เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 6 : มหาวิหารกลาง
โดย : ประดับยศ
เล่ห์พันธาภรณ์ นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย ประดับยศ กับเรื่องราวของ ‘มิรามาลินทร์’ หญิงสาวผู้ถูกเลี้ยงดูมาโดยนักบวชในวิหารเทพ แต่แล้ววันหนึ่งเธอต้องหนีเอาชีวิตรอดเพื่อตามหาบุคคลในคำทำนายที่จะมาช่วยปกป้องวิหาร คนผู้นั้นคือใคร ชีวิตเธอจะเป็นอย่างไร อ่านได้ในเว็บไซต์ anowl.co และเพจ anowldotco
กลุ่มอาคารหินอ่อนสีขาวตั้งตระหง่านเป็นแนวยาวราวกำแพงเมืองโดดเด่นอยู่ท่ามกลางพื้นที่ราบแห่งเดียวกลางหุบเขาเมืองมหิศรปุระ มหาวิหารใจกลางนครศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนต่างปรารถนามาเยือนสักครั้งยิ่งใหญ่เสียจนกดให้ผู้ที่เพิ่งมาเยือนดูตัวเล็กลงดังเศษธุลี ในยามที่รถแล่นไปตามถนนสายเดียวที่ทอดยาวไปยังเทวสถาน เมื่อยิ่งเข้าใกล้ มิรามาลินทร์ก็ยิ่งตื่นตะลึงเมื่อมองไปยังยอดหลังคาทรงโดมที่คล้ายรูปดอกบัวคว่ำ แต่เป็นดอกบัวที่ฉาบด้วยทองคำแท้ อดคิดไม่ได้ว่า ความยิ่งใหญ่ของมหาวิหารกลางและอำนาจที่ตระกูลมหิราชครอบครองอยู่นั้น จะมากมายมหาศาลเพียงใด
รถยนต์ของโมราแล่นมาจอดที่ลานหินด้านหน้ามหาวิหาร หน้ามุขมีร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มผิวสี ใบหน้าคมคร้ามแต่งกายชุดเสื้อคลุมสีขาวชายยาวคลุมเข่าเช่นเดียวกับผู้ครองศีลคนอื่นๆ ในมหาวิหาร จะแผกก็ตรงตราพันธาภรณ์ที่กลัดติดอยู่บนผ้าประดับไหล่ที่เป็นผ้าไหมทอสีกรมสอดดิ้นทองตามฐานันดรชั้นสูงของมหาวิหารแห่งมหิศรปุระ ซึ่งในสินธุรัฐนั้นผู้ที่รั้งตำแหน่งนี้คือเธอ ทว่าเธอดันทำอาภรณ์ชิ้นนั้นหายไปพร้อมกับผ้าแล้วนี่สิ
“คุณอัตติยะ หลานชายของมหาเทวีจะเป็นคนคอยต้อนรับและนำทางเราไปพบองค์เทวนารีครับ”
โมราเอ่ยแนะนำขึ้นก่อนที่จะลงจากรถ มิรามาลินทร์จึงหันมองตามแล้วก็กังวลใจ เธอไม่มีสิ่งยืนยันตัวเองเลย หากเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็คงต้องลองดูสักตั้ง
“ท่านหญิง เชิญครับ”
คามินก้าวนำลงจากรถ ก่อนจะเดินมาเปิดประตูให้หญิงสาวที่แม้จะไร้ตราฐานันดรใดๆ หากเทวกุมารีแห่งสินธุรัฐกลับยังเฉิดโฉมได้แม้สวมเพียงเสื้อผ้าธรรมดาห่มทับด้วยส่าหรีสีขาวพิสุทธิ์ที่ท่านโมราเตรียมมาให้ และผ้าคลุมสีหม่นที่เจ้าตัวใช้คลุมผมตามธรรมเนียมกุมารีแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์
มิรามาลินทร์โค้งศีรษะให้เป็นการทักทาย ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำเช่นกัน แววตาฉายแววระแวงสงสัยหากใบหน้าของเจ้าบ้านยังคงเรียบนิ่งในยามฟังหญิงสาวกล่าว
“เราคือ มิรามาลินทร์ กุมารีแห่งวิหารเทพอัมพุพิมาน จะรบกวนขอความช่วยเหลือจากมหาวิหาร”
“หากมิใช่เรื่องที่ยากเกินกำลัง กุมารีต้องการสิ่งใดล้วนเป็นไปตามประสงค์”
อัตติยะตอบรับอย่างง่ายดาย จนมิรามาลินทร์กลับเป็นฝ่ายสงสัยเสียเอง หญิงสาวจ้องลึกในดวงตาอีกฝ่ายไม่นานก็รู้เหตุผล อัตติยะรู้จักเธอ…และรู้มากเกินไปด้วยซ้ำ ว่าเธอจะมีประโยชน์อย่างไรต่อเขาบ้างหากได้ตัวเธอไป!
