เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 7 : เจรจา
โดย : ประดับยศ
เล่ห์พันธาภรณ์ นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย ประดับยศ กับเรื่องราวของ ‘มิรามาลินทร์’ หญิงสาวผู้ถูกเลี้ยงดูมาโดยนักบวชในวิหารเทพ แต่แล้ววันหนึ่งเธอต้องหนีเอาชีวิตรอดเพื่อตามหาบุคคลในคำทำนายที่จะมาช่วยปกป้องวิหาร คนผู้นั้นคือใคร ชีวิตเธอจะเป็นอย่างไร อ่านได้ในเว็บไซต์ anowl.co และเพจ anowldotco
ตำหนักมหาราชเป็นตำหนักสีอิฐทรงโค้งตกแต่งด้วยหินสีและอัญมณีหลากชนิดที่ในยามค่ำคืนเช่นนี้ก็สะท้อนแสงจันทร์และแสงไฟราวกับหิ่งห้อย รอบตำหนักล้อมด้วยกำแพงธรรมชาติอย่างไม้ดัดและต้นไม้ยืนต้นที่ปลูกเรียงรายตามทางเดินเลียบริมน้ำห่างออกมาจากตัวมหาวิหารหลายร้อยเมตร เวรยามที่กวดขันและแน่นหนาไม่แพ้ฝั่งนักรบเทวาต่างถวายความเคารพเจ้าฟ้าตุลธรธิบดีกันอย่างพร้อมเพรียง และไม่มีใครหาญกล้าชายตามองเธอแม้แต่น้อยราวกับเธอไม่มีตัวตนอย่างไรอย่างนั้น จวบจนกระทั่งเธอเดินมายังโถงกลางของพระตำหนัก เธอก็ได้พบกับหมออลินาและราชองครักษ์อารัญที่เตรียมพร้อมทั้งเสื้อผ้าอาหารไว้ให้เธอเสร็จสรรพ
“ไปพักผ่อนก่อน พรุ่งนี้เช้าเราค่อยมาคุยกัน” รับสั่งหลังจากที่ทรงเห็นว่าหญิงสาวมีสีหน้าที่อิดโรยและเป็นเวลาที่ดึกมากแล้ว หากคนที่เพิ่งหนีออกมากลับไม่ยอมเสียนี่
“แต่หม่อมฉันอยากพูดกันให้รู้เรื่องเสียตั้งแต่คืนนี้เลยเพคะ”
“ก็ได้”
จอมพลตุลธรฯ ทรงตอบรับง่ายๆ ก่อนจะประทับพระเก้าอี้ใกล้ๆ พลางผายพระหัตถ์เชื้อเชิญให้หญิงสาวนั่งลงตามสบาย มิรามาลินทร์รอให้สองพี่น้องที่คอยถวายการรับใช้ถอยห่างออกไปจนพ้นรัศมีการได้ยินแล้วจึงเอ่ยเข้าประเด็นทันที
“เราเจอกันบ่อยขนาดนี้ ฝ่าบาททรงต้องการอะไรเพคะ”
“ก็เธอไม่ยอมตอบคำถามเราดีๆ เราก็เลยต้องตาม…”
“หม่อมฉันตอบไปแล้วว่าไม่ได้คิดร้ายต่อศิขราช”
“แล้วญาติที่เธอว่า คืออัตติยะหรือไง…แต่เราว่าไม่น่าจะใช่ ไม่อย่างนั้นจะหนีออกมาทำไม จริงไหม”
“หม่อมฉันยอมรับว่ามาที่นี่ด้วยเหตุผลอื่น…แต่ทรงรู้จักท่านลุงโมรา หม่อมฉันก็คงไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรเพิ่มอีกแล้วมั้งเพคะ”
มิรามาลินทร์เอ่ยดักคอหลังจากที่มองสบพระเนตรแค่ครู่เดียว หญิงสาวหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ตั้งสติอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอกับเจ้าชายจะมีเป้าหมายเดียวกัน
“เรามาคุยกันตรงๆ เลยดีกว่าไหมเพคะ จะได้ไม่เสียเวลา”
“ก็ดี…เชิญ”
“ทรงช่วยหม่อมฉันทำไมเพคะ ทรงต้องการอะไรกันแน่”
“สิ่งที่เราต้องการ ก็น่าจะเป็นเหตุผลเดียวกับที่เธอจะกลับไปที่เมืองอัมพุนั่นแหละ”
เจ้าของพักตร์คมคายรับสั่งพลางหันหน้าเผชิญกับหญิงสาวอย่างไม่หลบเลี่ยง ดวงเนตรคมกริบนั้นจับจ้องเทวกุมารีอย่างไม่ละสายตาราวกับต้องการค้นหาความจริงจากอีกฝ่ายเช่นกัน
“หากท่านลุงโมราทำงานให้พระองค์ หม่อมฉันคิดว่าเหตุผลของเราน่าจะไม่ตรงกันนะเพคะ”
“ถ้าอย่างนั้น เธอรู้จักท่านลุงเตโชไหม”
