พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 1 : ดาวร้ายในดวงใจ

พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 1 : ดาวร้ายในดวงใจ

โดย : เด็กหญิงเจ้าสำราญ

Loading

พระเอกในใจตัวร้ายในจอ นวนิยายออนไลน์โดย เด็กหญิงเจ้าสำราญ จาก อ่านเอา เรื่องราวของดาวร้ายตัวพ่อวัย 82 แห่งวงการบันเทิงที่มีครอบครัวแสนอบอุ่น แต่ก้นบึ้งของหัวใจปรารถนาจะได้รับการให้อภัยจากเพื่อนรัก และเขาก็ได้โอกาสแก้ตัวให้กลับไปในปี พ.ศ.2512 แต่เป้าหมายไม่ใช่แค่เรื่องเพื่อนแต่ยังมีหญิงสาวที่เขาต้องคว้าเธอมาแนบใจให้ได้

ณ ลานด้านหน้าเมืองมายา ภายในบริเวณหอภาพยนตร์วันนี้ คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา อาคารสถาปัตยกรรมต่างยุคต่างสมัยที่ตั้งใจก่อสร้างเลียนแบบสถานที่สำคัญในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ไทยและโลกหลายหลังถูกจับจองให้กลายเป็นฉากหลังของภาพถ่ายบนโทรศัพท์มือถือของผู้คนหลากหลายวัย ธงรบ กวาดสายตามองไปรอบๆ กาย นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้อยู่ท่ามกลางผู้คนและบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะพูดคุยที่เต็มไปด้วยความสุขเช่นนี้ ใกล้ๆ กันแว่วเสียงเจ้าหน้าที่บอกเล่าถึงความสำคัญของสิ่งก่อสร้างจำลองที่รายล้อมอยู่ตรงหน้าแก่กลุ่มนักข่าวและผู้เข้ามาเยี่ยมชม ซึ่งเปรียบเสมือนนิทรรศการกลางแจ้งด้วยน้ำเสียงและท่าทีแห่งความเป็นมิตร

“…อาคารไม้สีแดงตรงหน้าที่มีป้ายเขียนว่า ‘มงคลบริษัท’ นี้ เราจำลองมาจากโรงละครสมัยรัชกาลที่ ห้าแต่คนสมัยนั้นจะเรียกกันว่าโรงละครหม่อมเจ้าอลังการ เพราะท่านเป็นเจ้าของกิจการและถือว่าเป็นผู้ให้กำเนิดวงการภาพยนตร์ไทยเลยก็ว่าได้ ส่วนที่เห็นเป็นซุ้มประตูสามซุ้ม ด้านบนประดับยอดเจดีย์ เรียกว่าประตูสามยอด ในสมัยรัชกาลที่ห้า บริเวณประตูสามยอดนี้ ถือเป็นย่านการที่คึกคักมากบริเวณถนนเจริญกรุง มีทั้งโรงบ่อน โรงหวย โรงมหรสพ ถ้าใครเคยผ่านไปแถวนั้นจะเห็นได้ว่าตอนนี้บริเวณนั้นกลายเป็นที่ตั้งของรถไฟฟ้าใต้ดินสามยอดไปแล้ว และโทมัส อันวา เอดิสัน ก็ไม่ได้คิดประดิษฐ์หลอดไฟอย่างเดียว แต่ยังเป็นผู้คิดค้นภาพยนตร์สำเร็จเป็นคนแรกๆ ของโลกด้วยนะครับ ถ้าอยากรู้ว่าเป็นอย่างไร ต้องลองเข้าไปในอาคารถ้ำมองคิเนโตสโคป (Kinetoscope Parlor) ส่วนตึกสีเหลืองสไตล์ยุโรปฝั่งนี้ เราจำลองมาจากโรงแรมสคริบ ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ด้านในมีนิทรรศการที่จะพาทุกคนย้อนเวลากลับไปสู่วันที่ภาพยนตร์ถือกำเนิดครั้งแรกขึ้นบนโลก…”

ใกล้ๆ กันบริเวณด้านหน้าอาคารสีเหลืองสดใส ที่จำลองรูปทรงมาจากโรงถ่ายภาพยนตร์แบบบันทึกเสียงในฟิล์ม มีรูปหล่อจำลองของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสาตรศุภกิจ หรือบิดาแห่งภาพยนตร์ตั้งอยู่ ยูทูบเบอร์สาวกำลังยืนพูดกับกล้องตัวเล็กในมือของชายหนุ่ม ที่กำลังช่วยบันทึกภาพวิดีโอด้วยน้ำเสียงสดใส

