ภาพภพ บทที่ 5 : เอกกมล
โดย : ฟารุต
ภาพภพ โดย ฟารุต เรื่องราวของช่างศิลปะชาวอิตาลีที่เข้ามาในช่วงปลายสมัย ร.5 และต้องมาเกี่ยวพันกับเด็กหนุ่มและหญิงชาวไทยจนเกิดเรื่องราวความรักที่ไม่สมหวังนำมาซึ่งความพยาบาทข้ามภพ ตัวละครหลายตัวได้กลับมาเกิดใหม่ แต่ตัวละครหลักที่ผูกจิตไว้กับความแค้นยังตามราวีจนถึงภพปัจจุบัน นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์
“โอ..” หญิงสาวครางเสียงสั่น ตะลึงมองเพลิงแดงฉานกำลังแผดเผาร่างใครคนหนึ่งดิ้นทุรนทุราย เสียงกรีดร้องโหยหวนแทงลึกถึงขั้วหัวใจ อเดลลาเบือนหน้าหนี ยกมือปิดหู ไม่อยากได้ยินเสียงทรมานความรู้สึกนั้น พารางก่ายสั่นเทิ้มก้าวออกห่างไอร้อนลามเลียจนแสบผิว ทั้งกลัวทั้งสงสารจับใจ แต่ก็จนหนทางช่วยเหลือ
“ชะ..ช่วย..ด้วย” เสียงแหบเครือเรียกให้ต้องหันมอง ร่างหุ้มด้วยเปลวไฟกำลังย่างเข้ามา มือสองข้างถูกเผาหงิกงอเห็นกระดูกขาวโพลนไขว่คว้ามาตรงหน้า ใบหน้าบิดเบี้ยวบอกความเจ็บปวดสุดแสน ผิวบางส่วนเดือดปุดแล้วแตกหลุดล่อนออก เปิดเนื้อใต้แผ่นหนังแดงฉานด้วยเลือดสดๆ อเดลลาถอยหนีกลิ่นเหม็นคละคลุ้งชวนสะอิดสะเอียน
“อาาา..” ปากอ้าพะงาบเสียงแหบโหย อเดลลาน้ำตาไหลพราก นึกภาวนาให้ร่างที่งอตัวทรุดลง หลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานนี้เสียที
แต่ทันใดนั้น ร่างไหม้เกรียมกลับยืดตัวขึ้น ใบหน้าดำมืดสะบัดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“ไม่นะ..” อเดลลาถอยหลังกรูด โดยไม่ทันตั้งตัว ร่างนั้นกระโจนเข้าใส่เธออย่างรวดเร็ว
“กรี๊ดด!”
อเดลลาผวาพรวดขึ้นนั่งทั้งที่ยังกรีดร้อง หอบหายใจถี่ ยกมือขึ้นซับเหงื่อตามขมับและใบหน้า ดึงเสื้อออกจากแผ่นหลังเปียกชุ่มร้อนผ่าว เอื้อมมือแตะหน้าจอโทรศัพท์บนโต๊ะข้างเตียง พรายน้ำสว่างในความสลัวบอกเวลาตีสี่เศษ ความกลัวทำให้ไม่อยากนอนต่อ ตัดสินใจลุกขึ้น อาศัยแสงสว่างจากนอกหน้าต่าง ก้าวไปคว้าเหยือกมาเทน้ำใส่แก้ว ยกขึ้นดื่มรวดเดียวเกลี้ยง น้ำสะอาดไหลผ่านลำคอ แผ่ความเย็นซ่านไปทั่วกายช่วยคลายความเครียดลงได้มาก เดินมาทรุดตัวลงนั่งบนเตียง
ฝันบ้าอะไรกันนี่ น่ากลัวเหลือเกิน ถ้าตื่นช้ากว่านี้อีกนิดเดียว คงต้องขาดใจตายเป็นแน่ นึกทบทวนว่าก่อนนอน คิดหรือกังวลเรื่องอะไรบ้างที่น่าจะเป็นเชื้อก่อความฝันสุดสะพรึงแบบนี้ แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก น่าแปลก ที่ผ่านมาก็ฝันเรื่องเดิม แต่ทำไมคืนนี้ถึงได้เปลี่ยนเป็นสยดสยองขนาดนี้ไปได้
