เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 3 : คำตอบ หรือ ความจริง
โดย : ประดับยศ
เล่ห์พันธาภรณ์ นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย ประดับยศ กับเรื่องราวของ ‘มิรามาลินทร์’ หญิงสาวผู้ถูกเลี้ยงดูมาโดยนักบวชในวิหารเทพ แต่แล้ววันหนึ่งเธอต้องหนีเอาชีวิตรอดเพื่อตามหาบุคคลในคำทำนายที่จะมาช่วยปกป้องวิหาร คนผู้นั้นคือใคร ชีวิตเธอจะเป็นอย่างไร อ่านได้ในเว็บไซต์ anowl.co และเพจ anowldotco
ถนนที่ตัดคดเคี้ยวไปตามแนวสันเขาทำให้รถจี๊ปทหารต้องค่อยๆ ขับไปอย่างช้าๆ เพราะนอกจากเส้นทางจะชันและคดเคี้ยวแล้ว อุปสรรคสำคัญคือไอหมอกสีขาวคลุ้งคลุมไปทั่วทั้งผืนป่าจนยากจะแยกได้ว่าหากขับเลยเส้นทางไปข้างหน้าจะป่าหรือหุบเหว ดังนั้นแม้จะกินเวลานานกว่าจะถึงพระตำหนักยอดภู แต่บุคคลที่สวมเสื้อชายยาวเนื้อผ้าสบายๆ ยกเว้นผ้าดูปัตตาปักดิ้นทองที่พาดบนพระอังสาตามฐานันดร ประทับเด่นเป็นสง่าอยู่บนเทอเรซของพระตำหนักทรงสี่เหลี่ยมสีขาวขนาดสองชั้นอย่างอดทน เพื่อรอเสวยมื้อเช้าพร้อมกับผู้มาเยือน ดังนั้นแขกร่างบึกบึนจึงเผยรอยแย้มสรวลที่มีสำหรับคนในครอบครัว พลางรับสั่งทักทายอย่างยินดีขณะก้าวลงจากรถในยามสายมากแล้ว
“รอนานไหมพระเจ้าค่ะ” เจ้าชายตุลธรธิบดีทูลถามพระเชษฐาทันทีที่ก้าวเข้ามาถึงระเบียงชั้นบน และก็ได้รับรอยแย้มสรวลน้อยๆ พร้อมกับคำตอบที่ตามมา
“รอได้ทั้งวัน เพราะวันนี้เป็นวันโภคี (1)”
“หม่อมฉันแค่ตั้งกฎขึ้นมาแกล้งพวกขี้เมาในค่ายจตุรทิศเท่านั้น จะได้กลับไปกินข้าวกับที่บ้านบ้าง”
“นายก็ไม่เห็นขี้เมานี่ แต่ทำไมถึงไม่ค่อยมากินข้าวกับพี่”
“ขี้เกียจถูกจับนั่งโต๊ะยาวยี่สิบที่นั่งน่ะฝ่าบาท” พระอนุชาธิราชบ่นด้วยพระพักตร์เซ็งจัด ทำเอาสมเด็จเจ้าหลวงฯ ทรงแย้มสรวลน้อยๆ ส่งให้พระพักตร์อ่อนโยนยิ่งทรงเสน่ห์ พลางเสด็จนำไปยังโต๊ะเสวยที่มีเพียงกาแฟดำและแผ่นแป้งย่างที่ตัดขนาดพอดีคำราดน้ำผึ้ง จนพระอนุชาธิราชถึงกับโอดครวญ
“เสวยแต่แป้ง เดี๋ยวอีกหน่อยลมก็พัดตกเขา”
