เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 4 : เสี่ยงทาย เสี่ยงตาย
โดย : ประดับยศ
เล่ห์พันธาภรณ์ นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย ประดับยศ กับเรื่องราวของ ‘มิรามาลินทร์’ หญิงสาวผู้ถูกเลี้ยงดูมาโดยนักบวชในวิหารเทพ แต่แล้ววันหนึ่งเธอต้องหนีเอาชีวิตรอดเพื่อตามหาบุคคลในคำทำนายที่จะมาช่วยปกป้องวิหาร คนผู้นั้นคือใคร ชีวิตเธอจะเป็นอย่างไร อ่านได้ในเว็บไซต์ anowl.co และเพจ anowldotco
สายลมแห่งวสันตกาลพัดเอากลิ่นไอแห่งขุนเขาและแมกไม้เขียวขจีที่แข่งกันผลิดอกออกใบจนเกิดเป็นสีสันอ่อนแก่แต่งแต้มทิวเขา ดุจดั่งจิตรกรได้รังสรรค์งานศิลป์ชั้นเลิศที่มีผืนผ้าใบคือท้องฟ้าและผืนดิน ทำให้คนเจ็บเมื่อทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างค่อยรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง คล้ายกับว่าทิวทัศน์เหล่านั้นเป็นดั่งยาชั้นดีที่ช่วยเยียวยาให้จิตใจแช่มชื่นขึ้น หลังจากที่เมื่อวานต้องเผชิญความกดดันจากเจ้าของที่ ทั้งยังถูกคุณหมอให้ยาทั้งกินทั้งฉีดจนร่างกายรวนไปหมด
มิรามาลินทร์ลองขยับตัวช้าๆ เพื่อทดสอบสภาพร่างกายตัวเองว่าไหวขนาดไหน ในขณะที่สายตาก็เหลียวหาคุณหมอและพยาบาลที่ได้ยินแต่เสียงพูดคุยกันเบาๆ แต่ยังไม่เห็นใครในห้องเลยสักคน จนกระทั่งคนที่เดินเข้ามาคนแรกเป็นคนที่เธอไม่อยากเจอมากที่สุด หญิงสาวก็ถึงกับทอดถอนใจแทนคำทักทาย
“สีหน้าดีขึ้นมากแล้วนี่ สงสัยจะหายแล้วมั้ง”
รับสั่งพลางยืนจ้องอีกฝ่ายอย่างจับผิดทุกอิริยาบถ ใบหน้าเรียวสะสวยนั้นดูมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าเมื่อวานจนทรงรู้สึกว่าหมอของพระองค์ช่างเก่งกาจที่สามารถรักษาสิ่งสวยงามให้อยู่จรรโลงใจต่อไปอีกประการหนึ่ง
“หมอบอกว่าอาการของเธอดีขึ้นมากแล้ว จะไปชายแดนวันนี้เลยไหม”
ไม่ว่าจะทรงรับสั่งอะไรก็ไร้คำตอบจากหญิงสาวบนเตียงคนไข้ แต่คนที่ทรงชุดทหารพรานสีดำล้วนก็ดูเหมือนจะไม่ลดละในการตั้งคำถาม
“ถ้ายังอยากอยู่ที่นี่ต่อ ก็ตอบคำถามฉันข้อหนึ่ง เธอคิดร้ายต่อศิขราชหรือไม่!”
สุรเสียงที่ไม่ดังแบบเมื่อวานจนคล้ายกับชวนคุยอย่างเป็นมิตรนั้นสวนทางกับสายพระเนตรคาดคั้นเอาจริง และคราวนี้หญิงสาวเงยหน้าขึ้นตอบพลางประสานสายตาอย่างไม่หลบเลี่ยง
“ไม่…”
“แล้วเราจะได้รู้กัน ว่าเธอโกหกฉันหรือไม่…มิรามาลินทร์”
หญิงสาวรู้สึกสะดุดใจไม่น้อยกับชื่อของตัวเองที่ถูกเรียกขานจากอีกฝ่าย อาจเป็นเพราะตลอดเวลาเกือบยี่สิบปีที่ผ่านมาไม่เคยมีใครกล้าขานนามเธอแบบนี้ หรืออาจเป็นเพราะสุรเสียงและแววพระเนตรที่แสดงออกชัดว่ารู้เท่าทัน เพียงแต่กำลังคอยดูว่าเธอจะดื้อแพ่งไปได้แค่ไหน และนั่นทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกลายเป็นลูกไก่ในกำมือเขาทั้งๆ ที่เธอไม่ใช่!
