เล่ห์พันธาภรณ์ : บทส่งท้าย

เล่ห์พันธาภรณ์ : บทส่งท้าย

โดย : ประดับยศ

Loading

เล่ห์พันธาภรณ์ นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย ประดับยศ กับเรื่องราวของ ‘มิรามาลินทร์’ หญิงสาวผู้ถูกเลี้ยงดูมาโดยนักบวชในวิหารเทพ แต่แล้ววันหนึ่งเธอต้องหนีเอาชีวิตรอดเพื่อตามหาบุคคลในคำทำนายที่จะมาช่วยปกป้องวิหาร คนผู้นั้นคือใคร ชีวิตเธอจะเป็นอย่างไร อ่านได้ในเว็บไซต์ anowl.co และเพจ anowldotco

หัตถ์ใหญ่แผ่ไออุ่นจนมือของเธอที่ถูกกุมเอาไว้ทั้งสองข้างนั้นหายเยียบเย็น น่าแปลกที่แม้จะมองไม่เห็นหากเธอกลับรับรู้ได้ว่า องค์จอมทัพทรงกำลังไม่พอพระทัย เนตรดุๆ นั้นคงกำลังค้อนเธออยู่แน่ๆ แม้ว่าสุรเสียงในยามรับสั่งนั้นจะเรียบเรื่อยราวกับสนทนาในยามปกติแล้วก็ตาม

“จะไปเดินเล่นข้างนอก เราไม่เคยห้าม แต่ควรให้พยาบาลเตรียมเสื้อคลุมให้ ลมข้างนอกแรง ที่ค่ายของเราฝุ่นเยอะ เดี๋ยวจะไม่สบายไปอีก”

“หม่อมฉันไปแป๊บเดียว แค่อยากสูดอากาศ อยากชมดอกไม้บ้าง”

พระหัตถ์อุ่นกระชับแน่นขึ้น ในยามรับสั่ง

“อีกไม่นาน เราจะพาเธอตระเวนชมดอกไม้ทั้งศิขราช”

“แล้วถ้านานล่ะเพคะ”

“นานก็นานสิ เราจะปลูกดอกไม้รอไปเรื่อยๆ รอวันที่เราจะได้ชมดอกไม้ด้วยกัน”

“แล้วถ้าตลอดชีวิต หม่อมฉันเห็นแค่ดอกไม้สีดำล่ะเพคะ”

“เช่นนั้นเราจะมอบดอกไม้สีสวยๆ ให้ในฝันทุกคืน”

“เหลือแค่จะเห็นในฝันเท่านั้นแล้วหรือนี่”

“ถ้าในฝันนั้นมีเราอยู่ สักวันต้องเป็นจริงได้ ขออย่างเดียว อย่าฝันคนเดียว อย่าฝันอย่างโดดเดี่ยว ต้องมีเราในนั้นด้วยเสมอ ได้ไหม”

มือเรียวค่อยไล้ตามพระกร พระพาหา จนกระทั่งสัมผัสพระพักตร์ที่เธอจดจำได้ไม่ว่ายามหลับหรือตื่น

“หม่อมฉันจะฝันถึงพระเนตรดุๆ เสมอเวลาที่หม่อมฉันทำตัวดื้อ จะฝันถึงพระพักตร์เข้มๆ ที่หม่อมฉันแอบมองทุกครั้งเวลาทรงงาน จะฝันถึง…”

คำตอบข้อต่อมานั้นถูกชี้นำด้วยริมโอษฐ์ที่แตะจุมพิตอ่อนหวาน ลึกซึ้ง และเปี่ยมด้วยรสคะนึงหาแห่งความรัก

“อนุญาต…”

สุรเสียงละมุนนั้นน่าฟังยิ่ง จนมิรามาลินทร์ได้แต่ยิ้มรับ ทว่า…รอยจุมพิตของบุรุษที่ทรงฝากฝังไว้ทั้งยามหลับและยามตื่นนั้น ช่างทำให้ฝันที่เป็นจริงตรงหน้านี้นั้น…ยากเกินจะรับมือได้เสียจริง

 

กลิ่นดอกไม้ที่อวลตลบไปทั้งห้องทำให้มิรามาลินทร์ยิ้มกว้างออกมา

วันนี้เป็นกลิ่นกุหลาบที่เธอไม่อยากจะจินตนาการเลยว่าในห้องนี้จะมีกุหลาบมากขนาดไหน ห้องจึงอวลกลิ่นจรุงใจได้ขนาดนี้

