
เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 18 : ทางรอดเดียว
โดย : ประดับยศ
เล่ห์พันธาภรณ์ นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย ประดับยศ กับเรื่องราวของ ‘มิรามาลินทร์’ หญิงสาวผู้ถูกเลี้ยงดูมาโดยนักบวชในวิหารเทพ แต่แล้ววันหนึ่งเธอต้องหนีเอาชีวิตรอดเพื่อตามหาบุคคลในคำทำนายที่จะมาช่วยปกป้องวิหาร คนผู้นั้นคือใคร ชีวิตเธอจะเป็นอย่างไร อ่านได้ในเว็บไซต์ anowl.co และเพจ anowldotco
อากาศที่เย็นลงตามแสงอาทิตย์ที่ราแรงไปทำให้ห้องเครื่องเน้นทำอาหารประเภทซุปผักเป็นเมนูหลักสำหรับมิรามาลินทร์ หากวันนี้หญิงสาวปฏิเสธไม่ให้ใครเข้ามากวนใจระหว่างมื้ออาหารเด็ดขาด เพราะสิ่งที่ตนเองรับรู้มาทำให้จิตใจไม่อาจสงบลงได้ เธอต้องการปกป้องวิหารก็จริง หากไม่ต้องการให้เกิดความสูญเสียโดยเฉพาะกับสินธุรัฐ หญิงสาวหวนกระหวัดถึงคนที่เคยผูกพันกันมา หนทางเดียวที่จะลดความรุนแรงลงได้คงมีวิธีเดียว
หญิงสาวฝืนตัวเอง ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะหยิบแก้วรินน้ำให้ตนเอง เธอต้องติดต่อคามิน!
เพล้ง! เสียงแก้วที่ร่วงแตกทำให้พยาบาลที่เฝ้าหน้าห้องรีบถลาเข้ามา ก่อนจะตกใจจนหน้าซีดเรียกหาหมออลินากันเร่งร้อนเมื่อพระชายาปติ ถูกแก้วบาดมือจนได้เลือด
หากคนที่เข้ามาก่อนหมอคือวรองค์สูงที่กำลังทรงงานอยู่อีกฟากหนึ่ง หากพอรู้ข่าวก็แล่นมาก่อน
“มิรา เป็นอะไร!”
“ไม่ ไม่เป็นไรเพคะ หม่อมฉันซุ่มซ่ามเอง”
“ทำไมเลือดออกไม่หยุด”
เจ้าชายทรงหันไปดุอลินาที่กำลังห้ามเลือดแต่ยังไม่เป็นผล จนอีกฝ่ายหน้าเริ่มซีดทั้งหมอและคนไข้
“ทำอย่างไร ทำไมเป็นแบบนี้” องค์จอมทัพที่ทรงเห็นเลือดมามากมาย หากไม่เคยมีครั้งไหนที่บีบพระทัยพระองค์มากเท่านี้ ยิ่งเมื่อเห็นดวงหน้าเรียวเล็กซีดเผือดก็ยิ่งกังวลกลัวไปสารพัด อุ้งหัตถ์ร้อนผ่าวเกาะกุมมือเล็กแทนอย่างห่วงใยจนเจ้าตัวต้องเอ่ยปากบอก
“หม่อมฉันต้องใช้ยาที่ปรุงจากวิหารเท่านั้นเพคะ”
“ให้คนไปทูลเชิญพระอาจารย์มาที่นี่ เดี๋ยวนี้” รับสั่งดังๆ อย่างจะให้ได้ดังพระทัย หากอลินารีบท้วง
“องค์เทวนารีออกจากวิหารยามวิกาลไม่ได้เพคะ”
“งั้นก็ไปมหาวิหารด้วยกัน”
“พระทัยเย็นๆ ก่อนเพคะ” มิรามาลินทร์ต้องเอ่ยห้าม พลางบอกหนทาง
