เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 10 : ล่อเสือ

เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 10 : ล่อเสือ

โดย : ประดับยศ

Loading

เล่ห์พันธาภรณ์ นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย ประดับยศ กับเรื่องราวของ ‘มิรามาลินทร์’ หญิงสาวผู้ถูกเลี้ยงดูมาโดยนักบวชในวิหารเทพ แต่แล้ววันหนึ่งเธอต้องหนีเอาชีวิตรอดเพื่อตามหาบุคคลในคำทำนายที่จะมาช่วยปกป้องวิหาร คนผู้นั้นคือใคร ชีวิตเธอจะเป็นอย่างไร อ่านได้ในเว็บไซต์ anowl.co และเพจ anowldotco

 

วิหารเทพทรงสี่เหลี่ยมหลังสีขาวบริสุทธิ์ตั้งเด่นอยู่บนเนินเขาที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดกลางเมืองอัมพุ ยามนี้ร้างไร้ผู้คน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่เดือนมีผู้ศรัทธาเข้ามาสวดภาวนาขอพรกันอย่างเนืองแน่น แต่บัดนี้มีเพียงทหารสินธุรัฐยืนเป็นแนวด้านนอกเชือกกั้น ที่มีป้ายติดว่าห้ามเข้าตั้งแต่ลานด้านหน้าวิหารไปจนจรดพื้นที่ด้านหลังที่เป็นป่ายาวหลายกิโลเมตร ทำให้มิรามาลินทร์ที่อยู่ในรถพระที่นั่งของเจ้าชายผู้มาเยือนได้แต่สะท้อนสะท้านใจ วิหารศักดิ์สิทธิ์นับแต่โบราณบัดนี้ถูกตีค่าเป็นเพียงคุกที่ไว้สำหรับขังเหล่านักบวชและเทวนารีเพื่อรอวันทุบทำลายอย่างไร้ค่า เพราะอิฐหินและมนตราหาได้มีค่าเท่ากับเงินไม่

มิรามาลินทร์เดินเข้าไปในวิหารอย่างพยายามสงบใจ บุรุษที่เสด็จข้างๆ ทรงกุมพระหัตถ์ให้กำลังใจก่อนจะปล่อยให้หญิงสาวก้าวเข้าไปหาคนสำคัญที่ตนห่วงหา กุมารีกระชับผ้าคลุมศีรษะและรวบกระโปรงให้เรียบร้อยในยามที่นั่งลงกราบองค์เทวนารีผู้เป็นอาจารย์ที่นั่งสวดภาวนาอยู่ที่แท่นในหอมนตรา

“ท่านอาจารย์คะ”

“หากจะบอกว่าไม่ยินดีที่ได้พบกันก็คงจะเป็นการโกหก แต่เธอไม่ควรกลับมาที่นี่อีกมิรา พวกเราโชคดีเหลือเกินที่ได้เจอจอมพลแห่งศิขราช ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงช่วยเหลือ และพามิรามาลินทร์กลับมา”

“ด้วยความยินดีครับ ท่านอาจารย์”

“หญิงจะพาอาจารย์กลับไปมหาวิหารกลางด้วยกันค่ะ ที่นั่นนักรบเทวาจะคุ้มครอง ขอเพียงท่านอาจารย์ข้ามชายแดนไป”

“แล้วใครจะคุ้มครองที่นี่” เพียงประโยคเดียวแต่ก็เป็นได้ทั้งคำถามและคำตอบ องค์เทวนารียิ้มปลอบใจลูกศิษย์ที่ทำหน้าราวกับจะร้องไห้

“อาจารย์อยู่ ศรัทธาอยู่ วิหารเทพยังอยู่”

“แต่ราชินีไม่ยอมให้อยู่แน่ค่ะ ที่ดินแถบนี้ถูกเวนคืนทั้งหมด ถ้าหากเราไม่ไปภายในหนึ่งเดือนนี้ ทหารจะใช้กฎอัยการศึกกับเรา”

“เช่นนั้นแม้ทุกอย่างถูกทำลาย แต่ศรัทธายังอยู่”

“แต่หญิงอยู่ไม่ได้” คราวนี้มิใช่เพียงเสียงสะอื้นหากหยาดน้ำตาร่วงจนอาบแก้ม

“ท่านอาจารย์ไปกับหญิงเถิด ขอเพียงมีชีวิตอยู่ทุกอย่างย่อมแก้ไขได้”

องค์อมราวดีเทวนารีกำลังจะเอ่ยปากค้าน เจ้าชายตุลธรจึงรีบรับสั่งสนับสนุนอีกเสียง

“ผมเองก็เห็นด้วยกับมิรามาลินทร์ อาจารย์ยึดมั่นในอุดมการณ์นั่นคือสิ่งที่น่ายกย่อง เพียงแต่ยังมีคนอีกจำนวนมากที่ต้องการโอกาสและทางเลือกอื่น อย่างน้อยผมก็อยากจะขอโอกาสให้ท่านลุงของผมที่ยอมเสี่ยงชีวิตอยู่ในคุกลับตอนนี้ ผมขอร้อง…ท่านลุงคือครอบครัวคนเดียวที่ผมเหลืออยู่”

