สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 2 : หลงในเวลา…ยี่สิบเอ็ดนาฬิกา
โดย : แก้ว การะบุหนิง
สะพานข้ามรุ้ง โดย แก้ว การะบุหนิง กับนวนิยายแนวสืบสวนฆาตกรรมจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 4 มีเต็มไปด้วยรายละเอียดของการสืบสวนสุดเข้มข้นและแตกต่าง มาร่วมกันเอาใจช่วย “มาคี” ผู้ที่ตั้งใจจะส่งวิญญาณทุกดวงสู่ทางสว่างและสดใส โดยใช้ตัวเองเป็นกุญแจไขประตูสู่สะพานข้ามรุ้งเหมือนชื่อเล่นของเธอ “คีย์”
“ตึ่ก ตึ่ก ตึ่ก” เสียงรองเท้าย่ำมาบนถนนเป็นจังหวะการวิ่งอย่างรวดเร็ว บางช่วงหยุดเงียบไปแต่ไม่นาน หลังจากนั้นเสียงย่ำเท้าจะดังตามมาอีกเป็นระยะ เสียงหอบหายใจแทรกตามมาไม่ขาดแต่คนที่วิ่งท่ามกลางความมืดก็ยังไม่หยุด ในใจหวาดหวั่นและร้อนรนไปให้ถึงที่หมาย ไม่สนว่าตัวเองจะล้มเข่ากระแทกกี่ครั้ง ไม่สนว่าทางข้างหน้าจะเจออันตรายใดๆ
“คีย์ คีย์” เสียงเรียกอย่างร้อนรนทำให้เด็กสาวที่กำลังสาวเท้าตามกลุ่มเพื่อนชะงัก เด็กสาวในชุดนักเรียนหันไปมองต้นเสียงที่เรียกเธออย่างแปลกใจ เวลาเกือบค่ำหลังเลิกเรียนมีนักเรียนเดินกันพลุกพล่านเพื่อไปเรียนพิเศษบ้าง เล่นกีฬา ทำกิจกรรมอื่น หรือแม้กระทั่งเร่งรีบกลับหอพักเพื่อพักผ่อน
หลังกลับมาเรียนอีกครั้ง มาคีได้เข้าเรียนโรงเรียนประจำเป็นโรงเรียนสตรีแห่งหนึ่ง เพราะสะดวกในการเรียนพิเศษที่เลิกเรียนค่ำหลังจากที่ไปนอนป่วยร่วมปีทำให้เรียนไม่ทันเพื่อน และลดอันตรายในการเดินทาง อีกทั้งที่บ้านของมาคีหลังจากพ่อเสียชีวิต แม่ของเด็กสาวต้องทำงานคนเดียวบางครั้งต้องไปทำงานต่างจังหวัด แม่เลยเลือกให้มาคีอยู่โรงเรียนประจำเพื่อแม่จะได้ทำงานเต็มที่ในวันธรรมดาและมาคีจะได้เรียนพิเศษเพิ่มให้ทันในช่วงที่หายไป
“พี่ฝัน” มาคีอุทานอย่างแปลกใจที่พยาบาลสาวที่คอยดูแลตอนเธอเจ็บป่วยมาหาที่โรงเรียน “สวัสดีค่ะ” มาคียกมือไหว้อีกฝ่าย แล้วชะงักงันไปครู่ใหญ่…
“พี่ฝัน เอ่อ” มาคีมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างสงสัย “มีอะไรรึเปล่าคะ มาหาคีย์ถึงโรงเรียนเลย” มาคีถาม
“คีย์ เราไปหาที่คุยกันสักชั่วโมงนะ” แววตาร้อนรนของเหมือนฝันบอกจุดประสงค์ที่มาว่ามีเรื่องเดือดร้อนแน่ มาคีจับข้อมือบางของผู้มาเยือนเพื่อดึงไปยังร้านไอศกรีมเจ้าประจำข้างหอพัก เด็กสาวเหลือบมองไปด้านหลังเหมือนฝันอีกครั้งอย่างใช้ความคิด
“คีย์ ผู้หญิงคนนั้นมาหาพี่ทุกคืนที่พี่ไม่ได้อยู่เวร” เหมือนฝันละล่ำละลักบอกจุดประสงค์ทันทีที่เข้านั่งในร้าน
“คนนั้น คนไหนคะ” มาคีถามพร้อมกับขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ
“คีย์ฟังนะ อย่าว่าพี่บ้านะ” เหมือนฝันมองเด็กสาวตรงหน้าอย่างคาดคั้น อีกฝ่ายพยักหน้า จะมีใครเข้าใจข้อกล่าวหาเรื่องคนบ้ามากเท่ามาคีได้อีกล่ะ ตั้งแต่ตื่นจากการเป็นเจ้าหญิงนิทรามาคีก็มีเรื่องให้คนอื่นเดือดร้อนไม่ขาด จนทั้งแม่ทั้งครูเป็นห่วงว่ามาคีมีอาการบอบช้ำทางจิตใจหลังสูญเสียพ่อกะทันหันหรือเปล่า