“เรื่องเล็กแค่นี้ ไม่ต้องรบกวนอาจารย์หรอกเพคะ ปกติใส่ยาห้ามเลือดก็หาย คามินมีพกติดตัวไว้ตลอดเพราะต้องคอยดูแลหม่อมฉัน ให้คามินนำมาให้ก็ได้เพคะ”
“อลินาไปตามคามิน พามาเดี๋ยวนี้เลย”
หมอหญิงรีบถอยออกไปจัดการตามรับสั่ง จนแทบจะไม่มีเวลาเตรียมอะไรนอกจากคว้ากระเป๋าอุปกรณ์ยาตามความเคยชิน รถยนต์ถูกเร่งความเร็วจนอลินาลืมกลัว ครั้นพอไปถึงมหาวิหารและบอกกล่าวเรื่องร้อน ‘ยาห้ามเลือดของกุมารี’ คามินกลับขมวดคิ้วนิ่งไปครู่ใหญ่ ก่อนจะกลับเข้าไปเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นในยามขึ้นรถมากับอลินา ท่าทีกระวนกระวายของหมอสาวทำให้คามินอดปลอบใจไม่ได้
“ไม่เป็นไรหรอก ใจเย็นๆ เข้าไว้”
“นายไม่เห็นองค์จอมพล ถึงพูดแบบนี้ได้”
“ไม่เห็นแต่ก็เดาได้ เธอล่ะเห็นแท้ๆ เดาอะไรไม่ได้หรือไง”
“นายหมายถึงอะไร”
อลินาหันมองชายหนุ่มอย่างสงสัย หากผู้พิทักษ์วิหารกลับถอนใจเฮือกใหญ่ พลางตั้งใจหันมาสบตากับคนนั่งข้างกันด้วยอาการจริงจัง
“กุมารีเคยบาดเจ็บมากกว่านี้เธอก็รักษามาได้ แต่ทำไมครั้งนี้ถึงเรียกหา ‘ยาห้ามเลือด’ เพราะเพียงแค่แก้วบาดมือ”
อลินาทบทวนในสิ่งที่คามินพูด ผสมกับเหตุที่เกิดขึ้นในเรือนใหญ่และค่ายจตุรทิศตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาก็ชักจะเริ่มเข้าใจ หากที่ตามมาคือความวิตกกังวลอีกเท่าตัว
“จะเป็นไปได้หรือ”
“สำหรับเรา ได้หรือไม่ เราก็ต้องทำให้ได้”
“คนเดียวเนี่ยนะ”
“ไม่สำคัญที่จำนวน แต่ท่านหญิงไว้ใจเราคนเดียว”
คามินว่าพลางยกขวดแก้วที่ใส่น้ำใสๆ ไว้ อลินาเพ่งมองครู่หนึ่งอย่างชั่งใจ
“แล้วที่มาบอกกันนี่คือหาพวกหรือไง”
“ก็ไม่เชิง แค่คิดว่าหมอน่าจะรู้จักท่านหญิงของเรามากกว่าทุกคนในที่นี้ และน่าจะเข้าใจที่สุดว่าสิ่งที่ท่านหญิงต้องการ คือการช่วยทั้งสินธุรัฐและศิขราช หมอมีเวลาคิดแค่บนรถนี่แหละ ว่าจะรับหรือไม่รับยาขวดนี้ ถ้าก้าวลงจากรถแล้ว ผมจะถือว่าคำตอบเป็นที่สิ้นสุดแล้ว ”
คามินวางขวดแก้วไว้ตรงกลางระหว่างที่นั่งของตนและหญิงสาว ระยะทางที่เข้าใกล้เขตค่ายทหารเข้าไปทุกทีราวกับกำลังนับถอยหลังกับเดิมพันวัดใจที่ผู้พิทักษ์กุมารีทุ่มหมดตัวหมดใจ หวังว่าสัญชาตญาณของเขาจะมาถูกที่ถูกเวลาสักที!
