เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 20 : ความชอบธรรม

เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 20 : ความชอบธรรม

โดย : ประดับยศ

Loading

เล่ห์พันธาภรณ์ นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย ประดับยศ กับเรื่องราวของ ‘มิรามาลินทร์’ หญิงสาวผู้ถูกเลี้ยงดูมาโดยนักบวชในวิหารเทพ แต่แล้ววันหนึ่งเธอต้องหนีเอาชีวิตรอดเพื่อตามหาบุคคลในคำทำนายที่จะมาช่วยปกป้องวิหาร คนผู้นั้นคือใคร ชีวิตเธอจะเป็นอย่างไร อ่านได้ในเว็บไซต์ anowl.co และเพจ anowldotco

ตึกสีขาวกลุ่มใหญ่ที่ตั้งอยู่เบื้องหลังแนวกำแพงล้อมรอบทั้งสี่ด้านที่ห่างออกมานับกิโลเมตรจากถนนสายหลักสายเดียวที่มุ่งตรงเข้าสู่พระราชวังหลวงบนพื้นที่ราบกลางหุบเขา ถูกรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด หลังจากที่เกิดเหตุนายพลชาตรีสั่งให้ทหารใช้ความรุนแรงในการเข้ายึดคืนพื้นที่จากชาวบ้านเมืองอัมพุ ก็มีการประท้วงของกลุ่มประชาชนในหลายพื้นที่ และบางส่วนก็เดินทางเข้าเมืองหลวงมาเพื่อร้องขอความเป็นธรรมเช่นกันแม้จะรู้ว่าผลลัพธ์สุดท้ายคือการถูกจับก็ตาม

วรองค์สูงเพรียวของพระรัชทายาทที่ทรงพระภูษาพื้นเมืองของชาวสินธุรัฐทับฉลองพระองค์ยาวคลุมพระชานุ เสด็จตรงไปยังห้องทรงงานของพระราชมารดาในรอบหลายเดือน สีพระพักตร์สงบนิ่งแม้ในยามที่เผชิญหน้ากันทำให้ราชินีชโลธรทรงยอมวางงานก่อนจะหันมารับสั่งกับพระราชโอรสพระองค์เดียวของพระองค์

“มาพบแม่ไม่ใช่หรือ มีอะไรก็พูดมา…”

“เรื่องที่อัมพุ ทรงอนุญาตให้นักลงทุนจากต่างประเทศมาประมูลสัมปทานเหมืองเพชรที่อัมพุหรือพระเจ้าค่ะ”

“ใช่…มีอะไรหรือ”

“แล้วที่ทรงสัญญากับชาวบ้านไว้ว่าจะให้สัมปทานพวกเขา”

“ให้แค่บางส่วน ทุกอย่างถูกระบุไว้แล้วในเอกสาร…สัมปทานจะถูกจัดสรรให้ตามความเหมาะสม”

“ความเหมาะสมตามมูลค่าการประมูลของนักลงทุน! ทูลกระหม่อม…อย่าทรงทำแบบนี้เลย ความไว้ใจของประชาชนไม่ควรแลกกับเงินพวกนั้นนะพระเจ้าค่ะ”

“เธอไม่มีสิทธิ์คิดแทนแม่ ธัชธารา!”

“แต่ลูกคือรัชทายาท ประชาชนจะมองลูกเช่นไรหากเสด็จแม่ทำเช่นนี้”

“แต่แม่คือราชินีแห่งสินธุรัฐ!”

เจ้าชายรัชทายาททอดพระเนตรพระมารดาด้วยรอยยิ้มขมขื่นใจ ปีนี้พระองค์อายุ 23 ชันษาแล้ว
โตเกินกว่าที่พระราชมารดาจะสำเร็จราชการแทนดังเช่นเมื่อก่อนที่ยังทรงศึกษาต่อที่ต่างประเทศ หากเพราะทรงรักแม่…และไม่อยากให้เกิดความวุ่นวายจึงทรงวางเฉยตลอดมา วันนี้ทรงรู้แล้วว่า…ทรงผิดเองที่คิดเช่นนั้น

“แล้วจะทรงจับลูกขังคุกหรือไม่ หากลูกจะประท้วงเรียกร้องแทนประชาชนของลูก”

“ธัชธารา! อย่ามาท้าทายแม่”