“…ตอนนี้เราก็พาทุกคนมาอยู่กันที่หอภาพยนต์แห่งชาติกับการเปิดงานนิทรรศการ ‘ดาวร้ายในดวงใจ’ บรรยากาศงานวันนี้คึกคักมาก โดยเฉพาะการเชิญนักแสดงดาวร้าย ทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญให้มาเป็นพระเอกของงาน เดี๋ยวเราจะพาเพื่อนๆ ไปดูบรรยากาศในอาคารด้านในกัน วันนี้เขามีการจัดแสดงนิทรรศการสุดว้าวของเหล่านักแสดงดาวร้ายในอดีตด้วย และที่พลาดไม่ได้ก็คือการไปร่วมชมภาพยนตร์ที่เป็นไฮไลต์ของวันนี้นั่นก็คือเรื่อง ‘จอมใจไกลปืนเที่ยง’ ที่สร้างขึ้นเมื่อปี 2512” หญิงสาวทำสีหน้าทึ่งพร้อมโน้มตัวกระซิบกับกล้องโทรศัพท์ในมือชายหนุ่ม “เพื่อนๆ หลายคนคงน่าจะยังไม่เกิดแน่ๆ…ว่ากันว่าภาพยนตร์เรื่องนี้นอกจากจะเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้นับล้านในยุคสมัยนั้นแล้ว ยังแจ้งเกิดดาวร้ายในตำนานให้กับวงการภาพยนตร์ไทยอีกด้วย นี่ถ้าอาม่ากานพลูมางานวันนี้ด้วยรับรองต้องกรี๊ดเป็นภาษาจีนไปสามสิบสี่สิบซอย เพราะมีทั้งดาราที่อาม่าเคยเป็นติ่ง และมีทั้งดาวร้ายที่อาม่าเคยอินแบบด่าเช้าด่าเย็นมาร่วมงานนี้ด้วย…”

“โอเค…ตรงนี้เอาแค่นี้ก็พอ เดี๋ยวแกช่วยฉันถ่ายเก็บบรรยากาศรอบๆ ให้หน่อยนะ จากนั้นเราก็ค่อยไปถ่ายตรงตึกด้านหลังที่เขาจัดงานกันข้างใน ถ้าแกเดินไปเจอดาราก็ขอเขาถ่ายสัมภาษณ์ความรู้สึกที่ได้มาร่วมงานในวันนี้ให้ฉันด้วยนะ…” หญิงสาวร่างบางหันไปบอกชายหนุ่มที่มาช่วยถ่ายวิดีโอให้

“นี่ยัยกานพลู ฉันแค่มาช่วยแก ไม่ได้มาเป็นลูกน้องแกนะ แล้วสั่งขนาดนี้นี่แกจะไปไหนมิทราบ…” ชายหนุ่มทำเสียงขุ่นใส่เพื่อนสาวตัวดี

“ฉันก็จะไปสวัสดีคุณปู่ธงรบแบบสวยๆ ตรงโน้น…สงสัยวันนี้ฉันน่าจะได้เจอพี่ธีร์แน่ๆ เลย…” หญิงสาวส่งสายตาให้เพื่อนไปยังจุดที่เห็นชายชราร่างสูงที่กำลังยืนมองบรรยากาศรอบๆ อยู่เพียงลำพัง

“แกนี่นะ! บ้านก็ติดกัน เห็นกันมาตั้งแต่เกิดขนาดนี้แกยังไม่เลิกเป็นติ่งเขาอีกเหรอ”

“แหม…ก็เขาทั้งหล่อ ทั้งใจดี เวลาฉันขอความช่วยเหลืออะไรก็ไม่เคยขัดตั้งแต่เด็กยันโต ยันทำงาน แกคิดว่าชีวิตนี้ฉันจะหาพระเอกๆ ดีๆ แบบทั้งในจอ นอกจอแบบนี้ได้ที่ไหนยะ” หญิงสาวสวนกลับเพื่อนหนุ่มด้วยน้ำเสียงขัดใจ

“ดี! ฉันไปด้วย…เพราะนี่มันงานแกไม่ใช่งานฉัน ถ้าอยากจะได้คลิปสวยๆ ไปลงโซเชียลก็ต้องช่วยกัน” พูดจบชายหนุ่มก็เดินหันหลังนำหน้าเพื่อนสาวไปยังชายสูงวัยอย่างไม่ไยดีสายตาขุ่นเคืองที่ส่งมา

 

 “คุณปู่ธงรบ…สวัสดีค่ะ วันนี้คุณปู่หล่อมาก กอไก่ล้านตัวไปเลยค่ะ” กานพลูร้องทักพร้อมยกมือไหว้สวัสดีชายสูงวัยตรงหน้าด้วยความดีใจ

“อ้าว…สวัสดีหนูกานพลู พ่อปรานต์ มาถ่ายคลิปกันเหรอ นี่วันนี้เราลงทุนจ้างพ่อปรานต์มาถ่ายเลยหรือ” ธงรบหันมาทางชายหนุ่มข้างตัวกานพลู เพราะเป็นที่รู้กันว่าปรานต์เป็นช่างภาพมากฝีมือ ลูกค้าแทบจะรอคิวเพื่อจะได้ทำงานด้วยกันแบบข้ามปี

“อย่าเรียกว่าจ้างเลยครับคุณปู่ เรียกว่าบังคับจะดีกว่า เพราะเจ้าบอยมันป่วย ลำพังค่ายอดวิวกานพลู คงไม่พอจะจ้างผมหรอก ว่าแต่วันนี้คุณปู่หล่อเกินเบอร์ตัวร้ายมาก” ชายหนุ่มได้ทีก็รีบข่มเพื่อนสาวข้างกายพร้อมเอ่ยชมชายสูงวัย