หญิงสาวนิ่งอึ้งกับทุกถ้อยรับสั่งที่ได้ยิน ตั้งแต่ประโยคแรก วันแรก ที่พบกันจนกระทั่งบัดนี้ มิรามาลินทร์ได้แต่ทึ่งในตัวเอกบุรุษแห่งศิขราชผู้นี้ทุกครั้ง เพราะไม่มีใครเลยที่จะพูดกับเธอด้วยน้ำใสใจจริง แม้แต่คนรอบตัวเธอ บางครั้งก็ยังไม่อาจเอ่ยความในใจออกมาได้ทั้งหมด แต่ในพระเนตรคมกล้าที่มองตรงมานั้นไม่มีสิ่งใดซุกซ่อนแอบแฝง ถ้อยคำและความคิดล้วนเป็นเอกภาพ ทรงต้องการตัวบุคคลเพียงคนเดียวตามที่รับสั่งเท่านั้น
หญิงสาวผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก รู้สึกราวกับว่าการใช้ญาณทิพย์อันหนักหน่วงตลอดเวลาที่ผ่านมาได้มีช่วงเวลาที่ผ่อนคลายลงบ้าง ดังนั้นหญิงสาวจึงเลือกที่จะพูดออกไปอย่างไม่อ้อมค้อมเช่นกัน
“ท่านเตโชคือผู้มีพระคุณของหม่อมฉัน หากสิ่งที่ฝ่าบาทต้องการคือการช่วยเหลือคน หม่อมฉันยินดีช่วยเหลืออย่างเต็มที่เพคะ เพราะหม่อมฉันเองก็ต้องการในสิ่งเดียวกัน”
“เรารู้เรื่องทั้งหมดจากท่านโมราแล้ว การจะลอบเข้าไปที่เมืองอัมพุเพื่อช่วยคนออกมานั้นเป็นไปได้ยาก”
“หม่อมฉันตั้งใจจะขอให้นักรบเทวาของมหาวิหารช่วย แต่ไม่ได้ผลเพคะ”
“หึ…ต่อให้อยากช่วย คิดหรือว่าจะเหยียบจมูกเราข้ามชายแดนไปได้ถ้าเราไม่อนุญาต”
พระพักตร์คมเผยรอยยิ้มหยันอย่างดูแคลนคนของมหาวิหาร แม้จะทรงรู้ดีว่าชื่อเสียงของนักรบเทวาเป็นที่โจษจันในเรื่องความเก่งกาจ หากทรงไม่นิยมนักรบที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ แอบรวบรวมคนคอยก่อคลื่นใต้น้ำ หากมิทรงเกรงใจมหาเทวนารีผู้ชรายิ่งแล้ว องค์จอมพลฯ คงเข้าไปช่วยดูแลอย่างเต็มที่เสียนานแล้ว
“เช่นนั้นหากหม่อมฉันจะกลับไป จะต้องรอให้ประทานอนุญาตก่อนด้วยไหมเพคะ”
“ใช่สิ ตอนนี้เธออยู่ศิขราช จะมาจะไปตามใจไม่ได้ อีกอย่าง เพราะเธอคือคนสำคัญ…”
รับสั่งพลางทอดพระเนตรเธออย่างจริงจัง ทำเอามิรามาลินทร์เริ่มระแวง หากจะใช้ญาณตอนนี้จะฝืนร่างกายเกินไปเพราะเพิ่งใช้ไปเมื่อครู่ที่ผ่านมา
“หม่อมฉันเป็นกุมารี” หญิงสาวดักคอ หากอีกฝ่ายพยักพระพักตร์พร้อมตรัสตอบ
“รู้แล้ว ถึงบอกว่าเธอสำคัญไง ถ้าเธอให้ความร่วมมือ เราจะเข้าเมืองอัมพุไปอย่างเปิดเผย พร้อมกับทหารของเรา”
“ฝ่าบาทหมายถึงสงคราม”
“ทหารกองเกียรติยศต่างหาก ประตูเมืองอัมพุจะเปิดรับ ถ้าหากว่าเราเป็นผู้พาตัวเทวกุมารีกลับไปยังวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่อัมพุพิมาน”
“ราชินีชโลธรเป็นปฏิปักษ์กับเทวนารี หม่อมฉันยังต้องหนีตายออกมา แล้วจะเสด็จไปได้อย่างไร”
“เคยได้ยินวลีที่ว่า เกลียดตัวกินไข่ไหม ถึงจะทรงไม่ยอมรับเทวนารีอย่างไร แต่ถ้าหากเทวนารีคือตัวแปรเดียวที่สามารถผูกสัมพันธไมตรีกับศิขราชได้ ต่อให้เป็นปฏิปักษ์กันแค่ไหน แต่ในทางผลประโยชน์แล้ว จะต้องทรงยอมรับเทวนารีและวิหารศักดิ์สิทธิ์เป็นส่วนหนึ่งของสินธุรัฐอย่างแน่นอน”
“ซึ่งตัวแปรที่ว่า ทรงหมายถึงหม่อมฉัน”
“มีคนอื่นอีกหรือ” รับสั่งพลางเลิกพระขนงขึ้น จนมิรามาลินทร์ถอนใจอย่างจนคำตอบ เลยทูลถามไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราว
“แล้วทรงมีแผนแล้วหรือเพคะ”