“ตกไปฝั่งไหนดี อินเดีย ภูฏาน ทิมปาล หรือ สินธุรัฐ” เจ้าหลวงภวินทราชรับสั่งถึงชายแดนทั้งสี่ทิศที่เป็นเขตติดต่อ พลางรินกาแฟยื่นให้คนนั่งตรงข้ามหลังจากที่ข้าราชบริพารถูกสั่งให้ออกไปให้พ้นเขตระเบียงรับรองเพื่อให้สองพี่น้องได้ทรงผ่อนคลายพระอิริยาบถอย่างเต็มที่ หากพระอนุชาทรงนิ่งคิดไปอย่างเป็นจริงเป็นจัง ทอดพระเนตรออกไปยังทิวเขาเบื้องล่างไกลสุดตา แม้จะมีละอองหมอกคลุมจางๆ หากทรงจำได้ดีว่าชายแดนแต่ละด้านนั้นสถานการณ์เป็นเช่นไร ก่อนทูลตอบ
“ที่ไหนก็ได้ยกเว้น สินธุรัฐ พระเจ้าค่ะ”
“ทำไม อย่าบอกนะว่าเพราะไม่มีเจ้าหญิงสวยๆ”
“รับสั่งไปเถอะ ทรงโสดมาจนสามสิบห้าชันษา ไม่เห็นจะทรงแลใคร”
“เหมือนนายไง”
“หม่อมฉันทำงานถวาย เลยไม่มีเวลามองสาว มีแต่เรื่องวุ่นวายทุกวัน”
“ก็เลยห้ามไม่ให้พี่ไปวุ่นกับสินธุรัฐอย่างนั้นหรือ”
“อันนั้นวุ่นจริงพระเจ้าค่ะ ข้างในกำลังเกลี่ยขั้วอำนาจ กรุ่นๆ กันจนลามมาถึงชายแดน”
“ควรใช้การทูตก่อน อย่าวู่วาม” พระเชษฐาทรงเอ่ยเตือน เพราะเท่าที่ทรงฟังมาดูเหมือนว่าอีกฝ่ายที่ประจำอยู่ชายแดนด้านนั้นคงจะเตรียมพร้อมปะทะเรียบร้อยแล้ว
“หม่อมฉันจะข้ามไปดู”
“มีเรื่องอะไรกันแน่” องค์เจ้าหลวงทรงหันมาจ้องพระอนุชาอย่างตั้งพระทัยฟัง เจ้าฟ้าตุลธรธิบดีทรงนิ่งไปอย่างชั่งใจ ก่อนจะทูลตอบ แววพระเนตรเต็มไปด้วยความกังวล
“ท่านลุงเตโชถูกจับ”
“รหัสภารกิจ?”
“ไม่มีกระหม่อม” เจ้าหลวงภวินทราชได้ยินคำตอบแล้วก็ถึงกับถอนพระอัสสาสะปัสสาสะเฮือกใหญ่ ปรกติรหัสภารกิจลับของกองทัพศิขราชจะแบ่งเป็น 5 ระดับ ขาว เหลือง ส้ม แดง ดำ ตามความสำคัญ แต่ถ้าไม่มีรหัส…นั่นหมายถึง เรื่องนี้แอบทำโดยพละการ หากมีผู้ไม่หวังดีรู้เข้าและถวายรายงานเข้ามาอาจโดนยัดข้อหากบฏให้ง่ายๆ พระเนตรคมกริบตวัดจ้องพระอนุชาที่ทรงรักมากกว่าใคร แต่ก็ดื้อดึงยิ่งกว่าใครด้วยเช่นกัน
“ให้อารัญไป”
“…” เจ้าชายแห่งค่ายจตุรทิศทรงทำคล้ายไม่ได้ยิน จนองค์เจ้าหลวงรับสั่งเสียงเข้มอย่างที่ไม่ค่อยได้ยินนัก
“เจ้าฟ้าตุลธรธิบดี จอมพลจตุรคีรีศิขราช พระอนุชาธิราชแห่งองค์เจ้าหลวง จงอย่าลืมว่าเธอเป็นใคร ทุกการกระทำ คือ ชีวิตของชาวศิขราช”
เจ้าชายตุลธรฯ สบพระเนตรกับบุคคลที่นั่งตรงกันข้าม หากยังคงไร้ซึ่งถ้อยคำใดตอบกลับนอกจากการลุกขึ้นถวายคำนับพระเชษฐาและจากไป จนเจ้าหลวงภวินทราชได้แต่กลุ้มพระทัย เพราะทรงรู้นิสัยพระอนุชาดี ข้อเสียเดียวที่ทำให้เจ้าฟ้าชายตุลธรฯ ถูกคัดค้านจากเหล่าคณะมนตรีและท่านที่ปรึกษาต่างๆ มิให้ทรงแต่งตั้งเป็นพระรัชทายาทแม้จะทรงพระปรีชารอบด้านยิ่ง ก็คือ ทรงมิวางพระทัยเป็นหนึ่งให้ศิขราช…