เจ้าชายรัชทายาทมิได้นำพาต่อรับสั่งกราดเกรี้ยวนั้น ก่อนจะเดินไปถวายฎีการ้องทุกข์ในนามตัวแทนประชาชนชาวอัมพุทั้งหมด

“หม่อมฉันขอร้องให้ทรงทบทวนโครงการพัฒนาเหมืองแร่ในพื้นที่ชายแดนอัมพุอีกครั้งพระเจ้าค่ะ”

“ธัชธารา ฟังแม่! โครงการนี้มูลค่ามหาศาล สินธุรัฐเราจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด”

“แต่ประชาชนของเรากำลังจะตายนะกระหม่อม อัมพุจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีน้ำให้ชาวบ้าน”

“แม่ว่าเราคุยกันไปแล้วว่าแม่จะทำเขื่อนให้ และอัมพุจะไม่เป็นไร ยกเว้นแค่วิหารเทพนั่นที่มันต้องถูกทำลาย”

“ทรงหยุดเถอะ หม่อมฉันทราบเรื่องพระพินัยกรรมของสมเด็จพ่อแล้ว มันคือสิทธิ์อันชอบธรรม”

“แม่ก็มีสิทธิ์อันชอบธรรมในฐานะราชินีแห่งสินธุรัฐ! ทหาร! ไปตามนายพลชาตรีมาเดี๋ยวนี้!”

สิ้นพระราชเสาวนีย์ ก็มีทหารจำนวนหนึ่งกรูเข้ามาในห้อง หากผู้ที่ก้าวตามมาท้ายสุดนั้นสวมชุดทหารพรานสีดำแต่ยังคงลักษณะสง่างามดังกุมารีผู้ทรงศักดิ์เช่นเดิม มีเพียงดวงเนตรสีนิลลึกล้ำเท่านั้นที่บัดนี้แดงก่ำอย่างน่ากลัว

“นายพลชาตรีอยู่ในคุกหลวงเรียบร้อยแล้วเพคะ คงจะมาเข้าเฝ้าตามรับสั่งไม่ได้”

“มิรามาลินทร์ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้! ธัชธารา นี่ลูกรวมหัวกับมันหรือ”

“ลูกขอร้องทูลกระหม่อม…ทรงลงนามในฎีกานั้นก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป”

“เธอเป็นบ้าไปแล้วหรือธัชธารา ที่แม่ทำทั้งหมดนี่ก็เพื่อวางรากฐานราชบัลลังก์ให้มั่นคง หากลูกขึ้นครองราชย์ทุกอย่างก็จะได้ราบรื่น”

“แล้วตอนนี้ราบรื่นอย่างนั้นหรือพระเจ้าค่ะ ทรงรู้หรือไม่ว่าชายแดนกำลังจะลุกเป็นไฟ”

“เป็นเพราะพวกเทวนารีต่างหาก กุมารีชักศึกเข้าบ้าน! รวมหัวกับเจ้าชายศิขราชนั่น จะฮุบเหมืองเพชร”

“หม่อมฉันแค่มาทวงคืน เพราะทรงพรากทุกอย่างไปจากเจ้าของต่างหากเพคะ”

มิรามาลินทร์ก้าวเข้ามาเผชิญหน้ากับราชินีชโลธรอย่างไม่หวั่นเกรงใดๆ อีกแล้ว หากร่างกายที่เริ่มสั่นสะท้านเพราะต้องทนกับขีดจำกัดที่ฝืนใช้เนตรญาณ ทำให้ราชินียังคงปรามาสหญิงสาวตรงหน้าอย่างแสนชัง

“เธอใช้คำว่าพราก ทั้งๆ ที่มันคือการแลกเปลี่ยนกันอย่างยินยอมพร้อมใจ ไม่มีใครเอาปืนจี้หัวพวกมันให้เซ็นชื่อสักหน่อย”

“แต่ทรงเอาความหวังไปหลอกทุกคนแทน” กุมารีเอ่ย แววตาเจ็บช้ำน้ำใจเป็นอย่างยิ่งในยามที่มองจ้องพระพักตร์อีกฝ่ายอย่างแน่วแน่