อเดลลาลูบแขนตัวเองที่ขนลุกเกรียว ภาพในความฝันช่างดูเหมือนจริงราวเพิ่งไปประสบมา ร่างไหม้เกรียมดิ้นเร่าในกองไฟยังติดตาจนถึงเวลานี้ กลิ่นเหม็นเนื้อไหม้คล้ายจะลอยอวลริมจมูกไม่จางหาย เธอลุกขึ้น เข้าห้องน้ำล้างหน้า ออกมาชงกาแฟแล้วถือแก้วออกมายังระเบียง สายลมเย็นหัวรุ่งพัดต้องผิว พากลิ่นหอมชื้นจากแม่น้ำมาทักทาย ทุกอย่างในสายตาเป็นสีน้ำเงินเข้ม เรือนริมน้ำฝั่งตรงข้ามทอดตัวยาวสูงต่ำเป็นเงามืดประดับด้วยแสงไฟวิบวับ
เธอเคยได้ยินมาว่า ความฝันคืออีกช่องทางหนึ่งที่คนตายใช้ติดต่อกับคนซึ่งยังมีชีวิตอยู่ แล้วร่างในกองไฟเป็นใคร ต้องการอะไรจากเธอ แม้จะเห็นใบหน้าไม่ชัด แต่มั่นใจว่าสัมผัสได้ถึงความเกลียดชังแผ่ออกมากับไอร้อนจากเปลวเพลิง
ความฝันก็คือความฝัน ไม่มีวันเป็นจริงขึ้นมาหรอก อเดลลาปลอบใจตัวเอง ยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบไล่ความหนาวเยือกที่จู่ๆก็แล่นฉาบทั่วร่าง
“เมย์ไม่ชอบหน้านังเด็กฝรั่งนั่นเลย ไม่ถูกชะตา” เมลินกระฟัดกระเฟียด เอนกายพิงเบาะรถ มองเหม่อไปนอกหน้าต่าง แสงไฟจากบ้านเรือนข้างทางวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว “เมย์เกลียดมัน เพราะมันนั่นแหละ ทำให้บรู๊คว่าเมย์”
“กลัวไอ้บรู๊คจะจีบเด็กนั่นมากกว่าละมั้ง” เอกกมลดักคอ หันมามองคนหน้าง้ำก่อนจะหันไปมองบนถนนต่อ
“เชอะ! หน้าจืดเป็นผักต้มเนี่ยนะ บรู๊คไม่เทสต์ต่ำขนาดนั้นหรอก”
“ผมว่า เขาก็น่ารักดีออก ใสๆวัยรุ่นชอบ” คนขับยิ้ม ตาพราว
“เชอะ! เพิ่งรู้ว่าชอบจืดๆทื่อๆ” เมลินหมั่นไส้ ค้อนขวับ
เอกกมลหัวเราะร่วน เขานึกถึงใบหน้าขาวนวลเนียน แต้มฝาดระเรื่อบนพวงแก้มใส ท่าทางเรียบร้อย แม้ไม่สวยบาดตา แต่สาวน้อยกลับมีเสน่ห์ เขาบอกไม่ถูกว่าอะไรคือสิ่งดึงดูดจนต้องแอบมองอยู่บ่อยครั้ง เรือนร่างโปร่งระหง ไม่อวบอิ่มเย้ายวนเหมือนเมลิน แต่ก็บอบบางน่าทะนุถนอม สิ่งเดียวที่ขัดตาก็คือเสื้อผ้า ผิวขาวผ่องแบบนั้น ถ้าได้สวมชุดรัดรูป เปิดโชว์ไหล่หลัง ตกแต่งใบหน้ากับทรงผมเสียใหม่ เขาเชื่อว่าจะสวยเตะตาไม่น้อยเลย
“ไม่แน่นะ ไอ้บรู๊คอาจจะชอบใสซื่อแบบนั้นก็ได้ เกิดมันชอบขึ้นมาจริงๆ จะทำไง”
“ไม่มีวัน เมย์ไม่ยอม” เสียงเมลินจริงจัง
“อย่าซีเรียสไปหน่อยเลยน่า แค่หยอกเล่น ถึงไอ้บรู๊คไม่สน แต่ผมยังต้องการคุณเสมอ” คนขับทอดเสียงหวาน ปล่อยมือซ้ายจากพวงมาลัย เลื่อนไปวางบนทอนขากลมกลึงของอีกฝ่าย
