
สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 8 : หลงในใจ
โดย : แก้ว การะบุหนิง
สะพานข้ามรุ้ง โดย แก้ว การะบุหนิง กับนวนิยายแนวสืบสวนฆาตกรรมจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 4 มีเต็มไปด้วยรายละเอียดของการสืบสวนสุดเข้มข้นและแตกต่าง มาร่วมกันเอาใจช่วย “มาคี” ผู้ที่ตั้งใจจะส่งวิญญาณทุกดวงสู่ทางสว่างและสดใส โดยใช้ตัวเองเป็นกุญแจไขประตูสู่สะพานข้ามรุ้งเหมือนชื่อเล่นของเธอ “คีย์”
“รับคนไข้เฝ้าระวังอาการทางระบบประสาทด้วยค่ะ เด็กผู้หญิงอายุสิบเอ็ดปี” เสียงพยาบาลงานอุบัติเหตุฉุกเฉินส่งเวรผู้ป่วยผ่านทางโทรศัพท์
“เอ เด็กอายุสิบเอ็ดปีไม่ไปตึกเด็กหรือคะ หรือตึกเต็ม” หอผู้ป่วยอายุรกรรม มีข้อกำหนดรับผู้ป่วยอายุรกรรมอายุมากกว่าสิบห้าปีขึ้นไป เพื่อที่รับการดูแลโรคทางอายุรกรรม
“ตึกเด็กเต็มค่ะ ช่วงนี้ตึกเด็กแน่นมาก โรคระบบทางเดินหายใจล้นออกมานอกตึกเลย” พยาบาลที่ส่งเวรรายงาน “น้องได้รับอุบัติเหตุตกจากระเบียงชั้นสองของบ้าน ศีรษะกระแทก สลบไม่ทราบเวลา…”
“อุ๊ย เดี๋ยวนะคะ ขอโทษที่แทรกอีกครั้ง อุบัติเหตุทางสมองนี่ต้องไปตึกศัลยกรรมหรือเปล่าคะ” คนพูดอ้อมแอ้มเกรงใจ แต่โรคทางศัลยกรรมไม่อยู่ในกลุ่มโรคที่ตึกจะรับไว้ดูแล
“อ้อ ต้องขอโทษเหมือนกันค่ะที่ลืมแจ้ง ตึกศัลย์เต็มเหมือนกัน วันหยุดยาวมีแต่อุบัติเหตุค่ะ มีคนไข้รอผ่าตัดล้นตึกเลย” อีกฝ่ายพูด
“อ้อ ค่ะ”
สถานการณ์โรงพยาบาลนอกจากประเมินได้ตามฤดูกาลแล้ว ยังประเมินได้ตามเทศกาล ช่วงฤดูหนาวฝุ่นเยอะเด็กป่วยโรคระบบทางเดินหายใจกันมาก ถ้าเป็นช่วงวันหยุดยาวโรคทางศัลยกรรมพวกดื่มสุรา อาเจียนเป็นเลือด กระเพาะทะลุจะมียอดเพิ่มมา ส่วนศัลยกรรมกระดูกก็เตรียมรับอุบัติเหตุรถล้มรถชน คิวห้องผ่าตัดยาวชนิดข้ามวันข้ามคืนกันทีเดียว การทำงานในโรงพยาบาลไม่มีวันหยุด ไม่มีเวลาหยุด ทำงานวนไปยี่สิบสี่ชั่วโมงไม่ว่าฤดูกาลหรือเทศกาลไหน
“รับผู้ป่วยด้วยค่ะ เตียงไหนคะ” พยาบาลห้องฉุกเฉินที่มาส่งผู้ป่วยเดินมาที่เคาน์เตอร์ท่าทางเร่งรีบบอกได้ว่ายังมีผู้ป่วยอีกหลายรายรออยู่ที่ห้องฉุกเฉิน
“เตียงหนึ่งเลยค่ะพี่ฝน” มาคีที่กำลังเตรียมเอกสารรับบอกก่อนจะวางมือจากเอกสารเดินตามไปที่เตียง
“ตัวเล็กนิดเดียวเอง น่าสงสารจัง” สุรีย์ที่มาถึงเตียงผู้ป่วยก่อนพึมพำ เด็กหญิงวัยสิบขวบมีผ้าก๊อซปิดบริเวณใบหน้าด้านหนึ่ง ส่วนที่พันไว้รอบๆ ศีรษะมีเลือดสีแดงซึมเล็กน้อย รอบคอพันเฝือกอ่อน ผิวหนังบริเวณแขนที่โผล่พ้นผ้าคลุมออกมามีรอยจ้ำเขียว
“ถ้าอาการทางสมองไม่เปลี่ยนแปลงแพลนเอกซเรย์ซ้ำอีกสามวัน แต่ถ้าซึมลงก็ขอซีทีด่วนได้เลยนะ” คนพูดหันมาพูดกับมาคีที่ช่วยเลื่อนตัวเด็กผู้หญิงลงเตียง
“พี่สุรีย์คะ รบกวนหยิบไฟฉายให้คีย์หน่อย” มาคีประเมินอาการทางระบบประสาทพื้นฐานหลังรับเด็กหญิงไว้ที่เตียง
“คนไข้คะแนนสิบเอ็ด” หลังใช้ไฟฉายส่องดูดวงตาแล้วมาคีก็มาจดบันทึกที่ข้อมูลการประเมินของพยาบาล
เด็กหญิงอายุสิบเอ็ดปี ประวัติสามชั่วโมงเพื่อนบ้านพบนอนหมดสติ มีเลือดออกที่ศีรษะ ร่างกายมีจุดจ้ำเลือด เอกซเรย์คอมพิวเตอร์พบเลือดออกที่สมองแต่น้อยมากให้เฝ้าระวังอาการเปลี่ยนแปลงต่อ
“น่าสงสารจังเลย ขอให้อาการดีขึ้นเร็วๆ นะหนูน้อย” วรรณภาที่กลับจากการประชุมหัวหน้าตึกอ่านเอกสารรับใหม่แล้วก็บ่นสงสาร “จะว่าเด็กเล็กมากก็ไม่นะ โตพอจะระวังตัวได้แล้ว ไม่น่าเลย” คนพูดยังบ่นต่อหลังเห็นร่างเด็กหญิงตัวนิดเดียวนอนอยู่บนเตียง
“น้องหวาน เป็นไงบ้างลูก โธ่ ไม่น่าเลยลูก” หญิงวัยสามสิบกว่าวิ่งตรงไปที่เตียงเบอร์หนึ่งพร้อมกับร้องไห้ฟูมฟายลูบเนื้อตัวลูกสาวที่นอนนิ่ง
“ไม่น่าเลยลูก เจ็บมากไหม” คนพูดยังลูบแขนลูกสาวไปมา “หนูอย่าเป็นอะไรนะ ถ้าหนูเป็นอะไรไปแม่จะอยู่ยังไง” คนพูดร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวโยน
“คุณคะ คุณ อย่าเพิ่งกวนน้องตอนนี้เลยค่ะ แกต้องการพักผ่อน” มาคีรีบเดินออกมาจากห้องทำงานพยาบาลเพื่อปรามคนเป็นแม่
“น้องหวานจะเป็นอะไรมากไหมคะ” แม่เด็กหยุดจับตัวลูกสาวหันมาถามอาการพยาบาลแทน
“น้องต้องติดตามอาการทางสมองอย่างใกล้ชิด เบื้องต้นก็ยี่สิบสี่ชั่วโมงนับจากตอนนี้ค่ะ” มาคีตอบ “คุณคะ คุณพอจะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดกับน้องให้ทางเราทราบหน่อยได้ไหมคะ เราอยากรู้ว่าน้องสลบไปนานเท่าไหร่”
“ไม่ค่ะ ไม่รู้เลย ฉันเพิ่งกลับจากต่างจังหวัด กลับมาข้างบ้านก็บอกให้รีบมาโรงพยาบาล” คนพูดยังร้องไห้ไม่หยุด
“ข้างบ้าน…” มาคีพึมพำ
“ค่ะ ฉันทำงานเป็นเซล ต้องไปขายของต่างจังหวัด บางวันก็กลับดึก ครั้งนี้ไปค้างหนึ่งคืน” คนพูดสะอื้นอีกครั้ง “กลับมาไม่นึกว่าลูกจะเกิดอุบัติเหตุ”
“โชคร้ายของน้องจังเลยค่ะ แต่เราจะดูแลน้องอย่างดีที่สุด คุณไม่ต้องห่วงนะคะ น้องต้องดีขึ้น” มาคีมองเด็กหญิงวัยสิบเอ็ดปีแล้วต้องถอนหายใจ สภาพสังคมปัจจุบันที่ทุกคนต้องต่อสู้เพื่อหาเงินทำให้บางครั้งก็ต้องทิ้งคนที่รักไว้แบบนี้…แต่ครั้งนี้โชคร้ายของครอบครัวนี้ที่น้องได้รับบาดเจ็บรุนแรง
“ติ๊ด ติ๊ด” เสียงเครื่องควบคุมการเต้นของหัวใจร้องเตือน ร่างผอมบางที่นอนนิ่งบนเตียงดิ้นไปมาจนสายควบคุมเครื่องหลุด
“น้องหวานคะ น้องหวานลูกเป็นอะไร” มาคีรีบอ้อมไปจับข้อมือเด็กหญิง มือนั้นเย็นจัดราวกับน้ำแข็ง
“พี่สุรีย์ พี่วรรณ มาเตียงหนึ่งหน่อยค่ะ” มาคีกรอกเสียงผ่านโทรศัพท์ภายในไปที่ห้องทำงานพยาบาล
“น้องหวาน น้องหวานเป็นอะไรลูก อย่าเป็นอะไรนะ” คนเป็นแม่ยืนตัวสั่นอยู่ข้างเตียงลูกสาว ไม่กล้าเข้าไปจับตัวเพราะเพิ่งถูกพยาบาลสั่งห้ามและกลัวที่เห็นลูกดิ้นทุรนทุราย