“ทรงให้ความหวังว่าราชวงศ์สินธุจะไม่เลือกปฏิบัติ จะเท่าเทียมกันในทุกคน ทรงให้ความหวังว่าชาวบ้านจะมีอาชีพ มีชีวิตที่ดีขึ้นจากแผนพัฒนาหลักของชาติ และทรงอ้างความชอบธรรมที่จะปกป้องราชบัลลังก์ แต่ลืมที่จะสร้างความชอบธรรมให้เกิดขึ้นจริง”

มิรามาลินทร์เอ่ยพลางสืบเท้าก้าวเข้าใกล้มากยิ่งขึ้น สายตามุ่งมั่นแรงกล้าตรึงราชินีให้ยืนตรงนิ่ง
ไม่อาจหลบหนีไปไหนได้ในยามที่หญิงสาวก้าวมาจนห่างเพียงเอื้อม

“ทรงรู้ดีแก่พระทัยว่ามิใช่แค่วิหารเทพ แต่เป็นทั้งเมืองอัมพุที่สมเด็จพระราชาธิบดีพระราชทานให้ใครดูแล ทรงพรากชาวบ้านจากถิ่นฐานบ้านเกิด แล้วยังทรงช่วงชิงอำนาจจากลูกแท้ๆ ของตัวเองอีก
ทรงช่วยบอกหม่อมฉันทีว่าความชอบธรรมของพระองค์คือสิ่งใด”

“แกทำอะไรฉัน…”

“สร้างความชอบธรรมให้ทุกคน และตัวหม่อมฉันเองเพคะ”

“ธัชธารา ช่วยแม่ด้วย!”

“เหตุใดจึงทรงร่ำร้องหาหม่อมฉันในเวลานี้ ที่ผ่านมาทรงทำหน้าที่แม่ต่อหม่อมฉันบ้างหรือไม่!” เจ้าชายธัชธาราทูลตัดพ้อ ก่อนจะทรงสูดพระอัสสาสะลึกๆ แล้วตรัสด้วยสุรเสียงดังก้อง

“ทหาร!”

หน่วยมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ตบเท้าเข้ามาโดยรอบพร้อมกับคามิน และเจ้าพนักงานกรมพระอาลักษณ์ กองประกาศิตอีกนับสิบราย ที่ถูกควบคุมตัวให้ตามมาด้วย เจ้าชายรัชทายาททรงกวาดพระเนตรมองก่อนจะหยิบตราพระราชลัญจกรที่สมเด็จพระราชบิดาประทานให้ในพระราชพิธีแต่งตั้ง
พระรัชทายาท ยื่นถวายให้พระราชมารดา ก่อนจะห้ามไม่ให้มิรามาลินทร์ใช้เนตรญาณ เพราะทรงต้องการพูดกับแม่จากหัวใจ

“แม่ครับ…ผมรู้ว่าแม่ทำทุกอย่างเพราะหวังดีกับผมจริงๆ เพียงแต่แม่ทำร้ายคนอื่นไปมากเกินไป เรามาช่วยกันแก้ไขและเริ่มต้นใหม่ด้วยกัน…ได้ไหมครับ”

“ได้… ถ้ามันตาย แม่จะยอมวางทุกอย่าง!”

ราชินีชโลธรหันไปทางกุมารีที่หน้าซีดเผือดจนไร้สีเลือด ดวงตาแห้งผากแดงก่ำเจ็บปวดยิ่งเมื่อได้ยินรับสั่งที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง

“ทรงฆ่าหม่อมฉันมาแล้วครั้งหนึ่ง วันนี้ก็ยังปรารถนาที่จะให้หม่อมฉันตายอีกครั้งเช่นนั้นหรือเพคะ”

“ถ้าไม่มีพวกแก เมืองอัมพุก็ต้องเป็นของฉันกับลูก!”

“ทรงรู้ดีว่าเหตุใดสมเด็จพระราชาธิบดีจึงทรงประทานเมืองอัมพุให้พระชายาเมธาสินีและเหล่า
เทวนารี พวกเรายอมออกมาอยู่ในผืนดินแห้งแล้งริมชายแดน เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง…และหากการตายของหม่อมฉันจะทำให้พอพระทัยได้ และยอมคืนทุกอย่างให้ประชาชน หม่อมฉันก็ยินดีเพคะ”

“หากมิรามาลินทร์ตาย ชายแดนอัมพุจะถูกตีแตกภายในชั่วคืน!”