“มี…เพียงแต่แผนเดียวที่เป็นไปได้ตอนนี้ก็คือ เราต้องอ้างธรรมเนียมการเชื่อมสัมพันธไมตรีในอดีต ที่ให้คนจากราชวงศ์หรือตระกูลพราหมณ์แต่งงานกันเพื่อสานสายสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น ซึ่งทั้งสินธุรัฐและศิขราชต่างยึดธรรมเนียมนี้มาตลอดหลายร้อยปี ราชินีชโลธรคงไม่กล้าปฏิเสธ เอาความมั่นคงระหว่างประเทศมาเสี่ยงแน่ เมื่อมีเจ้าหลวงเป็นคนออกหน้า เราสองคนเล่นเกมตามน้ำ เพียงเท่านี้เราและทหารกองเกียรติยศก็จะเข้าเมืองไปได้และมีกำลังพลมากพอที่จะทำภารกิจช่วยคนโดยที่คนอื่นจะไม่สงสัย”
มิรามาลินทร์รู้สึกเหมือนตัวเองตาพร่าและหูดับไปชั่วขณะ ถ้อยรับสั่งจริงจังพร้อมกับแผนภารกิจที่ทรงตั้งใจไปช่วยคนภายใต้เงื่อนไขพันธะการแต่งงานที่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ทำให้หญิงสาวพยายามตั้งสติและปลอบตัวเองให้สงบใจ นี่คือปฏิบัติการ ภารกิจช่วยคน ไม่ใช่เรื่องรักใคร่ตามปรกติทั่วไป…แม้ว่าขณะนี้สมเด็จจอมพลแห่งศิขราช กำลังขอให้เทวกุมารีเช่นเธอล้างศีลจารีตเพื่อเสกสมรสกับพระองค์ก็ตาม
มิรามาลินทร์พยายามตั้งสมาธิเพื่อจะใช้เนตรญาณอีกครั้ง ทว่าไม่เป็นผล ตัวเธอไม่สามารถควบคุมใจที่คิดฟุ้งซ่านกับสิ่งที่เรียกว่า ‘การแต่งงาน’ ได้ โดยเฉพาะการแต่งงานกับเจ้าชายต่างแดน เจ้าชายที่ทรงเป็นทหาร เจ้าชายที่ทรงบ้าบิ่น เจ้าชายที่ไม่สนสิ่งอื่นใดนอกจากเป้าหมายที่ทรงต้องการ ต่อให้เธอมีเนตรญาณแต่เธอถูกทะนุถนอมอยู่ในวิหารศักดิ์สิทธิ์มาโดยตลอด การจะก้าวออกจากวิหารเทพแต่ละครั้งหากมิใช่เรื่องคอขาดบาดตายแล้ว มิรามาลินทร์คงไม่ยอมทำ
“แต่หม่อมฉันถือศีลจารีตอยู่ คงไม่เหมาะนักหากว่าจะผูกพันธะกับพระองค์”
“โยนเรื่องความเหมาะสมทิ้งไปก่อนเถอะ เพราะถึงอย่างไรการหมั้นหมายครั้งนี้ก็เป็นเพียงฉากหน้าเพื่อซุกซ่อนเรื่องสำคัญของเราทั้งคู่ หรือเธอไม่ได้คิดแบบนั้น”
ถ้อยรับสั่งขององค์จอมทัพพร้อมกับทรงพระสรวลน้อยๆ นั้น ทำให้มิรามาลินทร์หลบสายตาจากอีกฝ่ายเพื่อซ่อนความกังวลในใจ แม้เธอจะเข้าใจดีถึงความจำเป็นและความเป็นไปได้ภายใต้เงื่อนไขความอ่อนไหวของสองประเทศ หากเงื่อนไขที่ทรงเรียกร้องนั้นหาใช่เรื่องเล็กสำหรับกุมารีศักดิ์สิทธิ์เช่นเธอ การละศีลเพื่อครองเรือนทำได้ แต่การที่ต้องข้องเกี่ยวผูกพันกับจอมทัพแห่งศิขราชในฐานะพระคู่หมั้น จะทำให้เธอต้องวางจารีตทุกอย่างลง แม้การเสกสมรสอาจจะไม่เกิดขึ้นจริง แต่สิ่งที่เธอต้องแลกนั้นล้วนจริง! ดุจสายน้ำที่ไหล่บ่าไม่สามารถย้อนกลับได้ฉันได้ ความพิสุทธิ์แห่งศีลที่ครองก็ย่อมเป็นฉันนั้น
และแม้เจ้าชายตุลธรธิบดีจะมีจุดมุ่งหมายคือการช่วยคน แต่การที่เธอจะเปิดประตูวิหารเทพแห่งเมืองอัมพุต้อนรับจอมทัพและหน่วยทหารลับจากคนต่างแผ่นดินนั้นจะให้ผลลัพธ์อะไรตามมาบ้าง ถึงแม้เธอต้องการปกป้องอาจารย์และเทวนารี หากการชักศึกเข้าบ้านก็ดูจะเป็นเรื่องที่ไม่สมควรเช่นกัน
“หม่อมฉันว่าเราลองหาวิธีอื่นดูก่อนดีกว่าหรือไม่เพคะ หม่อมฉันหนีออกมา ถูกไล่ล่าไม่ต่างจากนักโทษ หากจะทรงรับหม่อมฉันเป็นคู่หมั้น ก็ดูจะประหลาดไม่น้อย”
“ที่ว่าประหลาดคงไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกมั้ง แต่เธอกำลังมองเราเป็นศัตรู เลยกังวลสารพัด ต่อให้เธอหนีออกมาในฐานะคนผิด แต่เรากำลังจะทำให้มันถูกด้วยการใช้เกียรติของเราเป็นประกัน! เธอคิดว่าราชินีชโลธรจะกล้าชี้หน้าว่าเธอเป็นคนผิดอยู่อีกหรือ หากเราเป็นคนยืนเคียงข้างเธอในฐานะพระคู่หมั้น!”