มิรามาลินทร์กะพริบตาถี่ๆ พยายามแค่นยิ้มให้บุรุษตรงหน้าอย่างยากเย็น พลางท่องเอาไว้ในใจ ผลประโยชน์! ใครๆ ก็อยากได้ และเธอเองก็มาที่นี่เพราะต้องการบางสิ่งเช่นกัน อัตติยะเดินนำทุกคนไปด้านใน ผ่านเสาหินอ่อนต้นใหญ่ที่ประดับอักษรมนตราขนานกันไปจนถึงโถงรับรองที่มีชุดรับแขกพร้อมสรรพ
มิรามาลินทร์แอบกะพริบตาปรับสมดุลญาณระหว่างที่รอผู้ต้อนรับเสิร์ฟน้ำสมุนไพรประจำถิ่นเรียบร้อย สายตายังคงพร่ามัวแต่เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเอะใจ จึงฝืนอดทนเริ่มบทสนทนาที่ค้างไว้
“ตอนนี้วิหารเทพที่เมืองอัมพุถูกยึดครอง ท่านอาจารย์อมราวดีเทวนารี ถูกคนของราชินีชโลธรกักตัวอยู่ที่เมืองอัมพุ เราเลยมาขอความช่วยเหลือจากท่านและนักรบเทวาไปช่วยเทวนารีที่ถูกจับไว้”
“มีปัญหาอะไรที่อัมพุกันแน่ ทำไมเทวนารีถึงถูกจับได้” อัตติยะถามพลางเริ่มนิ่วหน้าอย่างลำบากใจ แม้จะพอรู้อดีตของอมราวดีเทวนารีว่ามีเชื้อสายของชาวศิขราช แต่ถ้ายื่นมือไปตอนนี้จะมีแต่เสียกับเสีย
“ท่านขัดขวางไม่ให้ทหารเข้ายึดวิหาร”
“เรื่องรุนแรงขนาดนี้ ถ้าเราส่งนักรบเทวาไปช่วยจะกลายเป็นแทรกแซงการเมืองหรือเปล่ากุมารี คนจะมองว่ามหาวิหารเลือกข้าง”
อัตติยะแย้งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ทำให้ทุกคนในที่นั้นต่างเริ่มมองหน้ากัน โมราและคามินนั้นนั่งหน้าเครียดทั้งคู่พอจะเดาได้ว่าผลของการคุยวันนี้จะจบลงแบบไหน แต่มิรามาลินทร์เองก็ไม่ยอมแพ้
“แต่นี่คือแผนของราชินี ถ้ายึดวิหารเทพได้เบ็ดเสร็จ ท่านอาจารย์ต้องถูกโทษหนักหนาถึงชีวิตแน่ และทุกคนก็จะไม่รอดด้วยเช่นกัน”
“แต่ถ้าไปช่วยเดี๋ยวนี้ คนอื่นจะพลอยตายไปด้วย!” อัตติยะแย้งประโยคเดียวแต่ทำเอาคนฟังสะอึกอึ้ง แม้แต่มิรามาลินทร์ก็ยังชะงัก ชายหนุ่มผู้ดูแลวิหารจึงรู้ตัวว่าพูดผิดไป ต่อให้ถ้อยคำจะจริงแท้แค่ไหน แต่ก็ต้องปรับเสียใหม่
“ใจเย็นๆ ก่อนกุมารี ถึงอย่างไรตอนนี้ราชินีก็น่าจะยังไม่ทำร้ายคน จนกว่าจะเกิดการต่อสู้อย่างเป็นรูปธรรม เราต้องสืบให้แน่ใจก่อนว่าราชินีต้องการอะไรจากวิหาร และเราจะใช้จุดนั้นในการแทรกแซงและต่อรองได้”
“เช่นนั้นส่งคนไปคุ้มครองอาจารย์ก่อนได้ไหมคะ”
“เสี่ยงเกินไป ตอนนี้มีประกาศปิดชายแดนที่อัมพุแล้ว คงเข้าไปไม่ได้ง่ายๆ”
คำปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำให้มิรามาลินทร์เหลืออดมากขึ้นทุกที ก่อนจะกัดฟันถามคำถามสุดท้าย