“ไม่ค่ะ คีย์ไม่คิดว่าพี่ฝันบ้าแน่ๆ” มาคียืนยัน
“ผู้หญิง เอ่อ” เหมือนฝันทำหน้ายุ่งยากใจ นี่เธอต้องปรึกษาเรื่องแบบนี้กับเด็กมัธยมหรือ ก่อนหน้าเหมือนฝันเข้ารับคำปรึกษากับจิตแพทย์แต่เปล่าประโยชน์ ความฝันตอนตีสองไม่ได้ดีขึ้นแต่มันกลับออกฤทธิ์ตรงข้ามเมื่อเธอไม่อาจสะดุ้งตื่นเหมือนยามปกติกลับต้องติดอยู่ในฝันร้ายนั้นนานกว่าเดิม…แต่ทุกครั้ง ความฝันจะจบที่ผู้หญิงคนนั้น…
“ใครคะพี่ฝัน” มาคีเร่งเร้า ใบหน้าซูบซีดของอีกฝ่ายบอกได้ชัดว่าเธอต้องตกอยู่กับความกังวลมาสักพักใหญ่แล้ว ดวงตานั้นอิดโรยคล้ำราวกับคนไม่ได้นอนติดต่อกันหลายคืน
“ผู้หญิงคนนั้น” เหมือนฝันบอก ดวงตาเบิกโพลงเล็กน้อย
“คนไหนคะ” มาคีถาม
“คนที่คีย์มาตามพี่ออกไปคืนนั้น” เหมือนฝันกลืนน้ำลาย ความเย็นเยือกของเครื่องปรับอากาศไม่ทำให้ขนลุกเท่ากับความมืดดำเหน็บหนาวในใจ
“คะ” มาคีอุทานเสียงสูง เด็กสาวหันไปมองรอบๆ ตัว “แล้วพี่รู้ได้ยังไงคะว่าเป็นผู้หญิงคนนั้น” มาคีถาม เหมือนฝันรู้ได้อย่างไรว่าเป็นผู้หญิงคนนั้น ในเมื่อคืนนั้นหลังจากมาคีโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว ทั้งสองคนไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้ศพ เห็นอีกทีร่างนั้นก็ห่อผ้าขาวแล้ว
“คีย์ พี่กลัวนะ” เหมือนฝันกระตุกชายเสื้อของเด็กสาวที่เดินด้อมๆ นำหน้าในความสลัวของซอยเปลี่ยว ความเปลี่ยวร้างและวังเวงของซอยรกๆ ชวนให้นึกถึงเรื่องเลวร้ายต่างๆ เด็กสาวร่างบางอดีตผู้ป่วยของเธอเดินท่อมๆ นำหน้า
“คีย์ เรากลับกันไหม พี่กลัวโจร” ด้วยงานสายอาชีพที่สัมผัสจับต้องแต่งานทางวิทยาศาสตร์ทำให้เหมือนฝันกลัวคนด้วยกันมากกว่าภูตผีวิญญาณ ชีวิตเธออยู่กับความตายมากกว่าหนังผีที่ฉายกันในโรงภาพยนตร์
“ชู่ ชู่” มาคีหันมาส่งสัญญาณให้เหมือนฝันเงียบไว้ เธอยังด้อมๆ ไปตามซอกแคบๆ ของซอยเปลี่ยว
ในคืนนั้นมันไม่ต้องใช้เวลานานเลย สิ่งที่มาคีตามหาก็เผยออกมา กลิ่นเหม็นฉุนเฉียวลอยมาปะทะลมหายใจของผู้หญิงสองคน ในครั้งแรกเหมือนฝันได้กลิ่นเพียงผ่านๆ เธอเห็นมาคียืนนิ่งอยู่สักพักกลิ่นเดิมก็ลอยมาปะทะระลอกใหม่ แต่ครั้งนี้กลิ่นฉุนชวนอาเจียนไม่จางหายไป
“คีย์” เหมือนฝันคราง ความรู้สึกหวาดกลัวชัดเจน แม้จะไม่อยากเดาที่มาของกลิ่น แต่กลิ่นเน่าสาบสางชวนอาเจียนก็ทำให้คิดในทางที่ดีไม่ได้ เธอไม่อยากพบเจอเจ้าของกลิ่นนั้นแล้วแต่เด็กสาวตรงหน้าราวกับได้แรงกระตุ้นเพราะเธอยิ่งค้นหารื้อลังกระดาษที่กองทับถมไว้สูง
“คีย์” เหมือนฝันคราง ไม่ได้ตามติดมาคีไปเหมือนตอนมา นี่เธอไม่บ้าก็โง่แน่ๆ ที่หนีเวรตามมาคีออกมาเพื่อค้นหาสิ่งที่กำลังจะเจอ นี่เธอกำลังคิดว่าตัวเองเป็นมิสซิสเจน มาร์เปิ้ล ตัวละครหลักของคุณหญิง อกาธา คริตตี้ นักเขียนนิยายสืบสวนผู้โด่งดังกำลังตามสืบคดีใหญ่อยู่หรืออย่างไร
