เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 15 : ล่ารายชื่อ

เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 15 : ล่ารายชื่อ

โดย : ประดับยศ

Loading

เล่ห์พันธาภรณ์ นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย ประดับยศ กับเรื่องราวของ ‘มิรามาลินทร์’ หญิงสาวผู้ถูกเลี้ยงดูมาโดยนักบวชในวิหารเทพ แต่แล้ววันหนึ่งเธอต้องหนีเอาชีวิตรอดเพื่อตามหาบุคคลในคำทำนายที่จะมาช่วยปกป้องวิหาร คนผู้นั้นคือใคร ชีวิตเธอจะเป็นอย่างไร อ่านได้ในเว็บไซต์ anowl.co และเพจ anowldotco

ลานดินกลางหมู่บ้านที่เคยเป็นสถานที่ประกอบศาสนกรรมมีเต็นท์หลังใหญ่มากางพร้อมโต๊ะเก้าอี้ตั้งเป็นจุดสำหรับให้ชาวบ้านร่วมลงชื่อในการขอสิทธิ์สัมปทานเมืองแร่ และอีกจุดหนึ่งเป็นจุดที่ตั้งขึ้นมาเป็นพิเศษที่มีไว้สำหรับลงชื่อเข้าร่วมประมูลสัมปทานเหมืองในพื้นที่วิหารอัมพุพิมานของเหล่าเทวนารี!

ผู้คนคลาคล่ำท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าวแต่ว่าไม่มีใครย่อท้อต่อการต่อแถวลงชื่อ สีหน้าทุกคนเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังที่ผุดขึ้น ยกเว้นก็แต่คณะนักบวชจากวิหารศักดิ์สิทธิ์และองค์อมราวดีเทวนารีที่ยังคงยืนอยู่ในพื้นที่เล็กๆ ของตัวเองข้างลาน ประกาศยืนกรานในสิ่งที่ตัวเองยึดมั่น โดยมีปรมะและปาราวตีพยายามโน้มน้าวให้ทุกคนเปลี่ยนความคิด

“พี่น้องโปรดไตร่ตรองอีกครั้ง การทำเหมืองแร่แม้จะเป็นเหมืองเพชรที่มีมูลค่ามหาศาล แต่เหมืองจะทำให้วิถีชีวิตเราเปลี่ยนไป บ้านเรือนเราถูกเวนคืน แม้แต่วิหารศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นศูนย์รวมจิตใจก็จะถูกทำลายลงไป แม้แต่บ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ก็จะเหือดหายไปจนหมดสิ้น ทุกท่านได้โปรดทบทวน เราจะปล่อยให้บ้านของเราถูกยึดทำลายไปอย่างนี้หรือ”

“ปาราวตี เธอมองในแง่ร้ายเกินไปหรือเปล่า”

หญิงชาวบ้านที่แก่กว่าปาราวตีไม่มากเดินมาหาพร้อมกับลูกสาวตัวผอม เครื่องแต่งกายเนื้อหยาบและส่าหรีผืนเก่าที่ห่มจนสีซอมซ่อเอ่ยแย้งขึ้น เจ้าตัวคารวะอาจารย์เทวนารีอย่างนอบน้อมในยามอธิบายเสียงอ่อนล้า

“วิหารศักดิ์สิทธิ์กินพื้นที่เกือบร้อยไร่บนเขา อย่างไรทางการก็คงไม่ได้ทุบทำลายไปทั้งหมด ฉันไปลงชื่อมาแล้ว พวกเจ้าหน้าที่เขายืนยันว่าชาวบ้านเราจะได้สัมปทานกันทุกคน แค่ขุดเจอเพชรสักเม็ดหนึ่ง ฉันก็คงมีเงินเลี้ยงลูกไปจนโตได้”

“ทุกอย่างมันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก เธอคิดถึงแต่ทางได้ แต่ถ้าเกิดว่าเหมืองมีการใช้สารพิษในดินก็จะมีพิษ น้ำในแม่น้ำอัมพุก็อาจจะเอามาใช้มากินไม่ได้ แล้วเราจะอยู่กันยังไง”

“ราชินีจะสร้างเขื่อนด้วยไม่ใช่หรือ ยังไงเราก็จะมีน้ำกินน้ำใช้แน่นอน”

หญิงชาวบ้านคนนั้นยังยืนยันด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความหวัง

“เราต้องกินต้องใช้น้ำเพื่อยังชีพก็จริง แต่พวกเราก็ต้องการเหมืองเพชรเพื่อทำมาหากินเลี้ยงชีวิตด้วยเหมือนกัน ฉันอยากให้ลูกมีชีวิตที่ดีขึ้น หวังว่าเธอจะเข้าใจพวกเราบ้าง”

ปาราวตีได้แต่หันกลับไปทางอาจารย์อมราวดีที่ยังคงนั่งนิ่งด้วยสายตาที่ยากจะอ่านออก นับตั้งแต่ที่พวกตนออกมายืนประกาศเจตจำนงตรงนี้ มีชาวบ้านหลายคนที่ผ่านไปแล้วเอ่ยขออภัยที่ต้องร่วมลงชื่อกับโครงการ เพราะรู้ดีจำนวนรายชื่อชาวบ้านในวันนี้ คือสิ่งชี้เป็นชี้ตายว่าวิหารศักดิ์สิทธิ์จะอยู่หรือไป

“ทำไมทุกคนถึงไม่นึกบ้างว่า ตอนที่ได้รับยารักษาโรค หรือแม้แต่ตอนที่ตัวเองมีทุกข์แล้วมาพึ่งพาวิหาร เราก็ช่วยทุกครั้ง แต่ตอนนี้ทำไมถึงทำแบบนี้กันได้”

คามินบ่นขึ้นกับปรมะที่เคยฝึกเป็นผู้พิทักษ์ด้วยกันมา แต่ปรมะที่ออกไปเจอโลกกว้างมามากกว่าได้แต่เอ่ยตอบเพื่อนไปอย่างขมขื่นใจ

“ไม่มีใครทำเพื่อคนอื่นมากกว่าตัวเองหรอก สุดท้ายพอถึงเวลาที่จะต้องเลือกจริงๆ เราก็ต้องยอมตัดบางอย่างทิ้งไป”

“เราคือตัวเลือกที่ถูกตัดทิ้งงั้นสิ”

“ก็เห็นๆ กันอยู่…สวดมนต์ขอพรเห็นผลชาติหน้า ทำเหมืองขุดเพชรเห็นผลชาตินี้”

ปรมะว่าพลางถอนใจอย่างหมดหวังไปแล้ว หากองค์อมราวดียังคงไม่ยอมแพ้

“ที่ทุกคนพูดมาก็ไม่ผิด”

องค์เทวนารีเอ่ยพลางก้าวออกมาอย่างตัดสินใจเด็ดขาด เธอจะไม่ยอมให้วิหารถูกทำลายด้วยน้ำมือของราชินีชโลธร ไม่มีวันอย่างเด็ดขาด!

นายทหารที่ยืนรักษาความปลอดภัยอยู่ก้าวออกมากั้นไม่ให้อาจารย์อมราวดีเข้าไปในเต็นท์เจ้าหน้าที่ คามินและปรมะเองก็เข้ามาขวางไม่ให้ใครมาแตะต้องเทวนารีได้เช่นกัน ต่างฝ่ายต่างหยั่งเชิงซึ่งกันและกัน ก่อนที่องค์อมราวดีจะเอ่ยเสียงกังวานให้ทุกคนในลานได้ยินพร้อมกัน

“หากใต้แผ่นดินนี้มีเพชรอยู่จริง ทุกคนก็ย่อมปรารถนาที่จะได้มาเพื่อเปลี่ยนชีวิตตัวเอง เพียงแต่…เราจะขอเก็บรักษามันไว้ให้ลูกหลานชาวอัมพุในภายภาคหน้าต่อๆ ไป หากวันใดที่บ้านเมืองไร้หนทาง สมบัติในแผ่นดินก็จะเป็นดั่งรากฐานคอยค้ำจุนช่วยเหลือ เป็นสมบัติของชาติสืบไป เพียงแต่…ไม่ใช่วันนี้”

องค์เทวนารีชูมือขึ้นทั้งสองข้างก่อนจะหันหน้าไปยังทิศที่วิหารตั้งอยู่ ก้มแสดงคารวะอย่างเต็มพิธี แล้วค่อยถอดกำไลข้อมือวงใหญ่ของตนออก ถอดสลักจนเผยให้เห็นม้วนผ้าไหมลวดลายประณีตที่อีกด้านหนึ่งคือข้อความที่พิมพ์ไว้พร้อมประทับตราพระราชลัญจกรของสมเด็จพระราชาธิบดีที่สิ้นรัชกาลไป