ในห้องพยาบาลนั้นเงียบกริบกว่าเคย มิใช่เพราะมีเพียงแค่มิรามาลินทร์และผู้พิทักษ์ประจำตนอยู่ตามลำพังเท่านั้น หากความเงียบนั้นเกิดจากสิ่งที่หญิงสาวพูดจบแล้วแต่ปล่อยให้ความเงียบเป็นคำตอบ
คามินเงยหน้ามองเพื่อนที่เติบโตมาด้วยกันด้วยสายตาที่คาดไม่ถึง สิ่งที่หญิงสาวบอกกล่าวแก่เขานั้นทำให้เขากังวลใจไม่ใช่น้อย ดังนั้นก่อนจะเอ่ยตอบก็อดไม่ได้ที่จะเดินออกไปมองข้างนอกประตูหน้าต่างอีกครั้งว่าจะมีใครได้ยินหรือไม่ถึงจะกลับมานั่งคุยกับหญิงสาวอีกครั้ง
“ท่านหญิงแน่ใจแล้วใช่ไหมครับ”
“เราไม่มีทางอื่น นี่เป็นทางเดียวที่จะทำให้สงครามไม่เกิดขึ้น”
“ถ้างั้นผมจะไปเตรียมตัว”
คามินว่าพลางส่งขวดแก้วเล็กๆ ที่ท่านอาจารย์ปรุงมาให้ใหม่ในทุกๆ วัน ปกติเขาไม่เคยมีโอกาสได้เข้ามาพบมิรามาลินทร์เลย พอวันนี้ได้เข้ามาพบถึงเข้าใจ…อีกคนพยายามเหนี่ยวรั้งไว้ แต่อีกคนก็พยายามจะหาหนทางไป คนกลางอย่างเขาเลยไม่รู้ว่าจะสงสารใครดีนอกจากตัวเอง
มิรามาลินทร์ดื่มยาอย่างไม่อิดออด ก่อนจะนั่งหลับตากำหนดลมหายใจทำสมาธิ ผู้พิทักษ์หนุ่มจึงค่อยๆ ถอยออกไปด้วยฝีเท้าเบากริบ หากเมื่อพ้นหน้าทางเข้าออกก็ถูกมือหนึ่งลากตัวไป
“อะไรเนี่ย!”
คามินโวยวายเลยถูกมือเรียวตะปบปากไว้ กลิ่นหอมอ่อนของสมุนไพรและกลิ่นยาฆ่าเชื้อที่ชิดจมูกนั้นทำให้คนถูกปิดปากยอมเงียบและเดินตามไปแต่โดยดี จนกระทั่งถึงห้องพักส่วนตัวของอลินา จึงค่อยบ่นกระปอดกระแปด
“คุณหมอมือหนักนะครับเนี่ย”
“นายจะทำอะไร”
“ถามเหมือนรู้” คามินดักคอคุณหมอสาวที่ยืนกอดอกซักราวกับหน่วยสอบสวนทั้งๆ ที่สวมเสื้อกาวน์อยู่แท้ๆ
“ไม่รู้ แต่แค่จะเตือน นายตายแน่ถ้าขืนแตะต้องท่านหญิง”
“ผมรู้ดีว่าผมกำลังทำอะไร ไม่ต้องห่วง”
“ไม่ได้เป็นห่วงนาย แต่ห่วงองค์จอมพล” อลินาว่าพลางอยากจะถอนใจแรงๆ ให้โลกรู้ไปเลยว่าเธออยากจะบ้าตาย สงครามล้วนไม่มีใครอยากให้เกิด แต่ตอนนี้ค่ายจตุรทิศพร้อมรบเต็มอัตราศึก!