“อย่ามาหยอด เมย์รู้ทันหรอก” เมลินค่อนขอดแต่ไม่จริงจัง เหลือบมองมือที่กำลังลูบไล้หน้าขาตนโดยไร้ท่าทีขัดขืน หล่อนช้อนตาขึ้นสบตาหวานเยิ้มของเอกกมล
“คืนนี้ ไปกับผมนะคนดี” เสียงชายหนุ่มแผ่วกระเส่า
“ไม่ได้ คืนนี้ พ่อกลับบ้าน” หล่อนปฏิเสธ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าควรทำเช่นไร
“ถ้างั้น ไปกับผมก่อนนะ ดึกๆผมไปส่ง โอเค้” อีกฝ่ายไม่ตอบ แต่ทอดสายตาแทนคำพูด
เอกกมลเหยียบคันเร่ง ลอบยิ้มคนเดียวในความสลัว ง่ายดายเช่นเคย เมลินตามใจเขาเสมอไม่เคยขัด เขาไม่ชอบผู้หญิงเล่นตัวเรื่องมาก เมลินมีครบถ้วน ทั้งความสวยเซ็กซี่ เรือนร่างเย้ายวนอย่างที่ชายหลายคนใฝ่หา แม้ความเจ้าอารมณ์ เอาแต่ใจตัวเองจะสร้างความเอือมระอาให้อยู่บ้าง แต่เขาก็ทน เพราะหล่อนเหมือนอาหารจานโปรด ลิ้มรสจนคุ้นลิ้นชินปาก เมื่อใดขัดสน ก็คว้ามาบำบัดความหิวกระหายได้ทุกครั้ง เอกกมลไม่เคยหึงหวงที่หญิงสาวมีใจให้บุรฉัตร เขาพอใจและยังสนับสนุนให้หล่อนได้ใกล้ชิดด้วยซ้ำ เพราะที่ผ่านมา เมลินคือช่องทางซึ่งช่วยให้เขาตักตวงผลประโยชน์จากบุรฉัตรได้อย่างมากมาย
ภาพวาดกลายเป็นเครื่องประดับของกลุ่มไฮโซและพวกเศรษฐีใหม่ซึ่งอยากยกระดับตัวเอง โดยเฉพาะภาพวาดจากฝีมือบุรฉัตร เป็นที่ต้องการของตลาดศิลปะสูงมาก กระแสความนิยมผลักดันให้กลุ่มคนมีเงินยอมทุ่มเงินก้อนใหญ่เพียงเพื่อให้ได้ครอบครอง เทความร่ำรวยทับกันอย่างดุเดือดในการประมูลงานศิลปะ ครั้งหนึ่ง ผลงานของบุรฉัตรถูกประมูลไปในราคาสูงลิ่ว ยิ่งทำให้ชื่อของจิตรกรคนนี้เป็นที่ร่ำลือในหมู่นักสะสม
เอกกมลยอมรับว่าอิจฉาบุรฉัตรที่เกิดมาพรั่งพร้อมด้วยรูปสมบัติและคุณสมบัติ อีกทั้งทรัพย์สมบัติมหาศาล ที่จริง บุรฉัตรแทบไม่ต้องทำงานอะไรก็อยู่สุขสบายไปตลอดชีวิต ลำพังรายได้จากค่าเช่าที่ดินแถวสาทรกับสามย่าน อันเป็นมรดกเก่าจากต้นตระกูลก็มากมายจนเกินจะใช้หมดในชาตินี้
เขารู้จักบุรฉัตรมานานหลายปี ด้วยบุรฉัตรเป็นรุ่นพี่ร่วมคณะ ฝีมือของของชายหนุ่มเป็นที่เลื่องลือตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย รางวัลจิตรกรรมยอดเยี่ยมจากการประกวดศิลปะนับไม่ถ้วน การันตีความสามารถได้เป็นอย่างดี หน้าตาหล่อเหลา หุ่นสูงสมาร์ทบวกกับชาติตระกูลเก่า ทำให้เป็นที่สนใจของสาวคณะเดียวกันและต่างคณะ หนึ่งในนั้นคือ เมลิน รุ่นน้องสาวสวยจากสาขาออกแบบตกแต่ง ซึ่งเพียรมาหาบุรฉัตรถึงคณะทุกวัน จนได้กลายเป็นสาวข้างกายในที่สุด
