เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 16 : ข้อแม้

เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 16 : ข้อแม้

โดย : ประดับยศ

Loading

เล่ห์พันธาภรณ์ นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย ประดับยศ กับเรื่องราวของ ‘มิรามาลินทร์’ หญิงสาวผู้ถูกเลี้ยงดูมาโดยนักบวชในวิหารเทพ แต่แล้ววันหนึ่งเธอต้องหนีเอาชีวิตรอดเพื่อตามหาบุคคลในคำทำนายที่จะมาช่วยปกป้องวิหาร คนผู้นั้นคือใคร ชีวิตเธอจะเป็นอย่างไร อ่านได้ในเว็บไซต์ anowl.co และเพจ anowldotco

ทันทีที่ขบวนเสด็จของจอมพลสมเด็จพระอนุชาธิราชกลับเข้าเขตชายแดนศิขราช อารัญก็สั่งให้เสริมกำลังทหารที่ชายแดนทันที เหล่าทหารทุกคนต่างโห่ร้องยินดีที่เสด็จกลับมาอย่างปลอดภัย หากที่ทำให้จอมพลตุลธรฯ ทรงตื้นตันในพระทัยคือ วันนี้ทรงมีท่านลุงมาคอยต้อนรับกลับบ้าน

อลินารับหน้าที่คอยดูแลพระอาจารย์เทวนารี ในขณะที่เจ้าชายทรงนำเสด็จพระคู่หมั้นกลับไปยังพระตำหนักกลางค่าย ก่อนจะแยกออกมาพบผู้บัญชาการเตโชที่ตามเข้ามาห่างๆ

“อาการบาดเจ็บเป็นอย่างไรบ้างครับท่านลุง”

“ดีขึ้นมาก อีกไม่กี่วันก็คงกลับไปทำงานได้”

“ผมไม่ให้ท่านลุงไปหน่วยรบพิเศษอีกแล้ว หลังจากนี้ผมจะตั้งเป็นที่ปรึกษา จะได้อยู่กับที่เสียบ้าง”

“ยังดี นึกว่าจะให้ปลดเกษียณ”

บุรุษสูงวัยเอ่ยตอบ ก่อนจะทอดสายตามองไปยังบุคคลที่นั่งอยู่เรือนรับรองด้านใน แม้จะมีความห่วงใยในแววตา หากใจหนึ่งก็รู้จักเพื่อนของตัวเองดี จึงหันกลับมาเตือนหลานชายสูงศักดิ์ด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“คอยจับตาองค์อมราวดีไว้ให้ดี เทวนารีไม่มีทางปล่อยมือจากวิหารเทพง่ายๆ”

“ผมให้ทีมเอกทิศส่งคนไปสอดแนมแล้ว ถ้าทางสินธุรัฐเคลื่อนไหว จะได้จัดการได้ทัน”

“ดีแล้ว ลุงเองสภาพตอนนี้คงช่วยอะไรมากไม่ได้”

“รักษาตัวก่อนครับ ถ้าหายดีเมื่อไหร่ผมมีอะไรให้ช่วยอีกมากแน่ๆ”

“ขอบใจไอ้หลานชาย” เตโชว่าพลางพยักหน้ารับอย่างยินดี ก่อนจะขอแยกตัวออกไปพักที่เรือนส่วนตัว เจ้าชายตุลธรจึงเสด็จกลับเข้ามาในห้องรับรอง พอดีกับที่อารัญเข้ามาถวายรายงาน

“เกล้ากระหม่อมให้คนจัดปีกซ้ายทั้งหมดไว้เป็นที่พักของท่านหญิงมิรามาลินทร์และองค์เทวนารีเรียบร้อยแล้วกระหม่อม”

องค์จอมพลทรงพยักหน้ารับรู้ก่อนจะเสด็จไปประทับพระเก้าอี้ หากพระอาจารย์อมราวดีกลับแย้งขึ้นแผ่วเบา

“ไม่ได้เพคะ…พวกเราต้องกลับมหาวิหารที่มหิศรปุระ”

