
สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 9 : ปล่อย
โดย : แก้ว การะบุหนิง
สะพานข้ามรุ้ง โดย แก้ว การะบุหนิง กับนวนิยายแนวสืบสวนฆาตกรรมจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 4 มีเต็มไปด้วยรายละเอียดของการสืบสวนสุดเข้มข้นและแตกต่าง มาร่วมกันเอาใจช่วย “มาคี” ผู้ที่ตั้งใจจะส่งวิญญาณทุกดวงสู่ทางสว่างและสดใส โดยใช้ตัวเองเป็นกุญแจไขประตูสู่สะพานข้ามรุ้งเหมือนชื่อเล่นของเธอ “คีย์”
“ปล่อยฉันไป ปล่อยฉันไปเถอะนะ ทรมานเหลือเกิน”
เสียงร้องคร่ำครวญจากหัวเตียงแผ่วเบา แต่เสียงเบานั้นสั่นไหว ไม่มีใครได้ยิน หญิงชายในชุดสีขาวกำลังทำการช่วยชีวิตหญิงที่นอนแน่นิ่งบนเตียง
“สองร้อยจูน” คนที่ถือเครื่องช็อกไฟฟ้าบอก ก่อนหน้านั้นเครื่องช็อกไฟฟ้าได้ทำงานปล่อยกระแสไฟไปยังร่างที่นอนนิ่งไปสองครั้งแล้วแต่เหมือนกับไม่มีการตอบสนองใดๆ
“เคลียร์นะครับ” เสียงบอกก่อนเครื่องช็อกไฟฟ้าจะวางทับบนหน้าอกจนร่างที่นอนนิ่งนั้นกระตุกอย่างแรงเมื่อกระแสไฟฟ้าผ่าน
“ปั๊มต่อครับ” ชายที่เป็นหัวหน้าทีมช่วยชีวิตในคืนนี้บอกหลังจากที่จ้องมองจอติดตามการเต้นของหัวใจแล้ว “ขออะดรีนาลินเพิ่มด้วยนะครับ รันตามเวลาไปเรื่อยๆ”
“ปล่อยฉันไปเถอะ ทรมานเหลือเกิน ฉันไหว้ละ” ร่างเบาบางที่ยืนอยู่ตรงหัวเตียงยกมือไหว้ท่วมหัว ทุกครั้งที่เครื่องช็อกไฟฟ้าทาบทับร่างที่นอนนิ่งนั้น ทำให้ร่างที่ยืนเหนือขึ้นไปถูกผลักกระเด็นไปมา
“ปล่อยฉันไปเถอะ ขอร้อง”
“โอเค หัวใจกลับมาเต้นปกติแล้ว เดี๋ยวให้ยากระตุ้นความดันต่อละกัน” นายแพทย์วัยกลางคนพูดอย่างพึงพอใจ คืนนี้เขาช่วยชีวิตหญิงวัยหกสิบกว่าปีคนนี้ไว้ได้อีกครั้ง หลังจากที่เธอมีอาการหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันถึงสามครั้ง
“ฝากดูแลคุณป้าอรภาด้วยนะคุณฝัน คุณแม่เพื่อนผมเอง ช่วงนี้เขาอยู่ต่างประเทศยังกลับมาไม่ได้” นายแพทย์คนเดิมหันมาบอกเหมือนฝันที่เป็นหัวหน้าพยาบาลเวรบ่ายที่ตอนนี้กำลังเก็บเครื่องมือช่วยชีวิต
“แล้วเพื่อนคุณหมอจะกลับมาเมื่อไหร่คะ” เหมือนฝันถาม อีกฝ่ายถอนหายใจและส่ายศีรษะให้คู่สนทนาอย่างไม่รู้จะตอบคำถามอย่างไร
อรภาในวัยเจ็ดสิบห้าปี หญิงชราคนไข้ประจำหอผู้ป่วยอายุรกรรม ใช้ชีวิตอยู่กับผู้ดูแล ประวัติครอบครัวคือมีบุตรสามคนและทุกคนทำงานต่างประเทศ ลูกๆ ปีหนึ่งจะกลับมาเยี่ยมหนึ่งหรือสองครั้ง แต่ส่งเงินมาให้และมีผู้ดูแลประจำ อรภาเทียวเข้าออกโรงพยาบาลด้วยโรคประจำตัวคือโรคหัวใจหลายครั้งและทุกครั้งหญิงชราจะร้องขอให้ปล่อยเธอไปตามธรรมชาติ
“ไม่ได้นะ รอฉันกลับไปก่อนนะหมอเดี่ยว อย่าไปฟังแม่” เสียงลูกชายปลายสายดังมาจากโทรศัพท์สมาร์ตโฟน นายแพทย์ที่กำลังนั่งเขียนคำสั่งการรักษาในเคาน์เตอร์พยาบาลเปิดเสียงไปด้วย
“แต่แม่เขาขอนะมึง กูต้องเคารพสิทธิผู้ป่วย” นายแพทย์คนเดิมถอนหายใจ ถึงจะเป็นลูกก็ตามแต่ชีวิตและร่างกายในวาระสุดท้ายก็ต้องเคารพสิทธิคนป่วย
“กูเข้าใจหมอเดี่ยว แต่ขอร้องละ กูจะรีบกลับไป มึงเห็นใจกูเถอะ” ปลายสายร้องขอเสียงสั่น
“กู…จะพยายามนะ” คนพูดกดวางสายก่อนจะจรดปากกาเขียนลายเซ็นและเอนหลังพิงพนักเก้าอี้
“หัวใจกลับมาเต้นปกติแล้วค่ะ” เหมือนฝันที่นั่งเขียนเอกสารอยู่ข้างๆ พูด เธอไม่ได้แอบฟังการสนทนาเพราะนายแพทย์ตั้งใจเปิดเสียงเป็นการสนทนาแบบเปิด
“ขอบคุณครับ” คนพูดถอนใจและหันมามองเพื่อนร่วมเวรบ่ายอีกครั้ง
“เราจะพยายามค่ะ” เหมือนฝันที่เข้าใจความหมายนั้นยิ้มให้อย่างเนือยๆ
เป็นเรื่องปกติที่ลูกๆ ที่อยู่ไกลจะอยากกลับมาดูแลพ่อแม่ในวาระสุดท้าย แต่เมื่อมาทำงานกับความเป็นความตายจะรู้ว่าความแก่ เจ็บ และตาย ไม่ใช่เรื่องที่จะต่อรองได้มากนัก เหมือนอรภาที่เจ็บป่วยมาร่วมสองปี หญิงชราพ่ายแพ้กับความเจ็บป่วยและเจ็บปวด ทุกครั้งที่เริ่มขั้นตอนการรักษาเธอจะขอให้แพทย์หยุดการรักษาเพราะความทรมาน
“คืนนี้เหมือนไม่ค่อยยุ่งเนอะคุณฝัน” นายแพทย์ชวนคุย
“ดีค่ะ มีแค่เคสคุณป้าอรภาคนเดียวคนอื่นอาการคงที่” เหมือนฝันพูด วันไหนที่มีคนไข้อาการไม่ต้องเฝ้าระวังเกินสามรายถือว่าเป็นวันดีๆ ของพยาบาลอายุรกรรมที่ต้องทำงานกับความซับซ้อน เร่งรีบของโรค
“แต่จริงๆ แล้วอาการของคุณป้าก็ไม่ได้ถึงขนาดที่เราจะปล่อยแกไปเหมือนที่แกร้องขอไม่ใช่หรือคะ คุณหมอไม่ต้องคิดมากหรอก” เหมือนฝันพูดหลังจากสังเกตเห็นอีกฝ่ายนิ่วหน้าขมวดคิ้วเพราะใช้ความคิดอย่างหนัก
“หนู ปล่อยป้าไป ปล่อยป้าไป”
เวลาเกือบเที่ยงคืน…มาคีเดินมาตามทางเดินเพื่อขึ้นเวรดึก หอผู้ป่วยอายุรกรรมที่มาคีทำงานอยู่ชั้นสี่เมื่อประตูลิฟต์เปิด…มาคีสะดุ้งแต่ระงับสีหน้าให้สงบ