“มาแล้วคีย์ มาแล้ว” วรรณภาที่วิ่งมาถึงเตียงคนป่วยก่อน ก่อนที่สุรีย์จะตามมาและเชิญมารดาของเด็กหญิงออกไปจากหอผู้ป่วยเพื่อทีมการรักษาจะได้ทำงานได้สะดวก
“น้องเป็นอะไรกันนะ” วรรณภายืนอ่านผลเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ที่รังสีแพทย์วินิจฉัยเข้ามา หลังจากอาการดิ้นไม่หยุดเมื่อตอนบ่าย คนป่วยถูกส่งเอกซเรย์สมองซ้ำเพราะทางทีมรักษาเกรงว่าจะมีอาการเลือดออกในสมองเพิ่มขึ้น แต่ผลอ่านกลับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ผลการตรวจเลือด ปัสสาวะปกติทุกอย่าง
“น่าสงสารจังลูก ตัวนิดเดียว” มาคีที่ฉีดยาให้คนไข้สงบห่มผ้าให้เด็กหญิง ก่อนจะตั้งค่าหน้าจอเครื่องควบคุมสัญญาณชีพใหม่และหันไปทางเคาน์เตอร์ทำงานพยาบาล “พักผ่อนนะ พี่ๆ จะดูแลหนูเอง” มาคีวางมือที่หน้าผากคนป่วย ตอนนี้เนื้อตัวเด็กหญิงอุ่นจนเกือบร้อนแตกต่างจากตอนก่อนหน้าที่ตัวเย็นเฉียบ
“คุณแม่น้องหวานขอเข้ามาดูน้องสักชั่วโมงได้ไหมคะ” สุรีย์เดินเข้ามาแจ้งวรรณภา หัวหน้าหอผู้ป่วยอ่านเอกสารซ้ำก่อนจะถอนหายใจและพยักหน้า
จริงๆ แล้วอาการของคนป่วยตอนนี้ยังอยู่ในช่วงอันตราย ปกติหอผู้ป่วยจะงดการรบกวน แต่วรรณภาเข้าใจหัวอกคนเป็นแม่ที่คงกระวนกระวายอย่างหนัก ถึงเธอไม่มีครอบครัวแต่ก็สัมผัสได้จากสีหน้าและแววตาของแม่คนป่วยตอนที่เข็นลูกสาวออกจากตึกไปเอกซเรย์
“แค่ชั่วโมงเดียวนะคะ เดี๋ยวผู้บริหารจะตำหนิพี่” วรรณภาบอกก่อนจะปล่อยให้แม่นั่งเฝ้าลูกสาว “เดี๋ยวปล่อยให้คุณแม่เฝ้าลูกสาวสักพักนะคีย์” วรรณภาบอกมาคีที่เดินกลับมาพร้อมกับถาดฉีดยา
“ขอฉีดยาลดความดันที่สมองหน่อยนะคะ” มาคีบอกก่อนจะแขวนขวดยาที่เสา เธอลอบสังเกตผู้หญิงที่นั่งกุมมือลูกสาว ผู้หญิงวัยสามสิบกว่าคนนี้ดูผอมและตัวเล็ก ใบหน้ามีริ้วรอยราวกับคนทำงานหนักมาตลอด
“คืนนี้คุณแม่พักผ่อนให้เต็มที่นะคะ พวกเราจะช่วยดูน้องให้ดีที่สุด” มาคีพูด
“พี่คงนอนไม่หลับหรอกค่ะ” คนพูดยิ้มเซียวให้มาคี
“ต้องพยายามนะคะ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ให้ทางเราติดต่อจิตแพทย์เพื่อให้ยาช่วยให้หลับสักคืนดีไหมคะ ยังไงพรุ่งนี้ก็ต้องมาดูแลน้องจะได้มีแรง” มาคีเสนอ
“ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าหลับลึกเกินเกิด…เอ่อ พ่อน้องกลับมาพี่จะไม่ตื่นมาเปิดประตู” อีกฝ่ายบอก
“อ่ะ อ่อ พ่อน้องก็ไม่อยู่หรือคะ” มาคีเหมือนพึมพำคนเดียวมากกว่า ครั้งแรกเธอนึกว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว
“ค่ะ พ่อเค้าไปทำงาน พรุ่งนี้คงเข้ามาดูน้องพร้อมกัน”
“ค่ะ ตามสบายนะคะ เดี๋ยวขอตัวไปทำงานก่อน” มาคีบอกพร้อมกับหันหลังเดินกลับไปทางเคาน์เตอร์
“พี่จ๋า พี่อย่าทิ้งหนูไป พี่จ๋า” เสียงหวานเศร้าเย็นยะเยือกดังแว่วเพียงลมพัดผ่าน มาคีรู้สึกถึงความเย็นเยือกไปทั้งร่างกายพาให้แข้งขาอ่อน
“คะ อะไรนะคะ” มาคีหันกลับมาถามหญิงวัยสามสิบที่นั่งกุมมือลูกสาวไว้
“ไม่มีอะไรค่ะ” อีกฝ่ายตอบกลับ สีหน้าอ่อนล้าอย่างคนที่ไม่ได้รับการพักผ่อน
“พี่จ๋า ช่วยหนูด้วย”
เวลาตีสาม…มาคีที่กำลังยกแก้วน้ำดื่มหลังจากออกไปปรับยาให้ผู้ป่วย ท่ามกลางความเงียบของหอผู้ป่วยอายุรกรรมมีเสียงเครื่องควบคุมต่างๆ ดังคลิกเบาๆ เป็นระยะ ท่ามกลางเสียงเหล่านั้นมีเสียงเยียบเย็นแทรก
เพล้ง!
“อุ๊ย” มาคีอุทานรู้สึกเจ็บแปลบที่นิ้ว กำลังจะยกแก้วน้ำดื่ม ด้วยความตกใจทำให้มาคีบีบแก้วแน่นไปจนแก้วบางแตกคามือ
“เป็นไงบ้างคีย์” เหมือนฝันที่ขึ้นเวรดึกเช่นกันรีบลุกจากโต๊ะทำงานมาทำแผลให้ “นี่ง่วงนอนหรือเปล่า” คนพูดรีบทำความสะอาดแผลและทายาให้ อีกฝ่ายสะบัดมือเร่าเพราะรู้สึกแสบที่แผลจากฤทธิ์น้ำยาฆ่าเชื้อ
“ไม่ง่วงค่ะ” มาคีไม่ได้สบตาอีกฝ่าย กลับมองออกไปที่เตียงผู้ป่วยที่ตอนนี้เปิดไฟหรี่ให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนและพยาบาลได้เห็นผู้ป่วยในแสงสลัวบ้าง
“แล้วเป็นอะไร” เหมือนฝันถาม อีกฝ่ายส่ายหน้าปฏิเสธ “แสดงว่าเป็น ถ้าไม่พร้อมจะเล่าก็เอาไว้ก่อน แต่ถ้าพร้อมก็เล่ามาได้ตลอด” เหมือนฝันพูดเหมือนทุกครั้งที่มาคีมีพฤติกรรมแปลกๆ
“คีย์ออกไปดูน้องหวานก่อนนะคะ” มาคีพูดหลังจากอีกฝ่ายพันแผลที่มือให้แล้ว
“ไหวนะ พี่ไปดูให้ก็ได้” เหมือนฝันถามพร้อมกับทำท่าจะเดินออกไปแต่มาคีเดินนำหน้าไปเสียก่อน “อ้าว เด็กคนนี้นี่” คนเป็นพี่ค้อนขวับอยู่ด้านหลัง
มาคีหายจากการเจ็บป่วยนอนไม่รู้สติเกือบปี หลังจากที่เธอฟื้นขึ้นมามาคีก็พร่ำพูดแต่ว่าเธอถูกส่งกลับมาเพื่อทำภารกิจบางอย่าง ครั้งนั้นเหมือนฝันเป็นพยาบาลที่ดูแลมาคี ไม่ว่าจะถามว่ามาคีจะทำอะไร อีกฝ่ายก็เอาแต่ส่ายหน้าและพูดว่าจำไม่ได้ จนวันนี้มาคีมาเป็นพยาบาลหอผู้ป่วยอายุรกรรมทำงานกับความเจ็บป่วยและความตายทุกวัน ถึงตอนนี้ถ้าเหมือนฝันถามมาคีถึงเรื่องเดิมๆ มาคีก็คงตอบไม่ได้ แต่ตอนนี้เหมือนฝันรู้แล้วว่าเรื่องที่มาคีพูดหมายถึงเรื่องอะไร
“น้องหวาน เมื่อกี้น้องหวานใช่ไหม” มาคีเดินเลียบๆ เคียงๆ ข้างเตียงผู้ป่วยสังเกตอาการเตียงที่หนึ่ง เมื่อมองผู้ป่วยคนอื่นที่กำลังหลับสนิทเธอจึงเข้าไปกระซิบถามเด็กหญิงที่นอนนิ่งสนิทบนเตียง
“น้องหวานจะให้พี่ช่วยอะไรคะ” มาคีกระซิบแต่ร่างนั้นไม่ไหวติงยังคงหายใจสม่ำเสมอเหมือนคนที่กำลังหลับลึก
มาคีสำรวจเด็กหญิง…แขนเขียวคล้ำนั้นผอมบางนิดเดียว ยิ่งพันผ้ารอบศีรษะยิ่งทำให้เด็กหญิงดูผอมเหมือนจะแตกหักได้ง่ายๆ เด็กหญิงอายุสิบเอ็ดปีนี่ตัวเล็กและเปราะบางกันขนาดนี้เลยหรือ มาคีคิดถึงตัวเองในวัยสิบปีที่อยู่กับพ่อและแม่ เธอคิดว่าตัวเองไม่บอบบางขนาดนี้ และกิจกรรมที่มาคีชอบมากคือการออกไปวิ่งกลางแจ้ง