“เจอแล้วค่ะ” มาคีบอก ทำเอาคนที่เดินตามหลังห่างๆ ถึงกับสะดุ้งเข่าอ่อน เด็กสาวรื้อลังกระดาษที่กองสุมกันกองใหญ่ออก…ที่นั่น ปลายเท้าขาวซีดราวกับกระดาษโผล่พ้นลังกระดาษออกมา
“พี่ฝัน พี่ฝัน” มาคีเรียกหญิงสาวร่างบางตรงหน้าที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ของตัวเอง “พี่ฝันรู้ได้ยังไงคะว่าเป็นผู้หญิงคนนั้น” มาคีถามอย่างสงสัยเพราะเหตุการณ์คืนนั้นเหมือนฝันไม่ได้เข้าไปใกล้ศพนั้นด้วยซ้ำ
“คือ ข่าวเขาลงชื่อไว้นะคีย์ ตอนแรกพี่ไม่กล้าไปสืบอะไรหรอก แต่พอฝันแบบนั้น พี่ก็ลองไปตามดูรูป…” เหมือนฝันถอนหายใจ “เป็นเธอจริงๆ นะคีย์ พี่ต้องทำยังไงดี ทำบุญให้ก็แล้ว หาพระหาของศักดิ์สิทธิ์มาใส่ก็แล้ว” เหมือนฝันหยิบสร้อยพระออกมาให้คนตรงหน้าดู “แล้วคีย์ล่ะ ผู้หญิงคนนั้นมาหาบ้างไหม”
มาคีรับฟังเรื่องที่เหมือนฝันเล่า แต่เด็กสาวไม่เคยเจอผู้หญิงคนนั้น วิญญาณที่เธอเจอคือผู้หญิงที่พบกันครั้งแรกที่หอผู้ป่วยหลังจากมาคีนอนตื่นจากการเป็นเจ้าหญิงนิทรา นี่เหมือนฝันก็เห็นเรื่องแบบนั้นเหมือนมาคีหรือ เด็กสาวมองไปรอบๆ ร้าน ร่างของใครบางคนที่ตามเหมือนฝันมาไม่ตามมาที่นี่ ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม…มาคีไม่อาจรู้…
“คีย์ ทำไมคืนนั้นคีย์รู้เรื่องผู้หญิงคนนั้น บอกพี่ได้ไหม” เหมือนฝันเร่งเร้า “พี่อยากรู้ว่าทำไม แล้วผู้หญิงคนนั้นเขาตามพี่ทำไม”
คำถามของเหมือนฝันเป็นสิ่งที่มาคีอยากรู้เช่นกัน คืนนั้นผู้หญิงที่นอนหมดสติใส่ท่อช่วยหายใจคนนั้นมาเร่งเร้าให้มาคีออกไปที่ตรอกเปลี่ยวนั่น เด็กสาวไม่รู้เลยว่าเธอจะพบอะไรที่นั่น แต่ที่รู้คือสิ่งที่จะพบที่ตรอกเปลี่ยวในคืนนั้นคือสาเหตุ
“นี่คือปากคำที่น้องคีย์บอกมา ลองอ่านดูนะครับ” นายตำรวจหนุ่มยื่นเอกสารปึกหนามาตรงหน้ามาคี วันนี้เด็กสาวลากิจจากโรงเรียนครึ่งบ่ายเพื่อมาสืบพยานให้การกับโรงพักที่เกิดเหตุเรื่องการพบศพผู้หญิง
“คีย์อ่านแล้วค่ะผู้กอง” มาคีเลื่อนเอกสารกลับไปตรงหน้านายตำรวจหนุ่ม
“อ้าว พี่นึกว่าคีย์มาเรื่องนี้ซะอีก” คนพูดทำหน้าแปลกใจก่อนเก็บสำนวนคดีเข้าซองไว้มิดชิด
การมาให้การที่โรงพักหลายครั้ง ทำให้มาคีย์คุ้นเคยกับร้อยตำรวจเอกเอื้ออังกูรเจ้าของคดีมากขึ้น
“ผู้กองรู้ตัวคนทำหรือยัง” คนพูดทำหน้าวิตก ถามตรงวัตถุประสงค์ที่เธอมาโรงพักวันนี้ อีกฝ่ายมองสบตานิ่งพร้อมกับส่ายหน้า
“มันไม่เหลือหลักฐานอะไรเลย ศพนั่นก็ไม่เหลืออะไรให้เก็บ ตอนนี้เราส่งนิติเวชเพื่อค้นหาอัตลักษณ์ ดีเอ็นเอ” คนพูดนึกถึงหญิงเคราะห์ร้ายที่เสียชีวิตและถูกอำพรางคดีไว้ร่วมอาทิตย์กว่าจนศพไม่เหลืออะไรให้สืบเท่าไร “คีย์มีอะไรหรือเปล่า” นายตำรวจอ่านสีหน้ากังวลชัดเจนของเด็กสาวตรงหน้า
“คือ เรื่องมันไม่ได้จบที่เราเจอศพแล้วคนร้ายหนีไปนะคะผู้กอง” มาคีอึกอักน้ำท่วมปาก
“เอางี้นะคีย์ เรียกพี่ว่าพี่ หรือพี่เอื้อดีกว่า เราน่ะรุ่นเดียวกับน้องพี่เลย เรียกผู้กองแล้วมันตลกไงไม่รู้” คนพูดหัวเราะในลำคอมองหน้าอีกฝ่ายที่ไม่ตอบอะไรได้แต่ถอนหายใจเพราะคิดแต่เรื่องของตัวเอง