เจ้าชายที่รั้งตำแหน่งจอมทัพผู้นั้นยอมลงให้เพียงแค่เจ้าหลวงภวินทราชและท่านลุงเตโช ด้วยคำเดียว ‘ครอบครัว’ บ้านของเจ้าชายตุลธรฯ จึงเล็กนิดเดียว หาได้กว้างใหญ่ไพศาลเช่นที่องค์เจ้าหลวงทรงดูแลชาวศิขราชทุกผู้อยู่ไม่
หากเจ้าหลวงภวินทราชก็ยังทรงเชื่อมั่นลึกๆ อยู่ในพระทัย สักวันหนึ่งตุลธรธิบดีจะให้อภัยตัวเองและเข้าใจทุกความสูญเสียที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เพียงแต่กว่าจะถึงวันนั้นพระองค์คงต้องรออย่างพระทัยเย็นๆ เพราะเดี๋ยววันนี้พรุ่งนี้พระอนุชาของพระองค์ก็ต้องหาทางข้ามไปสินธุรัฐจนได้ ดังนั้นทรงไปเตรียมรับมือกับเหล่าคณะมนตรีน่าจะง่ายกว่าห้ามน้องชายแสนดื้อคนนั้น
“รามิล ไปหาข้อมูลสถานการณ์ของสินธุรัฐให้เราที” เจ้าหลวงภวินทราชทรงยกพระหัตถ์นิดเดียว ราชองครักษ์ก็ปราดมารับสนองพระบัญชาทันที
“เจ้าชายตุลธรฯ ทรงฝากถวายรายงานมาแล้วพระเจ้าค่ะ”
“สั่งให้ทีมรหัสดำเตรียมตัวพร้อมปฏิบัติการ ถ้าพบสัญญาณผิดปรกติต้องเข้าถึงตัวตุลธรฯ ได้ทันที”
“รับด้วยเกล้าพระเจ้าค่ะ”
เจ้าหลวงภวินทราชรับรายงานจากอีกฝ่ายมาถือไว้ในขณะที่ทอดพระเนตรไกลออกไป อีกฟากหนึ่งของผืนป่าที่เขียวชอุ่มแซมด้วยสีชมพูของดอกลาลีกูรันส์ กุหลาบพันปีสายพันธุ์เฉพาะของศิขราชที่เบ่งบานสะพรั่งอย่างหนาตา บัดนี้ทรงรู้แล้วว่าเบื้องหลังแนวป่าสีละมุนนั้น ไม่ได้ดูสวยงามดังเช่นที่มองเห็นอีกต่อไปแล้ว
ความเจ็บร้าวที่มีจุดกึ่งกลางจากไหล่ขวาลามไปจนทั่วแผ่นหลังทำให้หญิงสาวรับรู้ได้ว่าตัวเองยังคงมีชีวิตอยู่ แม้ว่าตอนนี้สติสัมปชัญญะจะยังไม่ครบถ้วน แต่ก็พอจับสติรู้ได้ว่าขณะนี้ตนเองอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย ห้องพักที่ถูกตกแต่งด้วยของโบราณแต่ยังคงสภาพดีทุกชิ้นบ่งบอกว่าผู้เป็นเจ้าของตั้งใจดูแลจนสามารถผ่านร้อนหนาวของสภาพภูมิอากาศแถบหิมาลัยมาได้เป็นอย่างดี อีกทั้งอุปกรณ์การแพทย์ครบครันถูกจัดสรรไว้เป็นหมวดหมู่ อยู่ในที่ที่สามารถหยิบมาใช้ได้อย่างสะดวก ทำให้เธอค่อนข้างมั่นใจว่าที่นี่คือห้องพยาบาล เพียงแต่ยังไม่แน่ใจนักว่าห้องนี้อยู่ฝั่งแผ่นดินสินธุรัฐ หรือ ศิขราช