“สมเด็จพระราชาธิบดีที่ 5 แห่งสินธุรัฐ ทรงมีปรารถนาสุดท้ายที่จะให้ภูเขาอัมพุเมธาเป็นอนุสรณ์ของพระองค์และพระชายาเมธาสินี ทรงมีพระราชหัตถเลขาไว้อย่างชัดเจน

ห้ามมิให้ผู้ใดเข้ามายึดครอง ทำลาย หรือรบกวนหอคอยอันเป็นที่ประทับของทั้งสองพระองค์ในยามหลับใหลเป็นครั้งสุดท้าย โดยให้เทวกุมารีมิรามาลินทร์เป็นผู้ดูแลรักษามิให้ตกแก่ผู้ใด…

ซึ่งหอคอยที่ว่านั้นก็อยู่ภายในวิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ เรา…อมราวดีเทวนารีผู้ดูแลพื้นที่แห่งนี้ จึงขอให้ทหารนำพระพินัยกรรมนี้ไปถวายให้ราชินีชโลธรที่อาจจะไม่ทรงทราบมาก่อน และขอให้ยุติความคิดรุกล้ำทำลายวิหารนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป”

พระอาจารย์เทวนารีชูผ้าอันมีพระราชหัตถเลขาและตราประทับลัญจกรของสมเด็จพระราชาธิบดีให้กับทุกคนได้เห็น และยิ่งเกิดเสียงฮือฮามากยิ่งขึ้นเมื่อผู้ครองอำนาจแห่งวิหารประกาศกร้าว

“และใครที่ลงชื่อ ขอสัมปทานเหมืองในพื้นที่วิหารอัมพุพิมาน จะถือว่าเป็นผู้มีความคิดรุกล้ำทำลาย จะถูกห้ามเข้าวิหารอีกต่อไป!”

 

มิรามาลินทร์สะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงปืนดังขึ้นด้านนอกวิหาร ก่อนที่อีกไม่กี่อึดใจถัดมาก็มีมืออบอุ่นคู่หนึ่งเข้ามากุมมือเธอไว้พลางเอ่ยปลอบใจ

“ไม่เป็นไร… เสียงมาจากข้างหน้าลานทางเข้าวิหาร เธอรออยู่ที่นี่ ห้ามออกไปจากหอสวดมนต์เด็ดขาด เดี๋ยวเราไปดูเอง”

“ระวังพระองค์ด้วยนะเพคะ”

“ไม่ต้องห่วง เราไปแป๊บเดียว”

รับสั่งพลางเสด็จทันที มิรามาลินทร์จึงได้แต่คอยเงี่ยหูฟังเสียงอึกทึกที่ดูเหมือนจะยิ่งใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งได้ยินสุรเสียงเข้มตะโกนสั่งเด็ดขาด

“ใครกล้าก้าวเกินเสาต้นนี้เข้ามา เราจะถือว่ากำลังคิดร้ายต่อกุมารีและเรา ถอยไป!”

“ทรงเป็นเพียงเจ้าชายต่างแดน อย่ายื่นมือมายุ่งกับเรื่องในบ้านของสินธุรัฐดีกว่า”

“เราเตือนแค่ครั้งเดียว ถ้าก้าวเข้ามา จะได้เห็นว่าเจ้าชายต่างแดนทำอะไรได้บ้าง”

แค่ประโยคนี้มิรามาลินทร์ก็พอจะเดาพระพักตร์ได้ว่าน่าดูชมเพียงไร สงสารก็แต่คนเหล่านั้น ที่ยังไม่รู้ถึงชะตากรรมตัวเอง

“ทรงข่มขู่ประชาชน เทวนารีก็รังแกประชาชน เสียแรงที่เคยศรัทธา ขวางความเจริญ”

เสียงก่นด่า สาปแช่งที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมาจากชาวบ้านที่เคยนับถือและศรัทธาเทวนารีเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ทำให้จอมพลตุลธรฯ ทรงให้สัญญาณทหารประจำพระองค์มาผลักดันคนออกไป ก่อนจะรีบเสด็จเข้าไปในวิหารเทพอีกครั้ง

“คิดจะฮุบเหมืองเพชรไว้คนเดียวใช่ไหม อ้างพระราชาองค์เก่า เพื่อไม่ให้พวกเราทำเหมือง แต่จริงๆ แล้วหวงไว้ทำเอง”

“พวกนักบวชวิหารจะรวยคนเดียวหรือไง กล้าไล่พวกเรา ทำไมไม่ไล่ตัวเองบ้าง”

“ไม่ใช่พวกเราที่ต้องถูกห้าม พวกเทวนารีต่างหากที่ต้องออกจากวิหารไป!”