เสียงทอดถอนใจที่อัดอั้นผสมปนเปกับเสียงสวดภาวนาที่ผู้มีจิตศรัทธาดังแว่วจากลานบูชาที่ห่างออกไป แม้วิหารจะกลายเป็นเขตหวงห้าม แต่คนเหล่านั้นก็ยังคงมุ่งมั่นต่อความเชื่ออย่างมิเสื่อมคลาย…ซึ่งความเชื่อเหล่านั้นมิใช่เชื่อในวิหาร แต่เชื่อว่าผู้นำทางจิตใจของตนจะนำพาให้พวกเขาอยู่รอดปลอดภัย

“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเตือนสติ สิ่งที่เราควรเห็นมิใช่เพียงวัตถุภายนอก เรามัวแต่มองวัตถุจนลืมฟังเสียงจากลมหายใจ เสียงจากชาวบ้านชายแดนห่างไกลที่ไม่มีใครได้ยิน”

“อย่างน้อยตอนนี้ก็มีสามคนแล้วที่ได้ยินนะครับ” เจ้าชายรับสั่งพลางแย้มพระสรวลอย่างให้กำลังใจ

“และเราก็ต้องทำให้ทุกคนได้ยินเสียงภาวนาเหล่านี้เช่นกัน”

“เสียงใดก็ไม่ดังเท่าเสียงของเงิน” องค์อมราวดีเอ่ยพลางยิ้มขมขื่น ที่ต้องเล่าเรื่องที่น่าอัปยศเหลือเกินให้คนนอกฟัง

“เสียงสายน้ำบริสุทธิ์ใต้ผืนพิภพ ฤๅจะสู้เสียงเจียระไนเพชรน้ำหนึ่งได้”

“สู้ได้…ถ้าสายน้ำนั้นไหลผ่านแผ่นดินศิขราชด้วยเช่นกัน”

สุรเสียงหนักแน่น เด็ดเดี่ยวของเจ้าชายตุลธรธิบดีทำให้สองเทพีแห่งวิหารเทพหันไปพินิจผู้พูดเป็นตาเดียว แววพระเนตรเอาจริงที่พร้อมตะลุยทุกสนามรบ ไม่เคยหวั่นต่อผู้ใดที่หาญมาเผชิญหน้า ทำให้แสงแห่งความหวังที่เกือบจะมอดดับลงกลับสว่างไสวขึ้นมาอีกครั้ง

“ฝ่าบาท ไม่เอาสงครามนะเพคะ” มิรามาลินทร์ท้วงขึ้นอย่างเกรงพระทัย

“การรบมีหลายยุทธวิธี แต่การรบที่ได้ผลดีและยั่งยืนที่สุดก็คือรบด้วยการศึกษา ข้อมูล และความรู้ ตอนนี้สิ่งเดียวที่เราได้เปรียบคือความไม่รู้”

“…และเราต้องให้ทุกคนรู้!”

มิรามาลินทร์เอ่ยต่อเมื่อตามความคิดขององค์จอมพลเท่าทัน แววตาดำขลับบนใบหน้างดงามพราวระยับขึ้นดังพลุดวงดาวจนผู้ที่มองสบมิอาจละสายพระเนตรจากภวังค์ตรงหน้าได้ รอยละมุนจากหัวใจจึงค่อยแผ่ซ่านผ่านพระโอษฐ์ที่พริ้มพราย มาลินทร์ดอกนี้นับวันยิ่งหยั่งรากลึกในหทัยจนยากจะไถ่ถอนได้เสียแล้ว

 

คืนนั้นอาคันตุกะสูงศักดิ์แห่งวิหารเทพถูกเชิญให้พำนัก ณ เรือนผู้พิทักษ์เทวา โดยมีคามินและอารัญที่นำขบวนทหารราชองครักษ์และผู้ตามเสด็จไปตั้งค่ายกันย่อมๆ ซึ่งแม้ว่าจะมีจำนวนเพียง 50 นายที่ได้รับอนุญาตให้ติดตามพระองค์มาได้ หากทั้งห้าสิบนายนี้คือหน่วยของเอกทิศที่เตรียมการณ์มาเพื่อปฏิบัติภารกิจโดยเฉพาะ

“หนาวพิลึก ดีนะที่ท่านโมราคอยคุมทหารรอที่ชายแดนค่าย ไม่งั้นหนาวตายแน่ ที่นี่ไม่มีเตาไฟหรือไง” อารัญเริ่มบ่นเมื่อทหารอีก 50 คนและอีกหนึ่งพระองค์ต้องอยู่ร่วมกับเหล่าผู้พิทักษ์ของวิหารกันไปอีกหลายคืนในโรงเรือนคล้ายกับที่ค่ายจตุรทิศ ซึ่งเดิมทีผู้พิทักษ์เทวาก็มีเพียงหยิบมือ แต่เมื่อต้องมาอยู่รวมกันร่วมร้อย เวลาแบ่งที่นอนจึงคล้ายกับสงครามชิงพื้นที่กันไปโดยปริยาย

“นอนเบียดๆ กันไปเดี๋ยวก็อุ่นเอง”

คามินตอบทั้งอารัญและตอบตัวเองด้วย พลางแกล้งถอนใจแรงๆ เมื่อเห็นว่าอารัญรีบคว้าหมอนไปจองที่ฝั่งริมไว้เรียบร้อย

“นอนเบียดกับผู้ชายจะไปอุ่นเหมือนนอนเบียดสาวๆ ได้ยังไง มีเต็นท์ไหม ขอไปกางนอนข้างนอกดีกว่า”

“เจ้าชายเพิ่งทรงเอาไปเมื่อกี้”

“ตายห่า! องค์จอมพลจะทรงบรรทมเต็นท์ข้างนอก!”