“แน่นอน มันไม่จบ เราจะหาตัวคนทำมารับโทษ” นายตำรวจบอกพลางทำหน้าแปลกใจ มองเด็กสาวตรงหน้าอย่างสงสัย “คีย์เป็นอะไร มีอะไรจะบอกพี่ไหม”
เด็กสาวมองหน้านายตำรวจนิ่ง คดียังไม่มีความคืบหน้า หลักฐานไม่ได้ชี้ชัดไปที่ผู้ต้องหาคนไหน แต่มาคีรับรู้ได้ถึงเรื่องร้ายที่กำลังจะตามมาอีก มันยังไม่จบ…แต่ก็ไม่รู้ว่าเงาดำเลือนรางนั่นคืออะไร รู้แค่ว่าเรื่องร้ายกำลังมา
หลังออกจากโรงพัก มาคีกลับไปที่หอพักของโรงเรียน ทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดแต่ตัดประเด็นเรื่องวิญญาณผู้หญิงที่นอนโคม่าที่หอผู้ป่วยนั้นออกไป ผู้หญิงสองคนนั้นเป็นเพื่อนกันแน่ๆ หรือถ้าไม่เป็นเพื่อนก็น่าจะเป็นคนรู้จัก อายุก็ไล่ๆ กัน สิบเก้าปี…สิบเก้าปีเอง โตกว่ามาคีไม่กี่ปีเอง แต่ทำไมไม่มีญาติตามหา เหมือนฝันบอกว่าผู้หญิงที่นอนโคม่าอยู่นั่นพลเมืองดีนำส่ง หรือเธอมาโรงพยาบาลเองก็ไม่อาจรู้ได้ ไม่มีหลักฐานใดๆ ติดตัวว่าเป็นใคร มาจากไหน รู้แต่ว่าผู้หญิงนั้นล้มฟุบอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉิน
ส่วนผู้หญิงที่ตรอกนั่น…ชื่อเธอ…เธอไม่ใช่คนไทย ใช่แล้วเธอไม่ใช่คนไทย
“ทางตำรวจก็ยังตามสืบอยู่จ้ะ เราเองยังไม่รู้เลย” เหมือนฝันบอก วันนี้พยาบาลสาวขึ้นเวรเช้า เวลาห้าโมงเย็นกว่าๆ หลังส่งเวรและเตรียมกลับไปพักผ่อน อยู่ดีๆ มาคีก็โผล่เข้ามาหาที่หอผู้ป่วย
“พี่ฝันๆ ได้ชื่อ ที่อยู่ผู้หญิงเตียงสามหรือยังคะ” โดยไม่มีปี่มีขลุ่ย มาคีเปิดคำถามจนพยาบาลคนอื่นที่นั่งอยู่เงยหน้าขึ้นมองอย่างสงสัย
“อะไรกัน สองพี่น้องนี่ จะไปทำอะไรกันอีก” วรรณภา…พยาบาลหัวหน้าหอผู้ป่วยท้วง วรรณภาเป็นพยาบาลวัยสี่สิบปี หัวหน้าหอผู้ป่วยอายุรกรรม เธอคุ้นเคยกับมาคีดีไม่ต่างจากเหมือนฝัน มีเพียงเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นกับเด็กสาวเท่านั้นที่เธอไม่รู้ ต่างจากเหมือนฝันที่วัยไม่ต่างกันมากทำให้มาคีกล้าที่จะเล่าเรื่องผิดธรรมชาติให้ฟัง
“เปล่าสักหน่อยนะคะ” มาคีทำหน้าย่นใส่
“ดีแล้ว อย่าสร้างเรื่องกันนะ วันนั้นตำรวจก็มาสอบปากคำที่วอร์ดให้เต็มไปหมด” วรรณนภาค้อนขวับ
“คีย์ขอโทษนะคะที่ทำให้วุ่นวาย” มาคียกมือไหว้ขอโทษปลกๆ
“โอ๊ย พี่แซวเล่นเฉยๆ ไม่ได้โทษอะไรเราหรอก” หญิงสูงวัยกว่าหัวเราะ “เป็นห่วงสองสาวแหละ อย่าไปสร้างเรื่องอะไรอีก ออกไปไหนดึกๆ ดื่นๆ แบบนั้นมันอันตราย” วรรณนภาหัวเราะ
“ไม่ไปทำอะไรแบบนั้นแล้วค่ะหัวหน้า” เหมือนฝันยิ้มแห้งใส่
“อืม ดีแล้ว เราน่ะพักนี้ดูโทรมไปเลย ลาพักผ่อนก็ได้นะ” วรรณนภาบอก หลังจากเหตุการณ์คืนนั้นเหมือนฝันก็เหมือนคนไม่ได้นอน เพียงอาทิตย์เดียวหญิงสาวผอมลงทันตาเห็น เหม่อลอย แทบไม่กินอะไรเลยด้วยซ้ำ
“ขอบคุณค่ะ” อีกฝ่ายรับคำเลื่อนลอย
“พี่กลับก่อนนะ เหมือนสาวๆ มีความลับจะคุยกัน” คนพูดขยิบตาใส่อย่างรู้ทัน มาคีพนมมือไหว้ผู้สูงวัยกว่าที่พยักหน้ารับและยิ้มให้