“กุหลาบสีขาว” สุรเสียงห้าวอธิบายกระซิบ กลีบบางของกุหลาบแตะเรียวปากอิ่มแผ่วเบา ทว่ามิรามาลินทร์กลับรุ้สึกคล้ายใบหน้าตนเห่อร้อนขึ้น เพราะรับรู้ถึงสัมผัสใกล้ชิดจากไอผะผ่าวที่แผ่ซ่าน

“ขอบพระทัยเพคะ”

“มากินข้าวเช้าด้วย”

รับสั่งพลางโอบร่างเพรียวบางเดินไปนั่งโต๊ะอาหาร ซุปข้นหลากสีจากผักต่างชนิดกัน วางล้อมแผ่นแป้งย่างจนหอม ตัดไว้พอดีคำ หากพระหัตถ์คว้ามีดหั่นให้เล็กลงอีก ก่อนถาม

“ลองซุปฟักทองไหม”

“เพคะ”

มิราตอบ รอจนแผ่นแป้งจรดปาก จึงค่อยรับน้ำพระทัยที่ทรงตั้งใจป้อน

“วันนี้เราจะข้ามไปฝั่งโน้น ไปด้วยกันไหม”

ภารกิจที่ต้องไปนำน้ำแร่และยาจากวิหารศักดิ์สิทธิ์เพื่อรักษามิรามาลินทร์ ดูจะกลายเป็นเรื่องปกติเสียแล้ว สมเด็จพระราชาธิบดีสินธุธาราแห่งสินธุรัฐ จะให้คนนำมาให้ก็ไม่ทรงไว้ใจอีก สุดท้ายเสด็จเองทุกครั้ง และถือโอกาสพามิรามาลินทร์ไปเยี่ยมเยียนท่านอาจารย์ด้วย

“ไปเพคะ”

“เดี๋ยวให้อลินาหาชุดมาเปลี่ยน”

“ชุดนี้ไม่ได้หรือเพคะ” มิรามาลินทร์ถามพลางขมวดคิ้ว เท่าที่สัมผัสก็เป็นชุดกระโปรงบานยาวสวมพร้อมกับเสื้อทอไหมพื้นเมืองตัวสั้นคลุมทับด้วยผ้าฐานันดรประดับเข็มพันธาภรณ์ หรือ…สีสันจะจัดจ้านไป

“เรียบไปหน่อย”

คราวนี้หญิงสาวถึงกับถอนใจ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ชุดเสื้อผ้าพื้นเมืองและกระโปรงบานยาวสีสดใส แต่อยู่ที่คนตรงหน้านี่แหละ

“หม่อมฉันไม่ชอบชุดกรุยกราย มองก็ไม่เห็น เดี๋ยวเดินเหยียบชายกระโปรงสะดุดล้มกันพอดีเพคะ”

“เดี๋ยวเราจับมือไว้ ไม่ล้มหรอก”

“ทรงทำตามสบายพระทัยเถิด”

มิรามาลินทร์ว่าพลางยื่นมือออกไป และแทบจะทันทีมือเล็กของเธอก็ถูกกุมไว้ด้วยพระหัตถ์แห่งจอมพลศิขราช ที่ดูจะไม่มีวันเบื่อหน่ายเลยที่ได้จับมือเดินไปด้วยกันทุกที่ดังที่เคยสัญญากับเธอไว้

“ปติสุขร่วมยินดี ปัตนีทุกข์มิทอดทิ้ง ตราบลมหายใจมิพรากจากกาย มิคลายสัจจะวาจา”

 

วันนี้สมเด็จพระอนุชาธิราชฯ เลือกที่จะเสด็จไปยังเส้นทางลัดระหว่างค่ายจตุรทิศและชายแดนสินธุรัฐ แนวป่ากุหลาบพันปีโรยราลงแล้ว เหลือเพียงกิ่งใบที่หยัดยืนติดลำต้น ทว่าในความทรงจำของทั้งสองคนกลับมีแต่ดอกไม้กลีบสีชมพูเบ่งบานอยู่ในใจไม่โรยรา

วรองค์สูงนำเสด็จพระชายาปติมาใต้ร่มไม้ ก่อนจะกระซิบบอกด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน

“แวะพักที่แนวป่ากุหลาบพันปีสักครู่นะ”

“เสด็จทางนี้แล้วจะเข้าสินธุรัฐอย่างไรเพคะ จะให้หม่อมฉันปีนกำแพงคงไม่ไหวแน่”

ความทุลักทุเลในยามเอาตัวรอดหนีตายเมื่อหลายเดือนก่อนยังคงแจ่มชัด มิรามาลินทร์ยิ้มให้กับตัวเอง หนีเสือปะจระเข้เข้าเต็มๆ

“เราแค่อยากจะให้เธอแวะสูดอากาศดีๆ ต่างหาก ตอนนี้ที่นี่กำลังจะสร้างเป็นจุดผ่านแดนชั่วคราวเพิ่มเติมหากสินธุรัฐยอมเปิดประตูต้อนรับ”

“สมเด็จพระราชาธิบดีสินธุธาราต้องทรงดีพระทัยมากแน่ๆ ชายแดนฝั่งนี้ใกล้กันที่สุด หากมีการคมนาคมเชื่อมกันได้การเดินทางจะสะดวกรวดเร็วขึ้นอีก”

“เราจะให้ชื่อถนนเส้นนี้ว่า ถนนมิราตุลธร”

แค่นึกภาพป้ายชื่อบนถนนเป็นชื่อคู่ มิรามาลินทร์ก็ยอมแพ้ หญิงสาวค้านหัวชนฝา

“ไม่เอาเพคะ เขียนชื่อคู่กันอย่างกับเด็กๆ”

“อ้าว ก็ตั้งใจแบบนั้น ชื่อของเราสองคนจะได้อยู่ไปนานๆ ไง”

“ถ้าอย่างนั้นหม่อมฉันจะทูลสมเด็จพระราชาธิบดีว่าไม่ต้องทรงอนุญาตโครงการนี้เพคะ”

“งั้นก็ไปด้วยกันเสียเดี๋ยวนี้ ให้ทรงตัดสินไปเลยว่าจะเข้าข้างน้องสาวหรือน้องเขย”

จอมพลตุลธรฯ รับสั่งพลางสรวล หากมิรามาลินทร์กลับทำหน้ากระเง้ากระงอด ถึงอย่างไรเธอก็จะไม่ยอมให้ทรงตั้งชื่อนี้เด็ดขาด เดี๋ยวจะเสนอให้ใช้ชื่อ ‘ตุลธรธัชธารา’ เพื่อสัมพันธไมตรีอันแน่นแฟ้นของสองประเทศเสียให้เข็ด

 

รถยนต์พระที่นั่งประดับธงชาติศิขราชแล่นผ่านชายแดนเมืองอัมพุอย่างช้าๆ ให้ประชาชนที่มารับเสด็จได้ชื่นชมพระบารมีกันอย่างถ้วนหน้า ด้านหน้าวิหารเทพมีกองทหารเกียรติยศรอต้อนรับ พร้อมกับอินทัชที่รอเชิญเสด็จ

วรองค์สูงใหญ่แห่งจอมทัพค่ายจตุรคีรีเสด็จก่อน จากนั้นจึงค่อยหันไปประคองพระชายาปติที่ทรงชุดพื้นเมืองของศิขราชประทับเคียงกันให้ทุกคนได้เฝ้ารับเสด็จ

“ถวายบังคมฝ่าบาท สมเด็จพระราชาธิบดีทรงประทับที่ห้องมนตรากระหม่อม”

“เดี๋ยวเราพามิรามาลินทร์ไปพบท่านอาจารย์อมราวดีก่อนสักครู่”

“รับด้วยเกล้าพระเจ้าค่ะ”

 

นับตั้งแต่ย่างเท้าเข้าเขตวิหารเทพมิรามาลินทร์ราวกับว่ามองเห็นทุกอย่าง เธอเดินไปยังสถานที่ต่างๆ ของวิหารได้อย่างคล่องแคล่วจนเจ้าชายจอมทัพทรงเปรยอย่างชื่นใจ

“เก่งนี่…หรือว่าหายแล้ว”

“หม่อมฉันอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด ข้าวของทุกอย่างล้วนแต่ไม่เคยเคลื่อนย้ายโดยพลการได้ เดินอย่างไรก็ไม่สะดุดล้มเพคะ”