“อย่าขังป้าไว้ อย่าใจร้าย ปล่อยป้าไป” น้ำเสียงขอร้องเจือสะอื้น มาคีชำเลืองมองผ่านๆ เธอไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าเธอเห็นหรือได้ยินสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น จริงอยู่ที่มาคีทำอะไรได้เหนือมนุษย์คนอื่น แต่ในเรื่องของเวรกรรมนั้นมาคีไม่อาจก้าวล่วง
“ฉันบอกว่าให้ปล่อยฉันไป ไม่ได้ยินหรือไง” จากเสียงสะอื้นไห้เมื่อครู่ก่อนกลายเป็นตะโกนเสียงดัง จากร่างไร้วิญญาณขาวโพลนกลับกลายเป็นร่างน่าเกลียด ใบหน้าโกรธเกรี้ยว ดวงตาแดงก่ำ
มาคีสูดลมหายใจเข้าลึกพยายามไม่สนใจ ก่อนจะก้าวขาเดินหนีไปแต่วิญญาณนั้นเหมือนไม่ปล่อยพยาบาลสาวไปดังใจนัก ยังตามดักหน้าดักหลังด้วยรูปลักษณ์น่าเกลียดน่ากลัว
“เฮ้อ” มาคีโผล่พรวดเข้าประตูก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เป็นอะไรคีย์” เหมือนฝันที่นั่งเขียนเอกสารอยู่เงยหน้ามอง ใบหน้าเผือดของมาคีโดดเด่นท่ามกลางแสงไฟ มาคีหันมองรอบตัว วิญญาณน่ากลัวนั้นหายไปแล้ว เหลือเพียงแสงไฟสลัวในหอผู้ป่วยเช่นที่คุ้นเคยในยามมาทำงานเวรดึก
“ว่าแล้ว” มาคีพึมพำเมื่อมองไปที่เตียงผู้ป่วยหมายเลขหนึ่ง ร่างบางร่างหนึ่งนอนใส่ท่อช่วยหายใจอยู่ที่นั่น
“เจอแกหรือ” เหมือนฝันถาม
“ค่ะ” มาคีพยักหน้าก่อนจะเดินมานั่งข้างๆ “แกโมโหใส่คีย์ใหญ่เลย บอกให้ปล่อยแกไป” มาคีกระซิบ
“เอ้า แกรู้ว่าเราเห็นหรือ” เหมือนฝันถาม
“ไม่แน่ใจค่ะ แต่คีย์ก็ทำเป็นไม่เห็นแล้วนะ” มาคีวางกระเป๋า “ครั้งนี้แกโมโหมาก มาปรากฏในร่างที่ไม่น่ามองเลย” มาคีบอก
“ก็แกยังไม่ได้อาการหนักขนาดที่จะปล่อยแกไปได้ เราจะปล่อยให้แกไปเฉยๆ ได้ยังไง” เหมือนฝันบอก
“ไม่รู้สิคะ แกเหมือนไม่เข้าใจอะไรเลย แกคงทรมานนั่นแหละแหละ” มาคีบอก
“มันก็เป็นวาระที่คนเราต้องเจอกันบ้าง” เหมือนฝันพูด “อีกอย่างถ้าหมอทิ้งให้แกไปเฉยๆ โดนลูกเขาฟ้องแน่ๆ” คนพูดนึกถึงการสนทนาช่วงค่ำที่ลูกชายคนป่วยบอกให้แพทย์พยายามช่วยชีวิตแม่ให้ถึงที่สุด
“ลูกแกก็รักแกมากนี่คะ ทำไมแกถึงอยากจากไปขนาดนั้น” มาคีมองไปที่เตียงหนึ่ง เสียงเครื่องช่วยหายใจทำงานสม่ำเสมอ เครื่องติดตามการเต้นของหัวใจและสัญญาณชีพยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ แล้วแบบนี้คนป่วยจะมารบเร้าให้ปล่อยตัวเองให้ตายได้อย่างไร…
“คนไข้เตียงหนึ่งรับอาหารไม่ได้ค่ะ พอฟีดให้ก็อาเจียนออกหมดเลย” ผู้ช่วยพยาบาลเข้ามารายงานในช่วงเช้าหลังเวลาให้อาหารทางสายยาง
“น่าแปลกจังเลย คุณอรภาไม่มีปัญหาระบบทางเดินอาหารนี่นา” มาคีมองที่เตียงผู้ป่วยสังเกตอาการเตียงที่หนึ่ง เครื่องควบคุมการหายใจยังทำงานสม่ำเสมอ สัญญาณชีพยังปกติ หลังจากที่แพทย์ส่งเอกซเรย์ดูลำไส้เมื่อวานก็พบว่าไม่พบภาวะผิดปกติใดๆ
“เดี๋ยวคีย์ไปดูเองค่ะ” มาคีบอกพร้อมกับเดินมาที่เตียง
หญิงวัยหกสิบกว่านอนใส่ท่อช่วยหายใจและหายใจตามเครื่องได้ดี ออกซิเจนในเลือดร้อยเปอร์เซ็นต์ มาคีหยิบหูฟังขึ้นมาแนบที่ท้องของคนไข้
“เอ ลำไส้ก็ปกติดีนี่นา ท้องร้องด้วย คุณป้าหิวใช่ไหมคะ เดี๋ยวหนูให้อาหารทางสายยางนะคะ” มาคีดูแลให้อาหารที่เหลือในแก้วต่อ
“ไม่กิน ไม่ต้องมาให้ฉันกิน ปล่อยฉันไป ฉันไม่อยากอยู่แล้ว” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดเดิมดังอยู่ข้างหู มาคีทำเป็นไม่ได้ยิน
“อ้อ แบบนี้นี่เอง” มาคีพึมพำ เพราะวิญญาณของร่างที่นอนนิ่งไม่ยอมให้ร่างนั้นรับอาหารนั่นเอง คนไข้ถึงได้อาเจียนออกมาทั้งๆ ที่ระบบการทำงานต่างๆ ยังทำงานได้
“ทานเยอะๆ นะคะ เดี๋ยวก็หาย” มาคีทำหูทวนลมใส่ร่างที่เกรี้ยวกราดอยู่ข้างหู
“ไม่กิน เอาไป” ร่างนั้นพยายามผลักมือของมาคีออกแต่ก็เหมือนภาพซ้อนที่ไม่เกิดอะไรขึ้น
“พูดไม่ฟังใช่ไหม” เมื่อผลักมือมาคีออกไม่สำเร็จ วิญญาณที่เกรี้ยวกราดก็ตรงเข้าสู่ร่างของตัวเอง พยายามกดบีบท้องร่างที่นอนแน่นิ่ง
‘นี่เอง สาเหตุ’ มาคีลอบมองแต่ก็ไม่ได้ห้ามปรามเพราะพยายามคิดหาทางแก้ปัญหาโดยที่ไม่ให้วิญญาณนั้นรู้ว่าเธอเห็น
“ถ้าคุณอรภาไม่กิน คุณจะตายนะคะ” มาคีเปรยให้วิญญาณนั้นได้ยินแต่เหมือนกลับยิ่งทำให้วิญญาณนั้นยิ่งกดบีบท้องมากขึ้น
“โอ๊ย กรี๊ด” อยู่ๆ วิญญาณที่กำลังทำร้ายร่างตัวเองก็ลอยคว้างออกไปจากร่างนั้น มาคีชำเลืองมองรู้สึกว่ามือที่กำลังกำหลอดให้อาหารอยู่นั้นเย็นเฉียบขึ้นมา
“อย่านะ อย่า ได้โปรด” ร่างที่ลอยคว้างร่วงหล่นลงไม่ไกล ร่างนั้นนั่งฟุบและสั่นไหวยกมือไหว้ท่าทางหวาดกลัวสุดขีด
“ปล่อยฉันไป ฉันทรมานเหลือเกิน” ร่างนั้นยังพูดคำเดิมๆ เพื่อขอความปรานีพร้อมกับร่ำไห้จนร่างสั่นไหว
มาคียังเทอาหารให้ทางสายยางต่อโดยที่ทำเป็นไม่เห็นวิญญาณที่นั่งไหว้ตัวสั่นอยู่ห่างๆ นับเป็นอีกครั้งที่เธอไม่เข้าใจพฤติกรรมของวิญญาณดวงนี้ที่ร้องขอความตายอยู่ตลอดเวลาทั้งๆ ที่เธอไม่ได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานเกินรับไหว อีกทั้งยังเป็นที่รักของลูกๆ ถึงแม้ทั้งสามคนจะอยู่ต่างประเทศ แต่ก็โทรศัพท์มาหาไม่เคยหายไปสักวัน