“มีอะไร” เหมือนฝันลากมาคีออกมาจากห้องทำงานพยาบาล “อยู่ดีๆ มาโพล่งถามความลับคนไข้แบบนั้นไม่ได้นะ” เหมือนฝันทำเสียงดุ
“คีย์ขอโทษค่ะ” มาคีทำเสียงอ่อยสำนึกผิด “แต่มันสำคัญจริงๆ นะคะ คีย์ว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คนไทยแน่ๆ ค่ะ” มาคีพยักหน้าไปที่เตียงสาม
“รู้ได้ไง” เหมือนฝันถาม น้ำเสียงยังเจือตำหนิอยู่
“ก็ผู้หญิงที่เราเจอที่ตรอกนั้นไม่ใช่คนไทย แล้วผู้หญิงที่นอนอยู่นั่นก็ไม่มีญาติติดต่อมาเลย ไม่มีใครตามหา” มาคีบอก
“คีย์หมายถึงอะไร” เหมือนฝันจ้องเขม็ง
“เดี๋ยวคีย์จะไปแถวนั้นอีก มันต้องมีอะไรแน่ๆ” มาคีบอก
“ฮะ! อะไรนะ ไม่นะคีย์ พี่ไม่ไปหรอก” เหมือนฝันพูดหนักแน่น ภายในสองสามเดือนนี้ถ้าเธอยังไม่หายจากอาการประสาทหลอนที่มีผู้หญิงคนนั้นมาเข้าฝันทุกคืน เธอจะไม่มีทางไปเดินแถวนั้นแน่ ไหนจะคำพูดสำทับของวรรณภาที่ห้ามทั้งสองคนออกไปเตร็ดเตร่ยามค่ำนั่นอีก…
“คีย์ กลับกันเถอะ” เหมือนฝันกระตุกแขนมาคีที่เดินท่อมๆ ไปตามซอยต่างๆ แถวนี้เป็นชุมชนแออัด มีบ้านเรือนตั้งอยู่ติดๆ กัน มีคนเดินพลุกพล่านไม่เปลี่ยวจึงทำให้บรรยากาศรอบตัวไม่น่ากลัวแม้เวลาจะล่วงเลยมาจนค่ำแล้ว ถึงไม่มีบรรยากาศชวนยะเยือกเหมือนค่ำคืนนั้นแต่กลิ่นสาบสางก็ยังตามหลอกหลอนเหมือนฝันแม้ว่ากลิ่นนั้นไม่มีอยู่จริง
“คีย์หิวแล้วค่ะ” มาคีหันมาบอก
“กลับไปกินแถวหอพักคีย์ก็ได้” เหมือนฝันพูด รู้สึกอยากจะหนีจากชุมชนนี้ให้เร็วที่สุด ยิ่งเรื่องหาอะไรกินของมาคีนี่ตัดทิ้งไปเลย เหมือนฝันรู้สึกถึงก้อนแข็งๆ ที่จุกอยู่ที่คอ…ใครจะไปกินลง สุดท้ายมาคีก็ลากเหมือนฝันเข้าร้านอาหารข้างทางอยู่ดี
“ป้าพร เอาข้าวผัดยี่สิบกล่อง” เสียงชายร่างผอมตะโกนบอกแม่ค้าหลังเข้ามาในร้าน ร่างผอมโกรกนั้นไม่สนใจลูกค้าที่นั่งรอคิวอาหารอีกหลายคน
ร้านอาหารตามสั่งในห้องแถวเก่าเป็นสถานที่ฝากท้องของคนในชุมชน ร้านเก่าแก่ไม่หรูหราแต่ลูกค้าแน่นตลอดเพราะราคาอาหารไม่แพง แถมอยากกินอะไรก็มีตัวเลือกให้กินมากมาย
“รอนานหน่อยนะชิต ลูกค้าเยอะ” แม่ค้าร่างท้วมตะโกนกลับมาจากหลังกระทะในขณะที่มือง่วนอยู่กับการคนอาหาร “นี่ใจคอจะสั่งข้าวผัดทุกวันรึไง” คนพูดถามอย่างสงสัย
“ข้าวผัดนั่นแหละ ง่ายดี เร็วดีด้วย” ชายร่างผอมตอบกลับพร้อมกับหย่อนตัวนั่งที่เก้าอี้ว่างตัวหนึ่ง
“ฉันก็กลัวเบื่อกัน” แม่ค้าเปรย
“เบื่อไม่เบื่อก็กินๆ ไปเถอะ” คนพูดยักไหล่ไม่ยี่หระ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นเกมฆ่าเวลา ท่าทางมือสั่นขณะจับโทรศัพท์จนน่ากลัวโทรศัพท์จะหล่นลงพื้น
“ดีที่บ้านไม่เรื่องมากนะ บ้านป้านี่กับข้าวซ้ำกันไม่ได้เลย” หญิงวัยกลางคนที่นั่งโต๊ะข้างๆ ออกความคิดเห็น
“ได้กินก็บุญแล้วป้า” ชายร่างผอมบอก
“อ้อ ป้าพร เอาข้าวราดผัดพริกแกงหมูแยกต่างหากสองกล่อง” คนพูดบอกเหมือนนึกอะไรได้ “ลืมไปว่าพ่อฝากซื้อ”