“นานๆ ตัวร้ายจะได้ออกโรงเป็นพระเอก ก็ขอสักหน่อย”

“แล้วนี่พี่ธีร์เอารถไปจอดอยู่เหรอคะ” หญิงสาวถามถึงพระเอกดังที่มีศักดิ์เป็นหลานชายธงรบและมักเป็นสารถีมาคอยดูแลชายสูงวัยตรงหน้าเสมอๆ เวลามีงานเลี้ยงหรืองานสำคัญ

“วันนี้เจ้าธีร์ของหนูไม่มาหรอก เขาบินไปอิตาลีเมื่อคืนนี้ ดีซะอีกที่มันไม่มา ขืนมาปู่ก็โดนแย่งซีนไม่ได้เป็นพระเอกของงานน่ะสิ” ชายชราเอ่ยกลั้วหัวเราะ

“ไม่รู้หรือว่างานนี้เขาเชิญแต่ตัวร้ายไม่ได้เชิญพระเอก” เสียงเข้มสวนดังขึ้นข้างตัว แค่ได้ยินเสียงไม่ต้องเห็นตัวหญิงสาวก็ทำหน้าเมื่อยขึ้นมาทันที เพราะไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าใคร ธฤติพี่ชายตัวร้ายของธีร์ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมา และขัดใจเธอทุกอย่างมาตั้งแต่เด็กยันโต

“หนูไปทำงานกับปรานต์ต่อดีกว่า…หนูว่าฉายาตัวร้ายในตำนานของคุณปู่วันนี้ คงเจอคู่แข่งที่สูสีแบบตัวร้ายตลอดกาลแล้วละค่ะ ไว้วันไหนว่างๆ หนูจะพาอาม่าแวะไปเมาท์มอยกับคุณปู่ที่บ้านนะคะ” หญิงสาวล่ำลาธงรบ พร้อมเหล่มองชายหนุ่มร่างสูงข้างตัว ก่อนจะรีบเดินลิ่วๆ ไปยังทางเดินที่มุ่งสู่อาคารฉายภาพยนตร์ อย่างไม่สบอารมณ์ กิริยานั้นทำให้ธงรบถึงกับหัวเราะขึ้นอย่างอารมณ์ดีและไม่ถือสา ด้วยรู้นิสัยหลานชายและหญิงสาวข้างบ้านที่มีเรื่องให้เขม่นกันทุกเวลาจนเป็นเรื่องปกติ

“มีวันไหนที่แกสองคนจะคุยกันดีๆ มั่งไหม มัวแต่ทำตัวเป็นผู้ร้ายอยู่นั่นละ”

“ผมก็คงได้คุณปู่มาละครับ ขนาดได้เป็นพระเอกปู่ยังเป็นได้ไม่ตลอดรอดฝั่งเลย จะมาคาดหวังอะไรกับผม” ชายหนุ่มยักไหล่ตอบยียวน พร้อมเอ่ยพาดพิงไปถึงภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่หนึ่งปู่เขาเคยได้รับเลือกให้เล่นเป็นพระเอก แต่มีเหตุให้ต้องยกเลิกการถ่ายทำแม้จะถ่ายไปกว่าครึ่งเรื่องแล้วก็ตาม และหลังจากนั้นปู่ของเขาก็เลือกที่จะรับเล่นแต่บทตัวร้ายมาโดยตลอด เขาเคยได้ยินพ่อเล่าฟังว่า ตอนเด็กๆ พ่ออยากให้ปู่เล่นเป็นพระเอกถึงในยุคนั้นสมัยนั้นจะบอกใคร อวดใครไม่ได้ว่ามีพ่อเป็นดารา แต่อย่างน้อยพ่อก็อยากรู้สึกภูมิใจบ้างว่ามีพ่อเป็นพระเอก เพราะเวลาได้ยินคนนั้นคนนี้เอ่ยชื่อปู่ทีไร มีแต่คนเกลียดไม่เคยได้ยินใครบอกว่ารักว่าชอบเลยสักคน จะมีก็แค่คุณย่าคนเดียวนี่ละ ที่บอกว่ารักว่าชอบบทดาวร้ายของปู่

“อุ๊วะ…แกนี่น้า…ถ้าฉันเป็นตัวร้ายในตำนาน แกนี่เป็นมันก็ตัวร้ายตลอดกาลเหมือนเจ้ากานพลูมันว่าจริงๆ กับคนแก่หัวหงอกก็กัดไม่เว้น…”

“ผมว่าคุณปู่รีบเข้าไปข้างในเถอะครับ งานนี้คุณปู่มาในฐานะพระเอกของงานนะครับไม่ได้มาเป็นตัวร้าย” ชายหนุ่มตัดบทพร้อมประคองธงรบเดินไปยังอาคารด้านในที่หญิงสาวข้างบ้านเพิ่งมุ่งหน้าไป