“เดี๋ยวจะให้อารัญกลับไปบอกช่างที่ตำหนักใหม่ ให้ออกแบบเหมือนวิหารเทพ”

“อย่าลำบากเลยเพคะ ทรงสร้างตามสบายพระทัยเถิด”

“งั้นก็ตกลงตามนี้”

มิรามาลินทร์ได้แต่ยิ้มอ่อนอกอ่อนใจ หากไม่กราบทูลคัดค้านอะไรอีก ได้แต่ถวายคำนับและเดินเข้าสู่พื้นที่วิหารชั้นในอันเป็นที่ตั้งของท่านอาจารย์เทวนารี

หญิงสาวรวบชายกระโปรงบานยาวพลางนั่งคุกเข่าลงต่อหน้าอาจารย์เทวนารี ก่อนค้อมศีรษะแสดงความเคารพสูงสุด สีหน้าอิ่มเอมแจ่มใสของหญิงสาวทำให้องค์อมราวดีเปรยทักพลางดึงมือลูกศิษย์คนโปรดมานั่งด้วยกันบนโซฟาตัวยาว

“สุขใจกายสบายดีกระมัง”

“สบายดีค่ะ คนในค่ายจตุรทิศคุ้นเคยกันดีแล้วค่ะ”

“เช่นนั้นก็ควรตอบแทนคนทางนั้นให้มาก น้ำใจย่อมเผยแผ่น้ำใจต่อไปไม่สิ้นสุด” เมื่อท่านอาจารย์เอ่ยดังนี้ มิรามาลินทร์กลับยิ้มรับเศร้าสร้อย

“หญิงก็อยากทำเช่นนั้นให้มากค่ะ แต่ดวงตาของหญิง…”

“น้ำใจที่เจ้ามอบให้ผู้อื่นนั้นมาจากดวงตากระนั้นหรือ เราคิดว่าสิ่งสำคัญคือจิตใจต่างหาก ใจที่มอบน้ำใจ ส่งต่อได้เสมอ”

“แต่หญิงได้รับน้ำใจมากเกินไป มากเสียจนเกรงว่าจะส่งต่อไปไม่ไหว”

มิรามาลินทร์ก้มหน้าเอ่ยเสียงเครือ ความรู้สึกที่เป็นดั่งหลุมน้ำวนที่คอยดึงใจให้ดิ่งจมทุกครั้งเมื่อเธอต้องตามเสด็จเคียงคู่ สายตาคนอื่นที่จับจ้องมาแม้ไม่ต้องใช้เนตรทิพย์ก็รับรู้ได้เพราะคำพูดปากต่อปาก …เสียดาย

แม้มิรามาลินทร์จะถูกจำกัดมิให้ได้เห็นได้ยินสิ่งใดมากระทบกระเทือนความรู้สึก ทว่ายิ่งปกป้องก็ยิ่งถูกกระทบได้ง่าย

“หญิง อยากกลับมาอยู่ที่นี่จนกว่าหญิงจะแข็งแรงกว่านี้”

“เจ้าชายทรงทราบหรือไม่”

“หญิงไม่กล้าบอก หญิงเลยจะให้อาจารย์ช่วยค่ะ”

“พูดเหมือนไม่รู้จักองค์จอมพล มีหรือจะทรงฟังใคร”

“ถ้าอย่างนั้น หญิงจะทำพิธีเสี่ยงทายขอคำทำนาย”

“คำทำนายจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้หรือ”

“อย่างน้อยก็ช่วยให้พอเห็นหนทางมากขึ้นค่ะ”

“เพื่อแก้ไขหรือแก้ตัว” อาจารย์อมราวดีดักคอจนลูกศิษย์อึ้งไป นั่นสิ เธอกำลังต้องการคำทำนายเพื่อโน้มน้าวใครกันแน่

“มิรามาลินทร์ เธอรู้คำตอบทุกอย่างดีที่สุด ทุกอย่างมีเวลาของมันเสมอ ดวงตาของเธอก็เช่นกัน”

อาจารย์ยิ้มและเอื้อมมือมากุมมือลูกศิษย์อย่างเมตตาแกมเอ็นดู แววตากลมโตของมิรามาลินทร์สะท้อนอารมณ์หวั่นไหวและสับสน ความรู้สึกที่เกิดขึ้นสำหรับเจ้าตัวคงยากเกินจะรับมือและคงยากเกินจะควบคุมเสียแล้ว กุมารีตัวน้อยๆ ของเธอเติบโตเป็นหญิงสาวแล้วจริงๆ

