พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 18 : หนังที่ถ่ายไม่จบ

พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 18 : หนังที่ถ่ายไม่จบ

โดย : เด็กหญิงเจ้าสำราญ

Loading

พระเอกในใจตัวร้ายในจอ นวนิยายออนไลน์โดย เด็กหญิงเจ้าสำราญ จาก อ่านเอา เรื่องราวของดาวร้ายตัวพ่อวัย 82 แห่งวงการบันเทิงที่มีครอบครัวแสนอบอุ่น แต่ก้นบึ้งของหัวใจปรารถนาจะได้รับการให้อภัยจากเพื่อนรัก และเขาก็ได้โอกาสแก้ตัวให้กลับไปในปี พ.ศ.2512 แต่เป้าหมายไม่ใช่แค่เรื่องเพื่อนแต่ยังมีหญิงสาวที่เขาต้องคว้าเธอมาแนบใจให้ได้

บ้านหลังเล็กที่เต็มไปด้วยต้นไม้ของธงรบ ให้ความรู้สึกร่มรื่นสำหรับขวัญชีวา โดยเฉพาะช่อดอกราตรีที่เริ่มส่งกลิ่นหอมเย็น เธอหมุนตัวมองไปรอบๆ บ้านด้วยความสนใจ

“บ้านคุณธงน่าอยู่ดีนะคะ”

“ถ้าเป็นเวลาอื่นพี่คงจะบอกขวัญว่า ถ้าน่าอยู่ก็มาอยู่ด้วยกัน…” เสียงกระเซ้านั้นทำให้ขวัญชีวายิ้มและเดินไปหยุดยืนรออยู่ตรงประตูทางเข้าบ้านด้านใน

“บ้านพี่รกหน่อยนะ” ธงรบบอกก่อนไขกุญแจเปิดประตู เปิดไฟ นำเธอเดินเข้าไปภายในบ้าน “เดี๋ยวพี่ขึ้นไปเตรียมผ้าขนหนูให้ ขวัญขึ้นไปใช้ห้องพี่ล้างหน้าล้างตาได้ตามสบาย พี่จะรออยู่ข้างล่าง” ธงรบบอกพร้อมพาเธอเดินขึ้นไปด้านบน และลงมารอหญิงสาวด้านล่าง

 

หลังจากธงรบเดินลงไปรอเธอด้านล่าง ขวัญชีวาก็มองสำรวจไปรอบๆ ห้องของชายหนุ่มที่มีข้าวของน้อยชิ้นและจัดวางทุกอย่างไว้อย่างเป็นระเบียบ ผนังห้องมีรูปเอลวิส เพรสลีย์ นักร้องเพลงร็อกแอนด์โรลกับกีตาร์ตัวโปรด เธอยิ้มให้กับรูปมิตร ชัยบัญชา ในชุดทหารอากาศ ที่ผนังห้องด้านหนึ่ง ดูเหมือนชายหนุ่มที่เธอคุ้นเคยในบทดาวร้าย คงอยากเป็นพระเอกดังแบบมิตรด้วยเหมือนกันทั้งๆ ที่ปากบอกว่าไม่อยากเป็น ขวัญชีวาหยิบกรอบรูปเล็กบนโต๊ะขึ้นมาดู เป็นรูปธงรบกับเจตน์ในวัยรุ่นที่ยืนเคียงข้างกัน ทั้งคู่สวมกางเกงขาบานทรงมอส สวมทั้งด้วยเสื้อเชิ้ตแขนยาวเข้ารูปปลดกระดุม 2 เม็ดตามสมัยนิยม หญิงสาวยกมือลูบภาพถ่ายหน้าตรงในชุดนักเรียนขนาดเล็กเสียบอยู่ตรงมุมกรอบพร้อมยิ้มกว้างให้กับเด็กน้อยที่ยังดูไร้เดียงสาต่างจากชายหนุ่มข้างล่างเวลานี้

 