ที่จริงเขาเคยสนิทสนมกับบุรฉัตร เพราะชื่นชมและศรัทธาในความสามารถ จึงพยายามหาทางเข้าใกล้ชายหนุ่มและฝากตัวเพื่อขอโอกาสเรียนรู้ฝึกฝน ซึ่งบุรฉัตรตอบรับด้วยความยินดี เขาได้เทคนิคการวาดภาพมากมายจนพัฒนาฝีมือขึ้นมาก ได้เปิดสังคมในแวดวงศิลปะกว้างขึ้นจากการติดตามบุรฉัตรไปในงานนิทรรศการศิลปะต่างๆ เมื่อจบการศึกษา เขาเริ่มวาดภาพส่งขายตามแกลเลอรี่ที่รับซื้อ เป็นอาจารย์พิเศษตามมหาวิทยาลัยหลายแห่งจากการแนะนำของบุรฉัตร ชีวิตทำงานเป็นเช่นนี้อยู่หลายปี แต่ทุกอย่างยังคงที่ ไม่ก้าวไปถึงไหน ผิดกับบุรฉัตร นับวันยิ่งรุ่งโรจน์ ชื่อเสียงโด่งดังไกลถึงต่างประเทศ ผลงานเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางและมีคนต้องการเป็นเจ้าของมากมาย ได้รับเชิญให้ไปแสดงงานที่ต่างประเทศไม่เคยขาด สถาบันการศึกษาต่างต้องการตัวไปดำรงตำแหน่งประจำ หลายแห่งเสนออัตราค่าจ้างสูงเพื่อแลกกับเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงของเขา
เอกกมลเริ่มเบื่อชีวิตตัวเอง ความชื่นชมต่อบุรฉัตรถูกกลืนกินด้วยความอิจฉาทีละน้อย รอยยิ้มในความสำเร็จของศิลปินรุ่นพี่ดุจไฟแผดเผาใจให้ร้อนรุ่ม เขาเริ่มตระหนักว่า ไม่น่ามาทำความรู้จักบุรฉัตรเลย เพราะทุกครั้งเมื่ออยู่ใกล้ชายหนุ่ม เอกกมลรู้สึกเหมือนไม้ประดับไร้ค่า ถูกเปรียบเทียบ ถูกตอกย้ำให้ดูต่ำลงเรื่อยๆ เขาเริ่มเกลียดการเป็นเงาแฝงอยู่ด้านหลัง อยากก้าวออกมายืนเทียบชั้นกับบุรฉัตรบ้าง
เอกกมลเริ่มตีสนิทกับเมลิน ใช้ชั้นเชิงดึงหล่อนมาทีละนิดโดยไม่ให้บุรฉัตรระแคะระคาย รวบหัวรวบหางเมื่อได้โอกาสด้วยชั้นเชิงวาจาและเรือนกาย นั่นทำให้ค้นพบหนทางใหม่ในการหาเงิน เขาใช้ทุนที่มี ลงทุนซื้อผลงานของบุรฉัตรด้วยความช่วยเหลือจากเมลิน ซึ่งหล่อนอ้างว่าลูกค้าต้องการภาพวาดไปตกแต่งโรงแรมที่กำลังจะเปิดใหม่ เอกกมลเริ่มติดต่อเจรจา ขายภาพวาดให้กับเศรษฐีหลายรายในราคาสูงกว่าราคาทุนหลายเท่าตัว เม็ดเงินจากธุรกิจใหม่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้เขาในเวลาเพียงสองปี ด้วยวาทศิลป์ซึ่งติดตัวมาตั้งแต่เล็กบวกกับหน้าตาคมเข้ม ยิ้มง่าย เอาใจเก่ง เอกกมลจึงเป็นที่ประทัปใจของทุกคน