หญิงสาวขยับตัวพลางสำรวจตัวเองอย่างยากลำบาก ตอนนี้เธออยู่ในชุดผ้าฝ้ายหลวมๆ ของคนไข้ แต่ชั้นในที่ถูกถอดออกทำให้ใจหายวาบ ก่อนจะพยายามมองหาผ้าปักมุกและของสิ่งสำคัญที่เธอนำติดตัวไม่เคยห่าง แต่ไม่ว่าจะพยายามเหลียวมองไปทางไหนก็ไม่พบข้าวของส่วนตัวของเธอ หญิงสาวจึงพยายามจะขยับตัวเพื่อลุกขึ้นตามหาให้ถนัด ทว่าความเจ็บร้าวที่แล่นเป็นริ้วๆ ทั่วแผ่นหลังทำให้หลุดปากร้องอุทานออกมา จนผู้มาใหม่ในชุดกาวน์ที่เพิ่งก้าวเข้ามาพร้อมกับยาในมือหันไปเอ่ยกับพยาบาลที่เดินตามกันมาอย่างยินดี
“คนเจ็บฟื้นแล้ว รีบไปกราบทูลสมเด็จฯ เดี๋ยวนี้”
และยังไม่ทันที่คนเจ็บจะได้ตั้งสติทบทวนกับประโยคที่ได้ยินเมื่อครู่ให้ถี่ถ้วนดี มือนวลเล็กของคุณหมอก็ขยับมาช่วยประคองให้เธอขยับตัวได้สะดวกขึ้นพร้อมกับเสียงนุ่มเย็นระรื่นหูที่คอยแนะนำ
“ค่อยๆ ลุกค่ะ คุณถูกยิงมา ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว แต่ต้องระวังแผลค่ะ”
“ที่นี่คือ?”
“ค่ายจตุรทิศค่ะ”
“ชายแดนศิขราช…” หญิงสาวพึมพำเบาๆ อย่างโล่งใจก่อนจะหันไปขอบคุณแพทย์หญิงที่รักษาเธอ
“ขอบคุณคุณหมอที่ช่วยฉันไว้นะคะ”
“หมอรักษาตามหน้าที่ค่ะ แต่คนที่ช่วยคุณไว้น่ะ อยู่นั่นค่ะ”
แพทย์หญิงอลินาว่าพลางบุ้ยใบ้ไปยังประตูที่ปรากฏร่างสูงล่ำสันแบบชายชาตินักรบที่เดินลิ่ว
เข้ามาแทบจะทันทีที่พยาบาลไปทูลรายงานว่าคนเจ็บฟื้นแล้ว
“ฟื้นสักที อาการเป็นยังไงบ้าง พอจะพูดคุยไหวหรือเปล่า”
ประโยคคำถามจากผู้ชายคนนั้นไม่ได้พูดกับเธอ แต่หันไปพูดกับคุณหมอที่แม้จะมีสีหน้าไม่ค่อยอยากจะอนุญาตนักแต่ก็ตอบกลับไปอย่างนอบน้อม
“อาการโดยรวมถือว่าปลอดภัยดีแล้วเพคะ หากจะทรงซักถามควรใช้เวลาไม่นาน หม่อมฉันอยากให้คนเจ็บได้พักผ่อนก่อนเพคะ”
“ขอแค่ห้านาที”
สมเด็จฟ้าชายฯ รับสั่งพลางดูนาฬิกาข้อมือราวกับจะจับเวลา แพทย์หญิงอลินาจึงก้าวถอยออกจากห้องไปพร้อมกับทำหน้าที่เฝ้าด้านนอกไว้เสียเอง
“เธอเป็นใคร”
รับสั่งถามพลางลากเก้าอี้มานั่งในระยะมือเอื้อม จนหญิงสาวที่อยู่บนเตียงคนเจ็บขยับระวังตัวโดยอัตโนมัติเพราะสัญชาตญาณเตือน …ไม่น่าไว้ใจ คนป่วยพยายามทบทวนเร็วๆ ว่าเธอหนีข้ามชายแดนมาได้อย่างไร เพราะความทรงจำสุดท้ายขณะกำลังหลบหนีทหารสินธุรัฐนั้นดูเหมือนว่าเธอจะได้เจอกับใครคนหนึ่ง ซึ่งหากฟังจากคุณหมอที่เรียกขานถึงสมเด็จฯ เมื่อครู่ คนที่ช่วยเธอไว้เห็นจะเป็นบุรุษสูงศักดิ์ผู้นี้ และความสงสัยของเธอก็ถูกยืนยันจากโอษฐ์ของชายชาตินักรบตรงหน้า