“ไม่ตาย เดี๋ยวก็ต้องจัดเวรออกไปผลัดกันเฝ้ารอบวิหาร”

“แน่ใจว่าจะไม่มีสไนเปอร์ส่อง?”

“วิหารอยู่บนเนิน เรือนผู้พิทักษ์อยู่ด้านหลังถัดจากหอเทวา หอมนตรา แถมยังติดผา ตรงนี้ปลอดภัยที่สุดแล้ว”

“แล้วหอราตรี?” อารัญถามเพราะอลินาถูกส่งไปคอยดูแลมิรามาลินทร์ที่นั่น คามินชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยตอบเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน

“หอราตรีเป็นห้องใต้ดินข้างล่างหอมนตรา ระบบความปลอดภัยสูงสุด นายไม่ต้องเป็นห่วง”

“คนที่เป็นห่วงน่ะนู่น…”

อารัญว่าพลางพยักหน้าไปทางเต็นท์ที่ประทับหน้าลาน ก่อนจะบ่นงึมงำตามประสบการณ์ที่เคยได้พบเจอมา

“อยู่คนละที่แบบนี้ สงสัยคืนนี้จะไม่ได้นอนแน่ๆ”

“หมายถึงเจ้าชาย?”

“ข้านี่แหละ! ยืนเวรคืนแรก ได้เทียวรายงานทั้งคืนแน่นอน”

อารัญบ่นอย่างรู้ชะตากรรม ทำเอาคามินขำไม่ออก เพราะคืนที่สองเป็นเวรของเขาเอง!

 

ยามเช้าวันใหม่ของวิหารเทพนั้นเริ่มต้นตั้งแต่แสงอรุโณทัยยังไม่มาเยือน เสียงสังวัธยายมนตราเคล้าสายลมจากขุนเขาราวเพลงพรที่ขับกล่อมเรียกขวัญให้ตื่นเต็มตา หากมีคนผู้หนึ่งที่ตื่นบรรทมก่อนใคร และถือโอกาสที่เสียงภาวนาเริ่มต้นก็เตรียมเสด็จตรงไปหอมนตราทันที

วรองค์สูงบึกบึนในชุดผ้าทอพื้นเมืองสีเข้มชายเสื้อยาวคลุมเข่าเช่นเดียวกับบุรุษอื่นๆ ในสินธุรัฐทำให้เหล่าทหารใต้บังคับบัญชาต่างมองอย่างตะลึงในมาดใหม่ของเจ้านายของตน และคนแรกที่กล้าเอ่ยแซวออกมาก็คือราชองครักษ์ประจำพระองค์ที่เป็นหน่วยกล้าตายเสมอ

“เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม ชาวศิขราชจะมีบุญตาได้เห็นบ้างไหมหนอ”

“เราจะไปเยี่ยมเยียนชาวเมืองอัมพุ จะให้ใส่ชุดทหารไปหรือไง”

“ใส่ชุดนี้ดีแล้วกระหม่อม ทรงหล่อสุดๆ เรียกแขกดี”

“อยากเรียกนายพลชาตรีให้ออกมาบ้าง จะได้ให้เอกทิศได้ทำงานทำการเสียที”

“กระหม่อมให้คนออกไปสำรวจเส้นทางรอบๆ คุกหลวงแล้วพระเจ้าค่ะ”

“เตรียมเส้นทางข้ามชายแดนไว้อย่างน้อยสามจุด แบ่งทีมประจำจุดเอาไว้ หลังจากการเยี่ยมเยียนครั้งนี้เราจะประชุมแผนปฏิบัติการอีกที ครั้งนี้จะพลาดไม่ได้”

“รับด้วยเกล้าพระเจ้าค่ะ”

อารัญถวายคำนับก่อนจะถอยออกไปสั่งการทีมปฏิบัติการที่เหลือ และเตรียมตามเสด็จเยี่ยมเยียนราษฎรพร้อมกับพระคู่หมั้น ซึ่งการเสด็จครั้งนี้แม้จะเป็นการเสด็จเข้าสู่ปากเหยี่ยวปากกา แต่ทว่า
พญาอินทรีแห่งศิขราชก็พร้อมจะเป็นผู้ล่าด้วยเช่นกัน

 

มิรามาลินทร์กลับมาใส่ชุดกระโปรงยาวห่มส่าหรีสีขาวกระจ่างอีกครั้ง ในยามที่เดินเท้าไปตามหมู่บ้านใกล้ๆ บริเวณวิหารเทพ ความรู้สึกในแต่ละก้าวที่ย่างผ่านบ้านแต่ละหลังบัดนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ท่วมท้น คิดถึง อาวรณ์ เสียดาย และหวงแหน