“ดูหงุดหงิดนะคีย์” เหมือนฝันทัก ค่ำนี้ทั้งสองขึ้นเวรบ่ายด้วยกัน
“อืม นี่โดนตื๊อไม่เลิก น่าหงุดหงิดที่สุด” มาคีวางอุปกรณ์ให้อาหารทางสายยางที่อ่างล้างเครื่องมือก่อนจะหันมาส่ายศีรษะยอมรับความหงุดหงิด
“มีอะไรอีกล่ะ” เหมือนฝันถาม
“ก็คุณอรภาสิ มาตื๊อคีย์ไม่เลิก” มาคีพ่นลมหายใจออกมา
“อ้าว คุณอรภารู้หรือว่าคีย์เห็นเขา” เหมือนฝันถาม อีกฝ่ายส่ายหน้าปฏิเสธ “อ้าว ไม่รู้แล้วมาตื๊อคีย์ทำไม”
“ไม่รู้ค่ะ ร่ำร้องแต่อยากตาย ให้ปล่อยแกไปสักที พูดซ้ำๆ ตลอด บางครั้งก็เกรี้ยวกราดใส่คีย์” มาคีบ่น ปกติเธอไม่ค่อยเล่าถึงวิญญาณดวงไหนให้พี่สาวฟังเพราะเกรงว่าเหมือนฝันจะกลัว แต่คราวนี้มาคีร่ำๆ จะสุดทนกับการแสดงออกของอรภา
“หรือบางทีแกอาจเที่ยวตะโกนใส่พยาบาลทุกคนก็ได้ แต่คนอื่นไม่เห็นแก” มาคีพูดเรื่อย
“ว้าย ไม่ไหวมั้ง มีวิญญาณมาพูดพร่ำขอความตายใส่นี่” เหมือนฝันทำหน้าแปลกๆ ไม่ว่าเธอจะรู้สึกว่าตัวเองโชคไม่ดีขนาดไหนแต่เธอก็คิดว่ายังน้อยกว่ามาคีที่วนเวียนอยู่กับการเห็นวิญญาณและต้องหาทางส่งวิญญาณสู่ภพภูมิที่สงบที่สุดของตัวเอง
“บางทีเดินมาเพลินๆ ก็สะดุ้งนะพี่” มาคีคิดถึงค่ำคืนที่เดินมาขึ้นเวรดึกตามทางเดินอึมครึมของทางมาหอผู้ป่วยแล้วอยู่ๆ อรภาก็มาปรากฏและคร่ำครวญ
“ก็อาการแกไม่ได้หนักขนาดที่จะตายวันนี้พรุ่งนี้นี่” เหมือนฝันทำหน้าไม่ถูก ในเมื่อสัญญาณการมีชีวิตต่างๆ ของอรภายังปกติ จะให้ปล่อยให้ตายได้อย่างไร
“คีย์ไม่เข้าใจ ไม่อยากถามด้วย วิญญาณแกดูก้าวร้าว”
“ติ๊ด ติ๊ด” เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของมาคี
“อุ๊ย แม่โทรมา” มาคีหยิบโทรศัพท์ไป “ขอตัวแป๊บนึงนะพี่ โดนเฉ่งแน่ๆ ไม่ได้โทรศัพท์หาแม่มาสามวันแล้ว” มาคีทำหน้าล้อเลียนคนในโทรศัพท์
ตั้งแต่พ่อของมาคีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์ชน มาคีก็เหลือแต่แม่ที่ดูแลมาตลอด แม้แต่ตอนที่นอนป่วยร่วมปีก็มีแม่ที่เทียวมาดูแล แม่ส่งเสียจนเรียนจบชั้นมัธยมศึกษา หาเงินส่งเรียนต่อพยาบาล แถมพอทำงานก็ยังคงห่วงมาคีเช่นเดิม แต่นับวันงานพยาบาลยิ่งทำให้มาคีมีเวลาน้อย บางวันมีภาระงานมากจนลืมโทรศัพท์หาแม่ที่อยู่เชียงใหม่ ครั้งนี้ก็เช่นกันที่เธอรับปากว่าจะโทรศัพท์ไปหาและหายไปเลยร่วมสามวัน
“ถ้าอยู่ใกล้แม่จะเขกกะโหลกให้นะ ไม่โทรกลับมาเลย” เสียงปลายสายเข้มใส่แต่มาคีรู้ดีว่าแม่ไม่ได้โกรธจริงจังนัก
“แหม แม่ก็ คีย์ขอโทษนะ ขึ้นเวรแล้วลืมน่ะ พอลงเวรก็นอน” มาคีทำเสียงอ้อนเหมือนเด็กเวลาทำผิดแล้วไม่อยากให้พ่อแม่ทำโทษ
“จ้ะ แม่แซวเล่นเฉยๆ รู้ว่าคีย์สบายดีก็ดีแล้ว อยู่โน่นมีพี่ฝันดูแลแม่ก็หายห่วง” น้ำเสียงปลายสายยังร่าเริง แต่มาคีรู้สึกสะท้อนใจ
“คีย์ขอโทษนะคะแม่ เดี๋ยวอาทิตย์หน้าหยุดสามวันคีย์ก็กลับบ้านนะ” มาคีบอกแผนที่ตั้งใจไว้
“จ้ะ ว่างเมื่อไหร่ก็กลับมา เหนื่อยก็พัก ดูแลตัวเองด้วย” น้ำเสียงปลายสายยังเป็นห่วง
“คิดถึงแม่จัง” มาคีทำเสียงอ้อน
“ยัยลูกแหง่” คนพูดหัวเราะ “ไปทำงานไป ไว้ว่างค่อยโทรมา” ไม่ว่ามาคีจะทำอะไรคนที่เข้าใจและพร้อมอยู่ข้างๆ เสมอก็ไม่พ้นมารดา แม้ในวันที่แม่ต้องสูญเสียพ่อ ลูกสาวรู้ว่าแม่หดหู่และหาหนทางเดินไม่ได้แต่แม่ก็ยังทำตัวมั่นคงให้เป็นที่พึ่งของมาคีได้มาจนทุกวันนี้
“หูแตกหรือไง ปล่อยฉันไป จะกักขังฉันไว้ทำไม” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดดังขึ้นข้างๆ จนมาคีสะดุ้งปล่อยโทรศัพท์หลุดมือ
“ปล่อยฉันไป อย่ามาขังกันแบบนี้” น้ำเสียงเดิมยังข่มขู่คาดคั้น
มาคีถอนหายใจยาวก่อนจะก้มลงหยิบโทรศัพท์ ทำเป็นไม่ได้ได้ยิน ไม่สนใจ เธอไม่ชอบการสื่อสารผ่านความก้าวร้าวแบบนี้ นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่มาคีเห็นวิญญาณ เธอไม่เคยเห็นวิญญาณที่ก่อกวนให้ปวดหัวแบบนี้ แบบนี้คงเรียกว่ากรรมของวิญญาณดวงนี้ที่ไม่สามารถละอารมณ์โกรธลงได้ วิญญาณที่เต็มไปด้วยรัก โลภ โกรธ หลงจะก้าวผ่านสะพานรุ้งไม่ได้ นั่นไม่ใช่อำนาจของมาคีที่จะช่วยได้
มาคียังได้ยินเสียงโกรธเกรี้ยวใส่ หญิงสาวลอบมองไปที่ต้นเสียงคิดว่าคงเจอร่างผอมบางร่างเดิมยืนสั่นไหวไม่ต่างจากครั้งก่อนๆ ที่เจอ
“ว้าย” มาคีทำโทรศัพท์หลุดมืออีกครั้ง รู้สึกถึงแรงหยิบจับที่อ่อนล้าลงจนไม่สามารถหยิบโทรศัพท์ได้ มือเรียวนั้นสั่นจนแทบกำหนดทิศทางหยิบของไม่ได้…ตรงนั้น…ไม่ได้มีเพียงร่างผอมร่างนั้นที่มาคีคุ้นเคย เงาดำอีกเงายืนซ้อนอยู่ใกล้ๆ เงานั้นมีดวงตาแดงก่ำและราวกับรอบตัวของมาคีจะเย็นเยือกขึ้นมากะทันหัน
“อาการก็ทรงตัวนะ แกรับอาหารไม่ได้อาเจียนออกหมด” นายแพทย์เจ้าของไข้นั่งคุยโทรศัพท์อยู่ที่เคาน์เตอร์พยาบาล
“กูว่ามึงรีบกลับมาก็ดีนะ คนป่วยต้องการกำลังใจ” เป็นคำพูดซ้ำๆ เช่นทุกครั้งที่โทรศัพท์คุยกับลูกชายของอรภาผู้ป่วยเตียงหนึ่ง