“แล้วถ้าหากเราขอใช้สิทธิ์ ตราประจำตัวเทวกุมารี เรียกนักรบเทวาเพื่อคุ้มครอง?”
“กุมารีย่อมทำได้ เพียงแต่…นักรบเทวาจะคุ้มครองเฉพาะเจ้าของตรา ในขอบเขตการดูแลของมหาวิหารเท่านั้น และไม่ฟังคำสั่งอื่นนอกเหนือจากนี้” อัตติยะเอ่ยยืนยันเสียงเย็นชา แม้จะอธิบายหว่านล้อมต่างๆ นานา แต่ความหมายทั้งหมดก็คือการตัดรอนและไม่ช่วย
“ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ กุมารีไม่สามารถร้องขอให้นักรบไปก้าวก่ายเรื่องในสินธุรัฐได้ เว้นแต่ว่าจะมีการร้องขอต่อมหาเทวนารีท่านยายของข้าให้มีคำสั่งพิเศษเพื่อช่วยเหลือเทวนารีคนอื่นๆ ด้วย เสียดายแต่ว่าวันนี้ท่านยายไม่อยู่ กุมารีคงต้องรอสักสองสามวันให้ท่านกลับจากอินเดียก่อน”
มิรามาลินทร์ได้แต่เหยียดยิ้มในยามที่มองสบไปยังดวงตาคู่สนทนา ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยอาการที่สงบลง
“ขอบคุณท่านอัตติยะที่ช่วยอธิบายให้เราเข้าใจ รบกวนเวลามาพอสมควรแล้ว ขอตัวค่ะ”
“เดี๋ยวก่อน กุมารีจะไปที่ไหนต่อหรือ”
“กลับ…ค่ะ”
หญิงสาวตัดรอน หากอีกฝ่ายดูเหมือนจะเจรจาตอบกลับยาวเป็นพิเศษ
“ในมหิศรปุระนี้คงไม่มีที่ใดที่ดูแลกุมารีได้ดีเท่ามหาวิหาร และเราก็คงไม่ไว้ใจให้คนอื่นดูแลเทวกุมารีอันสูงส่งของวิหารเทพ”
“เราดูแลตัวเองได้” น้ำเสียงหญิงสาวเริ่มเย็นชาบ้าง หากอัตติยะยังคงมียิ้มประดับริมฝีปากขณะยืนยันคำเดิมเช่นกัน
“ความเสื่อมเสียแม้เพียงเล็กน้อย ย่อมกระทบต่อฐานะเทวกุมารี อย่างไรเสียท่านหญิงก็ควรพักที่มหาวิหารแห่งนี้ เพราะไม่มีใครดูแลกุมารีได้มากกว่าที่คนของมหิราชดูแล อีกอย่าง หากท่านหญิงต้องการช่วยเทวนารีที่อัมพุจริงๆ ท่านหญิงก็ควรรอพบมหาเทวี ท่านยายมีเมตตา ท่านคงยินดีรับฟัง”
ตลอดเวลาที่อัตติยะพูด เหล่านักรบเทวาก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวอย่างเงียบเชียบตรึงกำลังทั่วโถงรับรองอย่างแน่นหนาและเตรียมพร้อมที่จะรับคำสั่งจากบุรุษที่ยืนสนทนากับเธอหากว่าคิดที่จะปฏิเสธคำเชิญชวนด้วยท่าทีเอื้อเฟื้อนั้น มิรามาลินทร์ได้แต่พยายามอดทนอดกลั้น และสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อเรียกสติ ตอนนี้ร่างกายเธอยังไม่แข็งแรงมากพอจะพาคนของตัวเองหนีพ้นจากเหล่านักรบเทวานับร้อยคนได้โดยง่าย และที่สำคัญเธอไม่อยากสร้างศัตรูเพิ่มอีกในตอนนี้