“หญิงกลัว…จะไม่หาย”

“ถ้าข้อนี้ อาจารย์จะทำนายให้”

อาจารย์อมราวดีลุกขึ้นไปหยิบคนโทแก้วบนแท่นบูชาที่ตั้งไว้ริมหน้าต่าง ก่อนจะนำมาวางบนโต๊ะตรงหน้าที่พวกตนนั่งอยู่ เสียงแก้วกระทบกันกรุ๋งกริ๋งในยามที่อาจารย์นำขวดใบเล็กมาวางเรียงรายล้อมคนโททั้งสี่ทิศ ก่อนจะตั้งจิตเพ่งไปยังน้ำในคนโทในยามที่ยกเทด้วยความสูงสุดแขนลงไปยังขวดทั้งหมด

สายน้ำที่หยาดทิ้งตัวส่งประกายระยับ รินสู่ขวดราวกับสายน้ำทิพย์จากบนฟ้า และที่น่าแปลกคือน้ำทั้งสี่ขวดเปล่งสีออกมาต่างกัน อาจารย์อมราวดีมองน้ำที่ยังส่งกระเพื่อมในขวดด้วยสายตาที่รู้แจ้งกระจ่างใจ

“เธอกลัวจริงๆ เสียด้วย แต่เป็นกลัวความจริง”

อาจารย์เทวนารีเอ่ยพลางยิ้มกว้าง ก่อนจะเพ่งใบหน้างามจัดนั้นอย่างพินิจพิเคราะห์ พร้อมออกปากเตือนอย่างห่วงใย

“ถ้าไม่คิดจะบอกเจ้าชาย ก็จงอยู่ห่างพระองค์ไว้ รอเวลาที่เหมาะสม…แต่ถ้าทรงรู้ เรื่องใหญ่แน่”

คราวนี้มิรามาลินทร์ถึงกับถอนใจเฮือกใหญ่ เพราะพอจะเดาได้เหมือนกันว่าทรงทำให้เป็นเรื่องใหญ่ได้มากแค่ไหน

“หญิงมีเวลาอีกเท่าไหร่คะอาจารย์”

“ตราบเท่าที่ไม่เสด็จไปเฝ้ามหาเทวนารีที่มหิศรปุระ”

“โชคดีที่เสด็จมาที่นี่ก่อน องค์เจ้าหลวงทรงจัดพิธีฉลองที่มหาเทวีลงจากหอศีลตลอดอาทิตย์”

อาจารย์อมราวดีได้แต่มองลูกศิษย์ของตนที่พอไม่มีเนตรทิพย์แล้วก็ดูเหมือนกับว่าจะไม่รู้เท่าทันความคิดของใครต่อเสียเลย

“มิรามาลินทร์ การหนีความจริง ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น เธอจะหาคำตอบให้ตัวเองได้ ก็ต่อเมื่อหันหน้าเผชิญปัญหา และยอมรับความจริงเสีย”

มิรามาลินทร์ขยับปากจะอธิบาย หากทุกอย่างก็จริงดังที่อาจารย์พูด เธอเองต่างหากที่เป็นฝ่ายกลัว…กลัวความสัมพันธ์ที่เธอไม่เคยรู้จัก กลัวความคาดหวังมากมายที่ต้องแบกรับ และกลัว…ที่จะยอมรับกับตัวเองว่าเธอไม่สามารถอยู่ได้โดยที่ไม่มีเขาคอยปกป้องดูแล

“จงไปหาคำตอบให้กับตัวเองเถิด ค้นหา…เพื่อเผชิญหน้า อย่าหนีอีกเลยมิรามาลินทร์”

หญิงสาวค้อมศีรษะลงพลางแตะมืออาจารย์อย่างต้องการกำลังใจ ซึมซับเก็บเกี่ยวทุกความอบอุ่นแห่งวัยเยาว์ในวิหารเทพแห่งนี้ไว้ เพราะนับจากนี้ไป…เธอมิอาจหวนคืนฐานะกุมารีแห่งวิหารเทพได้อีกแล้ว

 