“เอาจริงๆ นะ กูว่าถ้ามึงกลับมาไม่ได้ น้องๆ ก็น่าจะกลับมาบ้าง บางทีแม่เห็นหน้าลูกๆ อาการอาจจะดีขึ้น” คนพูดอธิบาย เขาเองก็พยายามรักษาคนป่วยอย่างเต็มที่แต่อาการก็เหมือนทรงตัว ไม่ดีขึ้น
“โอเค กูจะพยายามนะ” นายแพทย์วางสายก่อนจะนั่งถอนหายใจ
“เขาไม่ว่างกลับมาใช่ไหมคะ” มาคีถาม อรภาพักรักษาตัวในหอผู้ป่วยอายุรกรรมหลายๆ ครั้ง หลายๆ วัน ครั้งนี้ก็เช่นกัน นายแพทย์ตอบคำถามด้วยการถอนหายใจยาวพร้อมกับแสดงสีหน้าหนักใจ
“เขาก็ฝากฝังอย่างเคย แต่คนเราเวลาชีวิตมีจำกัด คุณป้าก็ต้องการกำลังใจ” นายแพทย์พูด อรภาเป็นแม่ของเพื่อนในกลุ่มมัธยมของนายแพทย์เจ้าของไข้ จึงคุ้นเคยกับครอบครัวคนป่วยเป็นอย่างดี
“ใช่ค่ะ ทุกครั้งที่ไปให้อาหารเหมือนแกรู้นะ แต่ร่างกายไม่ยอมรับอาหาร” มาคีพูด
มาคีนึกถึงเรื่องในคืนก่อนที่วิญญาณของคุณอรภาพยายามอ้อนวอนให้มาคีปล่อยเธอเสียชีวิตไป แต่เหมือนกับจะมีวิญญาณอีกดวงไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น เมื่อคุณอรภาคุกคามมาคีหนักจนทำให้มาคีให้การพยาบาลร่างที่นอนหายใจตามเครื่องช่วยหายใจไม่ได้ก็จะมีวิญญาณอีกดวงปรากฏขึ้นมา วิญญาณดวงนั้นเหมือนกับพยายามช่วยให้คุณอรภากลับมามีชีวิตเช่นเดิม นอกจากลูกๆ ที่ไม่อยากให้คุณอรภาจากไปแล้วยังมีวิญญาณอีกดวงที่เฝ้าตามคุณอรภาด้วย…
“เห็ดปรุงรสอร่อยมากค่ะแม่ พี่ฝันบอกอร่อยมากๆ” มาคีคุยโทรศัพท์พร้อมกับหันหน้าจอคู่สนทนาไปทางเหมือนฝันที่นั่งรับประทานอาหารอยู่
“อร่อยสุดๆ เลยค่ะแม่ นี่ฝันตักข้าวจานที่สองแล้วนะ” เหมือนฝันยกจานข้าวโชว์ หลังจากมาคีเข้ารับการรักษาตอนที่ป่วยนอนไม่รู้สึกตัวอยู่นาน แม่ของมาคีเทียวมาดูแลลูกสาวที่โรงพยาบาลทำให้สนิทกับพยาบาลในหอผู้ป่วย โดยเฉพาะเหมือนฝันที่ใกล้ชิดกับมาคีมากที่สุด
“กินเยอะๆ เลยลูก เดี๋ยวแม่ทำส่งไปอีก” คนพูดยิ้มท่าทางสุขใจเมื่ออาหารที่ทำถูกปากคนที่ได้รับ
“โห อย่าเพิ่งเลยค่ะ ฝันจะอ้วนไปมากกว่านี้” เหมือนฝันหัวเราะ “อ่อ แม่คะ อาทิตย์หน้าฝันสั่งขนมอบเจ้าที่แม่ชอบไปฝากด้วยนะ” เหมือนฝันพูด สัปดาห์หน้าเธอจะติดตามมาคีกลับเชียงใหม่ไปพักผ่อนกันสามวัน
“แค่มาเที่ยวแม่ก็ดีใจแล้วจ้ะ ไม่ต้องเอาอะไรมาให้ลำบาก”
“ไม่ลำบากค่ะแม่ ฝันอยากกินด้วย” เหมือนฝันหัวเราะ
“เดี๋ยวแม่ทำอาหารไว้รอ เอาไส้อั่วแบบที่ฝันชอบนะ” คนพูดบอกสีหน้าตื่นเต้น
“แหม สองคนนี้เอาใจกันใหญ่เลยนะ” มาคีหัวเราะก่อนจะหันหน้าจอกลับมา “หนูก็อยากกินแหนมเห็ด แม่ทำไว้ด้วยนะ” มาคีพูด
“ทำไว้เป็นหม้อแล้วจ้ะ” ปลายสายยังหัวเราะอย่างมีความสุข
“ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด” เสียงเครื่องติดตามสัญญาณชีพร้อง
“น้องฝัน น้องคีย์ เสียงเครื่องคนไข้เตียงหนึ่งร้องค่ะ” ผู้ช่วยเหลือคนไข้ที่นั่งเฝ้าที่เคาน์เตอร์ยื่นหน้าเข้ามาบอก
“เอ เป็นอะไรน้า ก่อนหน้านั้นก็ปกติหมด” ก่อนจะเข้ามาพักรับประทานอาหารเหมือนฝันไล่สำรวจอาการผู้ป่วยทุกเตียงเห็นว่าไม่มีใครมีอาการเปลี่ยนแปลง พยาบาลเวรบ่ายจึงเข้ามาพัก
“ปล่อยฉันไป ปล่อยฉันไป” น้ำเสียงโกรธเกรี้ยวดังข้างหูมาคีในตอนที่มาคีและเหมือนฝันวิ่งไปถึงเตียง สายต่อออกซิเจนหลุดทำให้ออกซิเจนในเลือดต่ำ เครื่องติดตามสัญญาณชีพจึงร้องเตือน
“เอ๊ะ หลุดได้ยังไง” มาคีประกอบตัวเครื่องใหม่ด้วยความแปลกใจ
“หลุดได้ไงเนี่ย เมื่อกี้มาตรวจก็ปกติดี” เหมือนฝันเองก็แปลกใจไม่ต่างกัน
“อย่ามายุ่ง ปล่อยฉันไป ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดยังตะโกนใส่มาคี พยาบาลสาวทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“เหมือนป้าอรภาจะขยับได้นะคะ” มาคีมองไปที่คนป่วยที่นอนนิ่งสนิทบนเตียง เป็นไปได้มากว่าวิญญาณนั้นดึงสายออกซิเจนออกเอง…บางทีวิญญาณของป้าอรภาอาจกลับเข้าร่างและทำเช่นนั้น
“หืม เป็นไปได้ยังไง” เหมือนฝันเลิกคิ้วสงสัย คนที่นอนนิ่งบนเตียงนี่ขยับไปดึงสายออกซิเจนได้ด้วยหรือ
“นั่นสิคะ หรือเราต้องมัดมือกันคุณป้าดึงอีก” มาคีพูด
“อย่านะ อย่ามามัดฉัน ปล่อยฉันไป ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่” น้ำเสียงจากโกรธขึงเปลี่ยนเป็นสั่นไหว “ถ้าปล่อยคุณป้าดึงอีกนี่อาจช่วยไม่ทัน…” มาคีพูดทิ้งปริศนาไว้
“อย่านะ ช่วยด้วยๆ” เสียงเกรี้ยวกราดเดิมเปลี่ยนเป็นขอความช่วยเหลือ มาคีชำเลืองมอง ร่างของวิญญาณอีกตนยืนประกบอยู่ด้านหลัง ร่างนั้นเหมือนโอบกอดวิญญาณของอรภาไว้แน่น แต่อรภากลับดูตระหนก หวาดกลัว
“เอาละ เครื่องทำงานดีแล้ว” เหมือนฝันที่ไม่เห็นความวุ่นวายแบบที่มาคีเห็นเงยหน้าจากอุปกรณ์ช่วยชีวิต
“ไปค่ะ ไปกินข้าวต่อ” มาคีชวน
“อ้าว ไหนว่าจะมัดมือคุณป้าก่อน กลัวแกดึงอุปกรณ์” เหมือนฝันถาม
“คุณป้าคงไม่ดึงแล้วค่ะ” มาคีเดินนำหน้าเหมือนฝันที่ยืนทำหน้างงอยู่ข้างหลังก่อนจะหันรีหันขวางอย่างไม่แน่ใจแต่ก็เดินตามมาในที่สุด