ในยามเช้าหญิงชาวอัมพุหลายคนออกมาก่อกองไฟข้างๆ บ้าน และปิ้งแผ่นแป้งสาลีขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อยบนไม้คีบที่ทาเนยบางๆ ส่งกลิ่นหอมกระตุ้นน้ำย่อยได้เป็นอย่างดี เด็กๆ ที่มักจะตื่นเช้าเพื่อมาเล่นสนุกก็โยนหัวมันเทศเข้าไปคลุกในกองขี้เถ้า ก่อนจะเขี่ยไปกลางกองไฟเพื่อเผาจนสุกเป็นที่สนุกสนานจนกุมารีได้แต่อิจฉา…ชีวิตในวัยเด็กของเธอไม่มีโอกาสได้ยิ้มกว้างอย่างเด็กๆ เหล่านี้เลย

“นมาห์กุมารี”

ถ้อยคำทักทายนั้นเป็นไปอย่างกันเองจาก ปาราวตี ลูกสาวของผู้นำหมู่บ้านที่กำลังยืนบ่นลูกๆ เล่นซน เอาไม้เขี่ยมันเผาแกล้งกันจนน่าเวียนหัว

“ไม่ได้เจอกันเสียนานคุณปาราวตี สบายดีกันทั้งครอบครัวนะคะ”

“สบายดีค่ะกุมารี โชคดีเลยที่กุมารีมาเยือน ทั้งพี่ชายและสามีของฉันอยู่กันพร้อมหน้าพอดีพวกเขาคงดีใจที่ได้พบ”

มิรามาลินทร์ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะก้าวตามเจ้าบ้านเข้าไป คงต้องรีบคุยธุระที่นี่ให้เรียบร้อยก่อนที่เจ้าชายตุลธรจะเสด็จตามมา

“นมาห์กุมารี”

เสียงทักทายชายหนุ่มสองคนพร้อมกับรอยยิ้มกว้างอย่างยินดีนั้นทำให้เทวกุมารีโค้งให้อีกฝ่ายพลางยิ้มตอบเช่นกัน

“สวัสดีคุณปรมะ และคุณอโณทัย”

“ผมเพิ่งได้ยินข่าวดีที่เขาพูดกันทั่วอัมพุว่าจะมีการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์สองประเทศอีกครั้ง”

ปรมะ พี่ชายของปาราวตี ถามเพื่อยืนยันคำตอบ ในขณะที่เชิญทุกคนนั่งลงสนทนากันที่โต๊ะรับประทานอาหารในครัวง่ายๆ ยกเว้นกุมารี ที่เขาจัดเก้าอี้ห่างออกไป

“เป็นความจริง เดี๋ยววันนี้ก็คงได้เห็นเจ้าชายเสด็จเยี่ยมเยียน”

“ทำไมถึงรวดเร็วเหลือเกินครับ…”

ปรมะอยากจะถามมากกว่านั้น แต่ก็ไม่กล้า ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นอดีตผู้พิทักษ์แห่งวิหารเทพแต่หลังจากที่สอบชิงทุนเรียนต่อปริญญาตรีและปริญญาโทด้านสิ่งแวดล้อมที่อินเดียได้ ชายหนุ่มก็ไม่ได้กลับไปที่วิหารบ่อยครั้งนักเพราะต้องเดินทางไปทำงานให้กับองค์กรเพื่อสิ่งแวดล้อมอยู่หลายประเทศในอาเซียน

“เหตุผลเดียวกับที่เรามาพบเธอและทุกคนที่นี่”

มิรามาลินทร์ตอบผู้ที่เคยเคียงข้างคามินเพื่อคอยดูแลเธอ ดวงตากลมโตที่มองสบนั้นไว้วางใจอย่างเต็มที่ในยามเอ่ยสิ่งที่ไม่เคยบอกกับผู้ใดมาก่อน

“มีคนต้องการพลิกผืนดินใต้วิหารเพื่อทำเหมืองเพชร”

“เพชร?”

เสียงร้องอุทานนั้นตกใจจนแทบร่วงเก้าอี้ ปาราวตีที่ก้าวมาสมทบวงสนทนาทีหลังก็ยังตื่นตะลึงไม่แพ้กัน ใครบ้างที่จะไม่คิดถึงมูลค่าอันสูงลิบลิ่วที่จะสามารถพลิกชีวิตคนได้แม้จะครอบครองเพียงก้อนเล็กๆ เท่าเม็ดพริกไทยก็ตาม

“พวกเราจะรวยกันแล้วใช่หรือไม่กุมารี”

“ก็คงใช่ถ้าหากว่าไม่ถูกเวนคืนที่ดินเสียก่อน”

“คนในหมู่บ้านถูกไล่ที่ไปเกือบครึ่งค่อน โดยเฉพาะกับพวกที่อยู่ใกล้วิหาร”

ปาราวตีเอ่ยขึ้นอย่างไม่รู้ว่าจะต้องดีใจหรือเสียใจดีที่บ้านของตนก็อยู่ในพื้นที่เวนคืนด้วย และครอบครัวก็ตัดสินใจที่จะย้ายออกไปอยู่กับปรมะที่วางแผนจะไปตั้งรกรากอยู่ที่ประเทศไทยกับคนรักที่นั่น