ประสบการณ์สอนเขาให้เรียนรู้เทคนิคการปั่นราคาเพื่อสร้างมูลค่าให้กับสินค้า การกระตุ้นความกระหายอยากครอบครองผลงาน เขายังพบเทคนิคการขายแบบใหม่ ใช้เพียงต้นทุนติดตัวมาแต่เกิด ผิวเข้ม ร่างสูงล่ำด้วยมัดกล้ามตามธรรมชาติหนุ่มชนบท ดึงดูดความสนใจจากเศรษฐีนีสูงวัยหรือเศรษฐีเกย์บางคนได้ไม่ยาก
เอกกมลเริ่มจับผลงานของบุรฉัตรเข้าสู่ระบบการประมูล นั่นยิ่งทำให้ผลตอบแทนเพิ่มมากขึ้นอีกเป็นทวีคูณ จาด‘บุญนำ โนนหินก่ำ‘ เด็กหนุ่มต่างจังหวัดฐานะยากจน เขาชุบตัวเองใหม่ กลายเป็น‘เอกกมล พิริยะพันธ์‘ ที่คนในแวดวงงานประมูลศิลปะทุกคนต้องรู้จักและกล่าวถึง ชีวิตแวดล้อมด้วยความสุข มีเงินใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ชายหนุ่มซื้อทุกอย่างที่ต้องการ ไม่ว่ารถสปอร์ตหรู บ้านราคาหลายสิบล้าน เปลี่ยนเพิงไม้ที่บ้านเกิดกลายเป็นเรือนหรูให้พ่อแม่ ฟาดคำสบประมาทจากคนรอบข้างด้วยแรงเงิน
เขาคงกอบโกยผลประโยชน์ไปได้อีกนาน ถ้าไม่เพราะ บุรฉัตรรู้เรื่องนี้เสียก่อน
“คุณทำแบบนี้ได้ยังไง ภาพวาดทุกภาพเป็นของผม ทำตัวเหมือนขโมย แอบเอางานของผมไปขายให้ใครก็ไม่รู้”
“ผมไม่ได้ขโมยนะครับ ผมใช้เงินซื้อมา ผมก็น่าจะมีสิทธิ์ขายมันต่อได้นี่ครับ” เอกกมลพยายามอธิบายด้วยเหตุผลที่ตนเชื่อ นึกเกลียดคำว่า ‘ขโมย’ จับใจ
“ภาพทุกภาพ ผมวาดมันด้วยใจ เมื่อผมจะมอบให้ใครสักคนได้เป็นเจ้าของ คนคนนั้นต้องคู่ควรกับงานของผม ถ้ารู้ว่า คุณซื้อภาพเพื่อไปเก็งกำไร ผมจะไม่มีวันปล่อยไปเด็ดขาด ผมไม่ชอบให้ภาพของผมกลายเป็นสินค้าถูกเปลี่ยนมือไปเรื่อยๆ” บุรฉัตรเสียงเข้ม
“ผมว่า คุณน่าจะดีใจนะครับ ที่มีคนมากมายชื่นชมและอยากเป็นเจ้าของผลงาน คุณรู้ไหมว่าภาพแต่ละภาพ ราคามันสูงขนาดไหน” เอกกมลพยายามดึงเรื่องผลประโยชน์เข้ามา เผื่อจะทำให้อีกฝ่ายสนใจ
“ผมไม่ได้หิวเงิน ไม่ได้อดอยากถึงกับต้องเร่ขายภาพตัวเอง” เอกกมลตัวชา รู้สึกเหมือนโดนตบหน้าอย่างแรง
“คุณก็พูดได้สิครับ คุณมีเงิน มีทรัพย์สมบัติมากมาย ชีวิตคุณสบายมาตั้งแต่เกิด ไม่ได้ลำบากยากจนเหมือนผมนี่” เอกกมลไม่เข้าใจว่า เหตุใดบุรฉัตรจะต้องจริงจังมากมาย
“คุณก็วาดรูปสิ พัฒนาฝีมือ แล้วก็ขายรูปของตัวเองไป ไม่ใช่แอบเอารูปผมไปขายแบบนี้ เสียดายเวลาและเงินทองที่คุณเสียไปกับการร่ำเรียน เสียแรงที่ผมอุตส่าห์ไว้ใจ ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้ ไม่นึกเลยว่าคุณจะทำตัวแบบนี้”
“ผมพยายามแล้ว ผมทำทุกทางเพื่อจะได้ประสบความสำเร็จแบบคุณ แต่ผมทำไม่ได้” เอกกมลเริ่มเสียงดัง