“วันนี้ทุกคนเหนื่อยกันมาก พักที่ค่ายสักคืนก่อนดีกว่าครับ”

“ต้องขอประทานอภัยที่มิอาจทำได้เพคะฝ่าบาท หม่อมฉันเป็นเทวนารี มิอาจค้างคืนปะปนกับผู้อื่นได้ และยังมีเรื่องร้อนที่ต้องเร่งจัดการ คงต้องรบกวนฝ่าบาท จัดหารถให้หม่อมฉันเถิด”

“ได้ครับ ท่านอาจารย์” ทรงรับปากก่อนจะหันไปให้สัญญาณอารัญที่ถวายคำนับและรีบออกไปจัดการตามพระกระแสรับสั่ง ก่อนจะหันมาทางพระคู่หมั้นที่แม้จะมีอาการเหนื่อยล้าแต่ก็ยังฝืนตนเองให้รักษาอาการเอาไว้

“มิรามาลินทร์ไปพักก่อนดีไหม เราจะให้อลินาไปตรวจอาการที่ดวงตาให้ด้วย”

“หม่อมฉันจะไปพร้อมกับท่านอาจารย์เพคะ”

“ไม่ได้…เธอต้องอยู่ที่นี่”

ทรงค้านเสียงเข้มพระพักตร์ตึงขึ้นทันที แต่มิรามาลินทร์ที่มองไม่เห็นก็ค้านหัวชนฝาเช่นกัน

“แต่หม่อมฉันต้องคอยดูแลอาจารย์ จะปล่อยให้ท่านไปที่มหาวิหารกลางเพียงคนเดียวได้อย่างไร
เพคะ”

“เราอนุญาตให้คามินติดตามองค์เทวนารีไปได้”

“แต่คามินก็ไม่สามารถดูแลท่านอาจารย์ได้เหมือนหม่อมฉัน”

“หยุดเถียงกันที ไม่มีใครตามไปทั้งนั้น”

องค์อมราวดีตัดสินให้อย่างอ่อนใจ ก่อนจะหันไปบอกกับลูกศิษย์ของตน

“อยู่ที่นี่ตามพระประสงค์ของเจ้าชายเถิด อย่างน้อยอาจารย์ก็ไว้ใจเจ้าชายมากกว่าคนในมหาวิหารนั่น”

“แต่ว่าท่านอาจารย์จะไปคนเดียวหรือคะ”

“ไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวจะพาคามินไป”

องค์อมราวดีปลอบใจ หากสีหน้ากังวลยิ่งในยามที่มองหญิงสาวข้างกาย และด้วยสายตานั้นเองที่ทำให้เจ้าชายทรงขันอาสา

“เราจะเป็นคนไปส่งท่านอาจารย์เอง และจะให้ท่านโมราคอยจับตาดูไว้อีกแรง”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท…ไม่ต้องห่วง อาจารย์จะรีบกลับมา”

องค์อมราวดีทูลตอบ พลางหันมาบอกกับหญิงสาวที่นิ่งเงียบไป มือของหญิงสูงวัยแตะมือต่อมืออย่างต้องการถ่ายทอดกำลังใจให้กันได้ดีกว่าคำพูดเป็นล้านคำ

 

รถยนต์พระที่นั่งเคลื่อนตัวออกไปอีกครั้งเพื่อมุ่งหน้าสู่มหิศรปุระ ทว่าบทสนทนาภายในรถกลับยังคงอยู่ที่สินธุรัฐไม่ไปไหน

“หม่อมฉันขออนุญาตกราบทูลตรงๆ ขอให้ทรงถอนหมั้น และคืนตราพันธาภรณ์ให้กับมิรามาลินทร์เสียเถิดเพคะ”

“เหตุผล?”

“มิรามาลินทร์ไม่อาจไปอยู่ที่อื่นได้นอกจากวิหารเทพเพคะ หม่อมฉันจะหาหนทางพามิรามาลินทร์กลับไป”

“ที่นั่นอันตรายมาก หรือท่านอาจารย์มีเหตุผลอื่นอีกที่เราไม่รู้” รับสั่งเสียงหงุดหงิด พลางจ้องท่านอาจารย์เทวนารีตาไม่กะพริบ

“มิรามาลินทร์จะตาบอดไปตลอดชีวิตเพคะ”

“แต่เธอบอกว่า ตาบอดแค่เจ็ดวัน!”

