เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 17 : ความเป็นจริง

เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 17 : ความเป็นจริง

โดย : ประดับยศ

Loading

เล่ห์พันธาภรณ์ นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย ประดับยศ กับเรื่องราวของ ‘มิรามาลินทร์’ หญิงสาวผู้ถูกเลี้ยงดูมาโดยนักบวชในวิหารเทพ แต่แล้ววันหนึ่งเธอต้องหนีเอาชีวิตรอดเพื่อตามหาบุคคลในคำทำนายที่จะมาช่วยปกป้องวิหาร คนผู้นั้นคือใคร ชีวิตเธอจะเป็นอย่างไร อ่านได้ในเว็บไซต์ anowl.co และเพจ anowldotco

ในช่วงอาทิตย์นี้ค่ายจตุรทิศยังคงเต็มไปด้วยเสียงอึกทึกและมีชีวิตชีวามากขึ้นเมื่อสองพี่น้องอารัญและอลินากลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง ภายในห้องรับรองของอีกฟากหนึ่งที่มิรามาลินทร์อยู่นั้นจะมีอลินาที่เป็นผู้ดูแลหลักทั้งเรื่องจัดหาเสื้อผ้าที่เลือกเป็นชุดกระโปรงยาวบานแบบพื้นเมืองของชาวศิขราชและผ้าคลุมพาดไหล่ ข้าวของเครื่องใช้ รวมไปถึงอาหารการกินที่ถูกสั่งไว้อย่างเข้มงวด…พระชายาปติไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ดังนั้นวันนี้จึงมีซุปดอกกะหล่ำที่หอมกลิ่นเครื่องเทศและพริกใหญ่ผัดเสิร์ฟมาในหม้อดินใบเล็กๆ พร้อมกับชากุหลาบหอมชื่นใจ

มิรามาลินทร์ที่แม้อาการจะไม่ดีขึ้นสักเท่าไร แต่ก็พอมองเห็นรางๆ ได้เป็นบางครั้งคราวหลังจากที่เธอได้รับยาที่ท่านอาจารย์ส่งจากมหาวิหารกลางมาให้ทดลองทุกเช้า หญิงสาวนั่งรับประทานอาหารอย่างช้าๆ ในขณะที่เงี่ยหูฟังอลินาและอารัญที่อาสามานั่งรับประทานเป็นเพื่อน แต่กุมารีกลับคิดว่าสองคนนี้แค่อยากมาหาเพื่อนคุยเสียมากกว่า หรือไม่ก็คงได้รับคำสั่งให้มารายงานความเคลื่อนไหวเธอแบบเนียนๆ

“ตั้งแต่จอมพลเสด็จกลับมาค่ายคราวนี้ทรงดุมากขึ้นกว่าเดิม พวกทหารกลัวกันหัวหด เมื่อก่อนยังทรงคุยเล่นเฮฮา แต่เดี๋ยวนี้เงียบไปเลย ไม่รู้ทำไม” อารัญพูดไปกินไป จนคนเป็นน้องขี้เกียจจะบ่นเรื่องมารยาท เมื่อเห็นว่าพระชายาไม่ถือสาเธอจึงตอบไปเรื่อยๆ

“ทรงเครียดมั้ง ชายแดนอัมพุสถานการณ์ย่ำแย่ซะขนาดนั้น”

“จะโทษใครได้ก็ทำตัวเองทั้งนั้น ตั้งแต่วิหารเทพไม่มีคนคุ้มครอง ราชินีชโลธรก็สบายเลย นายพลชาตรีติดคุกหลอกอยู่เจ็ดวัน ตอนนี้ออกมายึดวิหารเรียบร้อยแล้ว ชาวบ้านก็ถูกไล่ที่ไปหมด”

“มิน่า หลายวันมานี้เห็นชาวบ้านอพยพมาฝั่งศิขราชเยอะผิดปกติ”

“จอมพลทรงเห็นแก่ท่านหญิง มิเช่นนั้นคงปิดตายชายแดนไปแล้วครับ”

อารัญว่าพลางหันไปพูดกับมิรามาลินทร์ตรงๆ

“เจ้าชายเสด็จมหาวิหารกลาง ทรงไปปรึกษาท่านอาจารย์เทวนารีทุกวัน สถานการณ์ชายแดนก็ตึงเครียดมาก ท่านหญิงคงไม่ได้น้อยใจใช่ไหมครับที่เจ้าชายไม่ได้เสด็จมาหาเลย”

“เราเข้าใจดี”

“ช่วงนี้สถานการณ์วุ่นวาย เจ้าชายทรงกำชับมิให้ท่านหญิงไปไหนลำพัง พวกผมเลยอาสามาอยู่เป็นเพื่อนแทนครับ”

“ทรงห้ามไม่ให้เราไปไหนเลยต่างหาก”