 

ภายในอาคารสูง 7 ชั้นรูปทรงแปลกตา แต่กลับดูสวยเก๋ทันสมัยด้วยการออกแบบสไตล์ดัตช์ผสมสแกนดิเนเวียน เวลานี้เต็มไปด้วยผู้คนที่มาร่วมงานเปิดตัวนิทรรศการ ‘ตัวร้ายในดวงใจ’ และรอชมภาพยนตร์รอบพิเศษกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง พื้นที่แต่ละชั้นภายในอาคารสรรพสาตรศุภกิจมีการออกแบบ จัดวางข้าวของและอุปกรณ์หลายอย่างจากโลกภาพยนตร์ในอดีตตามมุมต่างๆ กลายเป็นหนึ่งในจุดสนใจที่เชื่อมผู้คนทุกวัย จากทุกยุคสมัยให้ตื่นตาตื่นใจไปกับวิวัฒนาการของวงการภาพยนตร์ได้เป็นอย่างดีระหว่างรอเวลาเปิดงาน

“ไอ้ธงรบ! ไอ้ตัวร้ายที่รักของข้า หายหน้าหายตา เงียบไปเลยนะเอ็ง”  เสียงชายสูงวัยร้องทักและโผเข้ากอดด้วยความดีใจ ก่อนจะผละออกเพื่อสำรวจคนตรงหน้าและพูดต่อโดยไม่ทันให้ธงรบได้ตั้งตัว

“ก็แข็งแรงดีนี่หว่า ข้านึกว่านอนติดเตียงไปล้ว นี่ถ้าไม่มีงาน มึงคงไม่ออกจากถ้ำโผล่หัวมาให้เพื่อนเห็น”

“ไอ้คม! ปากเอ็งนี่ยังปีจอเหมือนเดิมเลยนะ” ธงรบสวนกลับด้วยน้ำเสียงที่เปิดเผยถึงความดีใจไม่ต่างกันเมื่อรู้ว่าคนที่ทักตนคือเพื่อนเก่าที่รู้จักกันมากว่าค่อนชีวิตอย่างคมเดช เป็นที่รู้กันดีในบรรดาเหล่านักแสดงรุ่นเก่าว่าธงรบและคมเดชนั้นเป็นเพื่อนรักที่สนิทสนมกันมาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ ที่ทั้งคู่เริ่มเข้าวงการ

“แล้ววันนี้เอ็งมากับใคร…พ่อธีร์หรือพ่อธฤติ” คมเดชถามพลางมองหาหลานชายเพื่อน

“มากับเจ้าธฤติ แต่มากับมันก็เหมือนมาคนเดียว โน่น…มีงานให้คุยทั้งวัน” ธงรบบุ้ยใบ้ไปยังอีกมุมหนึ่งของอาคารที่หลานชายกำลังยืนคุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง

“ลูกๆ หลานๆ เรา ก็เป็นฝั่งเป็นฝา โตๆ กันหมดแล้ว คิดถึงไอ้เจตน์มันนะ…ไม่รู้ว่าป่านนี้มันจะเป็นตายร้ายดียังไง ถ้ามันได้มาอยู่ในงานวันนี้ด้วยก็คงดี” คมเดชอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถึง ‘เจตน์ เทพเทวา’ อดีตเพื่อนรักร่วมก๊วนของพวกเขาอีกคนในวัยหนุ่ม ที่เป็นเหมือนสามเสือแห่งวงการในยุคสมัยหนึ่ง

ชื่อที่เหมือนถูกลืมแต่ไม่เคยลบออกไปจากใจทำให้ธงรบถึงกับนิ่งเงียบไป ธงรบเองก็ไม่ต่างไปจากคมเดช ที่ปรารถนาจะได้เจอกับเจตน์สักครั้งก่อนตาย ความทุกข์ทรมานจากความรู้สึกผิดถึงสิ่งตัวเองก่อไว้ในอดีตค่อยๆ ถาโถมกลับเข้ามาในความทรงจำเหมือนภาพหนังที่ฉายวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ครั้นเห็นชายตรงหน้านิ่งเงียบไป คมเดชที่พอรู้เรื่องราวลึกตื้นหนาบางระหว่างธงรบและเจตน์ก็อดไม่ได้ที่จะปลอบใจ “เอ็งทำดีที่สุดแล้วไอ้ธง มันไม่ใช่ความผิดเอ็ง”

“แต่ข้ามีส่วนทำให้เรื่องราวมันบานปลาย”

“ ข้าว่าเอ็งต้องปล่อยวางได้แล้วนะไอ้ธง เอ็งกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว อีกไม่กี่ปีเราสองคนก็คงล้มหายตายจาก ที่ข้าพูดถึงมันขึ้นมา ก็เพราะข้าเห็นบรรยากาศแบบนี้ก็อดนึกถึงมันไม่ได้ อยากจะได้เจอมันก่อนตาย”