“อ้าว วันนี้ตาศักดิ์ไม่ไปขับแท็กซี่เหรอ” แม่ค้าถามอย่างคนคุ้นเคยกัน
“พ่อเจ็บขาน่ะ เลยพักสักวัน” อีกฝ่ายตอบ
“ป้าก็เห็นพ่อเราเดินกะเผลกมาตั้งนาน ปวดเรื้อรังเลยสิ แก่แล้วโรคก็รุมเร้าแบบนี้แหละ”
“อืม” อีกฝ่ายรับคำตัดบท ท่าทางขยับซ้ายขวาอยู่ไม่นิ่งชวนให้หญิงสาวผิวขาวที่นั่งอยู่ที่โต๊ะด้านในขัดหูขัดตายิ่งนัก
“พี่บอกแล้วให้กลับไปกินใกล้ๆ หอ” พยาบาลสาวค้อนขวับใส่มาคีที่เหลือบมองชายร่างผอมเป็นระยะๆ “ติดยาแน่ๆ” เสียงกระซิบยังขัดใจไม่หาย
“เอาน่าพี่ฝัน เปลี่ยนบรรยากาศเนาะ” มาคีบอกยิ้มๆ สายตาเหลือบแลไปที่ชายร่างผอมไม่หยุด แวบหนึ่งเหมือนฝันจับได้ว่าเด็กสาวตาค้าง มือถือช้อนนิ่งไปครู่ใหญ่
“อะไรคีย์ อะไร” พยาบาลสาวคาดคั้น อีกฝ่ายส่ายศีรษะ “อะไร” เหมือนฝันเน้นคำถาม “คีย์” เหมือนฝันทำเสียงดุ
“ผู้หญิงคนนั้นมา” มาคีย์อ้อมแอ้มไม่เต็มเสียง
“คนไหน มาทำไม” คนที่คาดคั้นเอาคำตอบตาโตอย่างตระหนก “คนไหน คนที่นอนโคม่าอยู่เหรอ” ถ้าเป็นสิ่งที่เหมือนฝันอยากได้ยิน หญิงสาวก็ต้องผิดหวัง
“คนที่มาเข้าฝันพี่ฝันทุกคืน…คนนั้น” มาคีบอก
“ถามเขาสิว่าต้องการอะไร” เหมือนฝันหน้าซีดเผือด ฝันร้ายตลอดสัปดาห์ยังแจ่มชัดจนเหมือนฝันลืมไปว่ามาคีไม่สามารถสื่อสารกับอีกฝ่ายได้ขนาดนั้น
“คีย์ เอาไงล่ะคราวนี้ ดึกอีกจนได้” เหมือนฝันถามน้ำเสียงวิตก ชุมชนนี้ก็ประหลาดกลางวันคนพลุกพล่านมาก พอดึกมาทั้งถนนเงียบกริบเหมือนไม่มีใครอยู่
หลังกินอาหารเสร็จ หญิงสาวที่มาคีบอกตามมาเหมือนจะสื่อสารให้มาคีตามเธอไป แถมมาคีก็เชื่อตามผู้หญิงที่ไม่รู้จักคนนั้นไป ครั้งนี้เหมือนฝันเดินตามมาคีไปตามตรอก ซอย ไม่ห้ามปรามเพราะเธอเองก็อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ผู้หญิงคนนั้นถึงได้มารบกวนเธอไม่เลิก
ความน่าแปลกของชุมชนนี้แม้จะเป็นชุมชนแออัด แต่พอค่ำมาทุกบ้านต่างก็ปิดประตูหน้าต่างอยู่ในบ้านเงียบกริบ ไม่มีใครออกมาเดินเพ่นพล่าน ทำให้บรรยากาศเปลี่ยนจากตอนหัวค่ำที่พลุกพล่านเป็นเปลี่ยวร้างเช่นคืนที่พบศพผู้หญิง
ร่างบางผลุบโผล่ให้มาคีเห็นและเดินตามไปยังตรอก ซอย แคบๆ อยู่พักใหญ่ ก่อนร่างนั้นจะหายไปทิ้งให้มาคียืนคิ้วขมวดด้วยความไม่เข้าใจ
“ไปทางไหนอีก” เหมือนฝันถาม เธอพร้อมที่จะเผชิญเรื่องราวของผู้หญิงแปลกหน้าที่ตามรบกวนเธอยามค่ำ
“เขาหายไปแล้ว” มาคีบอกตามจริง ถึงเด็กสาวจะสื่อสารกับวิญญาณได้บ้าง แต่ไม่ใช่จะพูดคุยกันรู้เรื่องเช่นคุยกับคนด้วยกัน
“เอ้า” เหมือนฝันอุทานได้แค่นั้น จากที่กลัววิญญาณหญิงสาวต่างด้าว ตอนนี้เมื่อมองไปรอบๆ ก็ต้องกลัวบรรยากาศเปลี่ยวนี่แทน “เอาไงล่ะ เรากลับกันก่อนไหม” คนพูดเสนอความคิดเห็นเพราะเกรงจะไม่ปลอดภัย
“ค่ะ” มาคีพยักหน้ารับ รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลของวิญญาณหญิงสาว ไม่รู้ว่าต้องการอะไรกันแน่ถึงได้หลอกให้มาคีเดินวนไปมาในตรอก ซอยนี้จนดึก
“ไม่เห็นมีอะไรเลย” มาคีอดเปรยอย่างผิดหวังไม่ได้