“ทำไมถึงมั่นใจนักยัยคีย์” เหมือนฝันท้วง มาคีไม่ตอบได้แต่ลอบมองไปด้านหลัง
ในความมืดมนมาคีรับรู้ถึงความผิดปกติมากมายมายของคนไข้รายนี้ หลายคนมาที่นี่และดึงดันที่จะมีชีวิตอยู่ต่อเพราะหวาดกลัวต่อความตาย แต่อรภานอกจากไม่หวาดกลัวยังร่ำร้องหาความตายถึงแม้จะมีลูกที่รักเธอถึงสามคน
“ขอถามคุณมณีหน่อยนะคะ คุณมณีมาดูแลคุณอรภากี่ปีแล้ว” มาคีถามผู้ดูแลคนไข้เตียงหนึ่งในช่วงค่ำของอีกวัน เป็นเวลาที่ผู้ดูแลจะเข้ามาเยี่ยมอรภา และเปิดโทรศัพท์ให้ลูกๆ ที่อยู่ต่างประเทศได้คุยกับแม่ที่นอนป่วย
“เกือบๆ หกปีนี่แหละค่ะ” มณี ผู้หญิงวัยสามสิบกว่าหุ่นผอมสูงตอบ
“ที่บ้านอยู่กันสองคนหรือคะ คุณอรภากับคุณมณี” มาคีถาม
“ใช่ค่ะ ปกติอยู่กันสองคน ถ้าเป็นวันอาทิตย์หรือช่วงที่พี่หยุดยาวกลับบ้านทางศูนย์พยาบาลจะส่งคนอื่นมาดูแล บางทีคนดูแลที่มาเปลี่ยนเขาก็พาแฟนหรือเพื่อนมาอยู่เป็นเพื่อน”
“เอ ทำแบบนั้นได้ด้วยหรือคะ” มาคีถาม รู้สึกประหลาดใจที่ผู้ดูแลสามารถพาคนอื่นมาอยู่ร่วมบ้านนายจ้างได้ด้วย
“ก็ถ้าไม่ทำแบบนี้ก็ไม่มีใครมาหรอกค่ะ เขากลัวกัน” มณีพูด
“กลัวอะไรคะ” มาคีถามต่อ รู้สึกตื่นเต้นเหมือนเธอกำลังจะได้เจอคำตอบ
“เขากลัวคุณอรภานั่นแหละค่ะ แกชอบพร่ำพูดแต่เรื่องตาย ใครมาอยู่ด้วยก็ลาออกหมดเหลือแต่พี่นี่แหละ” มณีพูด
“พูดแต่เรื่องตาย” มาคีพึมพำ “ทำไมแกอยากตายนักล่ะคะ ลูกก็ทำงานดี อยู่เมืองนอกตั้งสามคน”
“ทำงานดี อยู่เมืองนอกแต่ไม่กลับบ้านเลย” มณีเหมือนหลุดปากก่อนจะเงียบไป
“ไม่เป็นไรค่ะ คีย์ต้องรู้ประวัติคนไข้ว่าแกมีนิสัยอย่างไร เมื่อคืนแกดึงเครื่องช่วยหายใจเองนะคะ” มาคีเผย อีกฝ่ายเลิกคิ้วสีหน้าตกใจ
“พี่อยู่กับแกมาเกือบหกปี ยังไม่เคยเห็นลูกๆ แกมาเลย ยกเว้นโทรศัพท์ติดต่อแบบนี้” มณีเผย “เรื่องอยากตายนี่แหละค่ะปัญหา ใครๆ ก็กลัวแก”
“แล้วญาติคนอื่นล่ะคะ มีใครมาหาบ้างไหม”
“ตั้งแต่พี่อยู่มา…ไม่มีนะคะ” มณีก็เหมือนจะคิดตามเรื่องที่มาคีถาม “น่าแปลกจริงๆ คงเพราะแกเป็นลูกคนเดียวด้วยมั้งคะ”
“อืม คงเป็นแบบนั้น น่าแปลกที่คนอายุรุ่นคุณอรภาจะญาติน้อยนะคะ”
“พี่เคยเห็นรูปคุณแม่คุณอรภาในห้องพระด้วยค่ะ” มณีทำท่ากระซิบทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรเป็นความลับ
“แกคงเหงามากเลยนะคะ” มาคีรู้สึกเห็นใจหญิงสูงวัยขึ้นมา การที่ต้องใช้ชีวิตเพื่อรอคอยลูกๆ แบบไร้ความหวังคงไม่ใช่เรื่องแปลกที่อรภาจะร่ำร้องอยากตาย
“คงแบบนั้นแหละค่ะ กลางคืนแกชอบไปร้องไห้กับรูปคุณแม่แกในห้องพระ พูดแต่เสียใจ ขอโทษอะไรของแกไป คนดูแลที่มาเปลี่ยนกับพี่เลยกลัวไม่มีใครอยู่ประจำ ถ้ามาก็ต้องเอาเพื่อนมาด้วย” มณีพูด
“แล้วพี่ไม่กลัวเหรอคะ” มาคีถาม ถ้าเป็นอย่างที่มณีเล่า มณีก็ควรจะกลัวเหมือนคนอื่น
“พอดีพ่อพี่เป็นสัปเหร่อน่ะค่ะ พี่เจอเรื่องแบบนี้มาเยอะ” มณียิ้ม
มาคีเหลือบตามองไปยังเตียงผู้ป่วยสังเกตอาการเตียงที่หนึ่ง ร่างของอรภายังนอนสงบอยู่บนเตียง ในแวบหนึ่งร่างของวิญญาณอีกดวงยืนอยู่ข้างเตียง ร่างนั้นหันมาทางเคาน์เตอร์พยาบาล มาคีมองเห็นใบหน้านั้นชัด ใบหน้านั้นแปลกตาแต่มาคีกลับรู้สึกคุ้นเคย ร่างนั้นไม่ได้มืดมัวซ่อนอยู่ด้านหลังอรภาเหมือนทุกครั้ง
“กูไม่แน่ใจว่าครั้งนี้จะยื้อไหวไหม อาการแกทรุดลงๆ” เสียงนายแพทย์โทรศัพท์หาญาติคนไข้ น้ำเสียงกังวลกว่าทุกครั้ง คนไข้เตียงหนึ่งอาการไม่ดี อาเจียนและถ่ายเป็นเลือดสด คนไข้เข้าสู่ภาวะช็อกและหัวใจหยุดเต้นได้รับการช่วยฟื้นคืนชีพสำเร็จ แต่ถึงแม้จะช่วยคนป่วยจากภาวะถึงแก่ชีวิตได้ แต่อาการโดยรวมก็ไม่ดีขึ้น
“กูว่ามึงกลับมาเถอะ ครั้งนี้กูไม่แน่ใจเลย” ก่อนสิ้นสุดการสนทนานายแพทย์เจ้าของไข้พูดทิ้งท้ายน้ำเสียงแกมอ้อนวอน “คนป่วยต้องการกำลังใจนะมึง ถึงแม่แกจะไม่ค่อยรับรู้ก็เถอะ”
มีคำกล่าวว่าในวาระสุดท้ายสติรู้ที่ดับไปหลังสุดคือหู จึงมีการปฏิบัติสืบกันมาว่าให้พูดถึงแต่เรื่องดีๆ ในชีวิตที่ผู้กำลังจะจากไปได้กระทำไว้ หรือสวดมนต์ตามศาสนาที่นับถือเพื่อให้จิตใจสงบและก้าวข้ามผ่านวาระสุดท้ายอย่างสงบ
“หมอจะสั่งยาอะไรเพิ่มไหมคะ” เหมือนฝันถามเมื่อเห็นนายแพทย์นั่งถอนหายใจ อีกฝ่ายนั่งมองเอกสารท่าทางว่างเปล่า
“อ่อ ไม่ครับ” นายแพทย์หันมามองหน้าพยาบาลร่วมเวร “ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็คงต้องปล่อยแล้ว เราพยายามอย่างที่สุดแล้ว” คนพูดบอก เหมือนฝันยิ้มให้พร้อมกับถอนหายใจ จริงๆ แล้วที่พยาบาลสาวทักเรื่องยาแค่อยากให้นายแพทย์หัวหน้าทีมการรักษาพูดถึงแผนการรักษาคนป่วยเตียงหนึ่ง
“หมอตรีบอกว่าเราจะยื้อคุณอรภาไว้เท่าที่จะทำได้” เหมือนฝันบอกมาคีหลังจากที่น้องสาวเพิ่งกลับเข้ามาจากทำงานให้ยาผู้ป่วย
“หมายความว่ายังไงพี่” มาคีถาม
