสตราจารย์ชไนเดอร์ถามขึ้น ตาสีฟ้าเป็นประกายอย่างน่าสนใจยิ่งยวด ไวฑูรย์ตอบทันทีเหมือนจำได้แม่นยำ

“เป็นสตรีที่นั่งบนบัลลังก์ มีนาคราชแบกอยู่เหนือเกียรติมุขครับ และมีข้าราชบริพารหญิงชายเฝ้าแหนอยู่รอบข้าง”

“อา…จะเป็นไปได้ไหมที่รูปนั้นเป็นรูปของราชินีพันธุมเทวี ตามจารึกนี้” ศาสตราจารย์เอ่ยอย่างกระตือรือร้น

“ผมไม่แน่ใจหรอกครับ บอกได้แต่ลักษณะของภาพสลักแตกต่างจากศิลปะขอมตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ ๑๑ จนถึงศตวรรษที่ ๑๘ อย่างมากทีเดียว มีความดุดันเหี้ยมเกรียมมากกว่า แต่ในเวลาเดียวกันก็ดูมีชีวิตชีวากว่าด้วย สตรีในรูปนั้นอาจเป็นพระอุมา พระลักษมี หรือนางปรัชญาปารมิตาก็ได้ ที่รู้แน่ก็คือ รูปปั้นสวยกว่ารูปสลักใดๆ ที่เรามีอยู่มากครับ”

“เอ…ผมว่าน่าสนใจแฮะ ถ้าเราขอยืมไม่ได้ จะถ่ายรูปมาดูแทนได้ไหมไวฑูรย์”

วิสัน สุรภิญโญ เอ่ยขึ้นอย่างตรึกตรอง แววตามีความสนใจใคร่รู้

นัยน์ตาของไวฑูรย์เป็นประกายขึ้นทันที

“ถ่ายรูปหรือครับ เข้าทีดีเหมือนกัน ผมจะลองดู แต่…”

เขาหยุดคิดนิดนึ่ง แล้วหันไปทางอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญภาษาตะวันออก

“เรื่องนี้เจ้าตัวเจ้าของเขาไม่เต็มใจร่วมมือด้วย หากอาจารย์ทำเรื่องขออนุมัติไปสำรวจ ต้องพยายามโน้มน้าวผู้ใหญ่อย่าให้ขอดูหลักฐานจริงนะครับ ผมหมดปัญญาที่จะเอาของจริงมาให้ดูได้ แม้แต่การถ่ายรูปมานี่ก็เสี่ยงเหมือนกัน เจ้าของเขาต้องการให้เป็นความลับครับ”

อาจารย์อโณทัยขมวดคิ้ว “ท่าจะเป็นของขโมยมาละมั้ง แต่เอารูปถ่ายมาเถอะไวฑูรย์ ผมจะพิจารณาก่อน ถ้าเห็นควรขออนุมัติได้ ผมจะพยายามทำที่คุณบอก”

“ดี” ศาสตราจารย์ ดร.ชไนเดอร์อุทาน สีหน้าแสดงความพออกพอใจ

“ผมคิดว่า ถ้าได้รับอนุมัติเราจะออกเดินทางให้เร็วที่สุดภายในหน้าแล้งนี้ แล้วค้นให้พบ ผมเชื่อว่าเราต้องพบ
แน่ๆ”

“อย่าเพิ่งมั่นใจครับ โปรเฟสเซอร์ เราต้องรอหลักฐานจากไวฑูรย์ให้ได้เสียก่อน”

ดร.ชาวเยอรมันหันมาทางนักโบราณคดีหนุ่ม

“ผมเชื่อมือคุณนะ ไวฑูรย์ เชื่อตาด้วยว่าคงดูอะไรไม่ผิด ความหวังของผมอยู่ที่คุณคนเดียว…วันนี้ผมต้องขอลาไปก่อนละครับ อ้อ ไมน์แฮร์กรุงเทพนี่มีนกกลางคืนชุมจังเลยนะ มันมาเกาะหน้าต่างห้องพักของผมดังพึ่บพั่บทั้งคืน ผมลุกขึ้นไปดูตั้งหลายหนก็ไม่เห็นตัว ได้แต่กลิ่นสาบแรงเหลือเกิน”

“เอ๊ะ! นกอะไรครับ ผมไม่คิดว่าจะมีนกกลางคืนตัวใหญ่อย่างนั้นในกรุงเทพ”

อาจารย์อโณทัยว่า ดร.ชาวเยอรมันก็ยักไหล่

“มีครับ มันมาทำให้ผมรำคาญทั้งคืน เห็นจะต้องบอกผู้จัดการโรงแรมเสียแล้ว”