แววพระเนตรในยามรับสั่งนั้นเต็มไปด้วยความถือดีและเจือความหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย นี่ในสายตาของหญิงสาวทรงดูเป็นคนหลักลอยจนเธอไม่มั่นใจในพระองค์สักนิดเลยหรือ หรือเธอกำลังคิดว่าทรงไม่คู่ควรกับเทวกุมารี เพราะพระองค์เองก็เป็นเพียงเจ้าชายริมขอบชายแดน อำนาจบารมียังสู้ตระกูลมหิราชไม่ได้เสียด้วยซ้ำไป
“เอาเถอะ…เราจะกลับไปคิดหาวิธีอื่นตามที่เธอต้องการ คืนนี้ก็กลับไปพักผ่อนเสียก่อน”
วรองค์สูงใหญ่ประทับยืนขึ้น พลอยให้มิรามาลินทร์ต้องลุกตาม สีพระพักตร์ที่เหนื่อยหน่ายอิดโรยนั้นทำเอาหญิงสาวรู้สึกผิดอยู่ในใจ จนไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดให้ระคายพระทัยอีก บางทีความรู้สึกในใจของคนไม่จำเป็นต้องใช้เนตรญาณก็รับรู้ได้ อย่างเช่นตอนนี้ที่เธอมองเห็นแม้กระทั่งความรู้สึกที่เป็นเอกภาพทั้งกาย วาจา ใจ ของบุรุษสูงศักดิ์ตรงหน้า ทรงผิดหวังและเหนื่อยพระทัยเพราะเธอ
มิรามาลินทร์ย่อกายลงถวายความเคารพส่งเสด็จ สายพระเนตรผิดหวังและน้อยพระทัยยังติดตรึงในความรู้สึกของเธอ แม้กระทั่งเดินกลับเข้าห้องรับรองแขกที่อลินาเตรียมทุกอย่างไว้ให้เรียบร้อยแล้วเธอก็ยังไม่อาจผ่อนคลายจิตใจได้ หญิงสาวหลับตาลงพลางทบทวนทุกอย่างที่เกิดขึ้นอีกครั้ง…ทบทวนด้วยใจที่ยุติธรรม และใจที่วางไว้ที่ผู้อื่นเป็นหลัก เผื่อว่าจะมีทางออกอื่นที่จะช่วยลบล้างความรู้สึกที่ติดค้างจากแววพระเนตรคมเข้มคู่นั้นให้เฉือนใจเธอน้อยลงบ้าง
เจ้าชายตุลธรฯ ทรงแยกตัวขอกลับห้องพระบรรทมมา และปล่อยให้เป็นหน้าที่ของอลินาที่คอยดูแลมิรามาลินทร์ในคืนนี้ไป หากพอสรงเสร็จก็พบว่าราชองครักษ์อารัญยืนรอถวายรายงานความเคลื่อนไหวที่ตนเองไปสืบจากฝั่งสินธุรัฐมาได้
“เรามีเวลามากสุดอีกแค่หนึ่งอาทิตย์กระหม่อม ท่านเตโชสภาพย่ำแย่เต็มที นายพลชาตรีสั่งสอบทรมานทุกชั่วโมง และยังเสริมกำลังที่ชายแดนอีกเท่าตัว สายของเราแจ้งว่า เจ้าชายธัชธาราพระรัชทายาทเสด็จชายแดนเพื่อเชิญท่านอาจารย์อมราวดีเทวนารีย้ายไปพำนักในเมืองหลวงด้วยพระองค์เองกระหม่อม”
“ราชินีและรัชทายาทตั้งใจยึดเมืองอัมพุคืน”
“ทุกอย่างกระหม่อม”
คำตอบนี้ทำให้องค์จอมพลทรงหันไปจ้องอารัญตาไม่กะพริบ อีกฝ่ายอึกอักอยู่ครู่หนึ่งจึงยอมเอ่ยข้อมูลลับที่ตนเสี่ยงชีวิตไปสืบมาจากภารกิจครั้งก่อน
“ท่านหญิงมิรามาลินทร์เป็นพระสหายที่เติบโตมาด้วยกันกับเจ้าชายธัชธาราพระรัชทายาทกระหม่อม เพราะเป็นลูกศิษย์ของพระอาจารย์อมราวดีเทวนารีทั้งคู่ และเจ้าชายรัชทายาททรงเคยทูลขอหมั้นหมายกับท่านหญิงมิรามาลินทร์ด้วย แต่ว่าราชินีชโลธรทรงขัดขวางทุกวิถีทางและมีพระเสาวนีย์ให้คนของเทวนารีทั้งหมดรวมทั้งอดีตพระชายาเมธาสินี ให้ย้ายไปอยู่ที่เมืองอัมพุ หลังจากนั้นสมเด็จพระราชาธิบดีจึงมีรับสั่งให้สร้างพระตำหนักให้พระชายาเมธาสินีและบูรณะวิหารเทพอัมพุ พระชายาก็เลยประทับที่นั่นเรื่อยมาและทรงประชวรออดๆ แอดๆ มาตลอดจนกระทั่งสิ้นพระชนม์พระเจ้าค่ะ”