มิรามาลินทร์ตอบชี้แจงให้ถูกต้อง เพราะขนาดเธออยากจะไปพบอาจารย์ที่มหาวิหารกลางก็ยังไม่สามารถไปได้ ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยที่เจ้าชายทรงกำชับมา แต่จากที่แอบได้ยินได้ฟังนั้นเหตุผลหลักก็คือ นักรบเทวาของมหาวิหารกลางและหน่วยรบพิเศษของเจ้าชายทรงมีประชุมร่วมกันอยู่หลายครั้งแล้วหลังจากที่นายพลชาตรีกลับมามีอำนาจอีกครั้ง และตอนนี้เมืองอัมพุก็แทบจะมีแต่ทหารหน่วยรบกล้าตายของนายพลชาตรีตรึงแนวชายแดนสินธุรัฐไว้ เพราะชาวบ้านที่หลงไปลงชื่อในครั้งนั้น ตอนนี้ถูกลายเซ็นตัวเองไล่ออกจากบ้าน ใครขัดขืนถูกจับทั้งหมด ก็เลยทรงกลัวว่าเธอจะถูกจับเข้าด้วยอีกคน ถึงได้ทรงขังเธออยู่ในค่ายนี้แทน

“เข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว เราไม่เคยห้ามสักหน่อย”

สุรเสียงเข้มรีบรับสั่งแก้ตัว ก่อนเสด็จเข้ามาในห้องรับประทานอาหารและประทับแทนที่อารัญที่ลุกถอยออกไปอย่างรวดเร็วทั้งสองพี่น้อง เปิดโอกาสให้เจ้านายของตัวเองอธิบายได้อย่างเต็มที่

“หม่อมฉันอยู่ที่นี่มาจะครบอาทิตย์แล้วเพคะ นอกห้องบรรยากาศเป็นยังไง ยังไม่เคยได้สัมผัสเลย”

“จะไปไหนล่ะ”

“มหาวิหารกลาง หม่อมฉันอยากไปหาอาจารย์เพคะ”

“ตอนนี้คงไม่ได้”

รับสั่งพลางทอดพระเนตรหญิงสาวอย่างสะท้อนพระทัย น้ำเสียงที่แผกไปทำให้มิรามาลินทร์ยิ่งสงสัย หญิงสาวหลับตาลงตั้งสมาธิแน่วแน่ก่อนจะลืมตาขึ้นใหม่ คราวนี้มองเห็นพระพักตร์คมเข้มได้รางๆ ทว่าวูบเดียวก็พร่ามัวมืดลงดังเดิม หากเพียงแวบเดียวแต่เธอก็มองเห็นแววพระเนตรเหนื่อยล้าและแฝงแววแห่งความเคร่งเครียดตลอดเวลาคล้ายกับกำลังลังเลอะไรบางอย่างอยู่

“ทรงห้ามหม่อมฉันทุกที ขอเหตุผลด้วยเพคะ”

“ไม่มี…”

“ทรงเตรียมจะทำสงคราม?”

“นี่ใช้ญาณเหรอ!”

สีพระพักตร์ฉายแววกังวลเป็นอย่างมาก ทรงตกพระทัยเรื่องนั้นมากกว่าเรื่องที่เธอเอ่ยขึ้นมาเสียอีก มิรามาลินทร์ถอนใจเบาๆ ก่อนจะทูลตอบ

“หม่อมฉันจะใช้เนตรญาณได้อย่างไรเพคะ แค่ลองเดาดูเท่านั้น”

“แล้วทำไมเดาถูก”

“เพราะอาจารย์คงไม่ยอมปล่อยมือจากวิหารเทพ ท่านยอมมากับฝ่าบาทเพราะต้องการมาร้องขอกำลังจากนักรบเทวาของตระกูลมหิราช และนักรบเทวาจะทำการโดยพลการไม่ได้หากพระองค์ไม่ทรงยินยอมให้ข้ามชายแดนไป เพียงแต่หม่อมฉันไม่เข้าใจ…เหตุใดทรงยอมฟังท่านอาจารย์”

เจ้าชายตุลธรธิบดีทรงทอดถอนพระปัสสาสะราวกับทุกข์หนักหนา มิรามาลินทร์จึงค่อยเอื้อมมือเรียวบอบบางแตะพระปรางพลางเอ่ยเสียงวิงวอน

“หม่อมฉันไม่ปรารถนาสงคราม ชาวเมืองอัมพุเดือดร้อนมากพอแล้วเพคะ เหตุใดจึงจะทรงซ้ำเติมพวกเขาอีก”

“เพราะไม่มีวิธีอื่นแล้ว”

“สงครามมีแต่ความสูญเสีย เราสองประเทศก็ผูกสัมพันธ์กันมานาน หม่อมฉันไม่เห็นเหตุผลใดที่จะเป็นเหตุแห่งสงครามเลย ทรงตั้งใจจะทำอะไรกันแน่เพคะ”