ห้องสี่เหลี่ยมประดับด้วยผ้าทอมือลวดลายอักขระมนตราที่แขวนติดผนังทั้งสี่ด้านนั้น ทำให้บรรยากาศรอบๆ ห้องสวดมนต์เต็มไปด้วยความสงบและศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้น เรื่องที่สองบุรุษผู้สูงศักดิ์กำลังทรงปรึกษากันอยู่นั้นจึงคล้ายดั่งสัจจะวาจาที่มีเทพเทวาเป็นพยาน

“แม่น้ำ แผ่นดิน อากาศ ทุกอย่างธรรมชาติสร้าง เราจะไม่ยึดครอง แต่จะให้เป็นประโยชน์ร่วมกัน”

สมเด็จพระราชาธิบดีพระองค์ใหม่แห่งสินธุรัฐรับสั่งหนักแน่นแน่วแน่ ทรงปล่อยให้ปัญหาเกิดขึ้นจนเกือบจะสายเกินแก้ บัดนี้จึงทรงตั้งพระทัยมั่น จะต้องทรงบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่ประชาชนและบ้านเมืองของพระองค์ให้มากกว่าเดิม

“เมืองอัมพุจะถูกอนุรักษ์และปลอดจากอุตสาหกรรมใดที่จะทำให้ธรรมชาติเปลี่ยนแปลง”

“ทุกตารางนิ้วของแผ่นดินศิขราชที่แม่น้ำอัมพุไหลผ่าน จะจดจำพระมหากรุณาธิคุณนี้ไม่เสื่อมคลาย และหากทรงประสงค์สิ่งใดที่หม่อมฉันและชาวศิขราชจะตอบแทนได้ก็มิต้องเกรงพระทัย”

เจ้าชายตุลธรธิบดีรับสั่งตรงๆ ง่ายๆ หากพระราชาธัชธาราทรงรู้ดีแก่พระทัย สิ่งเดียวที่จะทรงขอได้เพื่อพระองค์และสินธุรัฐก็คือ

“กัลยาณมิตรเช่นศิขราชก็เพียงพอแล้วฝ่าบาท”

“แต่หม่อมฉันมีสิ่งอื่นที่อยากขอร้องพระองค์อีกมากมาย”

“อย่างเช่น…?”

“กำหนดวันอภิเษกของหม่อมฉันและมิรามาลินทร์”

“ท่านอาจารย์และเราอยากให้น้องหายดีเสียก่อน”

“มิราไม่ได้เป็นอะไร” ทรงแย้งเสียงเข้ม พระพักตร์ตึงอย่างไม่สบพระอารมณ์ หากสมเด็จพระราชาธิบดีรับสั่งตอบอย่างพระทัยเย็น

“แค่ภายนอก แต่พวกเราก็รู้ดีแก่ใจว่าดวงตาเธอบอบช้ำและยังไม่เป็นปกติดี ทรงให้เวลาอีกสักหน่อย พระทัยร้อนไปได้”

“ทรงไม่เคยมีความรัก เลยพูดได้”

“เพราะหม่อมฉันรักน้องต่างหากเลยต้องพูด หากมีคำครหาตามมาเรื่องความไม่เหมาะสม จะทำให้มิรามาลินทร์เสียใจ”

“จะไม่มีวันเกิดขึ้น ทุกคนจะได้เห็นมิรามาลินทร์ในภาพที่งดงามที่สุด”

ถ้อยรับสั่งที่ดื้อดึงแน่วแน่ของจอมทัพศิขราชนั้นทำให้พระราชาหนุ่มถึงกับทอดถอนพระทัย สุดท้ายก็ได้แต่เลียนแบบถ้อยคำของมิรามาลินทร์ที่มักจะเอ่ยติดปากบ่อยครั้ง

“เช่นนั้น ก็ทรงทำตามสบายพระทัยเถิด”

“เป็นพระกรุณายิ่ง”

เจ้าชายตุลธรธิบดีทรงสรวลกว้าง น้อมรับทุกคำว่ากล่าวไว้โดยสบายพระทัย ก่อนจะรีบเสด็จออกไปอย่างรีบร้อน เพราะเมื่อเหลียวไปด้านนอกพระบัญชร ผู้ที่เป็นหนึ่งเดียวในหทัยกำลังก้าวมาหาช้าๆ

 