“ก็ช่วยเท่าที่คุณอรภาไหว เราคงไม่ทรมานแกถ้าแกไม่อยากสู้แล้ว”
หลายครั้งการยื้อชีวิตของผู้ป่วยเพื่อคนรัก เพื่อญาติ นำมาซึ่งความเจ็บปวดทรมาน บางครั้งผู้ป่วยยินยอมเพื่อคนที่ตนรัก แต่หลายครั้งผู้ป่วยก็ไม่ได้ยินยอมแต่ในช่วงที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ก็ต้องอยู่ภายใต้การตัดสินใจของญาติ ของคนรัก
“แล้วลูกๆ แกที่อยู่ต่างประเทศล่ะพี่” มาคียังข้องใจเมื่อนึกถึงการสนทนาทางโทรศัพท์หลายๆ ครั้งของนายแพทย์เจ้าของไข้กับลูกคนป่วย
“พี่ได้ยินหมอแกบอกลูกคนไข้แล้วให้รีบกลับมา แต่จริงๆ หมอก็แจ้งทุกครั้ง”
เวลาสำหรับชีวิตไม่ใช่เรื่องต่อรองกันได้ อรภาเข้าออกโรงพยาบาลในฐานะผู้ป่วยเรื้อรังโรคหัวใจมานาน อาการของโรคนับวันก็ยิ่งรุนแรงตามอายุและระยะเวลาที่ป่วย ท้ายสุดครั้งนี้ที่ทีมการรักษาต้องช่วยกู้ชีวิตหลายรอบจากภาวะหัวใจหยุดเต้น
“หิวข้าวมากเลยแม่ คิดถึงกับข้าวฝีมือแม่ที่สุด” มาคีมองนาฬิกาที่ฝาผนังบอกเวลาสี่ทุ่ม ตั้งแต่หัวค่ำที่วุ่นวายกับคุณอรภาหัวใจหยุดเต้น กว่าจะช่วยฟื้นคืนชีพมาได้ใช้เวลานานกว่าทุกครั้ง ทำให้งานดูแลผู้ป่วยรายอื่นต้องเลื่อนออกไป
กิจวัตรประจำวันในช่วงค่ำคือมาคีจะโทรศัพท์คุยกับมารดาที่อยู่เชียงใหม่ ถ้าวันไหนขึ้นเวรบ่ายก็เลื่อนเวลาโทรศัพท์มาตั้งแต่กลางวันหรือดึกๆ ตามแต่สถานการณ์
“แม่ง่วงรึยัง ไปนอนเถอะ คีย์ไม่กวนแล้ว คีย์จะไปกินข้าวเหมือนกัน ฮิ้ว หิว” มาคีทำเสียงอ้อนใส่
“ค่า คิดถึงนะแม่ ฝันดีนะคะ” มาคีพูดพร้อมกับยิ้มคนเดียว เสียงท้องร้องประท้วงดัง “ว้าย ร้องซะดัง” มาคีหัวเราะก่อนจะรีบลุกไปที่ห้องพักพยาบาล
“อุ๊บ” โทรศัพท์ในมือเลื่อนหล่นลงพื้นเสียงดัง
“อะไรคีย์ เป็นอะไร” เสียงเหมือนฝันพูดมาจากห้องพักพยาบาล ในห้องนั้นพยาบาลทีมเวรบ่ายกำลังรับประทานอาหารมื้อเย็นกัน
“ทะ โทรศัพท์หล่นค่ะ” มาคีนั่งลงที่เก้าอี้อีกครั้งก่อนจะหมุนเก้าอี้ยื่นมือไปเก็บโทรศัพท์ “หิวข้าว จะเป็นลมค่ะ”
มาคีจับจ้องไปที่ประตูทางเข้าห้องพักพยาบาล เธอไม่ได้ก้มลงหยิบโทรศัพท์ แต่ใช้วิธีการนั่งเก้าอี้เลื่อนและเอื้อมมือหยิบ…ตรงหน้ามีร่างทะมึนของใครบางคนอยู่ตรงนั้น มาคีจ้องมองในครั้งแรกเธอคิดว่าเงานั้นคือคุณอรภาที่มักโผล่มาตอนที่มาคีคุยโทรศัพท์กับแม่เสมอ แต่พอจ้องดีๆ ร่างนั้นไม่ใช่อรภา
“ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด” เสียงเครื่องช่วยหายใจร้องเตือนถึงระดับออกซิเจนต่ำกว่าปกติ มาคีหันไปทางที่เตียงสังเกตอาการเตียงที่หนึ่ง เงาดำอีกเงายืนอยู่ไม่ห่างร่างที่นอนนิ่งหายใจตามเครื่อง
“อะไรกันนี่” มาคีพึมพำก่อนจะหันไปอีกทาง เงาดำที่ยืนอยู่ข้างๆ มาคีหายไป
“มีอะไรคีย์” เหมือนฝันถามเสียงดัง
“ไม่มีอะไรค่ะ พี่ฝันกินข้าวไปเถอะ เดี๋ยวคีย์ไปดูเอง” มาคีบอกก่อนที่จะจ้องไปที่เตียงหมายเลขหนึ่งอีกครั้ง ตอนนี้ที่เตียงนั้นเงาดำสองเงายืนเคียงกันเหมือนจะยื้อยุดกันอยู่ที่นั่น เสียงเครื่องร้องถี่จนมาคีต้องเดินออกไป สายนำส่งออกซิเจนหลุดเหมือนทุกครั้ง หลุดโดยไม่มีสาเหตุ มาคีจับท่อออกซิเจนประกอบใหม่ เงาดำที่มาคีเห็นในห้องยืนอยู่ตรงนั้นแต่อีกร่างหายไป เงานั้นยืนสงบเหมือนกับมองมาคีทำงาน
“นี่ค่ะรูปคุณแม่คุณอรภา” มณียื่นโทรศัพท์มือถือที่มีรูปถ่ายของสตรีคนหนึ่งให้ ถ้ามองผ่านๆผู้หญิงในรูปหน้าตาคล้ายกับอรภา
“ขอบคุณค่ะ” มาคีจ้องมองรูปในโทรศัพท์มือถือเขม็ง
“รูปใครน่ะคีย์” เหมือนฝันถามอย่างแปลกใจที่อยู่ๆ มาคีก็สนใจรูปของครอบครัวคนป่วยขึ้นมา
“คุณยายเสียนานแล้วหรือคะ” มาคีถาม
“นานแล้วนะ พี่มาทำงานกับคุณอรภาหลายปีแกก็เสียแล้ว” มณีพูด “พูดจริงๆ นะคุณพยาบาล เวลาผู้ดูแลคนอื่นมาเปลี่ยนเวรแทนพี่เขากลัวคุณยายกัน” มณีทำท่ากระซิบกระซาบ
“คะ” มาคีขมวดคิ้วสงสัย
“อย่าว่าพี่งมงายเลยนะ เขาเล่ากันพี่ก็ไม่เคยเจอ” มณีพูด มาถึงตอนนี้เหมือนฝันที่นั่งอยู่ข้างๆ ทำท่าสนใจขึ้นมา
“ยังไงคะ” เหมือนฝันถาม เรื่องลึกลับทั้งหลายไม่ว่าคนแวดวงไหนก็สนใจทั้งนั้นไม่เว้นแม้แต่แวดวงสาธารณสุข
“เขาเล่าว่าเวลามานอนค้างที่ต้องพาเพื่อนหรือแฟนมาด้วยเพราะกลัวผีคุณยาย”
“หา” มาถึงตอนนี้ทั้งมาคีและเหมือนฝันอุทานพร้อมกัน
“แกชอบมายืนหน้าห้องคุณอรภาตอนกลางคืน ตานี้พอผู้ดูแลจะเข้าไปดูคุณอรภาช่วงกลางคืนเจอแกก็กลัวหนีกันหมด” มณีเล่า “ที่ศูนย์ผู้ดูแลต้นสังกัดของพี่เลยส่งต่อกันว่าถ้าจะมาเปลี่ยนเวรพี่ต้องพาเพื่อนมาด้วย”
“แล้วทำไมพี่มณีไม่เจอบ้างล่ะคะ” มาคีถาม เธอจำได้ว่ามณีเล่าให้ฟังว่ามีแต่ตัวเองที่ไม่กลัว
“ก็อย่างที่เล่านั่นแหละคุณพยาบาล พ่อพี่เป็นสัปเหร่อ แกให้พกชายผ้าถุงแม่ห้อยในเสื้อไว้” มณีเล่า “ว่าแต่คุณพยาบาลให้พี่ถ่ายรูปคุณยายมาให้ดู มีอะไรหรือคะ คุณพยาบาลคงไม่เจอคุณยายนะ” คนพูดสีหน้าตกใจ