“ข้าก็อยาก” ธงรบตอบเพื่อนด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง เพราะนั่นคือหนึ่งในความหวังของเขามาตลอด 50กว่าปีด้วยเช่นกัน ที่จะได้เอ่ยคำขอโทษที่ติดค้าง และถ้าย้อนเวลากลับไปได้เขาก็พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อเพื่อนคนที่เขาเคยร่วมสาบาน

“พี่ธง!…พี่คม! ไม่เจอพี่ธงเสียนานยังหนุ่มอยู่เลยนะคะ แล้วนี่ทำไมทำหน้าเป็นหมาหงอยกันอย่างนี้ล่ะคะ คุยอะไรซีเรียสกันอยู่แล้วเลขาเข้ามาขัดจังหวะหรือเปล่าคะ” เสียงทักกึ่งแซวของหญิงสูงวัยที่ยังคงเค้าโครงความสวยช่วยดึงสติของธงรบและคมเดชให้กลับมายังเจ้าของเสียงตรงหน้า

“กำลังคิดถึงน้องจิตรเลขาอยู่ไงจ๊ะ นึกว่าวันนี้พี่จะไม่ได้เจอน้องเลขาซะแล้ว…พอเห็นหน้าน้องพี่ก็หายคิดถึง รู้สึกกระชุ่มกระชวยหัวใจขึ้นมาทันที” คมเดชออกปากแซวอดีตนางร้ายรุ่นน้องที่เคยร่วมงานแสดงและเคยหักอกเขาเมื่อครั้งอดีต

“แปดสิบกว่าแล้วยังไม่เลิกทำตัวเป็นหนุ่มน้อยอายุสิบแปดอยู่อีกหรือคะ” น้ำเสียงรู้เท่าทันของจิตรเลขา เรียกเสียงหัวเราะให้ธงรบและคมเดชจนบรรยากาศรอบตัวกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เรื่องราวสัพเพเหระในวันวานถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยอย่างออกรส ระหว่างสนทนามีนักแสดงและเพื่อนร่วมวงการทั้งรุ่นลูก รุ่นหลานแวะมาทักทายอย่างไม่ขาดสาย

“คิดถึงพี่เทอดนะคะ ถ้าแกได้มาร่วมงานวันนี้ด้วยก็คงดี ผลงานของพี่เทอดนี่ก็ใช่ว่าจะน้อยๆ” จิตรเลขาพูดถึงเทอด หนึ่งในนักลงทุนแห่งยุค ผู้สร้างภาพยนตร์เรื่อง ‘จอมใจไกลปืนเที่ยง’ ที่ทั้ง 3 ได้มีโอกาสร่วมแสดงจนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในวงการบันเทิง โดยเฉพาะธงรบที่รับบทบาทตัวร้าย จนกลายเป็นภาพจำที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกเกลียดได้คนหนึ่งในยุคสมัยนั้น

“นั่นสินะ…ป่านนี้พี่เทอดแกคงเอกเขนกนอนรอเราอยู่แล้วละ ไม่ก็คงบ่นเป็นหมีกินผึ้งอยู่ว่าทำไมพวกเรานี่ตายยากตายเย็น” คมเดชหัวเราะร่วนอย่างคนที่ไม่คิดกลัวอะไรอีกในชีวิตนี้

“ว้าย…พี่คมไปหาพี่เทอดก่อนเลยค่ะ เลขาไม่รีบ น้องขอเลี้ยงเหลนอีกสักสองสามคนก่อน” จิตรเลขาอุทานทีเล่นทีจริงกับประโยคของคมเดช

“ก็ได้ๆ เดี๋ยวพี่ยอมอยู่เป็นเพื่อนน้องเลขาให้ถึงเซยิดร้อยปีเลย” คมเดชตอบเอาใจ

“เออ…เอ็งอยู่ไปคนเดียวนะร้อยปี ข้าไม่อยู่กับเอ็งด้วยหรอก” ธงรบแซวคมเดชด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงไม่ต่างจากจิตรเลขา

“เฮ้อ…แต่ละคน…เอาใจยากจริงจริ๊ง…” คมเดชถอนหายใจพร้อมส่ายหน้าเบาๆ อย่างเอือมระอาแบบไม่จริงจัง “เอาเหอะๆ ข้าว่านี่ก็ใกล้เวลาเปิดนิทรรศการแล้ว เราขึ้นไปรอด้านบนกันดีกว่า” คมเดชหมายถึงพื้นที่บนชั้น 3 ของอาคารที่ถูกจัดให้เป็นสถานที่จัดนิทรรศการของพวกเขา “อย่าให้เด็กๆ มันมาถอนหงอกเราได้ว่าเราไม่รักษาเวลา…เสร็จแล้วเราก็จะได้ไปดูหนังของพวกเรากัน” คมเดชเอ่ยชวน