เสียงกริ่งที่ดังขึ้นหน้ารั้ว ทำให้ธงรบวางมือจากการเตรียมอาหารง่ายๆ ให้ขวัญชีวา เดินเข้ามายังตัวบ้านด้านใน เพื่อออกไปดูด้วยความสงสัย หากแต่ยังไม่ทันที่ธงรบจะเดินไปถึง ร่างสูงใหญ่ของเจตน์ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าประตู

“ว่าไงไอ้เสือ…นี่เอ็งเปิดบ้าน เปิดรั้วรอข้าเลยเรอะ…” เจตน์ทักขึ้นก่อนที่เขาจะทันได้ถามอะไร ขณะที่เขามองหน้าเพื่อนด้วยความตกใจก่อนหันไปมองบันไดขึ้นลงชั้น 2 ของตัวบ้าน

“ทำไมทำหน้ายังกับเห็นผี…ข้าอุตส่าห์หอบผ้าหอบผ่อนมานอนด้วยเลยนะเว้ย” เจตน์ชูกระเป๋าใบเล็กให้ธงรบดู

“แล้วทำไมเอ็งไม่นอนบ้านเอ็งวะ…”

“ก็ข้าว่างนี่หว่าช่วงนี้ แล้วข้าก็มีเรื่องสำคัญจะเล่าให้เอ็งฟังด้วย”

“สำคัญขนาดนั้นเลยหรือวะ…แล้วนี่เอ็งหายดีแล้วหรือ…ทำไมไม่บอกก่อนว่าจะมา” ธงรบรัวคำถามใส่เพื่อนหนุ่มอย่างคนที่ทำตัวไม่ถูก หากเป็นเวลาอื่นเขาคงดีใจ แต่ไม่ใช่เวลานี้ที่ขวัญชีวาอยู่บนห้องนอนเขาด้านบน และเขาก็ยังนึกไม่ออกเลยว่าจะอธิบายให้เจตน์ฟังถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นกับเขาและขวัญชีวาอย่างไร เพราะไม่อยากให้หญิงสาวรู้สึกอับอายไปมากกว่านี้

“แล้วนี่หน้าเอ็งไปโดนอะไรมาวะ…ไปกัดกับหมาที่ไหนมาอีกละ” เจตน์มองหน้าเพื่อนที่เต็มไปด้วยรอยแผล

“พี่ธงคะ…พี่ธง…” เสียงผู้หญิงตะโกนเรียกชื่อธงรบที่ดังลงมาจากชั้น 2 ทำเอาเจตน์ถึงกับอมยิ้ม เจตน์ปรายตามองไปยังชั้น 2

“อ๋อ…ข้ากลับไปนอนบ้านเหมือนเดิมก็ได้…ร้ายนักนะเอ็ง”

“พี่ธงคะ…ขวัญขอยืมผ้าขนหนูอีกผืนได้ไหมคะ…” เสียงคุ้นหูทำให้เจตน์เดินลึกเข้ามาในตัวบ้าน และมองบันไดชั้นสองบ้านเพื่อนด้วยสนใจ เขายิ้มกริ่มเมื่อเห็นเท้าเล็กๆ เดินลงบันได แต่ทันทีที่เห็นร่างเล็กและใบหน้าหญิงสาวที่เขาคุ้นเคย เจตน์ก็หันขวับกลับมามองหน้าเพื่อนสลับกับขวัญชีวาด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย

“พี่เจตน์ สวัสดีค่ะ…มาหาพี่ธงหรือคะ” ขวัญชีวายิ้มทักเจตน์ด้วยความบริสุทธิ์ใจ หากแต่เจตน์กลับเอาแต่จ้องผ้าขนหนูในมือเธอ

“อ๋อ…ขวัญอาบน้ำมาค่ะ” คำอธิบายสั้นๆ หากแต่ก็ให้เจตน์ถึงกับอึ้งไป และรู้สึกว่าตัวเองช่างมาหาธงรบได้ผิดวันผิดเวลาจริงๆ เขาไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาเพื่อเจอเรื่องแบบนี้ จริงอยู่เขาเองก็รักก็ชอบขวัญชีวา หากแต่ไม่คิดว่าธงรบจะทำแบบนี้กับเขา กำปั้นหนักๆ กระแทกเข้าใส่หน้าธงรบด้วยความโกรธจนชายหนุ่มถึงกลับล้มลง