“ถ้าน้องหวานจะให้พี่ช่วยอะไร น้องหวานต้องบอกพี่มากกว่านี้นะคะ” มาคีพูดพร้อมกับมองไปรอบๆ เตียงแต่ไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดๆ หญิงสาวถอนหายใจยาว ในความมืดสลัวไม่เห็นร่างบอบบางมายืนหลบอยู่ที่มุมไหน และในที่ไกลๆ ไม่มีแสงสีรุ้งพาดผ่านเพื่อพาใครข้ามไป ทุกอย่างนิ่งสงบมันคือหอผู้ป่วยธรรมดา…
“หวานลูก พ่อขอโทษ พ่อผิดเอง ไม่น่าปล่อยลูกไว้คนเดียวเลย” ชายวัยสามสิบกว่าวัยเดียวกับมารดาของเด็กหญิงเตียงหนึ่งพรวดพราดเข้ามาในหอผู้ป่วยและตรงรี่ไปที่เตียงหมายเลขหนึ่ง
“ถ้าพ่อไม่ทิ้งลูกไว้ ลูกคงไม่เป็นแบบนี้” ชายคนนั้นยังร่ำไห้เมื่อมองร่างของเด็กหญิงที่นอนนิ่งสนิท
สองวันหลังจากเด็กหญิงน้ำหวานเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยอายุรกรรม อาการทางระบบประสาทของเธอยังคงเดิม อาการทรงตัวไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง สองวันที่แม่ของน้ำหวานเทียวมาเฝ้าที่หอผู้ป่วย บ่ายวันนี้จึงเป็นครั้งแรกที่คนเป็นพ่อได้มาเยี่ยมลูกสาว
“ขออนุญาตให้ยาลดอาการบวมทางสมองนะคะ” มาคีบอกก่อนจะเดินเข้าไปให้ยาทางหลอดเลือด
“ลูกสาวผมเป็นไงบ้างครับ” ชายผู้เข้ามาใหม่ตั้งคำถาม
“ยังทรงตัวอยู่ค่ะ รออีกสองวันคุณหมอจะให้ไปเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ซ้ำเพื่อดูความก้าวหน้า” มาคีหันมาอธิบายแนวทางการรักษาของแพทย์
ชายตรงหน้าดูเหมือนคนนอนไม่พอ ดวงตาลึกโหลคล้ำ รอยย่นที่หน้าผากเห็นชัด ท่าทางอิดโรยและเสื้อเชิ้ตที่ใส่อยู่ก็ยับราวกับชายคนนี้สวมเสื้อผ้าชุดนี้นอน
“คุณพ่อกลับไปพักผ่อนก่อนก็ได้นะคะ วันนี้น้องหวานอาการคงที่เดี๋ยวพยาบาลดูแลให้” มาคีบอกเมื่อเห็นท่าทางซีดเซียวจนน่ากลัวนั่น
“ผม เอ่อ ผม ไม่เป็นไรครับ ผมจะอยู่เฝ้าน้อง” คนพูดอึกอักแต่ก็ปฏิเสธความปรารถนาดีของพยาบาล
“อืม ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไรค่ะ แต่ถ้าไม่ไหวก็ไปแจ้งที่เคาน์เตอร์นะคะ” มาคียิ้มให้ก่อนจะหันหลังเดินกลับไปที่ห้องทำงาน
“พี่จ๋า ช่วยด้วย” เสียงเด็กหญิงแผ่วเบาลอยลมราวกับเสียงกระซิบ
“คะ” มาคีหันมาที่เตียงผู้ป่วยขมวดคิ้วมุ่น ร่างเด็กหญิงนอนอยู่บนเตียงไม่ไหวติง มีชายที่เป็นพ่อนั่งเฝ้าสีหน้าซีดจนเห็นได้ชัด
“คุณพ่อคะ ดิฉันว่าคุณพ่อกลับไปพักผ่อนดีกว่านะคะ” มาคีกลับมาบอกอีกครั้ง “ตอนนี้คุณดูเพลียมาก ถ้าดิฉันปล่อยคุณเฝ้าน้องต่อถ้าคุณเป็นลมขึ้นมาจะยิ่งลำบาก”
“แต่ว่า ผม…ผมรู้สึกผิดมากครับ ผมไม่กล้ากลับไปพักหรอก” อีกฝ่ายพูดเสียงเศร้า
“อุบัติเหตุไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นหรอกค่ะ คุณกลับไปพักเถอะ ยังไงวันนี้น้องหวานก็คงยังไม่ฟื้นหรอกค่ะ” มาคีพูด
“วันนี้ลูกผมยังนอนหมดสติอยู่แบบนี้หรือครับ” คนพูดน้ำเสียงตกใจ
มาคีได้แต่พยักหน้ารับด้วยความรู้สึกเห็นใจอย่างที่สุด หัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่คงร่ำๆ ใจจะขาดที่เห็นลูกนอนหมดสติไม่พูดด้วย ไม่รู้สึกอะไรแบบนี้
“สวัสดีครับคุณเหมือนฝัน คุณมาคี จำผมได้ไหมครับ” เสียงทุ้มห้าวของผู้ชายดังจากประตูทางเข้าห้องทำงานพยาบาล ชายคนนั้นสวมชุดตำรวจเรียบร้อย
“อ้าว ผู้กองเอื้อ” เหมือนฝันหันไปตามเสียงแล้วก็ต้องแปลกใจที่ชายหนุ่มตรงหน้าคือนายตำรวจที่ทำคดีสาวพม่าที่ถูกหลอกมาทำงานในไทย
“อ้าว ผู้กอง สวัสดีค่ะ” มาคีที่อายุน้อยกว่าร้อยตำรวจเอกเอื้ออังกูรยกมือไหว้อีกฝ่าย “ทำไมมาถึงที่นี่ได้คะ”
“เอ๊ะ คงไม่มีอะไรเกี่ยวกับคดีเก่านั่นนะคะ ผ่านมาตั้งนาน” เหมือนฝันรีบพูด จริงๆ แล้วคดีนั้นเหมือนฝันกับผู้กองเอื้ออังกูรค่อนข้างจะมีความคิดเห็นขัดกันและหลายครั้งไม่ลงรอยถึงกับทะเลาะกัน
“แหม ผมมาทำธุระที่โรงพยาบาลเลยแวะเอาขนมมาฝากหรอกน่าคุณฝัน” คนพูดยกกล่องขนมให้ดู “โชคดีมากเลยที่เจอคุณแล้วก็น้องคีย์ ไม่เจอกันนานจนเรียนจบทำงานแล้วนะเรา พี่ดีใจด้วย”
“แล้วเราไปคุ้นเคยกับผู้กองตอนไหน” เหมือนฝันหันไปถามมาคีแต่ทำเสียงค่อนขอดอีกฝ่าย
“อ่ะ อ้อ ของคุณค่ะ” มาคีที่ไม่รู้จะตอบพี่สาวอย่างไรเลยหันไปขอบคุณนายตำรวจที่กล่าวแสดงความยินดีกับเธอ
“เอ เย็นนี้ว่างไหม พี่ขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงเอง” คนพูดกระตือรือร้น
“ไม่ว่างค่ะผู้กอง คีย์ต้องกลับที่พักพร้อมฉัน” เหมือนฝันตัดบท “ฉันกับน้องคีย์ขอตัวทำงานก่อนนะคะ คีย์เธอไปวัดสัญญาณชีพคนไข้หรือยัง” คนพูดทำเสียงดุ
“งั้นพี่ไม่กวนแล้วนะคีย์ ไว้ตอนเย็นจะมารับไปเลี้ยง คุณด้วยนะครับคุณฝัน” นายตำรวจทึกทัก “อ้อ อีกอย่างคุณฝัน เราไม่เจอกันนานมาก ตอนนี้คุณต้องเรียกผมใหม่ว่าสารวัตรได้แล้วนะ” คนพูดเอียงบ่าให้ดู “แต่จริงๆ ผมชอบให้เรียกว่าเอื้อมากกว่านะ” เหมือนฝันกำลังตั้งท่าจะพูด “เจอกันตอนเย็นนะครับ” สารวัตรเอื้ออังกูรวางกล่องขนมไว้ที่เคาน์เตอร์ก่อนจะเดินออกจากหอผู้ป่วยมา
“ตาคนนี้นี่ นิสัยชอบออกคำสั่งไม่เปลี่ยน” เหมือนฝันกระฟัดกระเฟียด เธอไม่ชอบนายตำรวจตั้งแต่คดีที่ผู้หญิงถูกหลอกมาขายบริการ เพราะคดีนั้นเธอขอความช่วยเหลือจากตำรวจแต่ก็เหมือนทางนั้นไม่ได้ช่วยอะไรมาก ทำให้ทั้งเธอและมาคีต้องเสี่ยงได้รับบาดเจ็บจนถึงขั้นเกือบเสียชีวิต
“เขามาทำไมนี่คีย์ พี่ไม่เชื่อหรอกว่าแวะมา” เหมือนฝันพูด มาคีที่แอบมองตามอีกฝ่ายก็ไม่คิดว่านายตำรวจแค่แวะมาเหมือนปากพูด
“นั่นสิคะพี่” มาคีเองก็ไม่เชื่อว่านายตำรวจคนนั้นแวะมาเฉยๆ ถึงแม้เธอจะไม่ได้อคติกับสารวัตรเอื้ออังกูรเช่นเหมือนฝัน แต่ก็ไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายแค่แวะมาเช่นปากพูด
“พี่จ๋า พี่จ๋าช่วยหนูด้วย” เสียงร้องขอความช่วยเหลือแว่วมา “อย่าทิ้งหนูไป ช่วยด้วย”