“เฝ้าไว้ให้ดีอลินา แล้วเราจะกลับมาดูผลงาน”
มิรามาลินทร์มองตามบุรุษสูงศักดิ์ในชุดพร้อมรบที่เดินออกไปสั่งแพทย์หญิงเจ้าของไข้เธอด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดอย่างชั่งใจ ก่อนจะหลับตาลงแล้วสูดลมหายใจลึกๆ ตั้งสมาธิเพื่อสำรวจความพร้อมของสติและร่างกายของตัวเองให้แน่ใจอีกครั้ง…ในเมื่อมีโอกาสเพียงแค่ครั้งเดียว เธอจะพลาดไม่ได้!
หลังจากที่ถูกหมอฉีดยาให้และหลับไป เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งร่างกายที่ยังคงบอบช้ำทำให้หญิงสาวยังชั่งใจ เธอรู้ตัวดีว่ายังไม่พร้อมสำหรับการเดินทางไกลในต่างถิ่น ซ้ำยังไม่รู้เส้นทางของจริงนอกจากในแผนที่ที่เคยจดจำมา ดังนั้นมิรามาลินทร์จึงตัดสินใจลองทดสอบสภาพกายและใจว่ามีความพร้อมในระดับไหน อยู่ หนี หรือสู้!
หญิงสาวขยับลุกสำรวจข้าวของของตัวเองที่ยังพอเหลืออยู่ก่อนจะถอนใจอย่างกลัดกลุ้ม ทุกอย่างถูกริบไปหมดทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับ เรียกได้ว่าไม่มีอะไรในห้องนี้ที่เป็นของเธอเลย มิรามาลินทร์จึงได้แต่หันไปคว้าสิ่งหนึ่งที่พอจะใช้การได้สำหรับการทดสอบที่เธอต้องการ ขวดแก้วทรงสูงที่บรรจุน้ำสะอาดสำหรับให้เธอดื่ม แม้จะขนาดกะทัดรัดแต่ในตอนนี้คือสิ่งที่เหมาะสมที่สุด ก่อนจะมองสำรวจรอบห้องพยาบาลที่เงียบเชียบเพื่อหาถุงผ้าหรือกระเป๋าที่จะใส่เจ้านี่ไป เมื่อได้ตามที่ต้องการแล้วจึงค่อยเยี่ยมหน้าออกไปมองนอกห้อง แม้ส่วนนี้จะเป็นฝั่งหวงห้ามแต่ก็ไม่เคยถูกปล่อยปละละเลยถึงขนาดจะไร้เวรยามเฝ้า นอกเสียจากใครบางคนต้องการสร้างสถานการณ์หลอกล่อให้เธอติดกับ มิรามาลินทร์ยิ้มเพียงมุมปาก ก่อนจะเดินออกไปข้างนอกด้วยอาการก้าวเนิบๆ และเพียงแค่พ้นประตูห้องมาไม่กี่ก้าวหางตาก็คล้ายกับว่าจะเห็นเงาคอยตามติดเธอแบบก้าวต่อก้าว
มิรามาลินทร์ค่อยๆ เดินประคองตัวเองออกมาจากพระตำหนักใหญ่กลางค่าย ด้วยชุดผ้าฝ้ายตัวยาวแบบคนป่วยทำให้ทุกคนที่อยู่ประจำจุดต่างๆ ในค่ายต่างหันมองเธอเป็นตาเดียว แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งด้วย ไม่รู้ว่าเพราะเธอคือคนป่วย หรือเพราะถูกหมายหัวว่าเป็นคนร้ายไปแล้วกันแน่ แต่นาทีนี้ มิรามาลินทร์ตั้งสมาธิให้แน่วแน่เพื่อพาตัวเองไปให้ถึงแหล่งน้ำของค่ายแห่งนี้ ที่เธอมั่นใจว่าต้นธารสายหลักเป็นแหล่งเดียวกัน นั่นก็คือ แม่น้ำอัมพุ สายธารอันศักดิ์สิทธิ์ของผู้บูชาเทวนารีแห่งวิหารเทพ!