“ต่อให้ไม่เวนคืนที่ดิน แต่เราจะขุดเพชรในสวนบ้านเราไม่ได้อยู่ดีหากไม่ได้รับอนุญาตจากทางการ”

อโณทัยหันไปอธิบายแก่ภรรยาตนเองที่ตอนนี้กำลังตาลุกวาวกับเงินที่คิดว่าจะได้ หารู้ไม่ว่าทุกอย่างล้วนถูกกำหนดไว้แล้ว

“คุณอโณทัยพูดถูก แต่ที่เรากังวลก็คือ พอพูดถึงเพชร ทุกคนก็คิดถึงเงิน จนลืมว่าเราต้องกินต้องอยู่ที่นี่”

“ถ้าทำเหมือง เสี่ยงสารพิษ จะไหลลงแม่น้ำอัมพุ”

ปรมะเอ่ยพลางคิ้วเริ่มขมวดมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อให้บ้านไหนไม่ถูกเวนคืน แต่การจะใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ทำเหมืองเพชรก็เป็นไปได้ยาก เพราะการทำเหมืองจะมีการใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของคนทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่ที่แน่ๆ คือ แผ่นดิน ขุนเขา แม่น้ำจะไม่มีวันเหมือนเดิม

“เราไม่ได้กำลังจะรวย แต่พวกเรากำลังจะตายต่างหาก”

ปรมะเอ่ยย้ำพลางหันไปทางกุมารีที่ยังคงมีสีหน้ากังวลไม่ต่างกัน

“แม่น้ำอัมพุไหลผ่านประเทศเพื่อนบ้านอย่างศิขราชด้วย”

“เจ้าชายตุลธรจึงเสด็จมาที่นี่”

“แล้วจะทรงขวางได้หรือ ถึงอย่างไรก็เป็นเจ้าชายต่างแดน เรื่องของสินธุรัฐก็ต้องให้สินธุรัฐจัดการ”

“อย่าได้ดูแคลนเชียว” มิรามาลินทร์เอ่ยเตือนสั้นๆ แม้ในใจนั้นมีมากกว่า เพียงแต่จะพูดไปไย เพราะเดี๋ยวก็จะได้เห็นกันเองว่าทรงเป็นเช่นไร

“ฝากบอกข่าวกันให้ทั่วด้วย ก่อนที่คนของทางการจะเข้ายึดพื้นที่โดยสมบูรณ์”

“แล้วผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องเหมืองนี่ล่ะครับกุมารี…”

“เรายังไม่มีหลักฐาน แต่เราจะรีบหา”

“เสี่ยงเกินไป จะนำอันตรายมาสู่ตัวเองและองค์เทวนารีนะครับ”

“เราจะระวังตัว ไม่ต้องเป็นห่วง ฝากทางนี้ด้วย ขอให้ทุกคนโชคดีและปลอดภัย”

กุมารีเอ่ยพลางยื่นมือประทานพรให้กับปาราวตี ที่ค้อมลงกราบจรดพื้นรับพรแห่งเทพด้วยความศรัทธาสูงสุด ก่อนจะเรียกลูกๆ ของตนให้เข้ามารับพรและใส่ข้อมูลเพื่อกระจายข่าวออกไป…การพูดแบบปากต่อปากนี่แหละที่จะเผยแพร่ไปได้ไวที่สุด และสามารถขยายจากเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ได้ง่ายที่สุดด้วยเช่นกัน

 

กุมารีเดินออกจากบ้านของปาราวตีไปทางเส้นเดิมเพื่อกลับไปรับเจ้าชายตุลธรธิบดีที่จะเสด็จเยี่ยมเยียนประชาชนด้วยกัน แสงอรุณส่งประกายผ่องอำไพอยู่เหนือฟากฟ้าทำให้มิรามาลินทร์มองเห็นเงาที่คอยตามดูอยู่ห่างๆ และเมื่อหญิงสาวเดินใกล้ถึงเขตวิหาร เงานั้นก็ดูคล้ายจะหยุดนิ่ง กุมารีจึงหันกลับไปพูดด้วย

“ขอบพระทัยเพคะ ที่ทรงดูแลหม่อมฉันมาตลอด”

“รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

เจ้าของเงาตรัสตอบพลางก้าวออกมาเผชิญหน้า วรองค์สูงผอมในชุดเสื้อตัวยาวคลุมด้วยผ้าประดับไหล่ตามลำดับบรรดาศักดิ์ราชวงศ์สินธุรัฐทำให้หญิงสาวย่อกายถวายคำนับก่อนจะคุยต่อ

“เพคะ แต่หม่อมฉันชอบไปไหนมาไหนคนเดียวมากกว่า”

“ควรระวังตัว อย่างน้อยก็ต้องมีผู้พิทักษ์ติดตามสักคนสองคน”

“บางเรื่องผู้พิทักษ์ก็รู้ไม่ได้เพคะ”

“อย่างเช่นเรื่องวันนี้หรือไง”

“หม่อมฉันไม่กล้าไว้ใจใคร”