เจ้าชายรัชทายาททรงเค้นเสียงอย่างเจ็บปวด…สายพระเนตรที่มองพระมารดานั้นเสียใจและผิดหวังอย่างรุนแรง เพราะทุกสิ่งที่ราชินีเอ่ยออกมานั้นชัดเจนยิ่ง ทรงไม่เคยปล่อยวางได้ดังที่รับสั่งเลย

“ในวันนี้ไม่มีกุมารี ไม่มีเทวนารีอีกแล้ว มิรามาลินทร์คือว่าที่พระชายาปติแห่งพระอนุชาธิราชของประเทศศิขราช ลูกยอมเสียน้องสาวเพียงคนเดียวไปแล้ว แต่จะไม่ยอมให้ชีวิตชาวสินธุรัฐทุกคนต้องมาตกอยู่ในภาวะสงครามเพียงเพราะสมเด็จแม่ทรงเป็นปฏิปักษ์ต่อเธอ”

เป็นครั้งแรกที่ราชินีชโลธรทรงเห็นลูกชายที่ไม่เคยมีปากมีเสียงต่อสิ่งใดไม่ว่าชอบหรือไม่ชอบ เอ่ยในสิ่งที่ตัวเองคิดออกมาอย่างเด็ดเดี่ยวเพียงนี้ ช่างเหมือนสมเด็จพระราชาธิบดีองค์ก่อนราวกับถอดแบบกันมา เพียงแต่…

“อย่าให้ความรักมาบังตา ธัชธารา จงตัดสินใจเลือกให้ถูกต้องว่าแผ่นดินต้องการสิ่งใด
ไม่ใช่ชีวิตของลูกต้องการสิ่งใด”

เป็นครั้งแรกที่ราชินีทรงสอนลูกด้วยน้ำเสียงอาทร หากเพราะทรงยึดติดมากเกินกว่าจะให้อภัยได้แล้วถ้อยรับสั่งจึงมิผันแปร

“ถึงอย่างไรอัมพุก็ต้องกลับคืนสู่พระราชอำนาจของราชวงศ์ คนของวิหารเทพไม่มีสิทธิ์ที่จะครอบครองใดๆ ทั้งสิ้น”

ราชินีทรงตรัสด้วยเสียงเด็ดเดี่ยว ก่อนจะหยิบหนังสือฎีกามาเตรียมจะฉีกทิ้ง หากพระหัตถ์ที่กำแน่นนั้นคล้ายกับถูกแรงมหาศาลบีบบังคับให้หยุด ก่อนที่มิรามาลินทร์จะเอ่ยกับพระรัชทายาท

“รับสั่งเลยเพคะ”

ราชกุมารแห่งสินธุรัฐจึงหันไปทางเจ้าพนักงานกรมพระอาลักษณ์ ก่อนจะมีพระกระแสรับสั่ง

“ออกแถลงการณ์ สำนักพระราชวัง เราจะจัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เสวยราชย์ขึ้นเป็นสมเด็จพระราชาธิบดีศรีสินธุราชรัฐ และให้พระราชินีชโลธรพ้นจากหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนพระองค์ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”

“รับด้วยเกล้าพระเจ้าค่ะ”

“รับด้วยเกล้าเพคะ”

สุรเสียงราชินีตรัสตอบในตอนท้ายก่อนที่พระหัตถ์จะลงพระนามในฎีกาและนำมาถวายคืนให้แก่
ว่าที่สมเด็จพระราชาธิบดีองค์ใหม่ สีพระพักตร์ขององค์ราชินีแม้จะเศร้าหมองและเจ็บช้ำใจ หากในยามที่มองลูกชายคนเดียวกลับมีรอยยิ้มแตะแต้ม ถึงอย่างไรก็ทรงอยู่ในที่อันสมควร ก่อนจะย่อกายถวายคำนับเต็มพิธีการ…

“ทรงพระเจริญ”

วรองค์บางถวายพระพรโดยที่ไม่ต้องมีใครบังคับ…หมดหน้าที่ของแม่อย่างเธอแล้ว

เจ้าชายธัชธาราทรงเข้าไปกอดพระมารดาที่รอการลงทัณฑ์ด้วยพระพักตร์ที่หมองหมางพระทัย ก่อนจะเตรียมนำเสด็จด้วยตัวเอง