ไวฑูรย์นึกปราดไปถึงอมนุษย์กึ่งค้างคาวทันที สีหน้าจึงเต็มไปด้วยแววกังวลใจขณะเอ่ยบอก ดร.ชไนเดอร์เร็วปรื๋อด้วยความรู้สึกสังหรณ์อย่างประหลาด

“โปรเฟสเซอร์ฟังผมนะครับ กางเขนที่ห้อยคออยู่นั่นนะ โปรดอย่าได้ถอดออกเป็นอันขาด โปรเฟสเซอร์จะปลอดภัยตราบใดที่ยังสวมอยู่ ผมบอกได้เพียงแค่นี้แหละครับ โปรดอย่าซักถามอะไรเลยเพราะผมก็คงตอบไม่ได้ ที่พูดนี้เป็นไปตามความสังหรณ์ใจเท่านั้น”

ดวงตาสีฟ้าสดใสของ ดร.ชไนเดอร์ มีแววสงสัย แต่เมื่อเห็นสีหน้าแสดงความกังวลอย่างบริสุทธิ์ใจของชายหนุ่ม ก็ยิ้มน้อยๆ ยื่นมือมาตบไหล่อย่างรักใคร่สนิท

“ดังเคอะเชิน ไวฑูรย์ ขอบคุณมาก ปกติผมก็ไม่เคยถอดกางเขนอยู่แล้ว จึงทำตามที่คุณบอกได้ง่ายมาก”

เลิกประชุมแล้ว ไวฑูรย์แบกเอาความหนักอกหนักใจตรงไปหาเพื่อนเกลอนายตำรวจของเขา ร.ต.ท.ทัดเทพกำลังออกเวรพอดี ทั้งสองจึงนั่งรถออกไปด้วยกัน

“หากาแฟอร่อยๆ กินซักถ้วยแล้วกลับเถอะวะ ข้าเหนื่อยเต็มฟัดเลยวันนี้ เหนื่อยทั้งกายทั้งใจ”

ไวฑูรย์ว่าเมื่อทัดเทพจอดรถลงในบริเวณคอฟฟีช็อปแห่งหนึ่งในย่านหรูของกรุงเทพฯ

“แล้วเอ็งไถลมาหาข้าทำไมวะ ทำไมไม่กลับบ้านนอน”

“ก็มีเรื่องปรึกษาน่ะซีเฟ้ย”

สองสหายเดินเข้าไปนั่งในห้องอันอบร่ำด้วยละอองไอเย็นฉ่ำของเครื่องปรับอากาศ สั่งกาแฟและคลับแซนด์วิชคนละที่ แล้วไวฑูรย์ก็เริ่มขึ้น

“ข้าคงจะต้องแอบเข้าไปในบ้านพินทุวดีสักหนละวะ เทพ”

ทัดเทพเงยหน้าจากถ้วยกาแฟมองเพื่อนอย่างประหลาดใจ

“เอ็งจะขออนุญาตตำรวจย่องเบาขึ้นบ้านใครน่ะไม่ได้หรอกโว้ย ซอรี่มาก ข้าช่วยเอ็งไม่ได้ถึงจะเป็นตำรวจก็เหอะ”

“ไม่ใช่ยังงั้น ข้าจะแอบเข้าไปถ่ายรูปโบราณวัตถุต่างหาก เอ็งจำได้ไหมทับหลังอันที่ข้าชี้ให้ดูในห้องท้องพระโรงบ้านนั้นน่ะ ที่พอถามแล้วเธอก็โกรธเอานั่นไง”

ทัดเทพพยักหน้า “แล้วไง”

ไวฑูรย์จิบกาแฟแล้วลงมือเล่าเรื่องการประชุมร่วมกับ ดร.ชไนเดอร์เมื่อตอนบ่ายให้เพื่อนเกลอฟังอย่างละเอียด ทัดเทพนิ่งฟังโดยไม่ปริปาก ไวฑูรย์กล่าวตบท้ายว่า

“เรามีจุดประสงค์ตรงกันโว้ยเทพ เอ็งสงสัยพินทุวดีเรื่องคนหายส่วนข้าสงสัยเรื่องสัตว์ประหลาดกับจารึกโบราณวัตถุ เรามาร่วมมือกันเถอะน่า แอบเข้าไปค้นดู”

“เอ็งคิดจะทำยังไง” ร.ต.ท.ทัดเทพถามอย่างเป็นงานเป็นการ

“เอ็งพยายามทำให้คุณพินทุวดีออกจากบ้านก็แล้วกัน รู้สึกว่าเธอชอบๆ เอ็งอยู่ พอเธอออกไปแล้วเราก็เข้าไปถ่ายรูปในบ้านไว้ เจอเค้าเงื่อนอะไรน่าสงสัยเราก็ถ่ายมาให้หมด”

“พูดยังกะว่าเธออยู่บ้านคนเดียวยังงั้นแหละ ข้าทาสบริวารอื่นๆ ล่ะ มันไม่เตะเอ็งออกมาเสียก่อนหรือวะ”