“ขอบคุณท่านอัตติยะอีกครั้งที่มีน้ำใจต่อเรา เรายินดีรับไว้ เพียงแต่คนของเรา…”
“ ถ้าหากว่าคนของท่านหญิงต้องการกลับไป ผมจะให้คนไปส่ง” อัตติยะขัดขึ้น แสดงจุดประสงค์ชัดเจนว่าไม่ต้อนรับบุคคลอื่นนอกเหนือจากหญิงสาว มิรามาลินทร์จึงจำต้องตอบรับ
“ได้ แต่เราขอคุยธุระกับคนของเราสักครู่ เป็นการส่วนตัว”
อัตติยะพยักหน้ารับคำก่อนจะให้สัญญาณนักรบเทวาถอยออกไปให้พ้นระยะได้ยิน แต่ไม่วายย้ำกำชับกับหญิงสาวก่อนเดินออกไป
“ผมให้เวลาห้านาทีเท่านั้น แล้วผมจะกลับมานำทางท่านหญิงไปตำหนักราตรีวิหารเพื่อพักผ่อน…ด้วยตัวเอง”
มิรามาลินทร์รออยู่อึดใจเดียว นักรบเทวารอบด้านก็ถอยออกไปจนเงียบเชียบ ท่านลุงโมราและคามินรีบขยับเข้าใกล้ แม้ในห้องจะไม่มีคนของอัตติยะอยู่ แต่ด้านนอกมีนักรบเทวาเฝ้าอยู่ตลอดทาง ดังนั้นการสนทนาจึงเป็นการกระซิบ
“ท่านลุงโมรากับคามินคงต้องกลับไปก่อน เราจะอยู่ที่นี่เพื่อให้อัตติยะวางใจสักระยะ”
“ให้ผมอยู่ด้วยไม่ดีกว่าหรือ” คามินแย้งขึ้น สายตาบ่งชัดว่าวิตกและไม่ไว้ใจคนของมหาวิหารเลยโดยเฉพาะอัตติยะที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการให้มิรามาลินทร์อยู่ที่นี่ไปตลอดกาล
“คามิน เธอต้องไปช่วยอาจารย์ ในเมื่อนักรบเทวาปฏิเสธที่จะคุ้มครอง เราก็ต้องดูแลกันเองให้ดีที่สุด”
“แต่ถ้าคามินกลับไปตอนนี้ก็เสี่ยงที่คนของราชินีเจอตัว ถ้าถูกจับได้จะยิ่งทำให้ท่านเตโชโดนเล่นงานหนักขึ้น และเข้าทางคนที่ต้องการทำลายวิหารเทพ” โมราเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็นและให้เวลามิรามาลินทร์ในการทบทวนทุกอย่าง
“ผมเข้าใจว่าท่านหญิงเป็นห่วงอาจารย์ แต่ตอนนี้คนของราชินีชโลธรเข้าควบคุมเมืองอัมพุไว้ทั้งหมดแล้ว เรายิ่งต้องรอบคอบหากจะเข้าไปช่วยองค์อมราวดีเทวนารี เวลายังพอมีถึงอย่างไรราชินีก็ลงดาบกับคนของวิหารศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ ท่านหญิงได้อย่าวู่วามไปเลย”
“ขอบคุณท่านลุงโมราที่เตือนสติ เราจะทบทวนทุกอย่างอีกครั้งระหว่างที่อยู่ที่นี่”
“ท่านหญิงต้องระวังให้ดี ที่นี่อันตราย พวกเราจะไม่ยอมให้ท่านหญิงต้องอยู่ที่นี่นาน”
ชายชรายืนยันหนักแน่น ก่อนจะหันไปเอ่ยกับคามินที่ยังคงทำท่าว่าอยากจะปักหลักอยู่ที่มหาวิหารแห่งนี้ด้วย
“เรากลับกันเถอะคามิน ต่อให้เจ้าอยากอยู่ที่นี่ แต่สุดท้ายก็ไม่อาจปกป้องท่านหญิงได้อยู่ดี”