มิรามาลินทร์สูดลมหายใจเข้าเพื่อประคองสติเป็นครั้งสุดท้าย ครั้นเมื่อสิ้นเสียงราชินีที่เปล่งถวายพระพร ทุกอย่างรอบตัวเธอก็คล้ายกับจะดับวูบ พร้อมๆ กับเสียงเอะอะ เสียงทหารวิ่งกันตึงตัง และสัมผัสที่แตะต้องด้วยอาการรวบเธอไปทั้งตัว…พระหัตถ์จากองค์จอมพลตุลธรฯ

สมเด็จพระอนุชาธิราชแห่งศิขราชทรงถลาเข้าไปรับร่างแบบบางที่ทรุดร่วงลงราวกับนกถูกเด็ดปีก ดวงหน้าเล็กทว่างามจัดบัดนี้ไร้ซึ่งสีเลือด ลมหายใจแผ่วเบาจนแทบสัมผัสไม่ได้ ทำให้องค์จอมทัพรวบรวมสติที่บินหนีหายไปได้อย่างยากเย็น

พระหัตถ์สั่นเทาค่อยประคองร่างเล็กแนบอุระ หวังแบ่งปันไออุ่นให้คนในอ้อมพระพาหาคลายความเจ็บปวดที่สะท้านออกมาทั่วกาย ดวงเนตรที่เคยเจิดจ้าแจ่มใสปิดสนิท แต่กลับมีรอยโลหิตสีแดงทิ้งคราบไว้บนแพขนตางอนยาว

เจ้าชายตุลธรรุ้สึกคล้ายกับหทัยถูกกรีดบาดลึกไปสุดขั้วใจ ความเจ็บในอกที่แทบให้ลืมวิธีหายใจ พลอยทำให้ร่างกายไร้เรี่ยวแรงที่จะขยับ แม้แต่เรียวโอษฐ์ที่เคยรับสั่งขึงขัง บัดนี้ถ้อยคำแผ่วเบาที่หลุดรับสั่งออกมานั้นมีเพียง…

“ตามหมอที หมออยู่ไหน!”

สุรเสียงห้าวของเจ้าชายตุลธรฯ ทำให้เจ้าชายธัชธาราได้พระสติ รับสั่งให้เรียกหมอหลวงเข้ามา พร้อมกับที่หันไปสั่งราชองครักษ์ให้ไปเชิญคณาจารย์และนักบวชชั้นสูงของวิหารเทพเมืองอัมพุมาทั้งหมดเพื่อรักษามิรามาลินทร์

“ให้คนเตรียมห้องอภิบาล หมอหลวงต้องพร้อมเดี๋ยวนี้”

เจ้าชายธัชธารารับสั่งเสียงเครียด และให้อินทัชเชิญเสด็จราชินีชโลธรกลับที่ประทับก่อนและวางกำลังอย่างเข้มงวด ก่อนจะเสด็จมายังองค์จอมทัพที่นั่งทรุดประคองร่างเล็กเอาไว้

“รีบพามิรามาลินทร์ไปรักษาเถิด”

บุรุษชาตินักรบได้แต่เงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยแววตารวดร้าว ทรงเพียรรักษา ทรงเฝ้าถนอม หากเธอกลับต้องบาดเจ็บหนักเพียงนี้เพราะกลับมาที่นี่ เพราะคนผู้นี้มิใช่หรือ

“ครั้งนี้! หม่อมฉันจะอดทนเป็นครั้งสุดท้าย ถ้ามิรามาลินทร์เป็นอะไรไป หม่อมฉันจะไม่ให้อภัย ใครหน้าไหนทั้งนั้น”

“หม่อมฉันก็จะไม่มีวันให้อภัยตัวเองเหมือนกัน ทรงวางพระทัยเถิด หมอหลวงทุกคนพร้อมรักษาเธอสุดชีวิต”

เจ้าชายธัชธาราประทานสัญญา หากบุรุษร่างสูงที่หยัดพระองค์ขึ้นพร้อมกับกอดรั้งร่างแบบบางไร้เรี่ยวแรงนั้นแนบหทัยในขณะที่เสด็จออกไปโดยที่ไม่คิดจะสนใจสัญญาใดๆ เพราะจากนี้จะทรงเชื่อเพียงพระองค์เองเท่านั้นที่ประทานสัญญากับหญิงสาว ที่จะทรงเป็นชายาปตีเพียงหนึ่งเดียวจนชีพวาย

มิทอดทิ้ง มิห่างหาย…เพียงนางเดียว

 



Don`t copy text!