ภายในห้องขนาดใหญ่บนชั้น 2 ของอาคารสรรพศาสตรศุภกิจ ถูกออกแบบให้กลายเป็นพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการ ‘ตัวร้ายในดวงใจ’ ซึ่งหลังจากวันนี้ไปก็จะกลายเป็นนิทรรศการหมุนเวียนที่เปิดให้ประชาชนทั่วไปได้เข้ามาทำความรู้จักและระลึกถึงวันวานของภาพยนตร์ไทยต่อเนื่องไปอีก 4-5 เดือน ทันทีที่ก้าวเข้าไปภายในห้องจัดนิทรรศการธงรบ คมเดช และจิตรเลขาก็อดที่จะตื่นเต้นไปกับสิ่งที่เห็นตรงหน้าไม่ได้ เพราะมันช่างเหมือนได้พาตัวเองย้อนเวลากลับไปในอดีตที่ต่างก็ยังสนุกอยู่กับการใช้ชีวิตในวัยหนุ่มสาวและการทำงานที่แทบจะกินนอนอยู่ในกองถ่าย

โถงทางเข้าที่ปรากฏภาพตัวเองและเหล่านักแสดงผู้เคยสวมบทบาทตัวร้ายทั้งชายและหญิงจากภาพยนตร์ไทยในอดีตขนาดเท่าคนจริงอยู่บนฉากหลังที่จำลองมาจากใบปิดภาพยนตร์ที่ใช้เทคนิคการวาดภาพและลงสี มีป้ายแสดงที่มาที่ไปของการจัดนิทรรศการ และความสำคัญของเหล่าตัวร้ายที่แม้จะไม่ใช่ตัวละครที่ทุกคนรักแต่ยังเป็นตัวละครที่คอยสร้างสีสันและอุปสรรคให้พระเอกนางเอกได้ฝ่าฟัน และให้คนดูได้ลุ้นเอาใจช่วยตัวละครที่รักให้มีฉากจบที่บริบูรณ์สวยงาม

แนวกำแพงด้านหนึ่งของห้องเป็นตู้กระจกขนาดยาวมีหุ่นที่สวมใส่เครื่องแต่งกายของเหล่าตัวร้ายในแต่ละยุควางเรียงราย ผนังตามแนวทางเดินบังคับและพื้นที่ตรงกลางประดับประดาด้วยใบปิดภาพยนตร์ มีการจัดวางตัวอย่างบทภาพยนตร์เก่าที่มีทั้งเป็นลายมือเขียน และใช้เครื่องพิมพ์ดีด ด้านในมีการจัดสรรพื้นที่เป็นส่วนย่อยๆ เพื่อให้ผู้เข้าชมงานสามารถสนุกกับกิจกรรมต่างๆ ทั้งการทดลองใช้เสียงของตัวเองในการพากย์บทของตัวละครที่ปรากฏอยู่ในจอโทรทัศน์ตรงหน้า มีการจำลองฉากต่างๆ ที่เคยอยู่ในภาพยนตร์ เช่น ฉากกระท่อม, ฉากห้องรับแขก, ฉากการต่อสู้ที่มีการนำถังน้ำมันและกล่องไม้หลากหลายขนาดมาวางกองซ้อนกัน เพื่อผู้เข้าร่วมงานได้เก็บภาพเป็นที่ระลึก และใกล้ๆ ประตูทางออกยังถูกจำลองให้เป็นเคาน์เตอร์ให้บริการของไปรษณีย์ไทยในอดีต มีโปสต์การ์ดขาวดำรูปนักแสดงที่เคยรับบทเป็นดาวร้ายวางเรียงรายอยู่ในช่องใส่โปสต์การ์ดที่แขวนอยู่บนกำแพงให้ผู้เข้าร่วมงานได้เลือกและเขียนข้อความเพื่อหย่อนลงตู้ไปรษณีย์ไปถึงดาวร้ายที่ยังอยู่ในความทรงจำของพวกเขา

คมเดชมองรูปเพื่อนนักแสดงดาวร้ายหลายคนบนโปสต์การ์ดที่เขารู้จักคุ้นเคย ไม่ว่าจะดาวร้าย พระเอก หรือนางเอก สุดท้ายดาวแต่ละดวงต่างก็ต้องล้มหายตายจาก ไม่ก็ห่างหายไปจากวงการ เขาหยิบโปสต์การ์ดรูปตัวเองจากภาพยนตร์ที่เคยรับบทเป็นดาวร้ายขึ้นโบกตรงหน้าธงรบ “โอ๊ะ..มีรูปข้าด้วย”

“อุ๊ย…มีรูปดาวร้ายในดวงใจของน้องด้วย”  จิตรเลขาหยิบโปสต์การ์ดอีกใบที่เป็นรูปธงรบขึ้นมาด้วยความดีใจ

“น้อยๆ หน่อยน้องจิตรเลขา อยู่กับพี่นึกถึงดาวร้ายคนอื่นได้ยังไง” คมเดชเหลือบตามองรูปในมือหญิงชราข้างตัวพร้อมประชด “เอ็งอยากเขียนอะไรสักหน่อยไหมธง…อะ เขียนถึงข้าก็ได้” คมเดชยื่นโปสต์การ์ดรูปตัวเองส่งให้ธงรบ ชายชราดึงโปสการ์ดในมือคมเดชมาพิจารณาพร้อมส่ายหัวและยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างที่เจ้าตัวชอบทำเสมอๆ