ตลอดทางที่เธอเดินผ่านไม่มีใครขัดขวาง ไม่มีใครจับกุม จนกระทั่งเธอเดินมาถึงด้านหลังค่ายที่เป็นโรงครัวขนาดใหญ่และมีทุ่งกว้างเป็นพื้นที่เกษตรสำหรับเลี้ยงทุกชีวิต หญิงสาวร่างใหญ่คนหนึ่งก้าวมาขวางทาง ก่อนจะเอ่ยประโยคสั้นๆ กับเธอ
“ห้ามเข้า”
“ฉันแค่ขอผ่านทาง จะไปกรอกน้ำที่ลำธารข้างหลัง” มิรามาลินทร์บอกพลางเปิดกระเป๋าผ้าให้ดูขวดแก้วด้านใน พร้อมกับจ้องตาอีกฝ่ายเขม็ง ไม่นานนักอีกฝ่ายก็ยอมหลีกทางให้โดยดี ท่ามกลางความแปลกใจของคนครัวอีกหลายสิบแต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาขวางอีกเช่นเคย
หญิงสาวในชุดคนป่วยเดินเลาะไปตามทางโรยกรวดไม่นานก็เจอกับธารน้ำใส แม้จะไม่ลึกมากแต่ก็กินความกว้างไปเกือบร้อยเมตร
หญิงสาวนั่งคุกเข่าริมลำธารสายเล็กที่ไหลเซาะกรวดหินหลากสีทั้งเข้มอ่อนโดยไม่กลัวว่าชุดผ้าฝ้ายคนไข้จะเปื้อนเศษดินโคลน ก่อนจะวางขวดแก้วลงตรงหน้าโดยใช้ก้อนกรวดวางเป็นฐานทั้ง 4 ทิศ ดวงตาคู่สวยหลุบลงพร้อมกับจิตที่มุ่งมั่นข้ามสายน้ำและขุนเขาที่แม้จะห่างกันไกลหากล้วนอยู่บนแผ่นดินเดียว กุมารีผู้งามพิสุทธิ์ประนมมือกลางอก…กล่าว นมัสการ เทพแห่งธรณี อัคคี คงคา วายุ ก่อนจะเอื้อมมือไปแตะผิวน้ำให้สายธารใสไหลผ่านมือทั้งสองพลางตั้งจิตภาวนา
…ลิขิตแห่งจตุรเทวา ขอพระแม่คงคาไขคำพยากรณ์
หญิงสาวกอบมือวักน้ำก่อนชูขึ้นเหนือเศียร น้อมรับถ้อยอาศิรวาทจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อนจะเอียงปลายมือปล่อยให้น้ำไหลลงสู่ขวดแก้ว เพ่งจิตภาวนาพลางจ้องสายน้ำที่ค่อยๆ หยาดลงในขวดตรงหน้า ครั้นพอครบสามคำรบ หญิงสาวก็ค่อยประคองขวดแก้วขึ้น รอจนน้ำในขวดหยุดสั่นไหว ริ้วน้ำที่สงบนิ่งใสจนมองทะลุเห็นทิวทัศน์อีกฟากข้าง แต่อีกชั่วพริบตาธาราภายในค่อยขุ่นขึ้นจนออกสีฝุ่น มิรามาลินทร์จ้องน้ำสีละอองดินนั้นอย่างไม่เชื่อสายตา…ลางร้ายยังคงแจ่มชัด
เสียงของท่านอาจารย์ดังก้องในโสตไม่ต่างจากวันที่กระทำพิธีเสี่ยงทายต่อหน้าผู้ครองศีลในวิหารศักดิ์สิทธิ์เมื่อไม่กี่เดือนก่อนหลังจากที่วิหารเทพต้องสูญเสียองค์อุปถัมภ์คือ สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งสินธุรัฐไปอย่างไม่มีวันกลับ
เมื่อลางร้ายปรากฏ…จงไปตามหาผู้พิทักษ์เทวาให้เจอ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
คำทำนายดังกึกก้องในโสต ตะกอนสีขุ่นที่ลอยฟุ้งในคนโทแก้วในวันนั้นไม่ต่างจากสิ่งที่กำลังปรากฏต่อหน้าเธอขณะนี้เช่นกัน เพียงแต่วันนี้มีสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป เงาสะท้อนของตะกอนคล้ายกับเปล่งประกายระยิบระยับราวกับกำลังเปล่งแสงแห่งความหวังท่ามกลางความขุ่นของน้ำในขวดแก้ว