มาคีหันไปทางเตียงผู้ป่วยหมายเลขหนึ่งโดยอัตโนมัติ แม้จะไม่รู้ว่าเสียงเรียกร้องนั้นมาจากไหนโดยจริงแท้ แต่สัญชาตญาณบอกได้ว่ามาจากเด็กหญิงตัวผอมบางนั่นแน่ๆ ร่างบางนอนอยู่ใต้ผ้าห่มแทบจะราบไปกับที่นอนเพราะความผอมนั้น มีเพียงอุปกรณ์ติดตามสัญญาณชีพเท่านั้นที่บอกได้ว่าเธอยังมีชีวิต
“จะให้พี่ช่วยอะไร บอกพี่สิ” มาคีพึมพำ
“ผลเอกซเรย์สมองเป็นไงบ้างครับ” พ่อของน้ำหวานพรวดพราดเข้าที่ห้องทำงานพยาบาลในช่วงดึก ท่าทางเหมือนคนไม่ได้พักผ่อนยังปรากฏอยู่บนใบหน้า
“อ้อ คุณพ่อน้องน้ำหวาน ทำไมมาดึกจังคะ จริงๆ ตอนนี้เรางดเยี่ยมแล้ว” เหมือนฝันถามอย่างแปลกใจ
“พอดีผมเพิ่งกลับจากต่างจังหวัด ขอโทษจริงๆ ครับ ลูกสาวผมเป็นไงบ้าง” คนพูดออกตัว
“เอ คุณพ่อไม่สวนกับคุณแม่หรือคะ เพิ่งออกจากตึกไปเมื่อกี้เอง” พยาบาลเวรบ่ายถามอย่างสงสัย เพราะจากช่วงเวลาแม่และพ่อของเด็กหญิงน้ำหวานน่าจะเจอกันที่ชั้นล่างของโรงพยาบาล
“คงสวนกันครับ” คนพูดบอกสีหน้าเร่งร้อน “น้ำหวานเป็นไงบ้างครับ” ชายคนเดิมยังเร่งเร้าจะเอาคำตอบ
“ผลการเอกซเรย์คุณหมอแจ้งว่าเหมือนเดิมค่ะ ยินดีกับคุณพ่อด้วย ไม่มีเลือดออกเพิ่มขึ้น ตอนนี้ก็รอแค่เลือดซึมไปเอง น้องน่าจะตื่นในอีกไม่นาน” เหมือนฝันอธิบาย
“ครับ” อีกฝ่ายตอบรับ
“ดีใจด้วยนะคะ คืนนี้คุณพ่อจะได้พักผ่อนได้เต็มที่ อาการไม่น่าเป็นห่วงแล้ว” เหมือนฝันพูดต่อ
“ครับ” คนพูดมองไปที่เตียงผู้ป่วยหมายเลขหนึ่ง “คืนนี้ผมขอเฝ้าลูกที่นี่ได้ไหมครับ”
สภาพท่าทางอิดโรยและเสื้อผ้ายับนั่นบ่งบอกว่าชายตรงหน้าเหมือนฝันยังไม่ได้กลับบ้าน ไม่ได้อาบน้ำ แม้จะเป็นชายวัยสามสิบกว่าๆ แต่ท่าทางอ่อนล้าคงเฝ้าไข้ไม่ไหว
“ไม่เป็นไรค่ะ พยาบาลจะดูน้องให้เอง” มาคีที่ฟังการสนทนาของทั้งคู่มาสักพักพูดบ้าง
“ผมเป็นห่วงน้ำหวานจริงๆ นะ” น้ำเสียงเศร้านั้นทำให้ทั้งเหมือนฝันและมาคีมองหน้ากัน
“ถ้าอย่างนั้นให้เยี่ยมได้สักครู่นะคะ” เหมือนฝันพูด ถึงแม้โรงพยาบาลจะมีกฎแต่บางโอกาสก็ต้องอนุโลมให้บ้าง ยิ่งผู้ชายตรงหน้าแสดงความเป็นห่วงลูกสาวมากขนาดนั้นจะให้เมินเฉยก็ใช่เรื่อง
การทำงานในหอผู้ป่วยอายุรกรรมมีผู้ป่วยเปลี่ยนกันเข้ามารับการรักษา ในช่วงดึกรับผู้ป่วยใหม่สามรายทำให้ทั้งเหมือนฝันและมาคีวุ่นวายอยู่กับการให้การพยาบาลคนไข้จนลืมไปว่าคุณพ่อของผู้ป่วยเตียงหนึ่งยังนั่งเฝ้าลูกสาวอยู่เงียบๆ
“พี่จ๋า ช่วยด้วย พี่จ๋า” เสียงเยียบเย็นแทรกความเงียบยามดึกมาอีกครั้ง มาคีที่กำลังผสมยาผู้ป่วยชะงักค้าง หน้าซีดเผือด รู้สึกอากาศรอบตัวหนาวเหน็บขึ้นมากะทันหัน มาคีรู้สึกเนื้อตัวหนาวสั่นเหมือนจับไข้
“คีย์ คีย์ เป็นอะไรหรือเปล่า” เหมือนฝันที่นั่งเขียนเอกสารอยู่หันมาเห็นท่าทางราวกับคนจะเป็นลมทำให้เหมือนฝันตกใจ
“เปล่าค่ะ” มาคีส่ายหน้า รู้สึกเย็นเยียบแต่ไม่ได้รู้สึกวิงเวียนเช่นที่เหมือนฝันเข้าใจ
“เป็นอะไร” อีกฝ่ายขมวดคิ้วมุ่น “มือเย็นเชียว” เหมือนฝันชะงักมือที่เอื้อมไปจับข้อมือน้องสาวให้มานั่งพัก มาคีเดินตามมานั่งพักที่เก้าอี้ อยากสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ สักพักอากาศหนาวจนตัวสั่นอาจดีขึ้น
“พี่จ๋า ช่วยด้วย” เสียงเยียบเย็นยังร้องขอความช่วยเหลือไม่หยุดต่างจากทุกครั้งที่มาคีได้ยินแค่แว่วๆ
“ให้ช่วยอะไร บอกพี่สิ” มาคีพึมพำหลังจากที่เหมือนฝันลากรถเข็นฉีดยาออกไปทำหน้าที่แทนเธอ ที่เตียงสังเกตอาการเตียงที่หนึ่งเด็กหญิงวัยสิบปียังนอนนิ่งใต้ผ้าห่ม ร่างบางยังราบไปกับเตียงจนไม่สังเกตว่ามีใครนอนอยู่ที่เตียงนั้น นอกจากชายวัยสามสิบกว่านั่งคอตกอยู่ข้างเตียง
“สวัสดีครับน้องคีย์” เสียงทุ้มห้าวดังที่ประตูห้องทำงาน มาคีที่นั่งมองเตียงหนึ่งอยู่สะดุ้งสุดตัว
“อ้าว สารวัตร” มาคีพึมพำ “สวัสดีค่ะ มาทำอะไรดึกดื่นคะ” เพราะจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทำให้มาคีโพล่งคำถามไป
“พอดีผ่านมาแถวนี้เลยแวะมาดูว่าอยู่เวรหรือเปล่า ดีเลย” อีกฝ่ายก็เหมือนเก้อที่มาคีถามแบบนั้น “นี่ปาท่องโก๋ กับนมถั่วเหลือง” พันตำรวจโทเอื้ออังกูรยกถุงที่บรรจุอาหารให้มาคี
“ไม่เห็นต้องลำบากแวะมาเลยนะคะ” เหมือนฝันที่เข็นรถฉีดยาเข้ามาพูด “ดึกขนาดนี้ เขาห้ามเยี่ยมแล้วค่ะ” คนพูดบอกหน้าตาเฉย
“อ้าว คุณฝัน ไม่คิดว่าอยู่เวร” คราวนี้ชายหนุ่มยิ่งเก้อเข้าไปใหญ่เพราะไม่คิดว่าจะเจอคู่ปรับ
“มีธุระอะไรดึกดื่นคะ” คนถามตั้งคำถามแบบไม่เกรงใจหลังเห็นอีกฝ่ายเก้อเขินที่เจอเธอ
“อะ อ้อ พอดีพาลูกน้องมาตรวจ เป็นไข้” เอื้ออังกูรพูด “นี่คงตรวจเสร็จแล้ว พี่ไปก่อนนะคีย์”
“อ้าว มีแขกหรือคะ” เสียงสุรีย์ทักมาแต่ไกล “หนูยูริ สวัสดีทุกคนสิคะ” สุรีย์ดันหลังเด็กหญิงให้ยกมือไหว้ “หลานสาว คุณแม่เอามาฝากไว้ ต้องบินไปทำงานต่างประเทศสองอาทิตย์ ช่วงนี้คงรบกวนทุกคนนะ” สุรีย์หันไปพูดกับพยาบาลเวรบ่ายสองคนที่ยิ้มให้เด็กหญิงตัวน้อย
“สวัสดีคุณตำรวจด้วย” สุรีย์ท้วงหลังเห็นหลานสาวไหว้แต่พยาบาลสองคน
“สวัสดีค่ะคนสวย เดี๋ยวขอตัวไปดูลูกน้องก่อนนะ”
“คุณพยาบาลครับ” เสียงของผู้ชายอีกคนดังมาจากห้องผู้ป่วย “เอ่อ…” หลังเห็นวงสนทนาชายคนนั้นก็นิ่งไป “เอ่อ…ผม สงสัยน้ำเกลือน้องหวานไม่ไหลครับ” คนพูดอึกอัก
“อ้อ ค่ะ คีย์ไปดูเอง” มาคีหันมาบอกเหมือนฝัน อีกฝ่ายพยักหน้า
“ผมกลับก่อนนะ ลูกน้องคงตรวจเสร็จแล้ว” สารวัตรเอื้ออังกูรบอกก่อนจะหันไปมองผู้ชายอีกคนที่มีใบหน้าอ่อนล้า แววตาอิดโรย แต่ไม่พูดอะไร ชายหนุ่มยื่นถุงขนมให้เด็กหญิงที่ยืนมองตาแป๋ว
“ปาท่องโก๋ร้อนๆ จ้ะคนสวย พี่กลับก่อนนะ”
“คุณพ่อน้องน้ำหวานกลับไปพักเถอะค่ะ ดูเพลียมากๆ เลย” เหมือนฝันบอกหลังจากท่าทางเพลียจัดของอีกฝ่าย