“ออกไป ออกไป พวกเห็นแก่ตัว!”

เสียงตะโกนขับไล่ดังก้องไม่หยุด และไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงง่ายๆ เจ้าชายตุลธรจึงทรงรีบพาเธอออกไปจากหอสวดมนต์

“ออกไปจากที่นี่ก่อน ตอนนี้ทหารของเรากับผู้พิทักษ์ช่วยกันกันชาวบ้านไว้ แต่คงได้ไม่นาน”

“จะให้หม่อมฉันไปไหนเพคะ แล้วท่านอาจารย์ล่ะเพคะ”

“คามินพาท่านอาจารย์ออกไปแล้ว เราเลยมาพาเธอตามไป”

คราวนี้มิรามาลินทร์ไม่อิดออดและยอมให้มือแข็งแกร่งคู่นั้นนำพาเธอไป โดยที่ไม่รู้เลยว่าการไปครั้งนี้ปลายทางจะเป็นที่ใด หากสังหรณ์บางอย่างเตือนย้ำอยู่ลึกๆ ในใจ การไปครั้งนี้อาจจะไม่ได้กลับมาอีกเลย

 

“หยุด!”

เสียงตะโกนห้ามก่อนที่รถยนต์พระที่นั่งของเจ้าชายรัชทายาทแห่งสินธุรัฐจะขวางอยู่กลางถนนทำให้ขบวนรถของเจ้าชายตุลธรธิบดีที่กำลังเสด็จข้ามชายแดนกลับประเทศศิขราชต้องพลอยจอดตามไปด้วย ก่อนที่เจ้าธัชธาราพระรัชทายาทจะรีบเสด็จมาหาด้วยพระพักตร์ที่กริ้วจัด เพราะนอกจากอีกฝ่ายจะไม่ยอมให้มิรามาลินทร์และเทวนารีลงจากรถแล้ว องค์จอมพลยังทรงสั่งเสียงเข้มที่แปลความหมายได้อย่างเดียวคือ ห้ามปฏิเสธ

“ถ้าจะคุย ก็เข้ามาคุยในรถ หรือไม่ก็เสด็จไปชายแดนศิขราช หม่อมฉันจะถวายการต้อนรับเป็นอย่างดี”

“คุยตรงนี้ เดี๋ยวนี้!” องค์รัชทายาทรับสั่งก่อนจะเสด็จเข้ามาในรถอย่างไม่รอช้า พลางมองสำรวจความปลอดภัยของกุมารีและท่านอาจารย์

“จะทรงพามิรามาลินทร์และอาจารย์เทวนารีไปไหน”

“กลับศิขราช หม่อมฉันกับพระคู่หมั้นทำพิธีล้างศีลเรียบร้อยแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ที่นี่อีก”

“ไม่ได้”

“หม่อมฉันไม่จำเป็นต้องขออนุญาต” รับสั่งเสียงแข็งไม่แพ้พระเนตรที่สาดประกายกล้าอย่างไม่ยอมลดราวาศอกให้ จนมิรามาลินทร์ต้องเอ่ยขัดขึ้นเสียก่อน

“พระทัยเย็นๆ กันก่อนทั้งสององค์เลยเพคะ หม่อมฉันเล่าถวายเอง…วันนี้ชาวบ้านบุกไปที่วิหารและขับไล่อาจารย์เพคะ น่าจะเกิดเรื่องจากที่ทางการเปิดให้ลงชื่อขอสัมปทานเหมืองแร่กันวันนี้”

“ชาวบ้าน?”