มิรามาลินทร์หลับตาลงกับสิ่งที่เห็น พลางทอดถอนใจ อย่างน้อยก็เกิดการเปลี่ยนแปลง…
และเมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ภาพที่เห็นตรงหน้าทำเอาหญิงสาวสะดุ้งจนใจหายวาบ ร่างสูงองอาจในชุดทหารพรานที่ทรงเป็นเครื่องแบบประจำพระองค์ยืนอยู่อีกฟากของลำธาร กำลังจ้องมาที่เธอด้วยแววตาหลากใจ ก่อนจะก้าวลุยน้ำข้ามมาอย่างที่เธอไม่คิดว่าจะทรงยอมเปียกเช่นนี้ มิรามาลินทร์รีบขยับจะลุกขึ้น หากการเพ่งจิตเมื่อครู่ทำเอาเธอหน้ามืดไปชั่วขณะ ดังนั้นคนที่กำลังก้าวจ้ำฝ่าลำน้ำแม้จะลึกเพียงหน้าแข้ง หากก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคเมื่ออีกฝ่ายถึงตัวเธอก่อนที่จะล้มหัวฟาดไป
“เราไม่ยักรู้ว่าหมออลินาอนุญาตให้คนไข้ออกมาเดินเล่นตามใจแบบนี้ได้ด้วย”
รับสั่งดุทั้งเธอและคุณหมอประจำพระองค์ไปพร้อมกันด้วยประโยคเดียว มิรามาลินทร์ที่ยังมองทุกอย่างเป็นสีขาวดำมืดๆ มัวๆ อยู่จึงไม่ตอบอะไร พลางพยายามตั้งสติและยืนให้ได้ด้วยตัวเอง แต่หัตถ์แข็งแรงที่จับยึดแขนเธอไว้แน่นกลับเขย่าตัวเธอเบาๆ พร้อมกับสุรเสียงเข้มดุที่ดังอยู่ใกล้แสนใกล้
“เป็นคนป่วย! ถ้ายังไม่หายดีก็อย่าดื้อ หรือจะให้ส่งกลับสินธุรัฐไปรักษาเองดี เพราะถามอะไรก็ไม่ยอมตอบ”
มิรามาลินทร์ขยับมือที่ถือขวดแก้วแนบเข้ากับตัวให้แน่นเข้าไปอีก แต่ก็ไม่รอดพ้นแววพระเนตรคมกริบที่ทรงเห็นทุกอย่างตั้งแต่ที่เธอเดินมาถึงเขตลำธาร หรือว่าจะเป็นคนจากลัทธิใดลัทธิหนึ่งที่แฝงตัวเข้ามา
แต่เมื่อทรงพิศใบหน้างามละมุนที่ปักตรึงทุกสายตามิให้เคลื่อนคลายจากเจ้าหล่อนได้ ก็ได้แต่ทรงถกเถียงกับพระทัยเองว่าไม่ใช่… รูปโฉมเช่นนี้ อยู่แห่งหนใดย่อมเป็นที่กล่าวขาน หากเธอคล้ายกับเพิ่งก้าวออกจากดินแดนลึกลับ ไม่เคยมีใครเห็น ไม่มีใครรู้จัก และไม่มีผู้ใดเกี่ยวข้อง นั่นยิ่งทำให้พระองค์ทั้งแปลกพระทัยและทรงคิดไม่ตก ทำอย่างไรจึงจะรู้เรื่องของหญิงสาวให้มากกว่านี้ได้
“เธอเข้ามาที่ศิขราชต้องการอะไร คน ที่อยู่ หรือความลับ เราจะให้เธออยู่ที่นี่ไม่ได้ถ้าหากเราไม่รู้ว่าเธอต้องการอะไรกันแน่”
“หม่อมฉันไม่ได้จะมาอยู่ที่นี่”
“แล้วต้องการอะไร”
มิรามาลินทร์เงยหน้าขึ้นประสานสายตากับเจ้าชายพักตร์เข้มคมสันที่จ้องกลับอย่างต้องการหาคำตอบจากอีกฝ่าย ดวงเนตรสองคู่ต่างสบประสานค้นหาความจริงซึ่งกันและกันหากไร้ซึ่งวาจาใด ก่อนที่หญิงสาวจะเป็นฝ่ายก้าวถอยหลังออกห่างเพื่อให้พ้นจากหัตถ์ที่จับยึดแขนเธอไว้ หากองค์จอมพลฯ กลับยิ่งยึดแน่นพลางรับสั่งอย่างทรงคาดโทษ
“ไม่บอกก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าวันใดที่เรารู้ เราจะเลือกให้เองว่าเธอจะอยู่…หรือไป!”