“นั่นก็ต่อเมื่อเธอใช้พลังสะกดกับคนเพียงคนเดียว พอกลับถึงวิหารเทพ หม่อมฉันก็จะปรุงยารักษาให้ ดวงตาก็จะค่อยๆ ดีขึ้นและมองเห็นได้เองภายในเจ็ดวัน”

“ท่านอาจารย์ก็อยู่นี่ ทำไมไม่รักษา”

“เพราะส่วนผสมสำคัญของยาก็คือ น้ำแร่จากแหล่งของภูเขาอัมพุเมธา ซึ่งต้นกำเนิดก็คือบ่อน้ำพุในวิหารศักดิ์สิทธิ์ และยาที่รักษามิรามาลินทร์ครั้งสุดท้ายก็คือที่วิหารนั่น”

“ถ้ารู้ว่ายานั้นสำคัญแล้วทำไมมิรามาลินทร์ถึงไม่มีเก็บเอาไว้อีก”

“เพราะยาไม่สามารถเก็บไว้ได้เกินยี่สิบสี่ชั่วโมงเพคะ ”

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน”

“มิรามาลินทร์กินน้ำแร่ที่วิหารเป็นยามาตลอด ทำให้เมื่อใช้พลังญาณเล็กๆ น้อยๆ ก็จะไม่มีผลกระทบอะไรมาก แต่ครั้งล่าสุดเธอใช้พลังเกินขีดจำกัดไป ทีมล่าของนายพลชาตรีเกือบครึ่งร้อยถูกสะกดทั้งหมด ผลที่ได้รับกระทบจึงคูณเข้าไปอีก เธอต้องได้รับยาทุกวันจนกว่าตาจะมองเห็นเพคะ”

เจ้าชายตุลธรธิบดีทรงนิ่งงันไปกับความจริงที่กระแทกกระทบพระทัย พระพักตร์ซีดจนคล้ายกับคนไร้สติ ความจริงที่เธอเคยเอ่ยบอกราวกับว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่นั้นแว่วเข้ามาในพระกรรณ…ก็แค่มองไม่เห็นไม่กี่วันเพคะ…ทว่าบัดนี้ทรงรู้ชัด ต่อให้กินยาเธอก็ต้องใช้เวลานับปีกว่าจะกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง

“หากราชินีชโลธรทำเหมืองเพชร ต่อให้ละเว้นวิหารเอาไว้ แต่หม่อมฉันกลัวว่าถ้าหากมีการใช้สารเคมีปนเปื้อน หากบ่อน้ำพุมีการเจือปน…ยาก็อาจจะไม่ได้ผล อย่างน้อยหม่อมฉันอยากจะปกป้องวิหารเทพให้คงอยู่นานกว่านี้อีกสักนิด ให้นานพอที่หม่อมฉันจะวางใจว่า ลูกศิษย์ที่หม่อมฉันฟูมฟัก รักดั่งลูกแท้ๆ จะอยู่รอดปลอดภัยได้อย่างหมดกังวล หม่อมฉันจะไม่ยอมให้ใครมาแย่งวิหารเทพไปจากมิรามาลินทร์ หม่อมฉันจะใช้พระพินัยกรรมต่อสู้จนลมหายใจสุดท้ายเพื่อให้วิหารกลับคืนสู่เจ้าของที่แท้จริง”

“พระพินัยกรรมนั่นของจริง?”