“พยายามแล้วจริงเหรอ คุณไม่รู้หรอกว่าผมต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจแค่ไหน เสียเวลาไปมากเท่าไหร่กว่าจะมีทุกวันนี้ คุณไม่เคยอดทนรอคอย ไม่เคยมีหัวใจเป็นศิลปิน คุณเป็นได้แค่พ่อค้าที่ชอบฉกฉวยเลือดเนื้อและวิญญาณของคนอื่นไปขายกิน”
เอกกมลโกรธสุดขีดที่ถูกตราหน้าด้วยถ้อยคำเจ็บแสบ เขาโต้เสียงสั่น
“ใช่ ผมมันแค่พ่อค้า แต่ผมก็ทำงานเท่าที่ความสามารถและโอกาสที่ผมมี คุณคิดเหรอว่าไอ้พวกนักสะสม มันจะซื้องานคุณไปนั่งชื่นชม มันก็สะสมไว้เก็งกำไรเหมือนกัน”
“ผมไม่เถียง แต่พวกนั้นเขาติดต่อซื้อจากผมโดยตรง ไม่ได้ใช้ทางลัดแบบคุณ คุณเอางานผมไปเร่ขายกี่ชิ้นแล้วล่ะ ไปวางประมูลเหมือนพ่อค้าขายของในตลาด”
“เมื่อมีคนอยากได้ ผมก็ขาย ผมซื้อมาแล้ว มันก็เป็นสิทธิ์ของผม” เอกกมลเถียง บุรฉัตรอึ้ง มองคนตรงหน้านิ่ง ‘บุญนำ‘ เด็กหนุ่มหน้าตาซื่อ อ่อนน้อมและเจียมตัวที่เคยรู้จักหายไปไหน แม้จะผิดหวังแต่ความเป็นห่วงยังคงเหลืออยู่
“จำไว้นะเอก ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ทำงานอะไร สิ่งที่คุณไม่ควรทิ้งคือ ศักดิ์ศรีของตัวเอง คนเราถ้าลองได้ขายศักดิ์ศรีตัวเองไปแล้ว คุณก็จะไม่เหลืออะไรให้ภาคภูมิใจอีกต่อไป”
จนทุกวันนี้ เอกกมลก็ยังไม่เข้าใจในคำพูดของบุรฉัตรและไม่เห็นความสำคัญที่จะต้องรู้ซึ้ง
บุรฉัตรมองชีวิตด้วยอารมณ์และความรู้สึก ยึดมั่นในอุดมการณ์ของตนอย่างแรงกล้า แต่สำหรับเขา อุดมการณ์คือสิ่งน่าขันและเหมาะกับคนโง่ เขาเชื่อว่าชีวิตคือการเอาตัวรอด คือการแก่งแย่งกอบโกยความสุขใส่ตัวเองให้ได้มากที่สุด คนฉลาดและเข้มแข็งเท่านั้น ถึงจะหยัดยืนได้อย่างกล้าแกร่งบนโลกใบนี้ ท้ายสุด ทุกคนก็ทำเพื่อตัวเองทั้งนั้น
เอกกมลวางมือจากงานของบุรฉัตร แต่ไม่ได้หมายความว่าตลอดไป เพียงรอโอกาสเหมาะอีกครั้ง ใบสั่งผลงานของบุรฉัตรวางรออยู่ยาวเหยียดกระตุ้นกิเลสให้เต้นระริก เขาเคยหาทางออกด้วยการนำภาพถ่ายไปให้จิตกรอื่นลอกเลียนแบบ แต่เมื่อส่งผลงานไปให้ลูกค้า กลับถูกตีกลับไม่เป็นท่า ความน่าเชื่อถือถูกทำลายย่อยยับ ลูกค้าเศรษฐีหลายรายบอกยกเลิกการสั่งซื้อ ช่องทางเมลินเป็นอันตัดไปได้ เพราะนับจากวันนั้น บุรฉัตรไม่ไว้วางใจใครอีกเลย เอกกมลหันไปจับงานจิตรกรคนอื่น แม้จะทำเงินได้ไม่มากตามต้องการ แต่อย่างน้อย ก็มีเงินไหลผ่านมือไม่เคยขาด แต่ไหนเลย จะสู้ปล่อยงานของบุรฉัตรเพียงชิ้นเดียวแล้วคว้ากำไรมหาศาลได้ในพริบตา