“เรื่องมันจะใหญ่เกินกว่าที่จะควบคุมได้นะมิรา”

เจ้าชายธัชธาราทรงเตือนอีกครั้ง หากมิรามาลินทร์กลับยิ้มเย็นในยามที่ทูลตอบ

“แต่หม่อมฉันหนีไม่ได้อีกแล้วเพคะ ถึงต้องเสี่ยงทำด้วยตัวเอง”

“แต่มันอันตรายเกินไป เลิกล้มความคิดเรื่องเจ้าชายตุลธรฯ นั่นตอนนี้ก็ยังไม่สาย”

“ขอบพระทัยที่ทรงมีพระเมตตา แต่ชีวิตของหม่อมฉันตกอยู่ในอันตรายมานานแล้วเพคะ ทรงน่าจะรู้ดีแก่พระทัย ว่าทำไมหม่อมฉันถึงต้องข้ามไปศิขราชและกลับมาพร้อมกับเจ้าชายตุลธรฯ”

“พี่ช่วยเธอได้” มิรามาลินทร์มองชายหนุ่มที่เอ่ยคำนี้กับเธอไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว หากเขาไม่เคยทำได้ตามที่รับปาก เพราะสิ่งที่เขามอบให้ กับสิ่งที่เธอต้องการนั้นสวนทางกัน

“หม่อมฉันไม่อาจเอื้อมรับพระกรุณาหรอกเพคะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็กลับไป อย่าก้าวเข้ามาล้ำเส้นสินธุรัฐแบบนี้”

“หม่อมฉันต้องทำ เพราะทรงล้ำเส้นวิหารเทพเช่นกัน” มิรามาลินทร์สวนกลับอย่างไม่เกรงกลัว แววตาโกรธขึ้งนั้นเจือความผิดหวังจนเจ้าชายธัชธาราเถียงไม่ออก ได้แต่นิ่งฟังหญิงสาวพรั่งพรูสิ่งที่คั่งค้างใจต่อกัน

“สมเด็จราชินีทรงมองการณ์ไกล เต็มเปี่ยมไปด้วยพระอัจฉริยภาพ คำนึงถึงผลประโยชน์ของสินธุรัฐ จึงทรงดำริโครงการพัฒนาพื้นที่เมืองอัมพุ หาก…ทรงไม่เห็นใจชาวบ้านและคนของวิหารเทพเลย พวกหม่อมฉันและชาวบ้านจะอยู่อย่างไรหากทรงทำลายบ้านของพวกเรา เพราะต้องการสิ่งที่อยู่ใต้ผืนดินนั่น พวกหม่อมฉันจะอยู่อย่างไร…ถ้าโครงการเหมืองแร่ผ่าน และสายน้ำที่หล่อเลี้ยงทุกชีวิตจะกินไม่ได้อีกต่อไป!”

“เรากำลังเจรจากับสมเด็จแม่อยู่ โครงการนี้จะไม่รุกล้ำพื้นที่ใกล้แม่น้ำ และเราจะเยียวยาให้ชาวบ้านที่ถูกเวนคืนที่ดินทั้งหมด”

“ทรงรู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่พระองค์ตรัสมาและสิ่งที่ราชินีตัดสินพระทัยเป็นเช่นไร หม่อมฉันคงทูลพระองค์ได้แค่นี้ หากไม่ทรงเห็นด้วยกับหม่อมฉัน ก็ทรงปล่อยหม่อมฉันไปเถิด เส้นทางบนราชบัลลังก์ของพระองค์ กับชีวิตของหม่อมฉันคงบรรจบกันได้เพียงเท่านี้เพคะ”

“มิรา…ให้โอกาสพี่อีกครั้งไม่ได้หรือ”

หญิงสาวหันกลับมามองบุรุษที่เติบโตมาด้วยกันด้วยสายตาห่วงใย หากกุมารียืนยันคำเดิม

“เส้นทางของเราต่างหนทางกันเกินไปเพคะ”

“ไม่เลยมิรา…เราสองคนไม่เคยต่าง สมเด็จพ่อรับสั่งเสมอ คนเราทุกคนไม่ต่างกัน มีเพียงหน้าที่เท่านั้นที่ต่างกัน”

“สมเด็จ…สมเด็จพระราชาธิบดีองค์ก่อนทรงภูมิใจในเจ้าชายธัชธาราเสมอนะเพคะ ทรงเชื่อมั่นว่าพระองค์จะเป็นพระราชาที่ดีได้เพราะทรงมีในสิ่งที่เจ้าชายองค์อื่นไม่มี ทรงรักและมีพระเมตตาให้คนรอบข้างเสมอ…” หญิงสาวยิ้มอ่อนโยนอีกครั้งในยามเอ่ย

“ถึงอย่างไรสินธุรัฐก็ยังต้องการพระราชาธิบดีเพคะ ทรงรักษาสุขภาพด้วย หม่อมฉันทูลลา”

“เธอจะใช้แค่ความเสี่ยงมันไม่พอหรอก ถ้าไม่มีหลักฐาน!”

