เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 13 : หลบซ่อน

เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 13 : หลบซ่อน

โดย : ประดับยศ

Loading

เล่ห์พันธาภรณ์ นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย ประดับยศ กับเรื่องราวของ ‘มิรามาลินทร์’ หญิงสาวผู้ถูกเลี้ยงดูมาโดยนักบวชในวิหารเทพ แต่แล้ววันหนึ่งเธอต้องหนีเอาชีวิตรอดเพื่อตามหาบุคคลในคำทำนายที่จะมาช่วยปกป้องวิหาร คนผู้นั้นคือใคร ชีวิตเธอจะเป็นอย่างไร อ่านได้ในเว็บไซต์ anowl.co และเพจ anowldotco

กลิ่นควันไฟยังไม่จางลงเมื่อจอมพลฯ เสด็จถึงเขตวิหารเทพ ทำให้มิรามาลินทร์เริ่มกังวลใจขึ้นมาเล็กน้อย เพราะแม้จะเตรียมตัวรับมือกับการวางเพลิงไว้เป็นอย่างดี แต่วิหารก็คงเสียหายอยู่มาก และคนข้างๆ ก็ดูเหมือนจะรู้ใจเพราะทรงเปรยขึ้นอย่างปรึกษาพลางชะลอรถและดับไฟหน้าไม่ให้เป็นที่สังเกต

“วิหารเกิดไฟไหม้หลายจุด ตอนนี้ดับได้หมดแล้ว แต่คนของนายพลชาตรีเต็มวิหารแบบนี้ ถ้าจะกลับเข้าไป คงต้องซ่อนรถไว้แถวนี้”

“ทรงขับไปจอดไว้ที่บ้านปาราวตีก็ได้เพคะ จากหมู่บ้านไปที่วิหารมีทางลัด”

“ดีเหมือนกัน จะได้ให้ปาราวตีดูอาการบาดเจ็บให้เธอก่อน”

“หม่อมฉันไม่เป็นอะไรเพคะ”

“จะให้เราเชื่อจริงๆ หรือ”

“หลังจากใช้ญาณ หม่อมฉันจะมองไม่เห็นอยู่ระยะหนึ่ง ระหว่างนี้หากอยู่แต่ในวิหารก็ไม่มีปัญหาอะไรเพคะ”

มิรามาลินทร์ตอบพลางลืมตาขึ้นมองตรงไปข้างหน้า แม้ดวงตาจะกระจ่างใสราวกับยามปกติ
แต่ประกายตาที่มิได้มองสบประสานกลับนั้นทำให้เจ้าชายตุลธรฯ ได้แต่ใจหาย

“เป็นบ่อยไหม”

“ถ้ามองไม่เห็นเลย ส่วนมากก็จะปีละครั้ง ในพิธีอโรคยาและพิธีเสี่ยงทายที่ลานบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์เพคะ”

“สะกดจิตหมู่อย่างนั้นหรือ”

“เพคะ หม่อมฉันต้องดับเนตรทุกคน เพื่อไม่ให้มองเห็นทางลับสู่ลานบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์”

“ถ้าลำบากขนาดนั้นก็ไม่เห็นจะต้องไป”

“ก็เพราะมีคนอยากไป และอยากได้ หม่อมฉันจึงต้องทำ”

“บางทีราชินีอาจจะทำถูกแล้วก็ได้ ทุบทิ้งซะจะได้จบๆ ไป”

เจ้าชายทรงบ่นก่อนจะขับรถมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านที่ตกลงกันไว้ และแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินคำตัดพ้อจากคนที่ต้องทำหน้าที่พิทักษ์หัวใจของวิหารตลอดมาและอาจจะตลอดไป

“มีของดีแต่ไม่รักษาไว้ แถมยังจะทำลายอีก ทรงใจร้ายจริงๆ”

 

ปาราวตีแทบจะขยี้ตาตัวเองเพื่อมองให้ชัดว่าหนุ่มสาวที่กำลังเดินกุมมือกันเข้ามาในบ้านของตนนั้นเป็นใคร หากเด็กๆ นั้นวิ่งตะโกนออกไปรับอย่างยินดีไปแล้ว

“นมาห์กุมารี ถวายบังคมเพคะเจ้าชาย”

ปาราวตีถวายความเคารพหากสองตายังคงจ้องมือที่จับจูงประสานกันอยู่ ในขณะที่หูฟังกุมารีพูด

“ที่วิหารถูกวางเพลิง เรากับเจ้าชายหลบหนีออกมา คงต้องขอรบกวนพักที่บ้านเธอสักคืน”

“ตายจริง ถึงว่าหัวหน้าหมู่บ้านมาตามพวกผู้ชายออกไปกันหมด คงไปที่วิหารกัน แล้วนี่มีใครเป็นอะไรไหมคะ”

“ทุกคนปลอดภัยดี คามินควบคุมสถานการณ์ได้ แต่เรามองไม่เห็นชั่วคราว”

“ตายแล้ว ขอฉันตรวจดูตาให้นะคะ”

“ไม่เป็นไร เราขอพักสักหน่อยก่อนดีกว่า”

“งั้นนั่งพักกันก่อนนะคะ ฉันจะไปเตรียมห้องให้กุมารีและเจ้าชายค่ะ”

ปาราวตีว่าพลางเดินไปช่วยพาแขกสูงศักดิ์ทั้งสององค์มานั่งที่เก้าอี้ ก่อนจะรีบต้อนเด็กๆ ให้ขึ้นห้องไปจะได้ไม่รบกวนแขกผู้มาใหม่ทั้งสอง เมื่ออยู่ตามลำพังแล้ว มิรามาลินทร์จึงเอ่ยขึ้นมาเป็นเชิงปรึกษากับพระคู่หมั้น