“ลายพระหัตถ์และตราประทับพระราชลัญจกรจริงทุกประการ”

“แล้วทำไมถึงยกให้มิรา…” จอมพลตุลธรฯ ทรงค้างคาพระทัย หากยังมิทันได้ตรองตก อาจารย์เทวนารีก็โพล่งออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว แววตาที่มองหยั่งพระเนตรคู่สนทนาลึกซึ้งปรุโปร่ง

“ทรงมีความชอบธรรมที่จะครองวิหารเทพร่วมกับมิรามาลินทร์…”

“แต่เธอล้างศีลแล้ว จะปกครองวิหารได้อย่างไร”

“ถ้าทรงยึดเมืองอัมพุได้ วิหารเทพจะแปรเป็นพระตำหนักหรือไม่ก็สุดแท้แต่พระประสงค์”

“ไม่คิดว่าท่านอาจารย์จะยุให้เราทำสงครามเสียเอง”

องค์จอมพลแห่งศิขราชถึงกับเลิกพระขนงอย่างแปลกพระทัยอย่างแท้จริง แต่ท่านอาจารย์อมราวดีเทวนารีกลับยิ้มอ่อนโยน เมื่อแน่ใจแล้วก็ไม่มีอะไรที่ต้องลังเลอีก

“ไม่ช้าก็เร็วอย่างไรสงครามก็ต้องเกิด ที่ใดมีผลประโยชน์ที่นั่นย่อมมีการแย่งชิง ต่อสู้ สุดท้าย…สงคราม แม้หม่อมฉันมิใช่ญาณเทวี แต่ก็ทำนายได้ว่า ราชินีชโลธรนั่นแหละที่จะนำหายนะมาสู่สินธุรัฐเพราะความโลภที่ไม่สิ้นสุด”

บทสนทนาจบลงพร้อมๆ กับที่รถแล่นเข้าสู่อาณาเขตมหาวิหารกลางแห่งมหิศรปุระ องค์อมราวดี
เทวนารีทรงเอ่ยอำลาอีกครั้ง พร้อมกับฝากฝังสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตไว้ในอุ้งพระหัตถ์

“ทรงใช้ตราพันธาภรณ์ที่มีให้เป็นประโยชน์ หม่อมฉันและผู้พิทักษ์ทุกคนล้วนอยู่ใต้พระกระแสรับสั่ง รวมทั้งชีวิตของมิรามาลินทร์ หลังจากนี้ก็สุดแต่พระเมตตาของพระองค์แล้วเพคะ”

 

แนวอาคารหินอ่อนสีขาวสัญลักษณ์แห่งมหาวิหารกลางที่ยังคงยิ่งใหญ่สะท้อนแสงจันทร์ในยามค่ำคืนนั้น ทำให้รถยนต์พระที่นั่งที่แล่นออกมาเป็นเพียงจุดเล็กๆ ดังเงา ภายในรถที่บัดนี้เหลือเพียงผู้โดยสารคนเดียว ทว่าคนผู้นั้นกลับสามารถกุมอำนาจอันยิ่งใหญ่เอาไว้ด้วยสิ่งเล็กๆ ที่ทรงเคยมองข้ามไป

จอมพลตุลธรฯ ทรงจ้องเข็มกลัดเพชรที่ได้มาครอบครองพร้อมกับพันธะแห่งคู่ชีวิตอย่างครุ่นคิด ทรงรู้แล้วว่าเหตุใดอัตติยะและตระกูลมหิราชจึงต้องการผูกพันธะกับญาณเทวี เพราะในยามที่ทรงช่วยดูแลอาจารย์อมราวดีระหว่างที่อยู่ในมหาวิหาร แค่ทรงเรียกหาคนดูแลอย่างเคยชิน ก็มีคนกลุ่มหนึ่งที่ปราดเข้ามารับคำสั่งโดยตรงกับพระองค์ เพียงเพราะทรงมีเข็มกลัดตราพันธาภรณ์ชิ้นนี้

“ตอนนี้มิรามาลินทร์อยู่ที่ไหนพระเจ้าค่ะ” อัตติยะที่มองเห็นเข็มตราแต่แรก ทูลถามด้วยใบหน้านิ่งขรึมหากแววตาไม่พอใจ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว…เขาพลาดไปที่ปล่อยให้ญาณเทวีหลุดมือ เสียทั้งอำนาจและกำลังคนที่จะต้องถ่ายโอนให้เจ้าของตราบัญชารับไปดูแล