“น้าสุรีย์ หนูลืมตุ๊กตาไว้ที่เก้าอี้ข้างล่าง” เด็กหญิงยูริทำตาโตเพราะนึกขึ้นได้ว่าลืมตุ๊กตาตัวโปรดที่แม่ซื้อให้เอาไว้กอดระหว่างแม่ไปทำงานต่างประเทศ
“แย่แล้ว น้องฝันพี่ไปหาตุ๊กตาก่อนนะ แป๊บนึง” สุรีย์ทำท่าตกใจ หากตุ๊กตาหายไปยูริต้องร้องไห้กวนเพราะคิดถึงแม่เพราะไม่มีตุ๊กตาตัวโปรดเป็นเพื่อนแน่ๆ
“รีบไปเถอะ เดี๋ยวใครหยิบไป” เหมือนฝันโบกมือให้อีกฝ่าย
“งั้น ผมกลับก่อนนะครับ” ชายร่างผอมบอกเหมือนฝัน
“ค่ะ กลับบ้านดีๆ นะคะ” เหมือนฝันพูด ทั้งสามคนคือสุรีย์ ยูริ และชายคนนั้นเดินไปทางลิฟต์พร้อมกันเพื่อลงไปด้านล่าง เวลาห้าทุ่มกว่าผู้คนยังไม่พลุกพล่าน
“อ้าว ไปไหนกันหมด” มาคีที่เดินกลับมาที่ห้องทำงานถามอย่างแปลกใจ เพราะก่อนหน้ามีคนมารวมตัวกันที่หน้าห้องทำงานหลายคน
“เป็นไงบ้างคีย์” เหมือนฝันหันมาถามอาการคนป่วย
“น้ำเกลือก็ลงปกตินะคะ สงสัยคุณพ่อน้องจะง่วงจนตาลาย นี่เขากลับไปแล้วหรือคะ” มาคีถามเพราะไม่เห็นใครแล้วนอกจากเหมือนฝัน
“ใช่ ลงไปกับสุรีย์ กับยูริ” เหมือนฝันหันหลังกลับเข้าห้องทำงาน
“พี่จ๋า ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
มาคีชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวเข้าห้อง เธอหันไปมองที่เตียงผู้ป่วยสังเกตอาการเตียงหนึ่ง เด็กหญิงร่างผอมยังนอนเงียบอยู่ใต้ผ้าห่ม สัญญาณชีพปรากฏที่หน้าจอเครื่องควบคุมปกติดี
“สองสามวันหนูควรตื่นได้แล้วนะน้ำหวาน” มาคีพึมพำ ถึงตอนนั้นเธอจะได้ถามเด็กหญิงว่าสิ่งที่ต้องการให้ช่วยคืออะไร…
“วันนี้คุณแม่น้องน้ำหวานมาเฝ้า” วรรณภามองออกไปที่เตียงผู้ป่วยหมายเลขหนึ่ง “ไม่เคยเห็นพ่อกับแม่มาพร้อมกันเลย”
“เขาคงต้องทำงานมั้งคะ เปลี่ยนกันมาเฝ้า สมัยนี้คนเราต้องทำมาหากินตัวเป็นเกลียว” สุรีย์ที่เดินไปเดินมาสักพักพูด
เวลาบ่ายสามโมงเย็นที่หอผู้ป่วยอายุรกรรมเป็นเวลาสรุปเอกสารผู้ป่วย เวลาดูความสมดุลน้ำเข้าน้ำออก และหากมีความปกติจะเป็นเวลารายงานอาการผิดปกติให้แพทย์เจ้าของไข้รับทราบก่อนที่จะเปลี่ยนเวร แล้วแพทย์ที่เข้ามาดูแลผู้ป่วยจะเป็นแพทย์เวรซึ่งหากเปลี่ยนเวรแล้วการรายงานความผิดปกติของผู้ป่วยจะต้องเล่าประวัติคนไข้นาน
“แล้วนี่เธอเดินวุ่นวายอะไรพักใหญ่ ดูน้ำเข้าน้ำออกตนไข้เสร็จแล้วไม่ใช่หรือไง” วรรณภาถาม
“ยูริหายไปตั้งแต่บ่ายแล้วค่ะ บอกว่าจะไปซื้อขนม ป่านนี้ยังไม่มาเลย” สุรีย์พูดถึงหลานสาวที่พี่สาวพามาฝากไว้ช่วงที่ไปทำงานต่างประเทศ ปกติยูริจะนั่งอ่านหนังสือหรือเล่นเกมในห้องพักพยาบาล
“เออเนาะ พี่ก็ไม่ได้สังเกต มัวแต่ทำงาน” วรรณภาทำท่านึก เธอเห็นเด็กหญิงตัวน้อยครั้งสุดท้ายก็ตอนกินข้าวเที่ยง
“งานเสร็จแล้วก็ไปตามหายูริเถอะ หายไปสองสามชั่วโมงก็ไม่บอกพี่ จะได้ให้ไปตามหา” หัวหน้าหอผู้ป่วยทำเสียงดุ เธอเองก็ไม่ได้สังเกตเช่นกันว่าเด็กหญิงหายไป
“งั้นหนูไปตามหาหลานก่อนนะคะ” สุรีย์ทำเสียงอ่อน “ขอโทษจริงๆ นะคะ ที่ทำให้วุ่นวาย”
“วุ่นวายอะไร รีบไปเลย” วรรณภาพูดไล่หลัง “รีบหาให้เจอนะ ฉันเป็นห่วง” คนพูดทำสีหน้าวิตกไม่ต่างจากคำพูด
พยาบาลเวรเช้าคนอื่นหันมามองส่งกำลังใจก่อนจะหันกลับไปสรุปเอกสารของตัวเองอย่างเร่งรีบ วันนี้คนไข้ในหอผู้ป่วยอายุรกรรมไม่มาก เด็กหญิงเตียงที่หนึ่งยังมีอาการง่วงซึม ยังไม่สามารถสื่อสารอะไรได้มาก แพทย์เริ่มให้อาหารทางสายยาง หลังเวลาผ่านมาสามวันเพื่อให้เด็กหญิงได้รับสารอาหารควบคู่กับสารน้ำทางหลอดเลือดดำเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบ
“เดี๋ยวขอให้น้ำน้องนิดนึงนะคะคุณแม่” วรรณภาที่ตอนนี้ว่างที่สุดในหอผู้ป่วยเดินไปที่เตียง เป็นเวลาให้น้ำทางสายยางลงกระเพาะอาหาร
“อ้อ ค่ะ เชิญคุณพยาบาลเลยค่ะ” หญิงวัยสามสิบกว่าใบหน้าซีดเซียวขยับตัวให้
“คุณแม่คงได้พักมากขึ้นนะคะ มีคุณพ่อมาเปลี่ยนเฝ้า” วรรณภาชวนคุยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังขมวดคิ้วด้วยความเครียดจัด
“คะ อ้อ” ตอนแรกที่หัวหน้าหอผู้ป่วยพูดจบราวกับอีกฝ่ายไม่ได้ฟังเรื่องที่วรรณภาสื่อสาร แต่พอรวบรวมสมาธิได้สีหน้าก็เปลี่ยนไป
“คุณแม่ไม่ต้องเครียดมากนะคะ น้องค่อยๆ ดีขึ้น อาจใช้เวลาแต่เด็กๆ เค้าจะฟื้นตัวเร็วค่ะ” วรรณภาพูดต่อเมื่อสังเกตว่าอีกฝ่ายยิ่งขมวดคิ้วมุ่นมากขึ้น “หรือคุณแม่มีปัญหาอะไรช่วงนี้ คุณแม่คุยกับพยาบาลได้ทุกคนนะคะ”
“อ้อ ขอบคุณค่ะ” คนพูดพึมพำเลื่อนลอย
“หัวหน้าคะ สารวัตรเอื้ออังกูรมาขอพบค่ะ” พยาบาลที่ทำงานอยู่ที่เคาน์เตอร์เดินมาบอกพอดีกับที่วรรณภาให้น้ำทางสายยางเสร็จ เธอขอตัวไปพบนายตำรวจ ไม่ลืมสังเกตสีหน้ามารดาของคนป่วยที่ไม่ได้คลายความเครียดลงเลยแม้ว่าเธอจะเสนอตัวช่วยเหลือ การเป็นพยาบาลนอกจากจะดูแลคนป่วยแล้วยังต้องไวต่อความรู้สึกของคนในครอบครัวเพราะปัญหาความเจ็บป่วยของคนหนึ่งคนในบ้านเป็นปัญหาหนักของคนทั้งครอบครัว
“สวัสดีครับพี่” สารวัตรหนุ่มยกมือไหว้
“สวัสดีค่ะสารวัตร มีอะไรหรือคะ…อ้าว หนูยูริ” วรรณภาเหลือบตาเห็นเด็กหญิงที่ยืนแอบอยู่ข้างนายตำรวจ
“ผมพาน้องยูริมาส่ง เห็นแกเดินอยู่แถวตลาด ถามก็งงๆ ” ชายหนุ่มพูด
“ตายแล้ว ยูริไปทำอะไรที่นั่นคนเดียวจ๊ะ นี่น้าสุรีย์ตามหายกใหญ่แล้ว” วรรณภาตกใจ “ขอบคุณสารวัตรจริงๆ นะคะ ดีที่เจอสารวัตรนะนี่ เอ่อ ว่าแต่ไปรู้จักยูริได้ยังไงเนี่ย”
“วันก่อนผมมาแถวนี้เลยแวะมาหามาคีกับเหมือนฝันเลยได้เจอยูริครับ” คนพูดตอบตามจริง รู้สึกโชคดีจริงๆ ที่รู้จักเด็กหญิงยูริก่อนที่จะไปเจอเดินหลงอยู่ในตลาด
“มีอะไรกันหรือคะ” เหมือนฝันที่กำลังจะมาขึ้นเวรบ่ายเดินเข้าตึกมาตั้งคำถามด้วยความสงสัยที่เห็นหัวหน้าหอผู้ป่วย สารวัตรหนุ่ม และเด็กหญิงตัวน้อยยืนรวมกลุ่มกัน
“ยูริ ยูริ ไปไหนมา” สุรีย์ที่เดินคอตกตามเหมือนฝันมาพอเห็นหลานสาวก็วิ่งไปคว้าข้อมือด้วยความตกใจ “โอ๊ย น้าตามหาจนทั่ว ใจหายหมด”