“แล้วเรื่องหมั้นหมาย”
“หม่อมฉันตรวจสอบแล้ว ท่านหญิงไม่มีพิธีครองผ้าปฏิพัทธ์และที่ตราพันธาภรณ์ก็ยังไม่มีการสลักชื่อคู่พันธะกระหม่อม หลังจากที่พระชายาเมธาสินีสิ้นพระชนม์ ท่านอาจารย์อมราวดีเทวนารีเชิญพระศพมาทำพิธีที่วิหารอัมพุพิมาน คนของเทวนารีและท่านหญิงมิรามาลินทร์ก็อยู่ที่เมืองอัมพุมาตลอดไม่ได้กลับไปที่เมืองหลวงอีกเลยกระหม่อม”
“แล้วเจ้าชายธัชธาราจะเข้าพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อไหร่”
“อีกหกเดือนกระหม่อม”
เจ้าชายตุลธรฯ ทรงเหยียดยิ้มน้อยๆ นี่เองพระรัชทายาทแห่งสินธุรัฐถึงได้เตรียมยึดทุกอย่างคืน เพียงแต่ว่าตอนนี้สิ่งที่ต้องการยึด…คงไม่ง่ายดายเช่นลูกไก่ในกำมืออีกแล้ว
“อารัญ เจ้าเข้าวังหลวงมหาราชคืนนี้เลย กราบทูลองค์เจ้าหลวงว่า พรุ่งนี้เช้าเราจะเข้าเฝ้าปรึกษาเรื่องอภิเษกสมรส”
“ฝ่าบาท!…จะทรงอภิเษกสมรสกับใครกระหม่อม”
“ถ้าไม่รู้ก็ไม่ต้องรู้!”
อารัญนิ่งคิดไป ความเป็นไปได้เดียวที่ไม่น่าเป็นไปได้ แต่ก็เป็นไปแล้วนั่นก็คือ…
“หากทรงอภิเษกสมรสกับญาณเทวี แล้วตระกูลมหิราชจะยอมหรือกระหม่อม”
“พระอนุชาธิราชแห่งศิขราชจะเษกสมรส ต้องขออนุญาตจากตระกูลมหิราชด้วยหรือ”
“แต่จะผิดใจกันนะกระหม่อม”
“แค่ใจเรากับมิรามาลินทร์ไม่ผิดต่อกันก็พอ”
“รับด้วยเกล้าพระเจ้าค่ะ”
อารัญรับคำยิ้มกริ่ม ก่อนจะถวายคำนับและถอยออกไป ปล่อยให้องค์จอมทัพทรงใช้เวลาทำความเข้าใจกับพระดำรัสของพระองค์เองให้เต็มที่ เพราะเมื่อครู่ก่อนนี้พระพักตร์ยังราวกับคนหมดเรี่ยวแรง หากพอมีศัตรูคู่แข่งก็กลับฮึกเหิมขึ้นมาใหม่
เห็นทีจอมพลแห่งจตุรคีรีคงใช้เวลาไม่น้อยสำหรับคนที่ไม่เคยเปิดใจให้ใคร ให้ค่อยๆ ค้นหาความความรู้สึกอ่อนหวานบางอย่างที่ถูกลืมหายไป และกล้ายอมหยิบมันมาใช้กับหัวใจตัวเองอย่างเต็มที่ ว่า ความรู้สึกพิเศษนี้ได้มาเยือนเรียบร้อยและปักลงกลางพระหทัยเข้าแล้วจริงๆ
ยามค่ำคืนของพระตำหนักมหาราช แม้จะให้ความรู้สึกปลอดภัยแต่ก็ยังรู้สึกแปลกที่อยู่ดี เมื่อผสมกับความคิดกังวลทำให้มิรามาลินทร์นอนหลับๆ ตื่นๆ ครั้นใกล้รุ่งสางจึงลุกตื่นตามความเคยชิน หญิงสาวเปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงยาวชิ้นเดียวที่อลินาเตรียมไว้ให้หลังจากที่ได้ชำระร่างกายจนสดชื่น การได้พักผ่อนแม้เพียงไม่กี่ชั่วโมงแต่ก็ทำให้สมองและร่างกายปลอดโปร่งขึ้น
กุมารีทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าภายนอกยังมืดสนิท ดาวประกายพรึกส่องแสงจ้าราวกับพยายามชี้ทางออกในสิ่งที่ยังติดค้างในใจเธอ หญิงสาวจึงออกมายืนรับคำตอบจากท้องฟ้าและดวงดาวตรงระเบียงที่เชื่อมยาวเป็นทางเดินด้านนอก และไม่คาดคิดว่าจะได้เจอกับเจ้าชายตุลธรที่คงไม่ได้บรรทมทั้งคืน พระพักตร์เคร่งเครียดหันมองเธอแล้วทำท่าจะกลับเข้าห้องบรรทมไป หญิงสาวที่ครุ่นคิดมาแล้วหนึ่งคืนจึงลองเอ่ยขึ้นลอยๆ ราวกับสนทนากับเงาขุนเขายิ่งใหญ่เบื้องหน้า
“อาจารย์สอนเสมอว่า กุมารีมีหน้าที่ช่วยเหลือผู้อื่น ปัดเป่าทุกข์ บรรเทาโรคภัย หม่อมฉันเองแม้จะพยายามทำตามที่อาจารย์สั่งสอน แต่ก็ดูเหมือนว่าจะยังทำให้ผู้อื่นเป็นทุกข์เพราะหม่อมฉันเสมอ จริงหรือไม่เพคะ” คำถามสุดท้ายทำให้วรองค์สูงใหญ่ยอมหยุดเสด็จและทรงหันมาเผชิญหน้า
“เราเข้าใจที่เธอระแวง แต่สิ่งที่เราทำก็เพื่อความปลอดภัยของพวกเราทุกคนที่จะเข้าไปที่อัมพุอย่างสันติที่สุด นี่คือภารกิจลับระหว่างเรา”
มิรามาลินทร์เงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าอีกครั้ง เพราะคำว่า ‘ภารกิจลับระหว่างเรา’ นั้นช่างตรงข้ามกับแผนการที่ต้องเล่นใหญ่โต หากในนาทีนี้ก็คงไม่มีทางอื่นให้เธอเลือกแล้วจริงๆ หญิงสาวตัดสินใจเดินไปหาบุรุษที่แม้ในยามนอนก็ยังสวมฉลองพระองค์สีดำ เพื่อเผชิญหน้ากันตรงๆ ไม่ต้องพูดอ้อมภูเขาแม่น้ำกันแล้ว
“หม่อมฉันคิดแต่ในมุมของตัวเอง จนลืมนึกถึงคนอื่นๆ ทรงพูดถูก ไม่มีวิธีอื่นที่ปลอดภัยสำหรับทุกคนมากไปกว่าวิธีนี้แล้วเพคะ”
“เธอรู้ใช่ไหมว่าเรื่องนี้สำคัญมาก ชีวิตคนอีกนับสิบนับร้อยที่จะอยู่ในมือเรา และเราจะไม่ยอมสูญเสียใครไปเพราะภารกิจครั้งนี้ ฉะนั้น ต่อให้ที่ผ่านมาเธอจะเกลียดเรา ระแวงเรา ไม่เชื่อใจเรา แต่ขอให้เชื่ออย่างหนึ่ง กฎของทหารศิขราชคือเราไม่ทิ้งเพื่อน เรามาเริ่มต้นกันใหม่ในฐานะเพื่อนก็ได้ จะได้เลิกกังวลอะไรไม่เข้าเรื่องเสียที”
เจ้าชายตุลธรฯ ทรงพรั่งพรูสิ่งที่อัดอั้นพระทัยมาตลอดคืนอย่างหมดเปลือก ความบีบคั้นทั้งเวลาและชีวิตของท่านลุง และยังเรื่องหยุมหยิมชวนกวนให้หงุดหงิดพระทัยอย่างอัตติยะและเจ้าชายธัชธารา ก็ทำให้ทรงวิตกและห่วงหน้าพะวงหลัง ทรงครุ่นคิด ไตร่ตรอง ทบทวนอย่างสุดกำลัง แต่เมื่อคิดแล้วแต่ยังไม่เริ่มลงมือทำ แล้วเมื่อใดจึงจะพบความสำเร็จ นักรบที่มัวแต่กลัวจะมีแผล ก็นับว่าตายตั้งแต่ยังไม่ได้รบแล้ว
หญิงสาวมองท่าทีว้าวุ่นพระทัยแต่พยายามซุกซ่อนไว้ภายใต้พระพักตร์เข้มดุนั้นด้วยสายตาที่อ่อนโยนลง ทรงเป็นผู้ชายคนแรกที่แม้ไม่ต้องใช้ญาณก็เข้าใจความคิดอีกฝ่ายอย่างแจ่มแจ้งเพราะทุกอย่างแสดงออกทางสายตา และใจของเธอบอกให้เธอเชื่อ! ทรงคิด พูด และทำจริง!