“ถ้าพวกผู้ชายไปที่วิหารจริง เราก็จะยิ่งมีพยานเรื่องไฟไหม้ ถ้าไม่ใช่อุบัติเหตุ ก็ต้องมีคนรับผิดชอบ และมีคำตอบให้พวกเราทุกคนจริงไหมเพคะ”

“แต่น่ากลัวจะมีแค่แถลงการณ์แสดงความเสียใจกับอุบัติเหตุครั้งนี้ละมั้ง”

“แต่ถ้าคามินจับคนร้ายได้สักหนึ่งคนล่ะเพคะ แต่ไม่รู้ว่าจะจับเป็นหรือจับตาย…”

“นั่นไม่ใช่ปัญหา …” ทรงแย้มพระสรวลที่เปี่ยมไปด้วยความเจ้าเล่ห์ ก่อนจะขยับไปกระซิบคนที่ยังขมวดคิ้วมุ่นอย่างคิดไม่ออก

“เรามีเอกสารสำรวจแร่อยู่สองสามใบพอดี เดี๋ยวจะใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อคนร้ายให้”

“ใครจะไปเชื่อเพคะ”

“เราก็ไม่ได้ต้องการให้เชื่อ แต่ต้องการให้สงสัยและถามออกมาต่างหากว่า พวกทหารกำลังทำอะไรกันอยู่!”

“ทรงเจ้าเล่ห์อย่างร้ายกาจ”

“เราจะถือว่าเป็นคำชมก็แล้วกัน”

เจ้าชายตุลธรทรงน้อมรับหน้าชื่นตาบาน หากแววพระเนตรดุดันนั้นหมายมาดยิ่ง เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้จะทรงลากคอคนรับผิดชอบมารับโทษทัณฑ์อย่างสาสมให้ได้!

 

“ที่พักเรียบร้อยแล้วค่ะ เดี๋ยวคืนนี้ฉันจะนอนเป็นเพื่อนกุมารีเอง”

ปาราวตีเอ่ยก่อนจะเข้ามาช่วยพามิรามาลินทร์ไปพักผ่อน หากผู้เป็นแขกสาวท้วงไว้

“ถ้าปาราวตีมานอนกับเรา แล้วเด็กๆ ล่ะ”

“ไม่เป็นไรค่ะ เด็กๆ เข้านอนกันเองได้”

ปาราวตีตอบพลางหันไปถลึงตาดุลูกๆ ที่แง้มประตูเปิดออกมารอแม่กล่อมเข้านอนกันหน้าสลอน แขกผู้สูงศักดิ์อีกคนจึงเสนอตัวเสียเอง

“งั้นเรานอนกับเด็กๆ เอง ปาราวตีจะได้ดูแลมิรามาลินทร์ได้สะดวก”

“ไม่เป็นไรเพคะฝ่าบาท เดี๋ยวหม่อมฉันบอกเด็กๆ ให้เข้าใจ ครู่เดียวก็เรียบร้อยเพคะ”

“เราเองก็ยืนยันว่าไม่เป็นไรเช่นกัน เธอดูแลมิรามาลินทร์ให้เต็มที่เถอะ หรือจะสลับกับเรา?”

รับสั่งพลางทรงชี้สลับกับเจ้าของบ้าน ทำเอาปาราวตีได้แต่ยิ้มแห้ง ก่อนจะถวายคำนับรับพระกระแสรับสั่งไปตามระเบียบ

อีกครู่ต่อมา วรองค์สูงก็ขึ้นไปนอนอยู่บนฟูกพร้อมเด็กๆ พระบาทเหยียดเลยมาบนพื้นเย็นเฉียบ แต่ก็ทรงมิได้นำพา เพราะมัวแต่ฟังพระสหายตัวน้อยแข่งกันเล่านิทานให้เพื่อนใหม่ฟัง

“แล้วเจ้าหญิงก็แต่งงานกับเจ้าชาย และครองรักกันอย่างมีความสุข”

“เอาละ นิทานจบแล้ว นอนกันได้แล้วมั้ง” เด็กโข่งทรงชี้นำ แต่เด็กๆ ยังคงจ้องพระพักตร์พระองค์ตาแป๋ว

“แล้วเจ้าชายจะแต่งงานกับเจ้าหญิง หรือกุมารีของเราคะ”

“ก็ต้องแต่งงานกับกุมารีสิ”

“แล้วเจ้าชายจะอยู่ที่นี่และครองรักกันอย่างมีความสุขไหมคะ”

คำถามนี้ทำให้ทรงนิ่งคิดไปนิดนึง ก่อนจะตอบเด็กๆ อย่างไม่ลังเลใจ

“ถ้ามิรามาลินทร์อยู่ที่ไหนแล้วมีความสุข เราก็จะอยู่ตรงนั้นแหละ”

“เจ้าชายใจดีเหมือนในนิทานเลย”

“ขอบใจ แต่นอนกันได้แล้วมั้ง”

เจ้าชายใจดีหันมาขมวดคิ้วใส่เด็กๆ ที่ยังยิ้มแป้นตาแป๋วกันอยู่ แต่ไม่นานนักทุกอย่างก็ถูกราตรีขับกล่อม พร้อมกับเสียงสาธยายมนตราจากห้องข้างๆ ที่แว่วตามลมมาเบาๆ

เจ้าชายตุลธรธิบดีทรงหลับพระเนตรร่วมสังวัธยายมนตราตาม จิตมุ่งมั่นเป็นอย่างยิ่งในยามอธิษฐาน …ขอให้เภทภัยคลายทุเลา ให้ดวงตาจอมขวัญเจ้าจงหายดี



Don`t copy text!