เจ้าชายธัชธารารับสั่งเน้นย้ำเป็นพิเศษพลางสบพระเนตรจ้องตรงนัยน์ตากลมดำขลับอย่างไม่หลบ มิรามาลินทร์สูดลมหายใจลึกตั้งสติ กว่าอึดใจที่ทุกความจริงใจถ่ายทอดออกมาจากดวงตาคู่นั้น คราวนี้มิรามาลินทร์ค่อยคลี่ยิ้มอ่อนหวานจากใจ ในยามเอ่ยคำขอบคุณ

“ขอบพระทัยอีกครั้งที่เตือนสติเพคะ”

“จำไว้ว่าทุกครั้งที่มีปัญหา จงใช้สติให้มาก อย่าวู่วามเหมือนครั้งนี้อีก”

“หญิงจะระวังตัวให้มากกว่านี้ ไม่ต้องเป็นห่วงเพคะ”

“ขอให้ทำได้จริงอย่างที่ว่าสักครั้งเถอะ พี่อยู่ที่ตำหนักป้อมริมชล ให้คามินมาพบได้ตลอด”

“ขอบพระทัยเพคะ”

กุมารีย่อกายถวายคำนับอีกครั้ง ก่อนจะรอจนกระทั่งไร้เงาของผู้ที่คอยคุ้มครองจึงค่อยก้าวเข้าสู่วิหารเทพด้วยความหวังบางประการที่เกิดขึ้นในใจ แผ่นดินสินธุรัฐเองก็มีสายน้ำแห่งความหวังผุดขึ้นแล้วเช่นกัน!

 

เจ้าชายธัชธาราเสด็จกลับพระตำหนักด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง ในฐานะคนกลางที่พยายามจะประคับประคองทุกอย่างบัดนี้ดูเหมือนว่ายิ่งทำคล้ายกับยิ่งแย่ บรรยากาศรอบวังบัดนี้มีทหารเข้าเวรยามกันอย่างแน่นหนา บางจุดมีการเพิ่มกำลังทหารเพื่อยกระดับการรักษาความปลอดภัย หากมีการต่อต้านจากประชาชนในโครงการเหมืองแร่ที่เมืองอัมพุ

“สมเด็จพระราชาธิบดีองค์ก่อนทรงเชื่อมั่นในพระองค์นะเพคะ ถึงอย่างไรสินธุรัฐก็ยังต้องการพระราชาธิบดี”

ถ้อยคำของหญิงสาวยังคงก้องในพระทัย ทรงรู้ว่ามิรามาลินทร์เตือนอ้อมๆ ว่า บัลลังก์นี้เป็นของเขาโดยชอบธรรมและเขาก็โตพอที่จะเข้ามารับหน้าที่และภาระอันยิ่งใหญ่ได้แล้ว ถึงแม้ว่าเขาเพิ่งจะกลับมาที่สินธุรัฐหลังจากที่เสด็จพ่อสวรรคต และเขาก็รีบกลับไปเรียนต่อจนจบมหาวิทยาลัยที่อังกฤษโดยเร็วที่สุด ระหว่างนั้นพระมารดาทรงรับหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนเพื่อวางรากฐานอันมั่นคงให้บัลลังก์ของเขาในวันข้างหน้า หากบัดนี้สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นทำให้เขาเริ่มไม่มั่นใจเสียแล้วว่า รากฐานอันมั่นคงนั้นในความหมายของเขาและสมเด็จแม่นั้นเหมือนกันหรือไม่

สมเด็จพระรัชทายาทแห่งสินธุรัฐประทับอยู่กลางลานหน้าพระตำหนักราวกับไม่รู้ร้อนหนาว เพราะสิ่งที่อยู่ในหทัยนั้นกวนใจจนมิทรงรับรู้สิ่งรอบตัวที่เป็นไป จนกระทั่ง อินทัช ราชองครักษ์ประจำพระองค์ก้าวมายืนใกล้

“ทูลกระหม่อมจะเสด็จไหนหรือไม่พระเจ้าค่ะ”

“นั่นสิ เราควรไป…ใช่หรือไม่อินทัช”

“หม่อมฉันพร้อมตามเสด็จทุกที่พระเจ้าค่ะ”

เจ้าชายธัชธาราหันมองราชองครักษ์ที่มักจะคอยตามเขาห่างๆ แทบไม่ปรากฏตัวให้เป็นที่เอิกเกริก แต่ทรงรู้เสมอนี่คือราชองครักษ์ที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยได้ เพราะนี่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่สมเด็จพ่อมอบให้เขาด้วยความรักและห่วงใยในฐานะพ่อ…ไม่ใช่พระราชา

“ไปตำหนักใหญ่กันเถอะ”

เจ้าชายธัชธาราตัดสินพระทัยเสด็จไปเข้าเฝ้าพระมารดา เพื่อหาคำตอบให้คลายความกังวลในพระทัย เส้นทางสู่ตึกใหญ่สำหรับว่าราชการนั้นไม่ไกลเลย แต่เหตุใดเขาจึงมักถูกขีดเส้นให้ห่างไกลนัก ไกล…จนทรงไม่รู้แล้วว่าเส้นทางนี้จะยังเป็นเส้นทางสำหรับพระองค์อยู่หรือไม่