แววพระเนตรดุของเจ้าชายตุลธรธิบดีทำให้มิรามาลินทร์หวั่นใจอยู่วูบหนึ่ง หากมือเรียวยังคงกอดขวดแก้วในมือเอาไว้ไม่ให้หลุดหาย วันนี้เธอได้คำตอบแล้ว จากนี้ทุกอย่างเธอจะลงมือทำอย่างไม่ลังเลอีกต่อไป!
แสงสว่างจากไฟฟ้าทำให้ค่ายจตุรทิศยังคงคึกคักในยามค่ำคืน แม้อากาศจะเย็นลงแต่ผู้คนที่อาศัยอยู่ในชุมชนใกล้ๆ ค่ายก็ยังคงไม่หลับใหลรวมทั้งมิรามาลินทร์ที่ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว…เธอต้องไปเดี๋ยวนี้
หญิงสาวนั่งสมาธิรวบรวมกำลังกายและใจ ก่อนจะลุกออกไปมองหาพยาบาลที่เฝ้าอยู่หน้าห้อง
“คุณพยาบาล…”
มิรามาลินทร์เรียกเสียงเบาๆ ท่าทีอ่อนแรงจนพยาบาลสาวรีบลุกเดินเข้ามาใกล้ หญิงสาวจ้องผู้ที่ก้าวเข้ามาหาตนตาไม่กระพริบพลางยิ้มให้ ก่อนกระซิบประโยคสั้นๆ
“ไปดับไฟให้หน่อย”
เสียงจ้อกแจ้กและความวุ่นวายด้านนอกเรือนไม้ทั้งๆ ที่เป็นเวลาดึกสงัดแล้วนั้น ทำให้หญิงสาวที่กำลังแต่งตัวให้รัดกุมเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการหนีค่อยๆ ขยับตัวฝ่าความมืดสลัวไปยังหน้าต่างและสังเกตการณ์อย่างระมัดระวัง เสียงทหารที่เคยเฝ้าหน้าห้องเธอคล้ายกับคุยกระซิบกันอย่างเร่งร้อน ไม่นานก็ได้ยินเสียงฝีเท้าค่อยห่างออกไป สอดคล้องกับความเคลื่อนไหวด้านนอกที่เหล่าทหารเร่งจุดคบเพลิงเพื่อให้แสงสว่างกันจ้าละหวั่นหลังจากที่จู่ๆ ไฟฟ้าภายในค่ายก็ขัดข้อง ทำให้ทั้งแพทย์พยาบาลต่างเร่งกันไปดูแลผู้ป่วยที่เรือนพยาบาลที่ต้องพึ่งพาไฟฟ้าและเทคโนโลยีในการรักษาชีวิต
มิรามาลินทร์ไม่เสียเวลาคิดนาน เธอสวมชุดคนไข้ที่มีซ้อนกันหลายๆ ชั้นจนแน่นหนาและอบอุ่นเพียงพอกับอาการเยือกเย็นภายนอก ผมยาวหยักถูกรวบม้วนและพันโพกด้วยผ้าม่านโปร่งที่เคยพลิ้วพรายรับลมที่ช่องหน้าต่าง หญิงสาวพยายามไม่นึกภาพตัวเองกับชุดจำเป็นที่น่าจะประหลาดเต็มที ตั้งใจทำสมาธิและปลุกใจตัวเองให้ตื่นตัวถึงขีดสุด ก่อนจะคว้ายาและอุปกรณ์ป้องกันตัวเท่าที่หาได้พกติดตัวรีบวิ่งออกไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับความวุ่นวายด้านนอก โดยมีเป้าหมายเดียวคือ เธอต้องรอดไปจนถึงจุดนัดพบที่ 2 ให้ได้
เรือนบัญชาการด้านหน้าค่ายคึกคักเป็นพิเศษ เพราะบัดนี้ทหารที่ถูกเรียกมารวมตัวกันเฉพาะกิจต่างตื่นตัวกันอย่างเต็มที่สำหรับภารกิจที่กำลังจะเกิดขึ้น
“แยกออกเป็นสองทีม อารัญข้ามไปฝั่งสินธุรัฐ อีกทีมมากับเรา”
องค์จอมพลตุลธรฯ รับสั่งพลางทรงเสื้อเกราะ อาวุธปืนสั้น ปืนยาว กระสุน มีดพก และยังติดอุปกรณ์พยาบาลที่จำเป็นไปด้วยจนราชองครักษ์อดเปรยขึ้นลอยๆ ไม่ได้