ลานด้านหน้าวิหารมนตราคือโถงกว้างสำหรับรองรับประชาชนและผู้มีจิตศรัทธาร่วมภาวนาในวาระสำคัญต่างๆ สองข้างทางเข้าประดับด้วยน้ำพุจำลองอันเป็นสัญลักษณ์ของน้ำทิพย์ศักดิ์สิทธิ์ที่คอยช่วยชุบชูชีวิตและรักษาโรคภัยต่างๆ

มิรามาลินทร์ยื่นปลายนิ้วแตะธารน้ำใสที่ผุดขึ้นก่อนจะหลับตารับทุกอณูเย็นเยียบที่ไหลรินผ่าน ใจที่ร้อนรุ่มเป็นกังวลก็ค่อยสงบลง จนกระทั่งได้ยินเสียงฝีพระบาทอันมั่นคงก้าวมาหยุดใกล้ หญิงสาวจึงหันไปเผชิญหน้าพลางเอ่ยเสียงจริงจัง

“หม่อมฉันมีเรื่องกราบทูลเพคะ”

สีหน้าที่เป็นกังวลยิ่งของหญิงสาวทำให้เจ้าชายตุลธรธิบดีทรงหันพระพักตร์หา แววพระเนตรทอดประกายห่วงใยใส่พระทัย

“พูดมา…”

“หม่อมฉันจะสูญเสียเนตรญาณ หากเข้าพิธีครองเรือน มีครอบครัว มีทายาท” น้ำเสียงราบเรียบนั้นช่างสวนทางกับดวงหน้างามที่แต้มสีระเรื่อขึ้น หากมิรามาลินทร์ก็ยังพยายามพูดต่อไป

“หม่อมฉันจึงอยากให้ทรงพิจารณาเรื่องระหว่างเราอีกครั้ง แม้เราจะผ่านพิธีแลกตราพันธาภรณ์กันแล้ว แต่ทุกอย่างยังแก้ไขได้ทัน”

“เธอหมายความว่าอย่างไร”

“ตอนนี้ทั้งสินธุรัฐและศิขราชล้วนมีไมตรีอันดีต่อกันมั่นคงแล้ว หม่อมฉันเห็นควรว่าพันธะระหว่างเราควรพิจารณาแก้ไขกันเสียใหม่ เพราะหม่อมฉันเองมีข้อบกพร่องมากมาย หากไม่มีเนตรญาณ หม่อมฉันก็ไม่คู่ควรที่จะอาจเอื้อมต่อพระองค์เพคะ”

“มิรา!” รับสั่งเสียงดุจัด ชนิดที่แค่ฟังก็แทบจะเข่าอ่อนแล้ว หากหญิงสาวยังคงบังคับตัวเองให้ยืนนิ่ง ตาหลุบลงอย่างยอมรับทุกชะตากรรมที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้

“เธอคิดว่าที่เราพาเธอข้ามชายแดนมารักษาตัว เพื่อเนตรทิพย์อย่างนั้นหรือ”

“หม่อมฉันไม่ได้หมายความเช่นนั้นเพคะ เพียงแต่หม่อมฉันอยากให้ทรงพิจารณาอีกครั้ง หากเรายกเลิกการอภิเษก และหม่อมฉันสามารถใช้เนตรญาณเพื่อตอบแทนพระองค์ได้…”

“เราต้องการแค่เธอ!” สุรเสียงดังก้องนั้นทำเอามิรามาลินทร์สะดุ้ง หัวใจเต้นราวกับจะหลุดออกมาจากกาย เผลอกลั้นหายใจเมื่อหัตถ์หนาแตะประคองดวงหน้าเธอก่อนที่รอยจุมพิตหนักหน่วงจะประทับตามติดราวกับจะลงโทษในสิ่งที่เธอพูดไม่ถูกพระทัย

“แค่เธอ…” เนิ่นนานกว่าจะหลุดรับสั่งอ่อนหวาน ที่ย้ำคำมั่นคง

“ถ้าจะตอบแทนกัน ก็จงรัก!…รักเราให้มากที่สุด ได้ไหม”

“แต่หม่อมฉันไม่เหลือค่า ไม่คู่ควร…”

“ชายาปติแห่งเราคู่ควรหรือไม่ เราคือคนตัดสิน” รับสั่งพลางทอดพระเนตรดวงหน้างามพิลาสที่คล้ายกับจะร้องไห้ไปทุกที ประโยคถัดมาจึงทรงทอดสุรเสียงให้อ่อนลง