“ผมไปเจอยูริเดินงงๆ ที่ตลาด ถามก็พูดวกไปวนมา ผมเลยพามาส่งครับ” คนพูดมองเลยไปทางหอผู้ป่วย
“ทำไมยูริเดินไปไกลแบบนั้นล่ะลูก” สุรีย์ถามเด็กหญิงที่ยังทำหน้างงๆ อยู่
“อย่าเพิ่งดุหลานเลยน่า” วรรณภาปราม
“งั้นเดี๋ยวหนูพายูริไปนั่งที่ห้องพักก่อนนะคะ” คนพูดเดินจูงมือเด็กหญิงไปที่ห้องพักพยาบาลที่อยู่ทางด้านหลังของห้องทำงาน
“น้องเตียงหนึ่งอาการยังไม่ดีขึ้นอีกหรือครับ” สารวัตรเอื้ออังกูรถาม
“ดีขึ้นค่ะ แต่คงใช้เวลาอีกสักหน่อย” วรรณภาพูด “อย่าบอกนะว่าสารวัตรไปรู้จักน้องน้ำหวานอีก” คนพูดมองหน้าอีกฝ่ายเขม็ง
“พอดีรู้มาจากกู้ภัยครับ แหม ประชาชนในพื้นที่ผมก็ต้องสอดส่องบ้าง ข่าวน้องก็ออกเพจท้องถิ่น” คนพูดบอก เป็นเรื่องจริงที่มีข่าวเด็กหญิงอยู่บ้านคนเดียวแล้วประสบอุบัติเหตุตกบันไดจนได้รับการกระทบกระเทือนทางสมอง ข่าวนี้พ่อแม่ถูกตำหนิหนักมาก
“อ้าว คุณแม่จะกลับแล้วหรือคะ” เหมือนฝันถามเมื่อหันไปเห็นหญิงหน้าตาซีดเซียวที่เดินเลี่ยงไปอีกทาง
“อ้อ ค่ะ ไปอาบน้ำก่อนค่ะ” คนพูดบอกเก้อๆ ก้มหน้าจะเดินต่อ
“ผมก็กำลังจะกลับโรงพัก ผมไปส่งนะครับ” สารวัตรหนุ่มรีบเสนอตัว
“อ้าว สารวัตร ไหนว่ามีเรื่องจะพูดกับพี่” วรรณภาถามอย่างงงๆ
“อ้อ เรื่องผมเอายูริมาส่งไงครับ” อีกฝ่ายตอบ ก่อนจะหันไปสนใจมารดาของคนป่วยที่ไม่ว่าจะปฏิเสธอย่างไรนายตำรวจหนุ่มก็พูดดักทาง จนอีกฝ่ายจนคำพูดต้องยอมให้ไปส่ง สีหน้าซีดเซียวนั้นดูวิตกกังวลเพิ่มไปอีก
“สารวัตรคะ คีย์มีเรื่องจะพูดด้วย” มาคีที่เดินตามเหมือนฝันมาพูดขึ้นเมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้า
“ไว้ค่อยโทรหาพี่นะคีย์ คีย์มีเบอร์อยู่นี่” คนพูดตัดบท
“แต่…” มาคีหาเรื่องยื้อไม่ได้ ได้แต่ถอนหายใจ
“อะไรของเขานี่ตานี่” เหมือนฝันส่ายศีรษะ “ท่าจะประสาท ชอบออกคำสั่ง” คนพูดยังคงน้ำเสียงอคติกับสารวัตรหนุ่มไม่เลิก
“พี่จ๋า ช่วยหนูด้วย” เสียงเล็กๆ เบาหวิวแทรกผ่านความเงียบในเวลาสี่ทุ่มครึ่ง
“ว้าย” มาคีที่กำลังผสมยาอยู่สะดุ้งพร้อมกับอุทานด้วยความเจ็บปวด เลือดสีแดงหยดออกมาจากปลายนิ้ว
“อะไรคีย์ เข็มตำอีกแล้ว” เหมือนฝันหันมามอง “ใจลอยไปไหนแล้วเรา”
“นิดเดียวเองค่ะ คีย์ไปฉีดยาดีกว่า” มาคีตัดบท ลากรถเข็นฉีดยาออกจากห้องทำงานตรงไปที่เตียงหมายเลขหนึ่ง
“น้ำหวาน น้ำหวานจะบอกอะไรพี่” มาคีถามคาดคั้นน้ำเสียงเอาเรื่อง ท่ามกลางความเงียบและสลัว ร่างเล็กบางนอนอยู่ใต้ผ้าห่มเหมือนตุ๊กตาที่พร้อมจะแตกร้าวหากสัมผัส
“น้ำหวานจะทำแบบนี้บ่อยๆ ไม่ได้พี่ตกใจ ดูสิ นี่เข็มตำพี่เลือดออกเลย” มาคียื่นนิ้วมือที่มีเลือดซึมออกมาโดยไม่ทันได้กดบาดแผล เลือดหยดเล็กๆ หยดลงที่ใบหน้าซีดเผือดของอีกฝ่าย
“อุ๊ย” มาคีรีบควานหาผ้าก๊อซเพื่อเช็ดเลือดออก
“พี่จ๋า พี่จ๋าช่วยด้วย” ชัดเจนกว่าทุกครั้ง ไม่ใช่เพียงเสียงสายลมแผ่ว มาคีหันตามเสียงต้นทาง ร่างเล็กบอบบางเหมือนกับร่างที่นอนอยู่บนเตียงยืนอยู่ที่มุมมืด ร่างนั้นดูเบาหวิวหากเพียงสายลมพัดก็อาจสลาย
“น้ำหวาน นั่น น้ำหวานใช่ไหม”
มาคีพยายามเพ่งสายตา เธอใช้มือข้างที่เป็นแผลขยี้ตา รับรู้ถึงกลิ่นคาวเลือดตัวเองที่เปื้อนปนบนใบหน้า เข็มที่แทงเข้านิ้วลึกเกินกว่าที่คิดทำให้เลือดยังไม่หยุดไหลเช่นทุกครั้งที่ถูกเข็มฉีดยาตำ…ร่างนั้นเงยหน้าขึ้นมา จากความอึมครึมมืดหม่น ร่างนั้นกลับสว่างขึ้น ใบหน้าเขียวคล้ำมีเลือดออกที่ตาและมุมปาก แขนขาจ้ำเขียวเหมือนที่มาคีเห็นบ่อยๆ ตอนที่เช็ดตัวให้เด็กหญิง ริมฝีปากนั้นขยับแต่ไม่มีเสียงใดเล็ดลอด…มาคีอ่านริมฝีปากนั้นได้
“ช่วยด้วย ช่วยหนูด้วย”
“ลูกสาวผมอาการเป็นยังไงบ้างครับ” ผู้เป็นพ่อของเด็กหญิงน้ำหวานเข้ามาในหอผู้ป่วยอายุกรรมในเวลาสามทุ่มกว่า
คุณแม่ของเด็กหญิงเพิ่งมาฝากฝังลูกสาวบอกว่าต้องไปทำงานต่างจังหวัดสักสองคืนเพราะมีคำสั่งซื้อสินค้าจากทางบริษัท เธอไม่อยากให้เงินจำนวนนี้หลุดไปเพราะเป็นรายได้ที่จะจุนเจือครอบครัว
“ฉันขอโทษจริงๆ นะคะ จริงๆ ไม่อยากไปเลย แต่ก็ต้องหาเงินค่ารักษาน้อง” ใบหน้าซีดเซียวพูดด้วยสีหน้าอมทุกข์
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวทางตึกดูให้” เหมือนฝันที่เป็นหัวหน้าพยาบาลเวรบ่ายรับปาก
“เราสองคนแม่ลูกติดหนี้บุญคุณพวกคุณมากเลยนะคะ” คนพูดถอนหายใจ
“ไปทำงานให้สบายใจเถอะค่ะ อาการน้องค่อยๆ ดีขึ้นแล้ว บางทีวันที่คุณแม่กลับมาน้องอาจจะรู้สึกตัวก็ได้ค่ะ” เหมือนฝันให้กำลังใจ
อาการของเด็กหญิงน้ำหวานเริ่มตอบสนองมากขึ้น รับรู้การเรียกชื่อ พยายามขยับแขนขาเมื่อเจ้าหน้าที่กระตุ้น การรับอาหารเป็นไปได้ดีทำให้ร่างกายฟื้นตัวเป็นลำดับ
“น้องน่าจะดีขึ้นภายในสามสี่วันนี้ค่ะ” มาคีบอกชายที่นั่งข้างเตียงเด็กหญิง
“ดีขึ้น” ชายคนนั้นพึมพำ “หมายถึงรู้สึกตัว พูดคุยได้ใช่ไหมครับ”
“เราหวังว่าจะเป็นเช่นนั้นค่ะ” มาคีที่เข็นรถฉีดยาทำแผลมาจัดเตรียมอุปกรณ์ “เดี๋ยวพยาบาลขอให้อาหารทางสายยางน้องหน่อยนะคะ” น้ำหวานได้รับมื้ออาหารทางสายยางวันละสี่มื้อ มื้อนี้เป็นมื้อที่สี่ในเวลาสามทุ่มกว่า
“เอ่อ คุณพยาบาลสอนผมทำก็ได้นะครับ พรุ่งนี้ผมจะได้เอาอาหารให้ลูกเอง” คนเป็นพ่ออาสา
“ได้ค่ะ ถ้าคุณพ่อจะลองทำ” มาคีพูด ออกจะแปลกใจที่ชายคนนั้นเกิดมาอาสาจะดูแลลูกสาวในตอนที่อาการป่วยดีขึ้น ถ้าน้ำหวานรู้สึกตัว พูดคุยได้ อีกไม่นานเด็กหญิงน่าจะรับประทานอาหารตามปกติโดยไม่ต้องให้ผ่านสายยางลงกระเพาะ
“แบบนี้นะครับ” ชายคนนั้นขอลองให้อาหารในหลอดที่สองที่มาคีเทอาหารลงไป มาคีเบี่ยงตัวหลบให้อีกฝ่ายทำงานได้คล่อง
“ใช่ค่ะ แบบนี้แหละ” มาคีพูด