“เธอไม่จำเป็นต้องรู้”

พอได้ฟังคำตอบมิรามาลินทร์ก็ถึงกับชะงักไป ก่อนจะหลับตาลงตั้งสมาธิให้มั่นอีกครั้งแม้จะเริ่มแสบดวงตาขึ้นมาแปลบๆ เสี่ยงอยู่บ้างแต่เธอก็ต้องลอง

“เพราะหม่อมฉันหรือเพคะ” กุมารีเอ่ยถามพลางลืมตามองตรงลึกเข้าไปในพระเนตรคมเข้มคู่นั้นที่ตกตะลึงกับคำถามอยู่เช่นกัน แค่เพียงไม่กี่วินาทีทุกอย่างก็กระจ่างแก่ใจ ทั้งเหตุผลทุกอย่างของอาจารย์และความในใจขององค์จอมพลจตุรคีรีแห่งศิขราช

“เพราะหม่อมฉัน…”

แววตาที่หมองลงคล้ายกับผิดหวังบางประการของหญิงสาวทำให้เจ้าชายตุลธรเลือกที่จะปฏิเสธ พลางรู้สึกไม่สบายพระทัยนักที่มิรามาลินทร์เอ่ยถึงตัวเองด้วยน้ำเสียงราวกับคนที่กำลังรู้สึกผิดบาปร้ายแรง

“ไม่ใช่…”

“หม่อมฉันอยากไปหาท่านอาจารย์”

“ยังไปไม่ได้”

“แล้วหม่อมฉันจะไปได้ตอนไหนเพคะ”

“รอให้ทุกอย่างเรียบร้อยกว่านี้ เราจะพาไปเอง”

คำตอบที่ได้รับนั้นทำให้หญิงสาวยิ่งผิดหวังในใจ หากยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ

“หม่อมฉันอยากพบคามิน”

“พบทำไม”

“หม่อมฉันไร้อิสระแม้แต่จะพูดคุยกับเพื่อนหรือเพคะ”

“ไม่ใช่อย่างนั้น …” รับสั่งไปแล้ว แต่ก็ไม่รู้จะทรงอธิบายเหตุผลเช่นไรได้ จึงได้แต่ทรงรับปากเสียงแผ่ว

“พรุ่งนี้เราจะให้คามินมาพบแต่เช้า”

“ขอบพระทัยที่ยังทรงเมตตากันอยู่บ้างเพคะ”

“อย่าประชดเรา!” ทรงปรามขึ้นอย่างเหลืออด หากหญิงสาวก็เถียงกลับทันควันเช่นกัน

“หม่อมฉันถูกขังอยู่ในความมืดอย่างเดียวก็พอแล้วเพคะ ไม่ต้องทรงขังหม่อมฉันด้วยวิธีการอื่นใดอีก”

“มิรามาลินทร์!” สุรเสียงดุขึ้นอีกครั้งและดังกว่าเดิม หญิงสาวจึงเงียบก่อนจะลุกขึ้นและเดินหนีกลับเข้าห้องพักของตนไป หากเพราะความโกรธจึงไม่ได้ระวังตัว สะดุดขาเก้าอี้ล้มลง คราวนี้พระหัตถ์ไม่เพียงเอื้อมประคอง หากทรงกอดร่างแบบบางไว้ในอ้อมพระพาหา ไออุ่นแผ่ซ่านผ่านอ้อมพระอุระสู่แผ่นหลังอ่อนแอของหญิงสาวที่แม้อยากจะพิงใจพักลงตรงนี้มากเพียงใด หาก…เธอไม่อาจเห็นแก่ตัวเองเพียงคนเดียวได้

“เราขอโทษ…”

สุรเสียงห่วงใยหนักหนา พระหทัยคล้ายกับถูกเฉือนเมื่อเห็นผู้เป็นดั่งลมหายใจต้องเจ็บตัวเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง ซ้ำเรื่องที่เกิดก็ยิ่งตอกย้ำ…มิรามาลินทร์จะตกอยู่ในสภาพนี้ตลอดไปหากพระองค์ไม่ทำอะไรสักอย่าง

“เราอย่าทะเลาะกันแบบนี้เลย…ได้ไหม”

คำตอบที่อยู่ในใจของหญิงสาวไม่อาจเอ่ยออกมาให้ทรงรับฟังได้ เพราะดูเหมือนว่าทรงไม่เหลือทางเลือกอะไรให้เธอได้ตัดสินใจอีกแล้ว มิรามาลินทร์ปล่อยให้อ้อมพระกรแข็งแกร่งโอบกอดถ่ายทอดความในใจที่มีต่อกันเป็นครั้งสุดท้าย แม้จะรู้ดีว่าอ้อมกอดนี้อบอุ่นเพียงใด หากเส้นทางที่เลือกต่างกัน ก็คงยาก…ที่จะร่วมเดินเคียง

 



Don`t copy text!