“ก็ได้เพคะ เราสองคนจะเป็นพันธมิตรกัน แต่หม่อมฉันสงสัย เพื่อนแบบไหนที่เอาหน่วยรบพิเศษตามติดในกองทหารเกียรติยศไปบ้านเพื่อนด้วยเพคะ”
“ก็…เพื่อนที่ต้องปกป้องเพื่อน แล้วก็อาจารย์ของเพื่อน แล้วก็เพื่อนของเพื่อนไง”
พอได้ฟังเหตุผลมิรามาลินทร์ก็รีบกลั้นขำจนแววตาพราว คราวนี้เจ้าของพักตร์เข้มค่อยทำหน้าดูดีขึ้น ความเครียดกังวลตลอดทั้งคืนที่ผ่านมาคล้ายกับถูกปัดเป่าได้จากรอยยิ้มของกุมารี…นี่ไง คงเป็นหน้าที่ของกุมารีอย่างที่อาจารย์ของเธอสอน เพียงแต่ไม่ใช่เพียงแค่คลายทุกข์ เพราะทรงรับรู้ถึงความสุขที่กำลังแผ่ซ่านอยู่ทั่วพระวรกาย
“เราไม่รบหรอก ทหารแค่หยิบมือ แค่อยากให้มั่นใจว่า ทุกคนจะปลอดภัย…”
สุรเสียงห้าวหาญนั้นประทานสัญญา ซึ่งมิรามาลินทร์ย่อมรู้ดีแก่ใจว่าถ้อยรับสั่งนั้นมีเงื่อนไขอยู่ แต่เธอในเมื่อจะลงเรือลำเดียวกันแล้วก็คงต้องยอมรับไปโดยปริยาย
“เรามีเวลาไม่มาก การแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีของสองประเทศ จะบีบให้สินธุรัฐเปิดประตูชายแดนต้อนรับเรา และด้วยฐานะเทวกุมารีของเธอ หากจะล้างศีลสละฐานะเทวาเพื่อเข้าพิธีหมั้นหมาย ก็ต้องให้เทวนารีผู้ดูแลประทานน้ำสังข์และสลักชื่อคู่ครองบนตราพันธาภรณ์ก่อนจะมอบให้กันและกัน ดังนั้นเราจึงสามารถพาเธอเข้าเมืองไปได้อย่างเปิดเผยพร้อมกับกองทหารเกียรติยศ ด้วยพระราชสาสน์จากสมเด็จเจ้าหลวงแห่งศิขราช อย่างไรราชินีชโลธรก็ยากจะปฏิเสธได้”
“หม่อมฉันก็เลยกลายเป็นสาวคลั่งรักที่หนีตามผู้ชาย ก่อนจะกลับไปขอขมาผู้ใหญ่ให้ถูกต้องตามประเพณี”
“ก็ประมาณนั้น แต่ถ้าเธอไม่สบายใจ เราจะทูลขอให้เจ้าหลวงทรงเติมในพระราชสาสน์ก็ได้ว่า เราตกหลุมรักกุมารี…ตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบ เลยแอบตามไปลักพาตัวมา สุดท้ายเธอก็ยอมใจอ่อนรับรักเรา…แบบนี้ ก็ไม่ว่า”
“ไม่ต้องทรงแต่งเติมน่าจะดีกว่า” มิรามาลินทร์ส่ายหน้าพลางถอนใจ ผิดกับเจ้าของพระพักตร์เข้มที่ทรงพระสรวลเต็มเสียง แววพระเนตรอ่อนหวานเสียปานจนหยด นับเป็นการต้อนรับอรุณวันใหม่ด้วยพระอารมณ์ดีๆ ในรอบหลายปี
“ทรงหัวเราะไปเถอะ ระวังถ้าราชินีชโลธรปฏิเสธรับไมตรี แล้วปิดด่านชายแดนขึ้นมา จะทรงทำยังไง” หญิงสาวเอ่ยขึ้นพลางเริ่มมองเห็นในสิ่งที่องค์ตุลธรฯ พยายามอธิบายกรุยทางไว้
“หากราชินีแห่งสินธุรัฐทรงปฏิเสธที่จะรับไมตรีของศิขราชไว้ ก็แปลว่า เราไม่ต้องเกรงใจ” คราวนี้รับสั่งพลางยิ้มร้ายกาจ แววพระเนตรวาวโรจน์ขึ้นราวพยัคฆ์ที่พร้อมล่าเหยื่อ
“เราก็เปลี่ยนจากทหารกองเกียรติยศเป็นทหารหน่วยรบพิเศษและกองหนุนจากค่ายจตุรทิศ กลับเข้าไปที่เมืองอัมพุแบบเต็มอัตราศึก เพราะองค์อมราวดีเทวนารี คือตัวแทนทูตแห่งศรัทธาจากศิขราช เรามีสิทธิ์ที่จะพาคนของเรากลับคืน!”