“เราต้องรายงานด้วยหรือ” รับสั่งถามกลับพร้อมปะทะ หากผู้ที่ครองศีลอยู่ตอบกลับด้วยความนิ่ง

“หามิได้พระเจ้าค่ะ เพียงแต่ผู้พิทักษ์เทวาย่อมต้องตามไปคุ้มครองตามกฎพระเจ้าค่ะ”

จอมพลฯ ทรงมองบุรุษในชุดขาวยาวแล้วเลิกขนงอย่างแปลกพระทัย อัตติยะจึงวางอัตตาลงและอธิบายต่ออีกนิด

“ตราพันธาภรณ์ เป็นเครื่องหมายของวิหารเทพ ร้องขอความช่วยเหลือจากมหาวิหารได้เสมอ ข้อเรียกร้องจำกัดตามสีของอัญมณี”

“แล้วถ้าเป็นเข็มกลัดเพชร?”

“ไม่มีข้อจำกัดพระเจ้าค่ะ รวมถึงนักรบเทวา”

เจ้าชายตุลธรธิบดีทรงแปลกพระทัยเล็กน้อย หากบัดนี้เข้าใจชัดเจนขึ้นแล้วว่าทำไมอาจารย์อมราวดีเทวนารีถึงบอกให้เขาทำสงคราม เพราะมีกองหนุนลับอยู่

“ขอบใจที่ให้…คำตอบ” ทรงยกมุมพระโอษฐ์คล้ายยิ้มหากแววพระเนตรสาสมใจยิ่ง

“หวังว่าเราจะได้รับความร่วมมือที่ดีจากท่าน อัตติยะ!”

 

บ้านปีกไม้ขนาดสองชั้นที่ตั้งอยู่ห่างจากค่ายจตุรทิศออกมาหลายกิโลเมตรกลายเป็นที่ที่องค์จอมพลจตุรทิศทรงนับว่าเป็นบ้านอย่างแท้จริง บ้านที่ทรงโหยหาบัดนี้ถูกเติมเต็มด้วยสมาชิกในครอบครัวที่ถูกรับกลับคืนมาแล้วคนหนึ่ง บุรุษสูงวัยที่แม้จะมีอาการบาดเจ็บทางร่างกาย ทว่าสมองกลับแจ่มใส ทอดสายตามองหลานชายคนเดียวอย่างเห็นใจ ดังนั้นแม้ร่างกายจะยังไม่ฟื้นตัวร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ท่านลุงเตโชก็ทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดีต้อนรับขับสู้ให้คนที่เหนื่อยล้าทั้งกายและใจได้มาพักพิงใจในพื้นที่ที่คุ้นเคย

วรองค์สูงล่ำสันเสด็จมาทิ้งองค์ลงโซฟาตัวประจำ ทรงหลับพระเนตรไม่ยอมตรัสอะไรออกมา แต่ผู้ที่เลี้ยงดูกันมาย่อมเห็นถึงข้างใน

“ยังลังเลอะไรอีก” ผู้เป็นลุงเอ่ยพลางยื่นเหล้าพื้นเมืองให้กับคนที่นอนหลับตานิ่งอยู่บนโซฟารับแขกตัวยาว ก่อนที่ตัวเองจะนั่งอีกตัวข้างๆ

“หลานกำลังทำเรื่องเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ”

“ทุกคนมีสิทธิ์เห็นแก่ตัวได้”

“แต่ต้องไม่ใช่สงคราม” รับสั่งเสียงเหนื่อยล้า เพราะทรงรบกับความผิดชอบชั่วดีในพระหฤทัยมาหลายครั้งหลายคราวเต็มที

“ภวินทราชไม่ยอมหรือ”

“ทรงให้อยู่แล้ว” รับสั่งเพียงเท่านั้น หากที่ไม่ทรงเล่าละเอียดคือ องค์เจ้าหลวงทรงกริ้วไม่น้อย เพราะที่ทรงคาดคั้นคือ มิรามาลินทร์มีค่ามากพอที่เขาจะพาชีวิตของชาวศิขราชไปแลกเลยหรือ