“นี่ไงคีย์ เขาถึงเรียกผีหลอกน่ะ” เหมือนฝันพูดอย่างหงุดหงิด “หลอกให้เราเดินวนจนดึกเนี่ย” แม้จะกลัวแต่น้ำเสียงของเหมือนฝันก็เคืองไม่น้อย
“นั่นสิพี่ คีย์ไม่เข้าใจ” มาคีมองไปรอบๆ วิญญาณผู้หญิงตนนั้นหายไปทิ้งไว้เพียงแสงสีส้มสลัวของไฟริมทางและความมืดมิดชวนจินตนาการของตรอกแคบๆ
“จะบอกอะไรก็ไม่บอก ต่อไปไม่ต้องมาเข้าฝันฉันแล้วนะ” คนพูดพูดกับลมกับแล้งหวังให้อีกฝ่ายได้ยิน ความกลัวกับความโกรธสลับกันไปมาจนเหมือนฝันถอนหายใจไม่หยุด
“บ้าบอ ห้าทุ่มเข้าไปแล้ว” นี่เธอกับมาคีเดินตามผู้หญิงคนนั้นจนห้าทุ่มเชียวเหรอ
“พี่ฝัน แท็กซี่มาแล้ว” มาคีบอกอย่างดีใจ ถึงแม้จะยืนอยู่สองคนแต่ถนนเปลี่ยวแบบนี้อย่างไรเสียก็น่ากลัวอยู่ดี การรีบหนีไปจากสถานที่แห่งนี้เป็นเรื่องควรรีบทำมากที่สุด
“ไปไหนครับ” คนขับแท็กซี่เป็นชายวัยหกสิบกว่า
“ไปโรงเรียน…ข้างๆ จะมีหอพักค่ะ” เหมือนฝันบอก ตั้งใจจะไปส่งมาคีที่หอพักก่อนถึงจะกลับไปพักผ่อนบ้าง
“มาทำอะไรแถวนี้กันมืดๆ ครับ” คนขับแท็กซี่ถาม
แน่นอนละว่าเป็นใครก็ต้องสงสัย ทำไมผู้หญิงสองคนมาเดินดุ่มๆ ในซอยเปลี่ยวในเวลาห้าทุ่มกว่า มาคีและเหมือนฝันมองหน้ากัน ถึงจุดนี้ทั้งสองนึกได้และสงสัยไม่ต่างจากคนขับแท็กซี่ว่าทั้งคู่มาเดินท่อมๆ ทำไม
“เป็นผู้หญิงไม่น่ามาเดินในสถานที่เปลี่ยวนะครับ นี่พ่อแม่ไม่ได้อยู่ด้วยเหรอถึงพักหอพัก” คนขับชวนคุยต่อพร้อมกับมองหน้ามาคีผ่านกระจกมองหลัง
“อยู่ด้วยค่ะ แต่พักหอสะดวกกว่า” เหมือนฝันชิงพูดก่อนมาคี “พอดีมาเยี่ยมญาติแถวนี้” เหมือนฝันโกหก ก่อนจะเหลือบตามองมาคีเป็นเชิงเตือนไม่ให้พูดมาก
“อ้อ ครับ” คนขับเหลือบมองทั้งสองคนสลับกัน
“ขอบคุณพี่ฝันนะคะที่เชื่อคีย์” มาคีกระซิบ
“ก็เกือบไม่เชื่อแหละ” เหมือนฝันคราง ถ้าย้อนเวลากลับไปได้เธอเลือกไม่เชื่อมาคีตั้งแต่ทีแรกเสียดีกว่า ภาพของร่างไร้ชีวิตที่ถูกพันด้วยผ้าขาวยังติดตาอยู่จนทุกวันนี้
“คีย์บอกพี่ว่า ผู้หญิงคนนั้นเขาไม่ยอมไปเพราะเค้ามีห่วง แต่เราก็เจอเพื่อนเค้าแล้ว ทำไมกลายเป็นเพื่อนเขาที่ตามเรา แถมหลอกเรามาเดินเสี่ยงอยู่นี่อีก” เหมือนฝันหันมาถามเด็กสาว ท่าทางหวาดกลัวกลับมาอีกครั้ง มาคีเองก็มองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามไม่ต่างกัน
“คีย์…” เหมือนฝันถามซ้ำ มาคีถอนหายใจอย่างหนักใจ เด็กสาวไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้สักอย่าง รู้แค่ว่าเธอกลับมาที่โลกนี้อีกครั้งเพื่ออะไรบางอย่าง…มาคีฟื้นขึ้นมาจากอาการโคม่าเพื่อพบว่าเธอได้เห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น ผู้หญิงคนนั้นมาขอร้องให้ช่วย มาร้องไห้คร่ำครวญแต่ไม่เคยบอกอะไรมาคีเลย…จนตอนนี้ วิญญาณผู้หญิงอีกคนก็หลอกให้เธอมาเดินตามจนดึกดื่น