“พี่จ๋า ช่วยหนูด้วย” มาคีเงยหน้ามอง เด็กหญิงร่างผอมยืนอยู่ที่หัวเตียง เธอยืนกอดอกตัวสั่นราวกับหนาวเหน็บ มาคีพยายามเพ่งมองไปที่ต้นเสียงแต่ไม่อาจพูดอะไรให้ชายที่ยืนข้างๆ สังเกตได้
“พี่จ๋า ช่วยหนูด้วย” เด็กหญิงเริ่มร้องไห้ตัวสั่นไหว มาคีขมวดคิ้วรู้สึกร้อนใจกับภาพที่เห็น
“น้องคีย์ พี่จะพายูริลงไปที่ตลาดโต้รุ่ง เอาอะไรไหม” สุรีย์ที่มาทำงานเอกสารให้วรรณภานอกเวลาเดินมาถาม “ยูริบ่นหิว เมื่อเย็นคงกินข้าวน้อยไป” สุรีย์บุ้ยปากไปทางประตู มีเด็กหญิงยืนเกาะประตูมอง
“ฝากซื้อน้ำเต้าหู้ละกันพี่” มาคีบอก
“โอเค” สุรีย์พยักหน้า
“แย่แล้ว ผมลืมไปว่าจะซื้อข้าวเย็นไปให้ภรรยาตอนกลับบ้าน” ชายที่ยืนถือหลอดให้อาหารทำท่านึกได้
“คะ” มาคีเลิกคิ้วอย่างสงสัย
“ผมบอกแม่น้องน้ำหวานว่าจะซื้ออาหารเย็นเข้าไป” คนพูดอธิบายเมื่อเห็นมาคีทำหน้าแปลกใจ “แม่น้องน้ำหวานว่าจะกลับมาดึก ไม่ได้แวะกินข้าวเย็น ผมเลยรับปากว่าจะซื้ออาหารไปให้”
“อ้อ ถ้าอย่างนั้นคุณก็ควรรีบกลับได้แล้วนะคะ เกือบสี่ทุ่มแล้ว” มาคีบอกก่อนจะยื่นมือไปรับหลอดให้อาหารทางสายยาง ชายคนนั้นทำท่าขอโทษขอโพยก่อนจะรีบผละจากไป
“เอาละ น้ำหวาน คุณพ่อไปแล้ว ไหนบอกสิจะให้พี่ช่วยอะไร” มาคีพูดพร้อมกับหันไปที่หัวเตียงที่มีร่างผอมบางยืนอยู่…แต่ตอนนี้หายไปแล้ว
“อ้าว…น้ำหวานไปไหนคะ ตอนนี้ไม่มีใครอยู่แล้วมาบอกพี่สิ” มาคีถอนหายใจ “เลยไม่รู้เรื่องกันพอดี” ไม่เข้าใจว่าน้ำหวานจะมาขอความช่วยเหลือตอนที่มีคนอื่นอยู่ด้วยทำไม ในเมื่อมาคีไม่สามารถพูดด้วยได้ พอสบโอกาสที่จะพูดคุยกันร่างโปร่งบางของเด็กหญิงก็หายไปเสียเช่นนั้น
“หนูจะพูดอะไรกับพี่…ลูก” มาคีจับมือผอมนั้นอย่างเอื้ออารี ตัวเล็กนิดเดียว อายุมากกว่ายูริปีเดียวแต่ตัวเล็กกว่ายูริอีก…
“ยังหาไม่เจออีกหรือ” เหมือนฝันถามเสียงตื่น “แล้วหายไปยังไง”
“ตอนที่ลงไปโต้รุ่ง หนูยูริพลัดไปตอนที่สุรีย์กำลังยืนซื้อของค่ะ ตอนแรกก็คิดว่าแกยืนอยู่ข้างๆ แต่กว่าจะรู้ตัวก็เดินหาทั่วตลาด ไม่เจอแล้ว” สุรีย์ร้องไห้จนตาแดง เวลาล่วงเลยมาจนตีหนึ่ง เกือบสองชั่วโมงที่ทั้งหมดเดินหาเด็กหญิงแต่ไม่เจอ
“ผมให้ลูกน้องช่วยหาให้แล้วครับ” สารวัตรเอื้ออังกูรยืนขมวดคิ้วรับฟังด้วย เขาได้รับโทรศัพท์จากเหมือนฝันขอร้องให้มาช่วยหาเด็กหญิงยูริอีกครั้ง
“ไม่น่าเลยยูริ นี่หนูหายไปไหน” สุรีย์ก้มหน้าร้องไห้กับฝ่ามือ ถ้าเป็นในเวลากลางวันเธออาจไม่ห่วงขนาดนี้ นี่เป็นเวลากลางคืน เด็กหญิงจะหายไปไหนได้ “เพราะฉันประมาทแท้ๆ” คนพูดร้องไห้ไม่หยุด
“ใจเย็นๆ นะคะ บางทีหนูยูริอาจไม่เป็นอะไร” เหมือนฝันปลอบใจอีกฝ่ายแม้ในใจยังหวั่นไหวไม่แพ้สุรีย์
“ยังไงฝากสารวัตรด้วยนะคะ” คนพูดมองหน้าสารวัตรหนุ่มที่ตอนนี้มองเลยไปที่เตียงผู้ป่วยด้านใน “สารวัตร” เหมือนฝันย้ำ
“อ้อ ครับ” สารวัตรหนุ่มออออไปตามน้ำ “คีย์ คีย์ พี่ขอคุยด้วยหน่อย” มาคีที่ยืนเงียบมาพักใหญ่เดินตามสารวัตรเอื้ออังกูรไปที่ด้านนอกโดยมีสายตาของเหมือนฝันมองอย่างสงสัย
“เค้ามีเรื่องอะไรกัน จะตีหนึ่งแล้ว” เหมือนฝันพึมพำ
“พี่จ๋า ช่วยด้วย” เสียงเล็กลอยลมมาในยามเช้า มาคีชะงักมือที่กำลังจัดเก็บหลอดฉีดยารีบหันไปที่เตียงผู้ป่วยหมายเลขหนึ่ง
ค่ำคืนที่ผ่านมาค่อนข้างวุ่นวายจนพยาบาลเวรดึกคือมาคีและเหมือนฝันไม่ได้พักเลย เพราะยังหายูริไม่เจอ ทั้งสองคนต้องเปลี่ยนกันอยู่เป็นเพื่อนสุรีย์ที่อาศัยพักที่หอผู้ป่วยเพราะหวังจะได้รับข่าวความคืบหน้าจากสารวัตรเจ้าของคดี สุรีย์ร้องไห้จนเผลอหลับไปตอนตีห้าก็พอดีกับที่มาคีได้เวลามาเตรียมยาฉีดในตอนเช้า
“พี่จ๋า ช่วยหนูด้วย” มาคีมองไปที่หัวเตียง เด็กหญิงร่างผอมยืนร่างสั่นไหวอยู่ที่นั่น
ประมาณตีสามของคืนที่ผ่านมา ชายวัยสามสิบผู้เป็นพ่อของเด็กหญิงน้ำหวานกลับมาที่หอผู้ป่วย มาขออนุญาตเฝ้าลูกสาว ตามกฎแล้วเหมือนฝันจะไม่ให้เฝ้าแต่เพราะเห็นใจว่าคนเป็นพ่อที่ทำงานตลอดและไม่ค่อยมีเวลาคงอยากใช้เวลาว่างอันน้อยนิดอยู่กับลูกสาวบ้างเลยอนุญาต เช้านี้ชายคนนั้นจึงขอให้อาหารลูกสาวเอง
“ช่วยหนูด้วย พี่จ๋า” ร่างเบาหวิวนั้นยืนส่ายหน้าไปมา
“เดี๋ยวค่ะคุณพ่อ” มาคีรีบวิ่งมาที่เตียงผู้ป่วยหมายเลขหนึ่ง
“มีอะไรครับ” อีกฝ่ายเงยหน้าพร้อมกับจ้องมาคีอย่างสงสัย
“เดี๋ยวพยาบาลให้อาหารน้องน้ำหวานเองค่ะ” มาคีบอกพร้อมกับยื่นมือไปรับหลอดให้อาหาร
“ทำไมล่ะ ผมให้ได้” อีกฝ่ายเบี่ยงมือหลบจากมือของมาคี
“ดิฉันเสร็จงานแล้วค่ะ ให้พยาบาลทำดีกว่า” มาคีบอก
“ไม่เป็นไรคุณไปพักเถอะ เมื่อคืนมีเรื่องวุ่นวายจนไม่ได้พักไม่ใช่หรือ” อีกฝ่ายพูด มือยังกำหลอดให้อาหารแน่นไม่ยอมปล่อย
“ไม่เป็นไรค่ะ พยาบาลทำแป๊บเดียว” มาคียืนยัน
“เอ๊ะ คุณนี่ ขอให้ผมทำหน้าที่พ่อเถอะ จะอะไรนักหนา” คนพูดเริ่มหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด
“เดี๋ยวพอน้องน้ำหวานฟื้นก็ไม่จำเป็นต้องให้อาหารทางสายยางแล้วค่ะ คุณพ่อไม่ต้องฝึกก็ได้” มาคียืนยันความตั้งใจ
“ผมจะให้เอง” น้ำเสียงชายคนนั้นเฉียบขาดและดุดัน
“คุณจะทำร้ายน้ำหวานไปถึงไหน นี่คุณกะจะฆ่าลูกเลยหรือไง” มาคีโพล่งออกมาอย่างเหลืออด ด้านหลังเหมือนฝันเดินตามมาสมทบ
“คุณพูดบ้าอะไร คุณพยาบาล” ชายวัยสามสิบกว่าสบถเสียงดัง “ผมเป็นพ่อน้ำหวานนะ ผมจะทำร้ายลูกทำไม” คนพูดตะคอกใส่
“คุณหยุดเสแสร้งเถอะ พวกเรารู้กันหมดแล้ว รอยช้ำที่ตัว หรือเรื่องที่น้ำหวานตกบันไดเป็นคุณทำทั้งนั้น มาตอนนี้ลูกสาวจะฟื้นขึ้นมาคุณยังจะฆ่าลูกอีก” มาคีเถียงกลับ
“อย่ามาใส่ร้ายนะ ผมแจ้งความคุณได้เลยนะ” อีกฝ่ายข่มขู่
“ได้ค่ะ เอาอาหารมา ถ้าฉันพิสูจน์ว่ามันมีพิษ คุณถูกจับแน่ เอาอาหารมา” มาคีเดินปรี่เข้าหา