“เราคือ เจ้าฟ้าตุลธรธิบดี จอมพลแห่งศิขราช” รับสั่งพลางทรงจับพิรุธอากัปกิริยาของอีกฝ่าย แต่หญิงสาวกลับมีท่าทีหวาดระแวงเพิ่มขึ้นไปอีกเมื่อรู้ว่าพระองค์คือใคร ทำให้สมเด็จฯ ทรงลองรับสั่งประโยคถัดมา
“ ไม่ต้องกลัว ตอนนี้เธอปลอดภัยดี แต่เราจำเป็นต้องรู้ว่าเธอเป็นใคร และไปที่ชายแดนคืนนั้นทำไม”
ความเงียบยังคงเป็นคำตอบจากหญิงสาว องค์จอมทัพจึงทรงจ้องลึกไปยังดวงตากลมโตสีนิลนั้นเพื่อจับผิด แต่เนตรคู่งามลึกลับฉายแววกังวลและลังเลใจในขณะที่จ้องตอบพระองค์ราวกับจะอ่านให้ถึงก้นบึ้งหัวใจไปอย่างไม่รู้จบสิ้น จนคนที่ไม่เคยปล่อยเวลาให้เสียเปล่าแม้สักนาทีและตรงต่อเวลาที่สุดบนแผ่นดินศิขราชชักจะเริ่มหงุดหงิด ดังนั้นประโยคถัดมาจึงรับสั่งสั้นลงแต่สุรเสียงดังขึ้น
“บอกชื่อมา!”
“มิรา…มิรามาลินทร์” หญิงสาวสะดุ้งกับเสียงที่ดังจนแก้วหูแทบแตกจึงหลุดปากออกไปอย่างเสียไม่ได้ พร้อมกับส่งสายตาพิฆาตที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบการกระทำที่ไม่สุภาพนี้เอาเสียเลย ทว่า วรองค์สูงใหญ่ที่นั่งเผชิญหน้ากันอยู่นั้นคล้ายกับมิได้สนพระทัยเสียด้วยซ้ำ เพราะทรงกำลังใช้ความคิดอย่างหนักจนพระพักตร์คมเข้มนั้นยิ่งดูดุราวกับพยัคฆ์ขี้โมโหก็ไม่ปาน
มิรามาลินทร์… ทรงทวนชื่อพลางทบทวนความจำที่เพิ่งไล่เรียงนักโทษแฟ้มขาว ทว่าไม่มีแม้สักเสี้ยวหนึ่งที่ใกล้เคียงชื่อนี้ ยิ่งทำให้สมเด็จฯ ทรงขมวดขนงพลางพินิจดวงหน้าที่แม้จะซีดเซียวแต่ก็ยังคงแฝงความงามที่เกินอาจเอื้อมเอาไว้ ก่อนจะตรัสถามอย่างคลางแคลง
“เธอเป็นใคร ทำไมถึงไปชายแดนในคืนนั้น”
“บอกไม่ได้…เพคะ”
หญิงสาวตอบเสียงแผ่ว หากแววตาที่จ้องประสานนั้นเด็ดเดี่ยวไม่หลีกหนีในคำตอบของตัวเอง ดังนั้นคนถามจึงทรงเปลี่ยนคำถามเสียใหม่
“เธอเกี่ยวข้องกับเรื่องนักโทษสินธุรัฐแหกคุกหรือไม่”
“บอกไม่ได้…เพคะ”
“ทำไมถึงถูกยิง”
“บอกไม่…”
“ถ้าจะตอบว่า ‘บอกไม่ได้’ อีก เราจะสั่งให้ทหารเอาตัวเธอไปส่งที่ชายแดนสินธุรัฐ…ที่นั่นน่าจะให้คำตอบเรื่องเธอได้เร็วกว่าที่เรากำลังคุยกันอย่าง…ละมุนละม่อมอยู่ตอนนี้”
รับสั่งพลางยิ้มเหี้ยมเกรียม แววพระเนตรนั้นบ่งชัด…ทรงทำจริง หญิงสาวที่เพิ่งยืนกรานคำตอบไปจึงค่อยคิดหนัก และเลือกที่จะตอบแค่บางคำถามแทน