มาคีส่ายหน้า ยกมือขึ้นลูบใบหน้าตัวเองอย่างงุนงง…เด็กสาวเงยหน้ามามองคนข้างๆ ในลานสายตาที่เก้าอี้ข้างคนขับใครบางคนนั่งอยู่ที่นั่น มาคีเงยหน้าไปมองอย่างตกใจ…วิญญาณผู้หญิงในซอยเปลี่ยวหันมามองเธอ ไม่มีเสียงร้องขอความช่วยเหลือ ไม่ร้องไห้คร่ำครวญ สายตาที่เคยว่างเปล่าตอนนี้เต็มไปด้วยความอาฆาต…
“กรี๊ด”…
ในห้วงที่สติล่องลอยหมุนวนไปรอบด้าน มาคีรู้สึกว่าตัวเองกำลังลอยไปอย่างไม่รู้ทิศทาง หวาดกลัวและสับสนกับสถานที่ชินตา ทุกครั้งที่สติหลุดเธอจะกลับมาที่นี่ หลายแห่งเป็นจุดดำมืด หลายแห่งกลับสว่างจนปวดแสบตา ไม่รู้ต้องไปทางไหนดีนอกจากหมุนวนไปมาอย่างสับสน
“คีย์” เสียงเรียกอย่างปรานีดังมาจากที่หนึ่งในสถานที่กว้างใหญ่นี้ “คีย์ ลูก” มาคีตามหาต้นเสียงนั้น เสียงของพ่อเธอนั่นเอง
“พ่อคะ พ่ออยู่ไหน คีย์กลัว” มาคีหันซ้ายหันขวาอย่างหวาดกลัว เธอกำลังเผชิญกับเรื่องอะไรอยู่กันแน่ สถานที่นี้เป็นเรื่องจริงหรือความฝันของเธอ แต่จะเป็นฝันร้ายหรือฝันดีกันแน่หรือ
“พ่อคะ พ่ออยู่ไหน มาหาคีย์หน่อย มาพาคีย์ไปกับพ่อหน่อยค่ะ” มาคีย์เริ่มร้องไห้เพราะความหวาดกลัว
“มาคีฟังพ่อนะ…” แม้พ่อจะกำลังพูดแต่เสียงนั้นกลืนหายไปเสียอย่างนั้น ก่อนที่พ่อจะค่อยๆ ห่างไกลออกไปทุกที
“พ่อคะ คีย์กลัว อย่าทิ้งคีย์ไป คีย์กลัว” มาคีย์กรีดร้องอยู่คนเดียวในสถานที่แปลกตา แต่เสียงที่เธอตะโกนออกมาช่างแผ่วเบาราวกับมันกลืนหายไปกับหลุมมืดๆ ที่กระจายอยู่ทั่วไป “คีย์กลัว” มาคีร้องไห้อยู่พักใหญ่ ไม่มีเสียงคุ้นเคยของพ่อให้ได้ยินอีก เสียงค่อยๆ กลืนรวมเข้าไปกับพื้นที่โล่งๆ นั้นแล้ว รอบด้านกำลังหมุนเหวี่ยงไปมาจนมาคีรู้สึกคลื่นไส้ เด็กสาวรับรู้ว่าเธออยู่ที่นี่ต่อไปอีกไม่ไหวแล้วเพราะรอบด้านหมุนเหวี่ยงจนเธอกลัวว่าร่างทั้งร่างจะหลุดออกจากกัน
“คีย์ คีย์” เสียงคุ้นเคยกระตุ้นให้สติที่หมุนวนกลับมา “คีย์ ตื่น คีย์”
มาคีลืมตาอย่างยากเย็น ภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือหญิงสาวร่างบางที่มาคีคุ้นเคยและสนิทด้วย “พี่ฝัน คีย์ปวดหัว”
“คีย์ อย่าเสียงดัง” เหมือนฝันกระซิบ พยายามใช้ไหล่ดันมาคีให้ทรงตัวขึ้น
“ทำไมคะ” เด็กสาวสะบัดศีรษะไล่ความมึนงงก่อนจะรู้สึกว่ามือทั้งสองข้างถูกมัดไพล่ไปข้างหลัง เหมือนฝันก็ไม่ต่างกัน
“พี่ว่า…นี่คือเรื่องที่วิญญาณผู้หญิงในตรอกนั่นอยากบอกเรา” แม้จะไม่มีสัมผัสพิเศษเช่นมาคีแต่การประมวลเหตุการณ์ของเหมือนฝันเป็นระบบและมีสติมากกว่า
“คราวนี้ก็รู้แล้วว่าเธอมาเข้าฝันพี่ทำไม”
“คะ” มาคียังมึนจากฤทธิ์ยาสลบ
“มาช่วยกันคิดว่าเราจะหนียังไง แม่วิญญาณสาวนั่นจะช่วยเราไหมคีย์”
มาคีมองไปรอบห้อง หน้าต่างปิดมุ้งลวดสีทึบด้านนอก ด้านในมีเหล็กดัดใส่ไว้ ประตูปิดสนิท ที่มุมห้องไม่ต่างกันเด็กสาวอีกสองสามคนถูกมัดไว้ บ้างนอนหลับ บ้างนั่งร้องไห้…ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเธอและเหมือนฝันโดนจับขังอยู่ในนี้ แต่ที่พวกนั้นไม่รู้…ยังมีอีกร่างหนึ่งนั่งอยู่อีกมุมหนึ่งจ้องมาที่มาคีด้วยแววตาอาฆาตแค้นอย่างที่สุด…