“เดี๋ยวนี้…เขาเลือกรูปที่ดูไม่ได้มาทำโปสต์การ์ดกันแล้วเหรอ”

“โห…พ่อรูปหล่อ…เอ็งนี่มัน…มัน…” คมเดชพยายามสรรหาคำมาต่อว่าชายตรงหน้าพร้อมดึงรูปโปสต์การ์ดของตัวเองในมือธงรบคืน “เอารูปข้าคืนมาเลย”

“เสียใจ…รูปนี้ข้าจะเอา…แปะไว้ในส้วมที่บ้านน่าจะเข้าที เอ็งว่าไหม” พูดจบธงรบก็หันหลังเดินไปยังประตูทางออก หากแต่ก็ยังได้ยินเสียงคมเดชไล่หลังมาไม่ห่าง

“ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้ธง” ธงรบตอบกลับเสียงนั้นด้วยชูรูปคมเดชในมือโบกไปมาด้วยรอยยิ้ม คมเดชมองตามหลังเพื่อนที่รู้จักนิสัยใจคอกันดีมาทั้งชีวิต แล้วหยิบโปสต์การ์ดรูปธงรบจากช่องบนกำแพง ขณะที่กำลังนึกว่าจะเขียนอะไรถึงเพื่อนคนสำคัญที่เพิ่งเดินจากไป สายตาของเขาก็เหลือบมองข้อความของจิตรเลขาที่เขียนเพียงสั้นๆ ว่า ‘พระเอกในใจ’ เขาก็ยิ้มมุมปากพร้อมจรดปากกาเขียนข้อความหลังโปสต์การ์ดด้วยความตั้งใจ และเลื่อนข้อความบนโปสต์การ์ดของตัวเองไปต่อกับข้อความของจิตรเลขา จนเธอหัวเราะขำ ก่อนจะทั้งคู่จะหย่อนโปสต์การ์ดของตนลงในตู้ไปรษณีย์

“พระเอกในใจ…ตัวร้ายในจอ”

 

ภายในโรงภาพยนตร์ศาลาศีนิมาเวลานึ้คึกคักไปด้วยผู้คนไม่ต่างจากพื้นที่การจัดแสดงนิทรรศการด้านนอก ทุกที่นั่งภายในโรงถูกจับจองจนเต็มจากเหล่านักแสดง สื่อมวลชน และผู้ชมที่มาเฝ้ารอชมภาพยนตร์ในอดีตเรื่อง ‘จอมใจไกลปืนเที่ยง’ เมื่อใกล้เวลาฉายภาพยนตร์ พิธีกรกล่าวต้อนรับแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงานและกล่าวเชิญธงรบขึ้นพูดคุยถึงเนื้อเรื่องคร่าวๆ รวมทั้งความประทับใจจากการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ในปี 2512 บนเวทีด้านหน้าจอภาพยนตร์

แม้จะผ่านมากว่า 50 ปี เล่นหนังเล่นละครมามากมาย แต่ธงรบก็ยังจดจำเนื้อหารวมทั้งรายละเอียดของภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ดี เพราะมันไม่ใช่หนังบู๊แอ็กชัน ที่ถูกใจคนดูและทำรายได้ให้กับนักลงทุนในยุคสมัยนั้น แต่มันคือหนังชีวิตที่ทำให้เขาได้และเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตไป ระหว่างการพูดคุยพิธีกรก็อดไม่ได้ที่จะโยนคำถามเรื่องความรักกับธงรบ เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าธงรบนั้นถึงจะรับบทเป็นตัวร้ายแต่ก็เป็นตัวร้ายที่ต่างจากตัวจริง เพราะมีความทะเล้น เจ้าคารมคมคายมาตั้งแต่หนุ่มๆ ต่างจากบุคลิกภายนอกที่ดูน่าเกรงขาม แม้วันนี้จะเข้าสู่วัย 80 ก็ยังคงเห็นเค้าโครงความหล่อแบบคมเข้มที่สาวๆ ยุคนี้อาจจะเรียกว่าได้ว่าเป็นแบดบอยปรากฏให้เห็น

“ขออนุญาตถามคุณอานอกเรื่องนิดหนึ่งนะคะ…เอ๊ะ หรือจะอยู่ในเรื่องดี” พิธีสาวแซวธงรบด้วยรอยยิ้ม “ทราบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำให้คุณอาได้เจอกับรักแรกด้วย…”

“เขาก็เป็นรักแรกของผมทุกวัน ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ละครับ” ธงรบตอบพร้อมรอยยิ้มละไมเรียกเสียงปรบมือและเสียงเป่าปากจากผู้ชมในโรงจนพิธีกรอดไม่ได้ที่จะแซวต่อ

“แหม…ดิฉันเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า นี่คุณอาเป็นพระเอกหรือเป็นดาวร้าย”

 