“อย่านะ ยัยนี่” คนพูดพยายามยกมือผลักมาคีก่อนที่จะเอื้อมมือไปคว้าแก้วใส่อาหาร แต่มือช้ากว่าเหมือนฝันที่มายืนประกบมาคีอยู่สักพัก
“คุณช้ากว่าพวกเรานะ” เหมือนฝันถอยห่างอีกฝ่าย
“นังพวกนี้นี่ วอน…” ชายคนพูดวางหลอดให้อาหารท่าทางข่มขู่ แต่ยังไม่ได้ตรงเข้าทำร้าย ร้อยตำรวจโทเอื้ออังกูรพร้อมกับลูกน้องอีกสามคนก็ปรากฏตัว
“หยุดนะคุณปรีชา คุณถูกจับแล้ว” สารวัตรหนุ่มประกาศ
“จับ จับเรื่องอะไร พวกคุณรวมหัวกันทำอะไร” อีกฝ่ายพยายามดิ้นรนแต่ก็ต้านแรงตำรวจอีกสามนายไม่ได้
“จะให้สาธยายหรือไง” สารวัตรหนุ่มลากเสียง แต่ก็พูดต่อโดยไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ “คดีน้องน้ำหวานลูกสาวของนาย แต่นายกลับทำร้ายน้องรวมทั้งทำทารุณ นาย…” พูดมาถึงตอนนี้สารวัตรขบกรามแน่นอย่างระงับอารมณ์ “นายก่อคดีข่มขืนและทำร้ายร่างกายเด็กอายุต่ำกว่าสิบขวบที่ต่างจังหวัดอีกสามราย และวันนี้นายกำลังจะพยายามฆ่าน้องน้ำหวาน” คนพูดสูดลมหายใจอย่างระงับสติไม่ให้ตัวเองเข้าไปทำร้ายชายคนนั้น
“อย่ามาใส่ร้ายกันนะ” นายปรีชาสบถพร้อมกับดิ้นให้หลุดจากการจับกุม
“ใส่ร้ายไม่ใส่ร้ายไม่เกินชั่วโมงก็รู้ ใช่ไหมครับคุณฝัน” เอื้ออังกูรหันไปทางเหมือนฝันที่ถือแก้วใส่อาหารอยู่ อีกฝ่ายพยักหน้า
“และตอนนี้ นายบอกที่ซ่อนหนูยูริมา ไม่งั้น…” ชายหนุ่มเงียบไป
“ยูริไหน ยูริไหนอีก” คนพูดแทบตะโกนใส่หน้าอีกฝ่าย
“อย่ามาเฉไฉ นายจะบอกเอง หรือ…” สารวัตรเอื้ออังกูรยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่าย เส้นเลือดข้างหน้าผากปูดออกมาอย่างคนที่ระงับอารมณ์อย่างหนักหน่วง
“ให้โอกาสพูด” คนพูดเน้นคำ แต่อีกฝ่ายยังดิ้นรนไม่หยุด ก่อนที่ชายฉกรรจ์สี่คนจะลากนายปรีชาออกจากหอผู้ป่วยไป
มาคีทรุดตัวลงนั่งข้างเตียงจับมือเด็กหญิงน้ำหวานร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างระงับความรู้สึกไม่อยู่ เมื่อคืนตอนที่สารวัตรขอคุยด้วย ชายหนุ่มแจ้งเรื่องคดีข่มขืนเด็กที่ต่างจังหวัดซึ่งสัมพันธ์กับนายปรีชาพ่อของน้ำหวาน ทำให้ทางหอผู้ป่วยส่งตรวจร่างกายอีกครั้ง ตอนใกล้สว่างจึงได้รับรายงานยืนยันว่ารอยช้ำตามตัวสอดคล้องกับการถูกทำร้าย และมีรอยฉีกขาดที่อวัยวะเพศ
“ทำไมหนูไม่บอกพี่ตั้งแต่แรกลูก ทำไมไม่บอกพี่” มาคีร้องไห้จนตัวโยน
“พี่จ๋า พี่จ๋า” เสียงเรียกเบาหวิวลอยมาตามลม มาคีเงยหน้ามองที่หัวเตียง เด็กหญิงน้ำหวานในชุดสีขาวยืนอยู่ที่นั่น เด็กหญิงไม่ร้องไห้กลับมีแสงสว่างกระจายอยู่ด้านหลัง
“ไม่นะน้ำหวาน ไม่ไปนะ” มาคีพูดเสียงสะอื้น
“พี่จ๋า ขอบคุณนะคะ” เด็กหญิงหันหลังเดินไปตามทางสว่างสีขาว
“น้ำหวาน อย่าไปนะลูก น้ำหวาน”…มาคีร้องไห้ไม่หยุดอยู่ที่เดิม ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรจนเหมือนฝันต้องเข้ามากอดร่างบางของน้องสาวไว้แน่น พยายามปลุกปลอบให้อีกฝ่ายสงบสติอยู่เกือบชั่วโมง
“พี่มาทำบุญให้นะลูก ไปสู่แสงสว่างตลอดกาลนะ” เวลาผ่านไปเกือบเดือน มาคีมาทำบุญที่วัดพร้อมกับเหมือนฝัน เธออุทิศส่วนบุญให้เด็กหญิงน้ำหวาน เด็กหญิงที่ไม่เคยฟื้นตื่นขึ้นมาอีกเลยหลังจากมานอนที่โรงพยาบาล
หนึ่งเดือนที่ผ่านมาข่าวพ่อใจโหดที่ทำทารุณกรรมลูกสาวขึ้นหน้าหนึ่งเป็นประเด็นร้อน เรื่องของพ่อโรคจิตที่ได้โอกาสตอนที่แม่ไปทำงานต่างจังหวัดทำร้ายลูกสาวเป็นประจำและยังก่อคดีกับเด็กผู้หญิงรายอื่นอีก จนสุดท้ายเด็กหญิงอาการสาหัสปางตายยังตามไปทำร้าย หวังวางยาพิษให้ตายเพราะกลัวลูกสาวตื่นมาให้ปากคำเรื่องที่ตัวเองทำร้ายได้ ประเด็นข่าวการล่วงละเมิดทางเพศโดยคนใกล้ตัวถูกนำมาพูดถึงและเตือนกันเป็นวงกว้างในสังคม
“พี่ขอบคุณหนูนะน้ำหวาน เพราะหนู ยูริเลยรอดจากการตกเป็นเหยื่อ” มาคีพึมพำ
เพราะการสืบสวนของสารวัตรเอื้ออังกูรที่เชื่อมโยงนายปรีชามาถึงโรงพยาบาลทำให้เรื่องทุกอย่างเปิดเผยพอดีกับที่นายปรีชาจับยูริไปและตั้งใจก่อคดีหลังจากให้อาหารน้ำหวานมื้อสุดท้ายแล้ว เช้าวันนั้นตำรวจเค้นเอาที่ซ่อนยูริจากนายปรีชาจนสำเร็จและช่วยเด็กหญิงออกมาได้อย่างปลอดภัย แต่…น้ำหวานเลือกทางเดินของตัวเองไปสู่สุคติภูมิ…เด็กหญิงที่ถูกทำร้ายมาทั้งชีวิตคงไม่อยากกลับมาเผชิญโลกนี้อีกไม่ว่าจะดีหรือร้าย
ส่วนแม่ของน้ำหวาน…หลังจากทำศพให้น้ำหวานแล้วเธอก็ไปบวชชี ตั้งใจบวชไปตลอดชีวิต
“คีย์ว่า แม่เขารู้เห็นด้วยไหม” เหมือนฝันอดถามไม่ได้
“ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้มีแค่เค้าที่รู้อยู่แก่ใจนะพี่ฝัน ใครทำอะไรไว้ ผลกรรมจะตามมาในบั้นปลาย” มาคีถอนหายใจ
เรื่องของน้ำหวานทำให้มาคีเหนื่อยเกินไป ถ้าบ้านไม่ใช่ที่ที่ปลอดภัยโลกนี้จะยังมีที่ไหนปลอดภัยหนอ…คงเพราะแบบนั้นน้ำหวานจึงเลือกเดินจากโลกนี้ไป…
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 11 : คำตอบ
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 10 : อันเป็นที่รัก
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 9 : ปล่อย
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 8 : หลงในใจ
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 7 : ทั้งหมดคือของฉัน
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 6 : ถือมั่น
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 5 : ยามเช้า
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 4 : หลงในเวลา...ตีสอง
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 3 : หลงในเวลา...เที่ยงคืน
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 2 : หลงในเวลา...ยี่สิบเอ็ดนาฬิกา
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 1 : หลงในเวลา
- READ สะพานข้ามรุ้ง : บทนำ