เสียงถวายความเคารพของทหารเวรที่ดังไล่มาเป็นระยะ ทำให้นายทหารคู่ใจของนายพลชาตรีที่ยืนทำหน้าที่อยู่หน้าบานพระทวารห้องทรงงาน รีบเข้ามาขวางด้วยการถวายความเคารพ พลางให้สัญญาณพลทหารเข้าไปทูลคนข้างในระหว่างที่ตนมาถวายการต้อนรับเจ้าชาย

“ถวายบังคมฝ่าบาท”

“เราจะเข้าไปพบสมเด็จแม่”

“ทรงกำลังปรึกษางานราชการกับท่านนายพลชาตรีอยู่พระเจ้าค่ะ”

“หลีก…” รับสั่งคำเดียว พร้อมกับแววพระเนตรที่หมายความเดียวกัน ทำให้อีกฝ่ายเผลอก้าวถอย วรองค์สูงสง่าจึงเสด็จเข้าไปทันที พร้อมกับที่คนด้านในกำลังนั่งจิบชาในมุมรับรองด้วยท่าทีสบายๆ

“ธัชธารามาพอดี มานั่งกับแม่สิ แม่กำลังคุยกับท่านลุงว่าเราจะจัดงานบรมราชาภิเษกกันวันไหน”

เจ้าชายรัชทายาททอดพระเนตรพระมารดาที่ประทับพระเก้าอี้ยาวและเว้นที่ไว้สำหรับพระองค์ข้างๆ จึงเสด็จไปประทับด้วยกัน

“ลูกนึกว่าจะคุยกันเรื่องปัญหาที่เมืองอัมพุเสียอีก เห็นทหารคุมเข้มงวดมาก” รับสั่งพลางหันไปมองนายพลชาตรีที่นั่งหน้าขรึมอยู่เก้าอี้ตัวถัดไป หากไร้คำตอบใดๆ กลับมา

“ก็ต้องคุมเป็นธรรมดา เรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่ ชาวบ้านอาจจะยังไม่เข้าใจ แม่กับท่านลุงเกรงว่าจะมีพวกผู้ไม่หวังดีไปคอยปลุกปั่นชาวบ้าน แต่ไม่ต้องห่วง แม่จัดการเรียบร้อยแล้ว”

“ลูกอยากเข้าไปดูแลโครงการนี้ สมเด็จแม่ทรงอนุญาตลูกได้ไหมกระหม่อม”

“ทุกงานในสินธุรัฐต้องอยู่ในความดูแลของลูกอยู่แล้วธัชธารา ลูกคือว่าที่สมเด็จพระราชาธิบดีคนต่อไป แม่จะมีสิทธิ์ไปห้ามอะไรได้ เพียงแต่เรื่องเมืองอัมพุนี่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย และแม่จัดการได้” ราชินีชโลธรเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ผิดกับนายพลชาตรีที่คล้ายกับสีหน้าจะตึงขึ้นเมื่อหลานชายผู้สูงศักดิ์เอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา

“ลูกเพียงแค่อยากให้ประชาชนคลายกังวลว่าโครงการที่เราจะทำคือ การพัฒนาพื้นที่ ไม่ได้ทำลายเมือง”

“ถูกต้อง ทุกโครงการที่เราทำเพื่อพัฒนาสินธุรัฐทั้งนั้น แม่จะไม่ยอมให้ใครมาทำลายบ้านของเราเด็ดขาด” ราชินีทรงรับปากเสียงหนักแน่น ทำให้เจ้าชายธัชธาราค่อยยอมลดอาการคาดคั้นกับพระมารดาลง หากสีหน้าที่เคร่งเครียดของนายพลชาตรีทำให้เจ้าชายหนุ่มยังคงไม่คลายความกังวลใจ หาก…ทรงก็มีวิธีของพระองค์เช่นกัน

“สมเด็จแม่จะทรงเตรียมจัดงานราชาภิเษกแล้วหรือกระหม่อม”

“แม่คุยกันไว้ว่าจะเลื่อนไปอีกสักหกเดือน รอให้เรื่องทางอัมพุกลับสู่สถานการณ์ปกติแล้ว เราก็น่าจะเตรียมสถานที่และคนได้ทัน”

“ลูกไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่โตเกินไป”

“ก็ต้องสมพระเกียรติ ไม่ให้อับอายแขกบ้านแขกเมืองจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก”

“ลูกน้อมรับพระเสาวนีย์พระเจ้าค่ะ เกียรติและศักดิ์ศรีของพระราชาธิบดีของสินธุรัฐ ลูกจะไม่ยอมให้ใครมาดูหมิ่นได้”

“ชื่นใจ ประชาชนของสินธุรัฐของต้องภูมิใจในตัวลูกเช่นกันจ้ะ”

ราชินีทรงโอบกอดพระโอรสเพียงองค์เดียวไว้อย่างรักใคร่ หากนายพลชาตรีกลับมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาที่ยากจะเดาความหมายได้…เพราะมีเพียงเขาที่รู้ดีว่าในช่วงเวลา 6 เดือนก่อนจะมีพิธีบรมราชาภิเษกกษัตริย์องค์ใหม่ เขา…ต้องเตรียมงานอะไรบ้าง!



Don`t copy text!