“เปล่าๆ ค่ะ” มาคีหาคำตอบดีๆ ไม่ทัน “เอ่อ พอดีคีย์เห็นคุณอรภาแกร้องไห้ บอกคิดถึงแม่ๆ เลยอยากเห็นรูปคุณยายเฉยๆ”
“แกพูดแบบนั้นหรือคะ” มณีขมวดคิ้ว “เวลาแกป่วย แกละเมอแบบนั้นประจำ ขอโทษขอโพยอะไรทำนองนั้น คงเป็นความรู้สึกผิดติดตัวแหละค่ะ”
“ผิดอะไรคะ” มาคีถาม
“ไม่รู้จะพูดดีไหม” มณีทำท่าลังเล “คือ พี่ได้ยินแกทะเลาะกับลูกตอนโทรศัพท์เสียงดัง คือพี่ไม่ได้แอบฟังนะคะ แกเปิดระบบคุยผ่านลำโพง” มณีทำท่าลำบากใจ
“เล่ามาเถอะค่ะ เผื่อจะช่วยอะไรแกได้บ้าง” เหมือนฝันกระตุ้น
“พี่ได้ยินลูกแกพูดว่าทีแม่ยังทิ้งให้ยายป่วยตายที่บ้านคนเดียว พวกเขาจ้างคนมาดูแลก็ดีกว่าขนาดไหน อะไรประมาณนี้แหละค่ะ” มณีตัดบท
“ป่วยตายคนเดียว” มาคีพึมพำ
“เหมือนว่ากว่าจะมีคนไปเจอคุณยายแกก็เสียชีวิตร่วมสามวัน” มณีพูดต่อ “พี่ได้ยินตอนที่มาทำงานกับแกใหม่ๆ ตอนนั้นสงสารคุณยายมากพี่เลยไปทำบุญให้แก น่าสงสารนะคะถ้าเป็นอย่างที่ลูกคุณอรภาพูดจริงๆ” มณีเล่า
แล้วเรื่องก็เฉลยแล้วว่าทำไมมณีจึงไม่เคยเจอผีคุณยายเช่นที่ผู้ดูแลคนอื่นเจอ นั่นเพราะมณีไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้วิญญาณคุณยาย…บางทีเรื่องที่เกิดขึ้นอาจเป็นเรื่องที่เราคาดไม่ถึงก็ได้
“สองร้อยจูนครับ” นายแพทย์ออกคำสั่งหลังจากใช้เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ “ถ้าครั้งนี้ไม่มาจริงๆ คงต้องหยุด คุณป้าไม่ไหวแล้ว”
คนที่นอนนิ่งบนเตียงที่หน้าอกมีร่อยรอยการช็อกไฟฟ้าเลือนราง แม้เจ้าหน้าที่จะพยายามช่วยชีวิตด้วยความระมัดระวังแต่ก็ยังคงค้างร่องรอยสีน้ำตาลไว้บางที่ให้เป็นจุดสังเกต นั่นเพราะการมารักษาตัวครั้งนี้อรภามีภาวะหัวใจหยุดเต้นถึงห้าครั้ง นายแพทย์ควรหยุดช่วยชีวิตตั้งแต่ครั้งที่สามเพราะทุกครั้งจะเหลือร่องรอยความเจ็บปวดไว้แต่เพราะลูกๆ ที่อยู่ต่างประเทศขอร้องไว้จึงต้องทำการยื้อต่อ
“ถ้าคุณอรภาไม่ไหวจริงๆ ก็พอเถอะค่ะ พี่จะโทรศัพท์คุยกับลูกแกเอง” มณีที่เห็นการช่วยชีวิตทุกครั้งบอก ใบหน้าซีดเผือด แม้จะไม่ได้เป็นญาติกันแต่ดูแลกันมานานจึงรู้สึกสงสารคุณอรภาจับใจ
“ครับ” นายแพทย์เจ้าของไข้พยักหน้า เขาเองก็ตั้งใจเช่นนั้น การยื้อชีวิตหลายๆ ครั้งเหมือนกับจะสร้างความทุกข์ทรมานให้คนป่วยมากกว่า
“ติ๊ด ตื๊ด” เสียงเครื่องติดตามการเต้นของหัวใจส่งสัญญาณ
“เหมือนอีเคจี (EKG) จะดีขึ้นนะคะ” เหมือนฝันที่จ้องจอติดตามสัญญาณการเต้นของหัวใจอยู่บอก
“อ่อ ครับ” นายแพทย์เงยหน้ามามองจอติดตามสัญญาณ คำพูดเขาเหมือนไม่ดีใจนัก ตอนนี้ที่หน้าอกของอรภามีรอยไหม้เล็กน้อยปรากฏ
คนที่นอนนิ่งหายใจตามเครื่องช่วยหายใจสงบ หน้าอกมีรอยไหม้เป็นร่องรอยจากการช่วยชีวิต แม้ไม่มากแต่ก็ปรากฏให้เห็น เจ้าหน้าที่ทุกคนที่เข้าทีมช่วยชีวิตรู้ดีว่าหากอรภายังรู้สึกอยู่เจ้าตัวคงต้องเจ็บมาก แต่ไม่ว่าอย่างไรน้ำตาหยดเล็กๆ ก็ซึมจากหัวตา
“เจ็บหรือคะ คุณป้า” เหมือนฝันใช้ผ้าซับหัวตาให้ ไม่รู้ว่าคนป่วยรู้สึก หรือเป็นไปตามระบบประสาทอัตโนมัติแต่เหมือนฝันก็ปฏิบัติกับคนป่วยเช่นที่มีความรู้สึกทุกครั้ง เธอจับมือผอมนั้นอย่างให้กำลังใจ มือนั้นเย็นจัด
“สงสารคุณอรภาจริงๆ” เหมือนฝันพึมพำ “แกยังสู้อยู่อีก ร่างกายไม่ไหวแล้ว”
“หนูว่าคุณยายปล่อยคุณอรภาไปเถอะนะคะ หนูขอร้อง” มาคีที่เงียบอยู่นานพูดหลังจากคนอื่นกลับเข้าไปในห้องทำงานพยาบาลแล้ว เหลือแต่มาคีและเหมือนฝันที่ยังดูแลความสบายทั่วไปให้คนป่วย
“อะไรคีย์” เหมือนฝันถาม
“ที่นี่มีวิญญาณอยู่สองดวงค่ะ” มาคีบอกเหมือนฝัน “ดวงหนึ่งคือคุณอรภา อีกดวงคือคุณแม่ของคุณอรภา”
“อะ อะไรกัน” เหมือนฝันยังจับมือเย็นของคนป่วยแน่น
“หนูไม่รู้ว่าคุณยายโกรธแค้นลูกสาวขนาดไหน แต่คุณอรภาก็ได้รับโทษมาหลายปีแล้วนะคะ” มาคียังพูดต่อ ตอนนี้เงาทะมึนในมุมห้องเด่นชัดขึ้น
“คุณอรภาต้องอยู่กับความเหงา ความคิดถึงลูกไม่ต่างจากคุณยายมาเป็นสิบปี ไหนจะต้องสู้กับโรคร้ายนี่อีก คุณยายอโหสิกรรมให้ลูกสาวได้ไหมคะ” มาคียกมือไหว้
ตอนนี้เงาดำอีกเงาปรากฏ เงานั้นคล้ายกับนั่งลงแทบเท้าเงาทะมึนที่เต็มไปด้วยความโกรธขึง เงาที่นั่งอยู่ก้มลงกราบแทบเท้าอีกฝ่าย อากาศรอบตัวเย็นเยือกยามบ่ายระอุ
“คุณอรภาเจ็บปวดมาหลายปี ได้รับความทรมานกายพอแล้ว” มาคีพูดต่อ เงาดำทะมึนยังนิ่งอยู่ที่เดิม “ความเจ็บปวดทางกายไม่เท่าใจ ความเจ็บปวดทางใจกับเรื่องที่ทำกับคุณยายจะติดตามคุณอรภาไป ขอเพียงคุณยายอโหสิกรรม” มาคีเริ่มตัวสั่นเพราะอากาศที่หนาวเหน็บกะทันหัน
“มันทิ้งฉันให้ตายคนเดียว ตายอย่างน่าเวทนา” เป็นครั้งแรกที่มาคีได้ยินเสียงเงาดำนั้น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความอาฆาต
“คุณอรภาได้รับโทษจากเวรกรรมอย่างสาสมแล้วนะคะ ลูกๆ แกไม่กลับมาเป็นสิบปีแล้ว”
“ฉันต้องได้รับการเจ็บปวดก่อนตาย ตายในบ้านอย่างทรมาน ไม่มีใครรู้” น้ำเสียงนั้นคล้ายสะอื้น