“ถ้าจะทรงตามไปขนาดนี้แล้วจะให้กระหม่อมไปสืบสำมะโนประชากรอีกทำไมให้ซ้ำซ้อนพระเจ้าค่ะ”
“เพราะเราต้องการความจริง ทั้งจากข้อมูลและเห็นกับตาตัวเอง!” รับสั่งพลางทรงถลึงพระเนตรใส่เป็นการเตือนครั้งที่ 1 หากอารัญก็หาได้กลัวไม่ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เห็นเจ้านายของตนสนใจอย่างอื่นนอกจากการทหาร ซ้ำยังเป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่แทบไม่เคยเกิดขึ้นเลยตลอดยี่สิบกว่าปีนี้ ราชองครักษ์คู่พระทัยหรือจะยอมปล่อยผ่านไปได้ง่ายๆ
“เมื่อก่อนกระหม่อมเห็นทรงช่วยคนอื่นมาก็มาก แต่ไม่เห็นจะยุ่งยากขนาดนี้”
“ก็รายนี้ไม่เหมือน…เราหมายถึง เธอเป็นคนน่าสงสัย”
“รับทราบกระหม่อม พบคนน่าสงสัยหนึ่งอัตรา”
อารัญว่าพลางหันไปยิ้มกว้างกับทีมร้อยเอกเอกทิศที่ขนาดใส่ชุดคอมมานโดเต็มอัตราศึกเหลือแต่ลูกตาโผล่ให้เห็นก็ยังมองออกว่าพร้อมใจกันแซวผ่านแววตาระริกระรี้อย่างเห็นได้ชัด จนองค์จอมพลต้องทรงรีบตัดบท
“เริ่มปฏิบัติการได้!”
“รับทราบ!”
ทหารทุกนายรับคำสั่งแข็งขันเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือทุกคนเริ่มมีความหวังว่าค่ายจตุรทิศอาจจะมีสมาคมแม่บ้านทหารกับเขาเสียที
หญิงสาวเงยหน้ามองฟ้ามืดสนิทยามราตรี เห็นดาวเหนือที่ราวกับจะส่องแสงนำทางอย่างเป็นใจก็ค่อยมีความหวังขึ้น ก่อนจะเดินไปตามทิศจุดหมายปลายทางอย่างระมัดระวัง แม้ว่าศิขราชจะเป็นประเทศเล็กๆ ทว่าการเดินทางจากชายแดนไปยังเมืองรองก็ไม่ใช่ระยะทางใกล้ๆ สำหรับคนเดินเท้าซ้ำยังบาดเจ็บอย่างเธอ
พลังใจที่เคยมีดูคล้ายกับจะหมดลงไปเรื่อยๆ พร้อมกับแสงดาวที่ราแสงลงเพราะดวงอาทิตย์กำลังจะขึ้นในอีกไม่ช้า การไม่มีอุปกรณ์ช่วยทั้ง GPS เข็มทิศ หรือแม้แต่แผนที่นำทางสักฉบับทำให้มิรามาลินทร์ใช้คลังความรู้ในสมองของตัวเองจนแทบจะหมดสิ้นในคราวเดียว ด้วยความพิเศษของเธอทำให้อาจารย์ถ่ายทอดความรู้ในทุกศาสตร์และศิลป์จนแตกฉาน และถึงแม้ว่าสถานที่ที่เธอเรียนจะไม่มีใบประกาศนียบัตรจบการศึกษา แต่ความรู้ที่มีตอนนี้ก็พอจะมั่นใจว่าจะสามารถเอาตัวรอดได้เมื่อเริ่มมองเห็นแสงสว่างของดวงไฟบ้านเรือนประชาชนอยู่ไม่ไกลนัก