“แล้วเมื่อกี้ ท่านหญิงทรงเป็นอย่างไรบ้าง”
“นั่งสมาธิอยู่ แผลเรียบร้อย กินยาเรียบร้อย ตรงเวลาไม่ขาด ไม่ต้องห่วงอีกเหมือนกัน”
“แล้วขวดยาตัวอย่าง”
“ไม่ลืมหรอก”
คามินว่าพลางหย่อนขวดขนาดจิ๋ววางลงบนฝ่ามือที่แบรับ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
“ขอบใจที่พยายามทำเพื่อท่านหญิง”
“เพื่อพระชายาปติของพวกเราต่างหาก”
“แต่บางครั้งวิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถให้คำตอบได้ทุกคำถามหรอกนะ”
“อย่างน้อยก็ได้พิสูจน์”
อลินาว่าพลางเก็บตัวอย่างลงในกล่องรักษาอุณหภูมิเพื่อเตรียมส่งห้องแล็บในต่างประเทศ ก่อนจะเดินไปส่งคามินที่รถของทหารเวรที่คอยรับส่งชายหนุ่มไปกลับมหาวิหารดังเช่นทุกวัน หากวันนี้หญิงสาวกลับดึงแขนเขาไว้และมอบถุงผ้าขนาดเล็กยัดใส่ฝ่ามืออีกฝ่ายไว้ พลางกระซิบ
“ระวังตัวด้วย”
คามินยิ้มละมุนส่งให้แทนคำขอบใจ ก่อนที่จะขึ้นรถไปตามปกติ เพียงแต่ในใจรู้ดีว่าหลังจากคืนนี้ไปทุกอย่างจะเข้าสู่สภาวะไม่ปกติแน่นอน
ความมืดโรยตัวผสานกับไอหมอกในยามค่ำคืนช่วยอำพรางรถยนต์คันเล็กที่ขับฝ่าแนวกั้นบนสะพานข้ามแม่น้ำอัมพุ จุดที่เป็นแนวผ่านแดนอีกจุดหนึ่งนอกเหนือจากป่ากุหลาบพันปีไปด้วยความเร็วสูง แผ่นตราสัญลักษณ์ประจำตัวของแพทย์หญิงประจำพระองค์ทำให้การตรวจค้นทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น เพราะทุกคนรู้ดีว่าคุณหมออลินาจะเดินทางเอาตัวอย่างยาทดลองไปตรวจทุกวันในสถาบันวิจัยหลากหลายประเทศ ดังนั้นเมื่อหญิงสาวเอ่ยปากว่าจะไปประเทศทิมปาลที่มีชายแดนติดกับทั้งประเทศศิขราชและประเทศสินธุรัฐ นายทหารเวรจึงปล่อยผ่านไปโดยไม่สงสัย
“ขอบใจคุณหมอมากที่ช่วยเหลือเรา”
มิรามาลินทร์เอ่ยขึ้นหลังจากที่ต้องขดตัวซุกอยู่ใต้เบาะหลังที่ดัดแปลงเป็นที่เก็บของโดยมีกระเป๋าเครื่องมือแพทย์และกระเป๋าเดินทางวางซ้อนอยู่อีกทีหนึ่ง ส่วนคามินที่นั่งคู่กันมาด้วยใจลุ้นระทึกตลอดทางก็ถึงกับถอนใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะหันไปบอกพลขับสาวที่เหยียบคันเร่งจนแทบมิด
“ยานอนหลับที่ให้คนที่เรือนรับรองกินจะออกฤทธิ์นานแค่ไหน”
“พรุ่งนี้เช้า ถามทำไม ยังไงก็ถูกจับได้อยู่ดี”
“แล้วคุณหมอจะเป็นไรไหมคะ” มิรามาลินทร์ถามขึ้นอย่างกังวลไม่ต่างจากผู้พิทักษ์หนุ่มข้างกาย หากอลินายิ้มกว้างพลางตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก
“คนที่จะเป็นคือพี่อารัญค่ะ อยู่ใกล้ โดนก่อนแน่นอน”
“เราจะจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด”
มิรามาลินทร์เอ่ยเสียงมุ่งมั่น ก่อนจะเอ่ยบอกจุดหมายปลายทางที่เป็นทางเลือกเดียวที่จะยุติทุกอย่างได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดที่สุด
“ไปตำหนักป้อมปราการ เราจะไปหาเจ้าชายรัชทายาท”
บริเวณโดยรอบพระตำหนักกลางค่ายมีทหารหลายกองร้อยวิ่งเข้ามารับคำสั่งจากอารัญก่อนจะรีบออกไปปฏิบัติภารกิจ แต่ผู้บัญชาการตัวจริงกลับประทับอยู่ในห้องพักติดห้องพยาบาลอย่างพยายามอย่างยิ่งที่จะระงับโทสะและความเสียพระทัย ความน้อยพระทัยที่ถั่งโถมอยู่ในอุระดุจคลื่นลูกใหญ่ ทรงมีคำถามมากมายที่อยากได้ยินจากเจ้าของห้องที่ละทิ้งที่นี่ไปอย่างง่ายดาย จนอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าแท้จริงแล้วที่นี่สำคัญสำหรับมิรามาลินทร์บ้างหรือไม่
“ทหารเข้าประจำจุดตรึงกำลังที่ชายแดนเรียบร้อยแล้วพระเจ้าค่ะ พร้อมปฏิบัติการตามพระบัญชาทันที”