“หม่อมฉันข้ามชายแดนมาหาญาติที่ศิขราช แต่ไปเจอกับพวกทหารที่ตามจับนักโทษแหกคุก เลยโดนลูกหลง คนพวกนั้นเป็นคนของอดีตพระชายาเมธาสินี…หม่อมฉันบอกได้แค่นี้เพคะ”
ดูเหมือนว่าคำตอบนี้จะเป็นที่สะดุดใจไม่น้อย เพราะสมเด็จฯ ทรงนิ่งไปอย่างครุ่นคิด อดีตพระชายาเมธาสินีในสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งสินธุรัฐ เป็นคนของตระกูลพราหมณ์เก่าแก่ของศิขราชที่ถูกส่งไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างสองราชวงศ์และนับเป็นสหายสนิทกับท่านลุงของเขา แต่ทรงสิ้นพระชนม์ไปหลายปีแล้ว ดังนั้นจึงน่าแปลกไม่น้อยที่คนของพระชายาฯ จะถูกจับเป็นนักโทษซ้ำยังถูกส่งมาขังคุกชายแดน เว้นเสียแต่ว่า…
“นักโทษคนนั้นเป็นใคร”
“ทรงมีคำตอบอยู่แล้ว หม่อมฉันไม่จำเป็นต้องตอบ”
จอมพลแห่งศิขราชทรงจับจ้องหญิงสาวแปลกหน้าที่แสนจะอวดดีตรงหน้าอย่างแปลกพระทัย คำตอบที่ทรงได้รับยิ่งทำให้คลางแคลง ดูเหมือนว่าเธอจะรู้มากกว่าไม่รู้ แค่ไม่ยอมบอก!
หากมิทรงทราบอยู่แล้วว่าอดีตพระชายาเมธาสินีทรงมิมีพระรัชทายาท เนื่องจากทรงสูญเสียลูกไปตั้งแต่แรกเกิด และทรงรับเด็กชายกำพร้าคนหนึ่งมาเลี้ยงดูแทนให้คลายเศร้า พระองค์ก็คงจะทรงคิดสงสัยในตัวของหญิงสาวผู้นี้ ทว่าความไม่กระจ่างในตัวเธอกลับยิ่งมิอาจปล่อยผ่านได้ สัญชาตญาณเตือนให้พระองค์ต้องระมัดระวังและจับตาหญิงสาวให้มากขึ้น เธออาจจะรู้…ในสิ่งที่พระองค์อยากรู้!
“อลินา!… ถ้าคนเจ็บอาการดีขึ้นเมื่อไหร่ ให้คนพาไปส่งที่ชายแดนฝั่งสินธุรัฐ”
ทรงรับสั่งเสียงดังจนคนข้างนอกรีบวิ่งเข้ามารับพระกระแสรับสั่งแทบไม่ทัน วรองค์สูงประทับยืนขึ้นพลางลองให้โอกาสเป็นครั้งสุดท้าย
“แต่ถ้าเธอ…ยอมสารภาพความจริง ก็ให้พาไปพบเรา”
หญิงสาวคนเจ็บคล้ายกับจะเอ่ยค้านอะไรบางอย่าง ทว่าเมื่อเห็นสายพระเนตรที่จ้องจับผิดอย่างไม่เลิกรา เจ้าตัวจึงหุบปากเงียบและยอมรับโดยดุษณี ปล่อยให้สมเด็จพระอนุชาธิราชแห่งศิขราชเสด็จจากไปพร้อมกับความไม่ไว้ใจและความหงุดหงิดพระทัยที่เพิ่มพูนทวี เพราะทรงอธิบายกับตัวเองไม่ได้ว่า เหตุใดจึงไม่ชอบดวงตาคู่งามคู่นั้นที่ราวกับรู้ทันว่า ทรงไม่ปล่อยเธอไปง่ายๆ จนกว่าเธอจะยอมพูดความจริงกับพระองค์!