“เราไม่ได้ต้องการเพื่อนรบ ไม่ต้องการผู้กล้า ไม่ต้องการผู้เสียสละ คนรักของเราไม่ต้องมากความสามารถถึงเพียงนั้น คนรักของเรา มีเพียงสิ่งเดียวก็พอ…นั่นคือ รักเราที่สุด ที่เหลือเป็นหน้าที่ของเรา ที่จะปกป้อง ดูแลผู้หญิงของตัวเอง ให้สมกับความรักที่มอบให้”

“ต้องที่สุดด้วยหรือเพคะ”

“ที่สุดเท่านั้น…”

“แล้วอย่างอาจารย์ล่ะคะ”

“ไม่นับสิ คนละโหมดกัน”

“แล้วอย่างพี่ชายธัช”

“นั่นยิ่งแล้วใหญ่ ไม่นับเด็ดขาด”

“แล้วถ้า หากวันข้างหน้ามีเด็กๆ ครอบครัวใหญ่ขึ้น” มิรามาลินทร์ทูลถามพลางก้มหน้างุด ใบหน้างามจัดนั้นแดงก่ำชวนน่ารังแกเป็นที่ยิ่ง หากเจ้าชายตุลธรธิบดีทรงหักห้ามพระทัยสุดความสามารถ ถึงอย่างไรก็ทรงได้ฤกษ์จากมหาเทวนารีมาแล้ว และพระองค์ทรงเชื่อมั่นในตัวพระเชษฐาว่าจะทรงเนรมิตพิธีอภิเษกได้ภายในเจ็ดวันอย่างแน่นอน

คราวนี้จอมพลตุลธรฯ ที่ทรงนิ่งคิดไปครู่ใหญ่ด้วยเหตุอื่น จึงค่อยยอมตกปากรับคำ รับสั่งอย่างไม่เต็มพระทัยนัก

“ยอมให้รักเท่ากัน แต่ห้ามรักลูกมากกว่าเรา”

“ทำไมทรงหวง”

“เพราะมีแค่คนเดียว แบ่งใจไม่ได้”

“งั้นหม่อมฉันก็จะแบ่งใจให้เท่าๆ กัน”

“สิ่งตอบแทนของคนไม่แบ่งใจ และรักแค่เธอที่สุด ได้เพียงเท่านี้เองหรือ”

รับสั่งอย่างตัดพ้อ หากพระเนตรที่ทรงจับจ้องหญิงสาวนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความคาดหวังและรอคอย มิรามาลินทร์หลับตาลงนิ่งอยู่อึดใจ ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้น และมองสบพระเนตรคมเข้มที่บัดนี้ทอประกายหวานซึ้งและเปี่ยมไปด้วยความยินดียิ่งในยามที่ทรงมีกันและกันในเงาสะท้อนผ่านหน้าต่างของหัวใจ

“มิรา…”

“รัก…ที่สุดเพคะ”

“จะรอฟังคำนี้ทุกวัน ทุกเวลา เริ่มตั้งแต่วันนี้ เดี๋ยวนี้เลย”

รับสั่งอย่างทรงเอาแต่พระทัย พระเนตรคมที่ทอประกายหวานซึ้งนั้นยืนยันทุกคำว่าจะไม่ทรงยอมให้เธอบิดพลิ้ว หญิงสาวจึงขยับใบหน้าไปจนชิดพลางกระซิบถ้อยคำที่ทรงเรียกร้อง

“หม่อมฉันมีเพียงสัจจะวาจา ตราบชีวาหาไม่ จะรักและภักดีเพียงฝ่าบาทเพคะ”

“ขอบใจ และ…อนุญาตเพียงคนเดียว”

จอมพลตุลธรฯ ทรงประทับจุมพิตรับรองสิทธิ์ให้พระชายาอย่างอ่อนหวาน ซึ่งมิรามาลินทร์ยินยอมให้คำพูดตัวเองผูกมัดทั้งตัวและหัวใจ เพราะเธอเองก็ยินดีที่จะใช้ทุกอย่างในชีวิตนี้แทนพันธาภรณ์แห่งคำว่ารักตลอดไป

 

– จบบริบูรณ์ –

 



Don`t copy text!