อารัญเข้ามาถวายรายงานด้วยสีหน้าที่ทั้งเหน็ดเหนื่อยและตึงเครียด เพราะสถานการณ์ที่วุ่นวายอยู่ในตอนนี้ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะฝีมืออลินาที่เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเต็มๆ ใจเขาจึงแขวนอยู่บนเส้นด้ายทุกวินาที หากมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับพระชายาปตี หัวของพวกตนสองพี่น้องก็คงไม่เพียงพอ
“พระเนตรดีขึ้นแล้วหรือ…จึงข้ามฝั่งไป”
รับสั่งถามนั้นมีเพียงสิ่งเดียวที่ผุดขึ้นในใจ ทรงห่วง…เพราะรู้ดีว่าหญิงสาวไม่เคยห่วงตัวเอง
“จากรายงานการรักษา ระบุว่ายังมองเห็นได้เพียงสิบเปอร์เซ็นต์ หากเมื่อได้รับยาจากมหาวิหารก็จะอาการดีขึ้นชั่วระยะสั้นๆ เท่านั้นพระเจ้าค่ะ”
พระพักตร์เข้มคล้ายกับจะขรึมลงไปอีกเมื่อได้ฟังสิ่งที่ราชองครักษ์ทูล วรองค์สูงจึงเตรียมเสด็จออก ในพระหัตถ์กำตราพันธาภรณ์ที่ทรงดึงจากผ้าไหมยกทองคลุมพระอังสา ที่ทรงติดพระองค์ตลอดเวลา ย้ำรอยพันธะในหทัยที่แน่นหนาขึ้นทุกวัน เพียงแต่ทรงไม่รู้จริงๆ ว่าในหทัยเธอจะมีสักน้อยหรือไม่ที่จะมีใจปฏิพัทธ์ต่อพระองค์บ้าง
“เรียกทีมรหัสดำ รวมตัวที่เซฟเฮาส์ภายในสามสิบนาที” ทรงบัญชาเสียงก้อง ก่อนจะหันไปย้ำกับอารัญด้วยพระเนตรดุดัน
“เมื่อเราข้ามไปแล้ว รอสัญญาณจากเรา หากทีมรหัสดำปฏิบัติการสำเร็จ เราจะเคลื่อนพลเข้ายึดเมืองอัมพุทันที!”
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ : บทส่งท้าย
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 23 : โอกาส
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 22 : วิธีรักษา
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 21 : ยา
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 20 : ความชอบธรรม
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 19 : เจ้าชายรัชทายาท
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 18 : ทางรอดเดียว
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 17 : ความเป็นจริง
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 16 : ข้อแม้
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 15 : ล่ารายชื่อ
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 14 : แถลงการณ์
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 13 : หลบซ่อน
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 12 : ปฏิบัติการ
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 11 : ล้างศีล
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 10 : ล่อเสือ
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 9 : ความหวัง
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 8 : ตราพันธาภรณ์
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 7 : เจรจา
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 6 : มหาวิหารกลาง
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 5 : จุดนัดพบ
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 4 : เสี่ยงทาย เสี่ยงตาย
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 3 : คำตอบ หรือ ความจริง
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 2 : นักโทษ
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 1 : ภารกิจลับ