“ผู้หญิงเพียงคนเดียวจะทำให้สงครามเกิด ทำให้ประชาชนเดือดร้อน คุ้มแล้วหรือ”

เจ้าชายตุลธรฯ ยังจำแววพระเนตรของพระเชษฐาได้ดี ทรงเป็นเจ้าหลวงที่คิดถึงทุกข์สุขของประชาชนก่อนเสมอ ผิดกับพระองค์ ทรงยังไม่บรรลุธรรมราชา ซ้ำยังเอาแต่พระทัยยิ่ง เพราะในยามทูลตอบ พระพักตร์คมคายของบุรุษชาตินักรบมีรอยยิ้มแตะแต้ม หากแววพระเนตรเหี้ยมเกรียม

“หม่อมฉันไม่ทราบหรอกว่าคุ้มหรือไม่ หม่อมฉันทำเพื่อคนที่หม่อมฉันรัก ไม่เคยคิดสักที และทรงรู้ดีว่าหม่อมฉันสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อคนที่รัก”

เจ้าชายตุลธรฯ ขยับองค์ลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะหันไปรับสั่งกับท่านลุงของตน

“ผมจะจัดทีมจู่โจมสองทีม บุกเข้าสินธุรัฐในวังกับในตึกบัญชาการ และต้องปิดภารกิจให้สำเร็จภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง เพื่อไม่ให้ยืดเยื้อจนกลายเป็นสงคราม”

“แล้วกำลังเสริม?”

“พร้อมครับ ผมเข้าเฝ้าด่วนวันนี้ เจ้าหลวงก็ทรงเตรียมร่างแถลงการณ์และกฎอัยการศึกไว้แล้ว รามิลจะคุมหน่วยรบรหัสดำเข้าพื้นที่ทันทีหากผมไม่กลับภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง”

“ทรงตามใจกันแบบนี้” เตโชบ่นสองพี่น้อง หากก็ยังคงให้คำแนะนำอย่างรอบคอบ

“คัดเฉพาะหน่วยลับไป ให้อารัญอยู่เป็นกำลังเสริมกับทีมรามิลดีกว่า”

“หลานขอหน่วยลับสักยี่สิบนาย ท่านลุงคัดมาได้เลย”

“ได้ เดี๋ยวลุงจัดการให้”

“ผมฝากแจ้งท่านลุงโมราด้วย ให้จัดคนไปคอยดูทางมหิศรปุระ ถ้าทางนั้นแข็งข้อหลังจากที่ผมยึดอัมพุได้ก็ให้ขอกำลังเสริมจากเจ้าหลวงได้เลยครับ ผมมอบรหัสลับของมหาวิหารไว้ให้แล้ว” จอมพลรับสั่งพลางแตะที่เข็มกลัด และย้ำกับลุงของตน

“ให้พาอาจารย์อมราวดีและมิรามาลินทร์ไปด้วยเท่านั้น แผนถึงจะสมบูรณ์ครับ”

“ขอให้แผนสำเร็จ เพราะเธอกำลังทำเพื่อคนอีกหลายคนรวมทั้งชาวศิขราชด้วย เจ้าหลวงภวินทราชถึงทรงยอมอนุมัติ”

“ขอบคุณสำหรับคำปลอบใจครับ”

“จบภารกิจแล้วกลับมาให้ครบทุกคนให้ได้!”

“รับทราบครับ ท่านผอบอ!”

องค์จอมพลทรงรับคำสั่งพลางยิ้มรับคำอวยพรนั้นอย่างแข็งขัน ก่อนจะหยิบแก้วเหล้าขึ้นมาชนแล้วดื่มรวดเดียวจนหมด…ภารกิจรบของทีมหน่วยลับนั้นอันตรายยิ่ง แต่ก็ช่วยลดความสูญเสียได้จำนวนมาก ในเมื่อเขาเลือกที่จะปกป้องสิ่งสำคัญของตนเอง ดังนั้น เขาก็จะทำทุกวิธีเพื่อปกป้องทุกชีวิตด้วยสองมือของเขานี่แหละให้ได้!



Don`t copy text!