“คุณอรภาได้รับความเจ็บปวดจากโรคของแกมาเป็นสิบปี ยิ่งช่วงหลังๆ แกได้รับความทรมานจากการรักษาที่ลูกๆ แกขอยื้อชีวิตไว้ บางทีการที่มีชีวิตแต่ต้องเจ็บปวดทุกลมหายใจก็ทรมานไม่ต่างกันนะคะ” มาคีพูดต่อ
“มันทิ้งฉัน ทิ้งแม่มัน” น้ำเสียงสั่นไหวโกรธเกรี้ยว เงาดำที่นั่งอยู่ยังเกาะกอดที่ขาอีกฝ่าย
“คุณอรภาแกก็ได้รับรู้ความโดดเดี่ยวไม่แพ้คุณยาย อโหสิกรรมนะคะคุณยาย คุณยายจะได้สงบและไปดี อย่ายึดติดกันอีกเลย ปล่อยให้คุณอรภาไปตามทางกรรมของแกนะคะ” มาคีพนมมือไหว้
ไม่ว่าความอาฆาตแค้นจะมากมายขนาดไหนแต่พอถึงที่สุดต่างคนก็ต้องไปตามกรรมของตัวเอง แสงสีรุ้งปรากฏในที่ไม่ไกลเหมือนเช่นทุกครั้งที่ใครบางคนกำลังจะก้าวข้ามภพภูมิไป
“คุณยายอโหสิกรรมนะคะ” มาคีอ้อนวอน ไม่ว่าเงาทะมึนนั้นจะทำเรื่องร้ายขนาดไหนก็ล้วนมาจากความอาฆาตทั้งนั้น มาคีอยากให้ร่างนั้นเดินทางสู่แสงสว่างเสียที เงาดำที่นั่งอยู่ก้มลงกราบอีกครั้ง ความเศร้า ความหวาดกลัว ความเสียใจปรากฏให้รอบตัวหม่นมัวและเศร้าซึม
“ฉัน…อโหสิกรรม” คำพูดที่เปล่งออกมาทำให้เงาดำทะมึนเริ่มเปลี่ยนไป จากเงาดำกลายเป็นหญิงสูงวัยใบหน้าอิ่มเอิบ
“คุณยาย” มาคีพึมพำ เหมือนฝันที่นั่งเงียบอยู่รับรู้ถึงอากาศที่อุ่นขึ้นเช่นกัน
“ขอบใจยายหนู ฉันอโหสิกรรม” ภาพหญิงสูงวัยหันไปมองเงาดำที่ยังนั่งอยู่แทบเท้า “ให้เราอโหสิกรรมกันตั้งแต่นี้นะ”
หลังหญิงสูงวัยพูดจบแสงสีขาวสว่างก็ทาบผ่านมา ร่างนั้นล่องลอยไปกับแสงนวลนั้น ความอบอุ่นของแสงกระจายไปทั่วห้อง…แต่ไม่ถึงเงาดำ แสงสีดำพาดทับมาก่อนแสงนั้นจะส่องไป
“คุณป้าพร้อมไหมคะ” มาคีถาม “ตอนนี้..ถ้าพร้อมคุณป้าก็ไปได้ ถ้าไม่พร้อมพวกหนูจะทำหน้าที่ต่อ” มาคีบอก เงาดำนั้นลุกยืนไม่พูดอะไร ความจำนนและสำนึกผิดกระจายรอบตัว อรภาเลือกเดินเข้าสู่เงามืด แค่เพียงไม่นานเงามืดนั้นก็ม้วนตัวหายไป
“ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด” เสียงเครื่องติดตามสัญญาณชีพทุกตัวร้องเตือนเสียงดัง
“แกไปแล้วหรือ” เหมือนฝันถาม มือผอมแห้งนั้นยังเย็นเฉียบ
“ไปแล้ว” มาคีพึมพำ
“แก…ไปดีไหม” เหมือนฝันถาม ก่อนที่น้ำตาจะไหลเมื่อมาคีส่ายหน้า
“แกไปตามกรรม” มาคีบอก “คุณยายอโหสิกรรมให้ เขาทั้งสองแค่ตัดกรรมต่อกัน แต่กรรมที่คุณอรภาทำกับคุณยายยังอยู่ เราช่วยได้แค่นี้…” แม้จะรู้สึกหดหู่ขนาดไหนแต่ทุกผลลัพธ์มีที่มาที่ไปเสมอ
“พี่ฝันไม่ไปเชียงใหม่กับคีย์จริงๆ เหรอ” มาคีถามตอนที่กำลังจะออกจากที่พักพร้อมกระเป๋าเดินทางและของฝากให้แม่
“ไว้ครั้งหน้านะคีย์ พี่ตั้งใจจะไปถือศีลทำบุญให้คุณอรภา” เหมือนฝันบอก
“คีย์อนุโมทนาบุญนะพี่” มาคีบอก
“จ้ะ เผื่อจะช่วยลดกรรมของแกให้หนักเป็นเบาขึ้นสักนิดก็ยังดี ที่ผ่านมาแกก็ได้รับกรรมหนักพอแล้ว” เหมือนฝันพูด
หลังจากอรภาเสียชีวิตนายแพทย์เจ้าของไข้ก็โทรศัพท์แจ้งลูกๆ ที่อยู่ต่างประเทศ ลูกๆ กลับมาทำพิธีศพให้แม่ ในวาระสุดท้ายอรภาที่มีลูกสามก็คนไม่ได้เจอลูก จริงๆ ไม่ได้เจอมาเป็นสิบปีได้แต่โทรศัพท์คุยกันก็ไม่ต่างจากห่างหายกันไปซึ่งนั่นก็เป็นกรรมที่มากพอแล้ว แต่ใครจะรู้ว่าต้องได้รับความทุกข์มากเท่าไรจึงพ้นกรรม สุดท้ายอรภาก็ไม่ได้เจอลูกๆ อีกเลย
“ไว้คีย์จะเอาอาหารเหนือมาฝากเยอะๆ นะ” มาคีบอกเพราะรู้ว่าเหมือนฝันชอบกินอาหารพื้นเมืองภาคเหนือ
“จ้ะ ฝากบอกแม่ด้วยว่าครั้งหน้าก่อน ครั้งนี้พี่ขอไปทำใจให้สงบก่อน”
มาคีพยักหน้า ทุกคนล้วนมีกรรมของตัวเอง กรรมของเหมือนฝันก็คือความช่างสงสารและเก็บทุกเรื่องมาไม่สบายใจซึ่งเหมือนฝันก็ดำเนินการแก้กรรมไม่สร้างกรรมใหม่อยู่ กรรมของมาคีก็เช่นกันที่เธอต้องไปพัวพันกับเรื่องหนักหนาและได้เห็นภาพที่ไม่ควรเห็น…มาคีเองก็อยากรู้เช่นกันว่าเธอไปทำกรรมอะไรเอาไว้
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 11 : คำตอบ
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 10 : อันเป็นที่รัก
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 9 : ปล่อย
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 8 : หลงในใจ
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 7 : ทั้งหมดคือของฉัน
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 6 : ถือมั่น
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 5 : ยามเช้า
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 4 : หลงในเวลา...ตีสอง
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 3 : หลงในเวลา...เที่ยงคืน
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 2 : หลงในเวลา...ยี่สิบเอ็ดนาฬิกา
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 1 : หลงในเวลา
- READ สะพานข้ามรุ้ง : บทนำ