“แต่จะปล่อยให้ท่านหญิงอยู่ท่ามกลางคนของอัตติยะเพียงลำพังได้อย่างไร”
“ไม่ใช่ปล่อย แต่เราไม่อาจทำอะไรได้ต่างหาก”
โมราเอ่ยเพียงแค่นั้น ก่อนจะหันไปบอกกับกุมารีที่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะสงบใจลงได้บ้างแล้ว
“ท่านหญิงโปรดอดทน พวกผมจะรีบหาทางพาท่านหญิงออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด”
“ช่างเถอะท่านโมรา ต่อให้เราออกไปจากที่นี่ได้ เราก็ไม่มีที่ไปอื่นอยู่ดี นอกจากวิหารเทพที่อัมพุ”
“ทุกคนมีที่ของตนเองเสมอ ท่านหญิงอย่ากังวลเลย”
มิรามาลินทร์ยิ้มรับกับคำปลอบใจนั้น แต่ในใจก็รู้ดีว่าตัวเองตัดสินใจเช่นไร ไม่นานนักทั้งโมราและคามินก็ต้องกลับออกไปพร้อมกับที่อัตติยะกลับเข้ามาและพาเธอไปยังตำหนักรับรองราตรีวิหารที่สงวนไว้สำหรับเทวกุมารีและเทวนารีเท่านั้น
โมราและคามินกลับมาที่ร้านดอกไม้อีกครั้ง ก่อนที่คามินจะขอแยกตัวไปสืบสถานการณ์ที่ชายแดน โมราที่เห็นคนของตนส่งสัญญาณลับให้ จึงปล่อยให้คามินไป และเรียกคนของตนเข้ามาแทน สายข่าวรีบรายงานเรื่องลับอย่างเคร่งเครียด เพราะข่าวที่ได้มานั้นนับว่าเป็นรหัสดำ คือ ลับที่สุดและอันตรายที่สุด
“ตอนนี้มีข่าวว่าท่านเตโชถูกตัวส่งไปยังคุกหลวงแล้วครับ แต่สายข่าวไม่เห็นตัวคน เลยคิดว่าน่าจะถูกส่งไปคุกลับของนายพลชาตรีมากกว่า เพราะนายพลชาตรีมีคำสั่งให้สอบสวนอย่างหนักจนกว่าจะยอมปริปากครับ”
“พวกมันอยากได้ยินอะไร” โมราเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ เพราะถ้าเป็นนายพลชาตรีที่กุมอำนาจกลาโหมของสินธุรัฐไว้ในมือ ย่อมต้องรู้อยู่แล้วว่าเตโชคือใคร แต่ที่ยังต้องลงทุนสอบปากคำกันถึงขนาดนี้ แสดงว่ายังมีสิ่งอื่นอีกที่หมายมาดเอาไว้
“สั่งให้คนจับตาดู และรอฟังคำสั่งจากสมเด็จจอมพลพระองค์เดียวเท่านั้น”
โมราเอ่ยกำชับ ก่อนจะรีบไปส่งข่าวถึงพระเนตรพระกรรณด้วยตัวเองเพราะเริ่มหวั่นใจกับความบ้าดีเดือดของนายพลชาตรีไม่น้อย ตราบใดที่บัลลังก์สินธุรัฐยังไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของราชินีชโลธรอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด นายพลชาตรีคงทำได้ทุกอย่างเพื่อช่วยน้องสาวของตัวเอง