พระขนงที่ขมวดมุ่นทุกครั้งในยามที่ทรงใช้กล้องอินฟราเรดส่องติดตามร่างเล็กบอบบางในชุดคนไข้และโพกหัวด้วยผ้าแปลกๆ เดินฝ่าความมืดและแนวป่าไปแบบก้าวต่อก้าว ความมุมานะที่เต็มเปี่ยมนั้นทำให้ทรงรู้สึกหงุดหงิดและไม่สบพระอารมณ์ เธอยังบาดเจ็บ ต่อให้เขาจะให้อลินาทำการรักษาอย่างดีแค่ไหน แต่ร่างกายที่ไม่ได้แข็งแกร่งเท่าชายชาติทหารเช่นเขา ให้เข้มแข็งแค่ไหนก็ย่อมต้องทรุดได้โดยง่าย แต่ความมุ่งมั่นที่หญิงสาวต้องการจะไปให้ถึงจุดมุ่งหมายนั้นก็ยิ่งทำให้ทรงทวีความสงสัยมากยิ่งขึ้น เหตุใดเธอจึงต้องเสี่ยงชีวิตตัวเองมากมายถึงเพียงนี้ เพื่อสิ่งใด หรือเพื่อใคร
“หากยังมุ่งหน้าไปทางเหนือเรื่อยๆ อีกหนึ่งกิโลเมตรจะถึงเมืองมหิศรปุระกระหม่อม”
“มหิศรปุระ? นครปูชาเทวาลัย เธอจะไปที่นั่นทำไม”
จอมพลตุลธรฯ ทรงทบทวนอย่างไม่เข้าใจ ทุกอย่างเกี่ยวกับหญิงสาวผู้นั้นคล้ายกับจะรู้แต่ก็ไม่รู้ หากจะเปรียบก็คงเหมือนเส้นผมบังภูเขา และนั่นยิ่งทำให้ทรงไม่ค่อยสบพระอารมณ์นัก ที่ดูเหมือนกับว่า ทรงไม่สามารถปัดเส้นผมเล็กๆ ออกได้ จนมองเธอไม่ทะลุถึงตัวตนที่แท้จริงสักที
“มหิศรปุระเป็นเมืองค้าขาย และเป็นศูนย์รวมของผู้มีศรัทธาต่อองค์เทวนารี เทพศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นที่นับถือในหลายประเทศแทบเทือกเขาหิมาลัยนี้ เป็นเมืองที่มีสนามบิน นอกจากเมืองสักกะที่เป็นเมืองหลวงของเรา จะเดินทางหรือติดต่ออะไรก็สะดวกหลายทางกระหม่อม”
นายทหารในทีมกราบทูลรายงานต่อข้อสงสัยที่ทรงเปรยออกมา ทว่าผู้เป็นนายยังคงทอดพระเนตรหญิงสาวอย่างไม่คลาดสายตา อีกฝ่ายจึงสวมวิญญาณอารัญเสนอความเห็นอย่างเข้าอกเข้าใจ
“ให้กระหม่อมแกล้งทำเป็นขี่รถผ่านแล้วไปส่งเธอดีหรือไม่พระเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้อง!”
สุรเสียงห้วนนั้นหงุดหงิดนิดๆ ทว่าเมื่อเห็นร่างเล็กนั้นก้าวช้าลงราวกับจะหมดแรง ก็รับสั่งสั้นๆ พลางเก็บกล้องส่องทางไกลอย่างเตรียมพร้อม
“ให้คนในทีมแยกไปดักรอที่ตลาดกลางเมือง หากเธอเรียกรถ ต้องเป็นคนของเราเท่านั้น และให้คนไปแจ้งเครือข่ายท่านลุงโมราให้เตรียมรถพยาบาลและหมอเอาไว้ให้พร้อม เราจะเข้าชาร์จตัวทันทีหากมีเหตุผิดปกติ”
“รับด้วยเกล้าพระเจ้าค่ะ”
เจ้าชายตุลธรธิบดีรับสั่งแล้วก็ก้าวตามร่างเล็กไปในระยะใกล้มากขึ้น ซึ่งหากเป็นยามปกติอีกฝ่ายน่าจะรับรู้ได้ไม่ยากว่ามีคนติดตามมา แต่อาการก้าวโผเผที่แทบจะทรงตัวไม่อยู่แล้วนั้นดูคล้ายกับคนที่กำลังจะหมดสติ แต่ที่ยืนอยู่ได้ก็ด้วยพลังใจล้วนๆ จนกระทั่งเมื่อหญิงสาวไปจนถึงร้านดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดในตลาดปูชาเทวาลัย เธอก็ทรุดลงพร้อมๆ กับที่สมเด็จทรงก้าวประชิดและรับเธอไว้ได้ทันก่อนที่จะล้มหัวฟาดพื้นจนตายไปจริงๆ