“หม่อมฉันไม่อยากให้เกิดสงคราม” มิรามาลินทร์เอ่ยค้าน พลางกราบทูลอย่างจริงจัง
“ในเมื่อจะทรงใช้หม่อมฉันเป็นเครื่องมือเปิดประตูชายแดน ก็ต้องทรงเลือกใช้ให้ถูกต้อง องค์ราชินีจะไม่ยอมอ่อนข้อให้ง่ายๆ หากว่ามิทรงมีไพ่ที่เหนือกว่า และสิ่งเดียวที่องค์ราชินีต้องการจากอัมพุก็คือ…ผืนดินใต้วิหารเทพ และหม่อมฉันยินดีที่จะมอบอาณาเขตทั้งหมดยกให้เป็นสินสอดทองหมั้นเพคะ แต่หม่อมฉันขอประทานสัญญาเพียงข้อเดียวจากฝ่าบาท…อย่าทำลายแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ของเรา”
“เรามีวิธีของเรา ไม่จำเป็นจะต้องใช้ไพ่อะไรนั่น”
องค์จอมพลรับสั่งพลางก้าวมาประทับใกล้ขึ้น แววพระเนตรปรายอย่างอาทรในยามที่มองสบดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยร่องรอยของความหวั่นใจและลังเล ทำให้สุภาพบุรุษที่ทำหน้าที่ปกป้องผู้อื่นมาทั้งชีวิต แต่ไม่เคยปลอบใจผู้หญิงเลยสักคน จึงได้แต่รับสั่งด้วยสุรเสียงที่อ่อนโยนลงกว่าเดิมมากๆ
“ทั้งวิหารเทพ แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์สำคัญกับเธอไม่ใช่เรา ของบางอย่างหากไม่อยู่ในมือของผู้ที่เห็นค่าก็มีแต่จะไร้ค่า เราต้องการเพียงแค่พันธะต่อเธอเท่านั้น สินสอดทองหมั้นก็เป็นเพียงแค่เปลือกนอก”
“แต่ก็ต้องมีนะเพคะ…” คำเอ่ยแย้งนี้ของหญิงสาวแม้จะทรงไม่เห็นด้วยนัก แต่ก็เข้าใจได้สำหรับผู้ที่ยังเคร่งจารีต ดังนั้นจึงทรงยอมลงให้
“หากจะมีอะไรที่จะแทนเครื่องพันธาภรณ์ระหว่างเราได้ ก็ขอเป็นผ้าคลุมปักไข่มุกผืนนั้นที่ถือวิสาสะเก็บเอาไว้ก็แล้วกัน อ้อ เข็มกลัดเพชรด้วย เราจะเอามาคืนให้”
“เข็มกลัดนั่นหม่อมฉันคิดว่าหายไปแล้ว ตราประจำเทวกุมารีของหม่อมฉัน ถ้าไม่มีก็ทำพิธีแลกตราพันธาภรณ์ไม่ได้นะเพคะ”
“รู้แล้ว ขอโทษจริงๆ เราให้อลินาเอาไปล้างคราบเลือดออก ตั้งใจว่าจะคืนให้ แต่เธอหนีออกมาก่อนนี่”
“หนีพ้นเสียที่ไหนล่ะเพคะ”
มิรามาลินทร์บ่นไปเผลอค้อนไปโดยไม่รู้ตัว จนกระทั่งได้ยินเสียงสรวลเบาๆ จากสุภาพบุรุษชายชาติทหารที่วันนี้หลุดมาดจอมพล กลายเป็นเจ้าชายหนุ่มทรงเสน่ห์อย่างที่ไม่เคยมีใครได้เห็นสักที จะมีก็แต่หญิงสาวตรงหน้าที่ไม่รู้ตัวว่าเป็นคนแรกที่ได้รับรอยยิ้มนี้ แถมยังบ่นเข้าให้เสียด้วย
“ทรงขำอะไรเพคะ ไม่เห็นมีอะไรน่าตลกสักหน่อย”
“ก็ขำที่เธอพยายามหนี แต่หนีไม่พ้นสักที”
“คราวนี้หม่อมฉันก็เลยไม่หนี แต่ชวนฝ่าบาทไปตีกับคนอื่นแทนไงเพคะ”
“เป็นทหารไม่ตีกับศัตรู แล้วจะให้ไปตีกับใคร”
“ใครก็ได้ที่ไม่ใช่หม่อมฉัน”
“โอเค รับทราบ ถือว่าเราบรรลุข้อตกลง เป็นเพื่อนร่วมรบ ร่วมด้วยช่วยกันตี!”
องค์จอมพลทรงคาดคั้นขึงขัง คราวนี้มิรามาลินทร์จึงเป็นฝ่ายหลุดหัวเราะบ้าง เพียงแต่เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของหญิงสาวนั้นมีผลต่อพระทัยของเจ้าชายตุลธรธิบดีเกินกว่าที่จะทรงฉุดรั้งมวลความรู้สึกให้ถอยกลับมาอยู่ในจุดเริ่มต้นได้ เพราะพระองค์ก้าวข้ามจุดเริ่มต้นกระโดดไปไกลเสียแล้ว
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 9 : ความหวัง
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 8 : ตราพันธาภรณ์
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 7 : เจรจา
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 6 : มหาวิหารกลาง
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 5 : จุดนัดพบ
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 4 : เสี่ยงทาย เสี่ยงตาย
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 3 : คำตอบ หรือ ความจริง
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 2 : นักโทษ
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 1 : ภารกิจลับ