คืนไร้ดาวราวกับเป็นใจ ความเข้มงวดของวิหารศักดิ์สิทธิ์ถูกจำกัดไว้ที่ด้านนอกเท่านั้น นักรบเทวาไม่มีสิทธิ์ย่างกรายเข้ามาเขตด้านในของเทวนารีได้ ทำให้มิรามาลินทร์ที่เอ่ยต่ออัตติยะว่าเธอจะนั่งสวดมนตร์ที่ราตรีวิหารตลอดคืนและต้องการทำสมาธิอย่างสงบ ห้ามให้นักรบเทวาส่งเสียงรบกวนหากจะเฝ้าเธอที่หน้าประตูหรือนอกหน้าต่าง นั่นทำให้อัตติยะยิ้มรับแต่ยังคงให้ผู้ต้อนรับคอยดูแลเธออย่างเข้มงวด ซึ่งการที่อีกฝ่ายทำเช่นนั้นทำให้กุมารีคลายความกังวลใจ เพราะแผนนี้ของเธอต้องใช้พยานในการรู้เห็นค่อนข้างมาก
เสียงสวดทำนองเสนาะหูที่พลิ้วผ่านสายลมให้ดังแว่วทั่วบริเวณนั้นทำให้เหล่าผู้ต้อนรับและนักรบเทวาไม่สงสัยแม้แต่น้อยว่าเจ้าของเสียงนั้นนั่งภาวนามนตราอยู่ ณ ที่แห่งใด โทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กกะทัดรัดที่โมราทิ้งไว้ให้เผื่อต้องติดต่อกันยามฉุกเฉินระหว่างที่เธอพำนักอยู่ที่มหาวิหาร ถูกใช้เป็นเครื่องมืออย่างผิดวัตถุประสงค์ของผู้ให้ แต่กลับช่วยให้มิรามาลินทร์หลบหนีจากห้องพักได้อย่างแนบเนียนขึ้น
ผ้านุ่งยาวกรอมเท้าห่มทับด้วยส่าหรีแบบกุมารีศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นอุปสรรคพอสมควรในยามที่ต้องก้าวเร็วๆ แต่เจ้าตัวก็ไม่มีเวลาเปลี่ยนแล้ว จนกระทั่งเมื่อหลบออกมาถึงลานกว้างที่เชื่อมทางเดินระหว่างอาคารกับสวนไม้ประดับคล้ายเขาวงกต ด้านหลังมีบึงน้ำขนาดใหญ่ที่มีเวรยามเฝ้าอยู่บางตาเพราะตรงนี้ไม่มีทางออกอื่นอีก ทำให้มิรามาลินทร์แทบจะทึ้งหัวตัวเองเพราะสุดท้ายสองเท้ากลับพามาถึงทางตันเสียได้
หญิงสาวหันรีหันขวางเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของเหล่านักรบเทวามหาวิหารที่กำลังจะผลัดเปลี่ยนเวรยามดังใกล้เข้ามา กุมารีจึงรีบวิ่งไปซุกตัวซ่อนอยู่ระหว่างไม้ดัดที่ตัดเป็นพุ่มหนาในวงกต ใจเต้นแรงเมื่อเห็นว่าปลายผ้าส่าหรีของตัวเองส่วนหนึ่งเกี่ยวพาดอยู่ด้านบน และหากเอื้อมมือไปกระชากตอนนี้ก็เท่ากับว่าเป็นการแสดงตัวอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่ามือหนาคู่หนึ่งก็เอื้อมมาปัดผ้าให้หล่นซ่อนไปในพุ่มไม้ ก่อนจะหยุดยืนนิ่งๆ ราวกับช่วยบังเธอให้มิดชิดขึ้น อีกอึดใจใหญ่ๆ เมื่อเสียงฝีเท้าไกลออกไป เสียงดุที่คุ้นเคยก็เอ่ยขึ้นลอยๆ
“ถ้าคิดจะหนีก็น่าจะรอบคอบกว่านี้อีกสักหน่อย”
มิรามาลินทร์ยังคงปิดปากเงียบ แม้จะมั่นใจว่าผู้พูดคือใคร ชนิดที่ว่าในสมองผุดภาพคนพักตร์เข้มทรงชุดทหารพรานสีดำลอยขึ้นมากระแทกในจิต แต่หญิงสาวก็ไม่อยากเผชิญหน้าด้วยอยู่ดี