อาการปึงปังจนคนที่รอเข้าเฝ้าอีกฟากหนึ่งของพระตำหนักได้ยินเสียงรองเท้าบูตทหารกระแทกพื้นดังมาแต่ไกล พระพักตร์ที่ออกจะบึ้งตึงในยามที่เสด็จกลับมายังห้องทรงงานนั้นทำให้อารัญรีบหุบปากให้สนิท พร้อมกับเตรียมตัวตั้งรับทั้งสมองและร่างกายอย่างเต็มที่เมื่อได้ยินรับสั่งที่เต็มเปี่ยมไปด้วย
ความหงุดหงิดนั้น
“จัดคนของเราไปคอยจับตาดูผู้หญิงคนนั้นไว้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง อย่าให้รู้ตัวเด็ดขาด!…แล้วพรุ่งนี้ไปบอกให้อลินา ‘ลืม’ สั่งให้พยาบาลมาเฝ้าด้วย”
“แล้วถ้านักโทษไม่หนีเล่ากระหม่อม”
“คนโกหก ไม่มีทางยอมอยู่ให้จับได้ไล่ทันหรอก”
สมเด็จฯ รับสั่งอย่างมั่นพระทัย การที่หญิงสาวเอ่ยถึงอดีตพระชายาเมธาสินีออกมาอาจจะเป็น
กลลวงเพื่อเอาตัวรอดก็ได้ เพราะดูเหมือนว่าเป้าหมายของผู้หญิงคนนั้นก็คือการหนีข้ามชายแดนมา และทางรอดเดียวที่จะไม่ถูกเขาส่งกลับสินธุรัฐ ก็คือการอ้างคนเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ แต่ตัวเองกลับพยายามซุกซ่อนตัวตนจนน่าสงสัย
“มิรามาลินทร์…” พระองค์ตุลฯ ทรงเปรยขึ้นอย่างค้างคาและคลางแคลงพระทัย ทว่าราชองครักษ์หนุ่มรีบขัดขึ้นทันควัน
“ถ้าจะให้เกล้าฯ ส่งคนไปสืบสำมะโนประชากรฝั่งโน้น กระหม่อมต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามวันพระเจ้าค่ะ…คนเป็นล้าน ชื่อซ้ำกันก็เยอะแยะ แล้วไหนจะภารกิจลับอีก”
“สามวันก็สามวัน! จะบ่นอีกนานไหม”
“รับด้วยเกล้าพระเจ้าค่ะ” คราวนี้อารัญรับคำเสียงดังฟังชัด ก่อนจะมีสีหน้ากังวลเมื่อได้ยินรับสั่งจากองค์จอมพลที่พร้อมลุยต่อทันที
“ไปบอกคนของเราให้เตรียมตัว ต้องพร้อมรับคำสั่งปฏิบัติการจากเราตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง”
อารัญถวายคำนับก่อนจะรีบถอยออกไปจัดการงานลับที่สุดและด่วนที่สุดตามพระประสงค์ เพราะรู้กันดีว่าถ้าลองรับสั่งแบบนี้ แปลว่าทรงตั้งใจเตรียมเสด็จไปทอดพระเนตรด้วยองค์เองแน่ๆ
เชิงอรรถ :
(1) วันโภคี คือวันอาทิตย์แรกของทุกเดือน ที่ทหารในค่ายจตุรทิศจะต้องกลับไปกินอาหารที่บ้านร่วมกัน เป็นกิจกรรมที่เจ้าชายตุลธรธิบดีทรงกำหนดขึ้นเพื่อส่งเสริมสถาบันครอบครัว โดยเริ่มจากทหาร เหล่าข้าราชบริพารทั้งหมดในค่ายจตุรทิศ