“จะมีซักกี่คนเชียว เท่าที่เห็นๆ อยู่ก็มีสโรชินี นายชินซึ่งจะต้องขับรถพาคุณพินทุวดีออกนอกบ้าน แล้วก็เจ้าอุษาสวรรค์กับผู้หญิงแม่บ้านอีกคนเท่านั้นแหละ”

“สโรชินี” ดวงตาของนายตำรวจหนุ่มเป็นประกายขึ้นทันทีเมื่อเอ่ยนามนั้น ผิวหน้าก็ร้อนขึ้นอย่างประหลาด

“แผนของเอ็งเข้าทีเหมือนกันวะ ข้าควรจะไปด้วย อยากรู้อะไรอยู่เหมือนกัน”

ไวฑูรย์มองหน้าเพื่อนอย่างพิจารณา

“เอ็งอยากเจอสโรชินีก็บอกมาเถอะ ถามจริงๆ เหอะวะ เทพ เอ็งชอบเธอหรือ”

ร.ต.ท.ทัดเทพมีสีหน้าผิดปกติไปนิดหนึ่ง เสยกถ้วยกาแฟขึ้นดื่มโดยไม่มองหน้าสหาย

“เฮ้ย ไม่มีอะไรหรอก เพิ่งพบกันหนเดียวจะไปรู้สึกอะไร ข้าเห็นว่าหน้าตาดูสวยเศร้าๆ น่ามองเท่านั้นแหละ”

“ระวังคุณอลิศราจะมาฉีกอกเอา”

ทัดเทพขมวดคิ้ว “ข้าไม่มีอะไรกับอลิศรานี่หว่า…เอางี้ก็แล้วกัน ข้าจะบอกคุณพินทุวดีว่า ไอ้สิทธิ์เจ็บหนัก ขอพบพรุ่งนี้ พอเธอออกจากบ้าน เราก็ผลุบเข้าไปเลย ดีไหม”

“เอางั้นก็ได้ แต่ต้องระวังตัวให้ดีหน่อย บ้านนั้นอาจมีอะไรประหลาดๆ ก็ได้ ข้าเชื่อเจ้าช่วงเต็มเหนี่ยวเลยว่ะ ที่มันว่าเห็นเจ้ามนุษย์ค้างคาวในบ้านหลังนั้นน่ะ”

ทัดเทพหัวเราะกร่อยๆ “โธ่ เชื่ออะไรกะคนบ้า”

“อ้าว ทุกอย่างมันมีเหตุผลเชื่อมโยงกันทั้งนั้นนี่หว่า แถวนั้นมีบ้านใหญ่อยู่หลังเดียวคือบ้านคุณพินทุวดี ถ้าเป็นบ้านกระจอกๆ เจ้าช่วงมันคงไม่ย่องเบาให้เสียยี่ห้อตีนแมวของมัน คุณพินทุวดีมีอะไรประหลาดๆ หลายอย่าง ทำไมจะเลี้ยงสัตว์ประหลาดมั่งไม่ได้”

“อะไรวะที่เอ็งว่าประหลาดน่ะ”

“ก็จำไม่ได้หรือ ตอนที่เราไปบ้านเธอไงวะ เจ้าอุษาสวรรค์ที่เธอเรียกว่าแม่ มาไล่เราใหญ่ว่าระวังจะตกเป็นเหยื่อนั่นไง เอ็งไม่สงสัยหรือ แล้วก็เท่าที่คุณพินทุวดีพูดกับคนแก่คนนั้น มันไม่ใช่ท่าทางที่ลูกสาวจะพูดกับแม่นี่หว่า ขู่เอาๆ จนคุณทวดนั้นกลัวหงอเลย นอกจากนั้นท่าทางของเธอตอนเราเอ่ยชื่อเมืองอมฤตาลัย กับโบราณวัตถุต่างๆ ที่สะสมไว้ ก็ล้วนแต่น่าสงสัยทั้งนั้นแหละวะ”

ทัดเทพนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง

“อือ ข้าก็สงสัยเหมือนกันแหละ…ก็เพียงแต่สงสัยเท่านั้น ยังไม่มีเหตุผลอะไรจะไปกล่าวหาเธอก็ต้องเฉยไว้ก่อน เอ็งอย่าปากมากไปล่ะฑูรย์ เรื่องนี้ต้องพยายามสืบ พยายามคลี่คลายกันเงียบๆ กระโตกกระตากไม่ได้ เข้าใจ๋?”

“เข้าใจขอรับ ท่านอนาคตอธิบดีตำรวจ ว่าแต่พรุ่งนี้ได้เรื่องยังไงก็ขอได้โปรดตีตะแลปแก๊ปบอกเกล้ากระผมด้วยนะขอรับ”

 



Don`t copy text!