ทางด้านธฤติเมื่อเห็นว่าคุณปู่ของเขาอยู่กับบรรดาเพื่อนๆ และมีทีมงานคอยดูแลเป็นอย่างดี ชายหนุ่มก็ใช้เวลาในการเดินชมแต่ละชั้นของตัวอาคารสรรพสาตรศุภกิจ ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นอาคารภาพยนตร์สถาน ที่อาจลบภาพจำของอาคารพิพิธภัณฑ์ที่หลายคนเคยมองว่าเข้าถึงยาก ดูไม่สนุกไปได้อย่างสิ้นเชิง หากพื้นที่ด้านนอกอาคารพิพิธภัณฑ์ตอนเดินเข้ามาว่าตื่นตาตื่นใจแล้ว พื้นที่แต่ละชั้นด้านในอาคารของที่นี่ก็ดึงดูดใจได้ไม่แพ้กันด้วยการออกแบบที่เต็มไปด้วยลูกเล่น ที่พยายามหยอกล้อเล่นกับแสงและเงาจากภายนอก ทั้งแนวผนังกำแพง บันได การจัดแสดงสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์ไทยในอดีตตามจุดต่างๆ ให้ความรู้สึกเชื้อเชิญให้ได้ลองเข้าไปสัมผัสแบบไม่หวงห้าม

พื้นที่แต่ละชั้นมีการจัดสรรเป็นห้องต่างๆ ทั้งห้องสมุดที่เต็มไปด้วยหนังสือและโสตทัศนสถานที่จัดวางอย่างเป็นระเบียบ มีห้องจัดแสดงนิทรรศการถาวรและนิทรรศการชั่วคราว ดังเช่นนิทรรศการ ‘ตัวร้ายในดวงใจ’ ที่คุณปู่เขาได้รับเกียรติให้มาร่วมงานในวันนี้ แม้ปีนี้ธฤติจะมีอายุ 30 กว่า แต่ความโปร่งและเปิดโล่งของที่นี่กลับทำให้เขารู้สึกเหมือนกลับไปเป็นเด็กที่อยากรู้อยากเห็นเรื่องราวในโลกภาพยนตร์ที่ซ่อนอยู่ในพื้นที่นี้แบบไม่ต้องกลัวว่าจะเสียเวลา ชายหนุ่มเดินเรื่อยไปจนถึงชั้นบนสุดของประตูด้านบนที่ผลักออกสู่ชั้นดาดฟ้าของอาคารฉายภาพยนตร์ น่าแปลกที่ท้องฟ้าภายนอกเวลานี้ดูมืดครึ้มไปด้วยก้อนเมฆสีดำที่ค่อยๆ ลอยแผ่ปกคลุมท้องฟ้าในบริเวณอาคารหอภาพยนตร์ ลมแรงพัดปะทะใบหน้าและลำตัว ต้นไม้โอนเอนเสียงใบไม้เสียดสีตามแรงลม ฟ้าเบื้องบนร้องคำรามกึกก้องซ้ำๆ ดูน่ากลัว ทันทีที่ชายหนุ่มหมุนตัวหันหลังดึงประตูเดินกลับเข้าไปด้านในเพื่อกลับไปเข้าไปยังโรงภาพยนตร์ แสงสว่างที่กะพริบวาบปรากฏให้เห็นเป็นระยะๆ กระจายอยู่ทั่วแผ่นฟ้ามืดคล้ายหยอกล้อรอเวลา ก็เปลี่ยนเป็นเส้นแสงที่เจิดจ้าและผ่าเปรี้ยงลงมายังหม้อแปลงไฟที่ใกล้ที่สุดให้ลุกเป็นประกายไฟทันที

 

“…คำถามสุดท้ายก่อนจะที่เราจะไปชมภาพยนตร์พร้อมกัน…มีฉากไหนในเรื่องนี้ที่คุณอาอยากพูดถึงเป็นพิเศษไหมคะ” หญิงสาวที่ทำหน้าที่เป็นพิธีกรเอ่ยถามธงรบ

“สำหรับผมสมัยนั้นก็คงเป็นฉากที่พระเอกบุกรังโจรของผม เพื่อมาช่วยนางเอกหนี ต้องมีการขี่ม้าไล่ล่ากัน ตอนนั้นผมเพิ่งหัดขี่ม้ามาได้ไม่นานก็ต้องมาเข้าฉากจริง วันถ่ายผมก็ซ้อมบังคับม้าอีกที จำได้ว่ามือหนึ่งต้องจับปืน มือหนึ่งต้องจับสายบังคับม้าเพื่อให้มันกระโดดข้ามขอนไม้ แล้วจู่ๆ ม้าตัวที่ผมขี่มันเกิดตกใจอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ ผลคือตัวร้ายตกม้าตายโดยที่ผู้กำกับยังไม่ทันสั่งแอ็กชัน…”  พลันสิ้นเสียงแอ็กชันของธงรบ ไฟฟ้าภายในโรงภาพยนตร์ก็ดับพรึ่บลงพร้อมกัน เสียงไมค์หวีดหอนจากอาการชอร์ตดังแข่งกับเสียงผู้ชมทั้งชายและหญิงภายในโรงภาพยนตร์ที่ส่งเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

 



Don`t copy text!