“ถ้าฉันยืนพูดคนเดียวตรงนี้ต่ออีกประโยค พวกทหารเวรคงย้อนกลับมาดูแน่ ถ้าอยากออกไป ก็รีบออกมาคุยกันดีๆ”
กุมารีได้แต่ถอนใจเฮือกใหญ่ก่อนจะค่อยๆ คลานออกมาจากพุ่มไม้ประดับ ยังไม่ทันจะได้ยืนดีๆ ฉลองพระองค์คลุมกำมะหยี่สีดำประจำพระองค์ก็ถูกคลี่คลุมให้ด้วยอาการอ่อนโยนผิดกับน้ำเสียงที่ทรงดุจริงจัง
“ถ้าหากท่านโมรารู้ว่าเธอจะทำแบบนี้ คงโมโหน่าดู”
“ไหนว่ากลัวทหารจับได้ไงเพคะ” มิรามาลินทร์ตอกกลับสั้นๆ ในขณะที่มือก็จับฉลองพระองค์คลุมแนบกายบดบังชุดส่าหรีสีขาวไม่ให้สะดุดตา แต่ก็ยังไม่วายมองค้อนวรองค์สูงสง่าที่แม้ในยามรัตติกาลพรางตาก็ยังคงน่าเกรงขามอยู่ดี เพียงแต่เวลานี้ทรงพระอารมณ์ดี พักตร์คมคายที่เคยแต่เข้มขรึมจึงค่อยน่ามอง ก่อนจะทรงแกล้งก้มกระซิบยียวนหญิงสาวตรงหน้า
“คนโกหกก็มักจะร้อนตัวแบบนี้ โน่น…เดินลัดสวนไปตำหนักมหาราช ที่นั่นมีแต่คนของเรา ไม่มีใครกล้าจับเธอแน่ ถ้าเราไม่ได้สั่ง!”
มิรามาลินทร์รู้สึกเหมือนกับว่าหนีเสือปะจระเข้อย่างไรอย่างนั้น แต่ในยามนี้ไม่มีทางเลือกสักเท่าไร หญิงสาวจึงได้แต่ยอมเดินตามสมเด็จจอมพลแห่งศิขราชไป ให้เงาของพระองค์แผ่คุ้มครองเธอให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของอัตติยะ
หญิงสาวลอบมองแผ่นหลังกว้างที่เสด็จอยู่ด้านหน้า พลางอดคิดไม่ได้ว่า นี่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ทรงเจอเธออีกครั้ง ทว่าหากมิใช่พระองค์แล้วมิรามาลินทร์ก็คิดไม่ออกว่าใครจะกล้ายื่นมือมาท้าทายอำนาจของมหาวิหารที่พยายามจะกักขังเธอไว้ภายใต้หัวโขนแห่งศรัทธา…โดยที่เธอเองก็ไม่ได้เต็มใจสักนิด
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 9 : ความหวัง
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 8 : ตราพันธาภรณ์
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 7 : เจรจา
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 6 : มหาวิหารกลาง
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 5 : จุดนัดพบ
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 4 : เสี่ยงทาย เสี่ยงตาย
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 3 : คำตอบ หรือ ความจริง
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 2 : นักโทษ
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 1 : ภารกิจลับ