“เพคะ ทุกคนอยากให้มีเหมืองแร่ วิหารเทพและศรัทธาไม่จำเป็นสำหรับพวกเขาอีกต่อไปแล้ว
เพคะ”

“ไม่น่าเชื่อ”

“เพคะ แต่…ทุกอย่างเป็นความจริง”

มิรามาลินทร์เอ่ยพลางทอดถอนใจ ในขณะที่อาจารย์เทวนารีไม่มีสิ่งใดที่จะเอ่ยอีก ความผิดหวังที่ถาโถมและยังตกใจกับความรุนแรงที่เกิดขึ้นจนต้องหนีเอาชีวิตรอดไม่ต่างจากคราวที่ทหารของนายพลชาตรีกลุ้มรุมเพื่อจับตัวพวกตนเลย เพียงแต่ตอนนี้สภาพจิตใจย่ำแย่หนักกว่าเพราะคนที่ทำร้ายคือคนที่เคยยื่นมือให้ความช่วยเหลือด้วยเมตตานับสิบๆ ปี

“หม่อมฉันเห็นพ้องกับเจ้าชายตุลธรที่จะพาเราหลบไปตั้งหลักที่ค่ายจตุรทิศก่อนเพคะ แล้วค่อยกลับมาจัดการเรื่องวิหารอีกครั้ง”

“แต่พี่ไม่เห็นด้วย” เจ้าชายธัชธาราทรงค้านและทำท่าว่าจะต่อความยาว จอมพลตุลธรจึงทรงตรัสแทรกด้วยสุรเสียงที่ห้วนจัด พระพักตร์เครียดจัด ทรงเป็นห่วงความปลอดภัยและไม่พอพระทัยอย่างชัดเจนในยามที่รับสั่งต่อ

“ที่หม่อมฉันยอมคุย ทั้งๆ ที่ตอนนี้สถานการณ์ไม่สมควรหยุดรถเลยเสียด้วยซ้ำ แต่หม่อมฉันก็ทำเพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ของสองประเทศ หากทรงต้องการเหตุผล เพื่อให้ทรงสบายพระทัย…ประการแรก เจ้าหลวงภวินทราชทรงมีพระประสงค์จะจัดงานอภิเษกให้สมเกียรติทุกฝ่ายที่สุด พระคู่หมั้นของหม่อมฉันคือเทวกุมารี ดังนั้น พระอาจารย์อมราวดีเทวนารีจะต้องเป็นสักขีพยานฝ่ายปัตนีในพิธีแลกตราพันธาภรณ์ ให้สมฐานะองค์เจ้าหลวงที่ทรงเป็นสักขีพยานฝ่ายปตี

แต่ถ้าหากยังไม่สบายพระทัยอีก หม่อมฉันก็มีเหตุผลประการที่สอง คือ ชาวเมืองอัมพุรวมตัวกันไปประท้วงขับไล่ที่วิหาร และมีท่าทีคุกคามเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยขององค์เทวนารีและมิรามาลินทร์ เกินกว่าที่กำลังของผู้พิทักษ์เพียงหยิบมือจะป้องกันได้ ค่ายจตุรทิศจึงปลอดภัยที่สุดสำหรับองค์เทวนารี แต่สำหรับมิรามาลินทร์…แผ่นดินศิขราชทุกตารางนิ้วปลอดภัยสำหรับเธอ ในฐานะพระชายาปติแห่งเรา!”

จอมพลสมเด็จเจ้าฟ้าแห่งศิขราชทรงเน้นและย้ำทุกคำอย่างหนักแน่น ชัดเจน จนเจ้าชายธัชธาราพระรัชทายาทได้แต่ทอดพระเนตรหญิงสาวที่เคยเติบโตมาด้วยกันอย่างใจหาย หากทุกอย่างล่วงเลยมาเกินกว่าจะกลับไปแก้ไขได้แล้ว แม้จะทรงอยากแก้ไขมากเพียงใดก็ตาม

วรองค์เพรียวผอมเสด็จลงจากรถอย่างอาลัย ก่อนจะหันหลังให้ขบวนรถที่เริ่มมุ่งหน้าสู่ชายแดนศิขราช และเสด็จกลับเข้าไปยังวังหลวงเพื่อทรงหาความกระจ่างทั้งหมดด้วยพระองค์เอง ถึงเวลาแล้วที่จะต้องทรงก้าวออกมาเป็นผู้ปกป้อง ก่อนที่จะต้องสูญเสียสิ่งสำคัญไปอีกครั้ง โดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย



Don`t copy text!