 

“เจ็บไหมคะ…” ขวัญชีวาหันไปถามธงรบพร้อมยื่นผ้าประคบเย็นส่งให้

“แล้วทำไมเอ็งกับน้องขวัญไม่บอกข้าก่อนวะ ปล่อยให้ข้าเข้าใจผิด…คิดว่าเอ็งทำอะไรน้องขวัญ” ท้ายประโยคเจตน์พูดเสียงเบาด้วยความรู้สึกผิด

“ก็ข้าไม่รู้จะเริ่มต้นพูดยังไง…” ธงรบหันไปมองหญิงสาวก่อนหันไปตอบเพื่อน “ข้าก็ไม่อยากให้น้องขวัญเขารู้สึกไม่ดี ถ้าต้องพูดถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นอีก”

เจตน์ถอนหายใจ “ขอโทษที่ไม่เชื่อเอ็งตั้งแต่แรก…ที่บอกว่าเสี่ยเขาเป็นคนแบบนี้”

“พี่ธงรู้” ขวัญชีวามองหน้าธงรบด้วยความประหลาดใจ

“พี่เคยเตือนขวัญแล้ว แต่ขวัญไม่เชื่อพี่” ธงรบมองเธองอนๆ

“ก็ใครจะไปคิดคะ…” ขวัญชีวาตัดสินใจเล่า “ตอนขวัญขอตัวคุณธงไปเข้าห้องน้ำ เสี่ยเขาเดินออกมาจากห้องพักพอดี พอแกเห็นขวัญ แกบอกอยากจะปรึกษาเรื่องจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้คุณนายปราณี แกบอกว่าอยากให้มีเมนูฝรั่งด้วยแต่ก็ไม่ค่อยรู้จัก”

“ขวัญก็ตามไปคุยกับแกในห้อง…” ธงรบต่อให้ด้วยความน้ำเสียงไม่พอใจ จนขวัญชีวาพยักหน้าน้อยๆ แบบยอมรับผิด

“ขวัญก็ไม่คิดว่าเสี่ยเขาจะ…” เธอมองหน้าเจตน์กับธงรบด้วยความชั่งใจก่อนตัดสินใจพูดออกไป “ลวนลามขวัญ”

“เฮ้อ…สรุปที่ข้าทำไปก็คงสูญเปล่า” เจตน์บ่น

“ทำอะไรวะ…” ธงรบมองเพื่อนด้วยความสงสัย เจตน์เลยเล่าให้ฟังว่า หลังจากที่ธงรบมาหาเขาที่บ้านเพื่อคุยเรื่องเสี่ยกำจร ไม่กี่วันต่อมาเขาก็ต้องไปตรวจเช็กร่างกายตามที่หมอนัดที่โรงพยาบาล และบังเอิญได้เจอเสี่ยกำจรพาคุณนายปราณีมาเยี่ยมพี่สาวที่ป่วย

“…ข้าก็เลียบๆ เคียงๆ ถามจนรู้ว่าคุณนายแกจะมาเยี่ยมพี่สาวแกทุกวัน หลังจากนั้นข้าก็เลยต้องมาโรงพยาบาลทุกวันมาดักเจอคุณนายเขา…”

“ทำไมวะ…อย่าบอกนะว่าเอ็งชอบคุณนาย” ธงรบมีทีท่าตกใจ

“เอ็งนี่หาเรื่องให้ข้าแล้วไหมล่ะ…ข้าก็มาดักเจอให้เอ็งนั่นแหละ”

“ฮ้า! ข้าไม่ได้ชอบคุณนายนะ” ธงรบรีบมองหน้าขวัญชีวา ก่อนหันมามองหน้าเพื่อนด้วยความตกใจ

“เออ…ข้ารู้ แล้วก็รู้ด้วยว่าคุณนายเขาเป็นพวกชอบดูหนังดูละคร ข้าก็คิดถึงสิ่งที่เอ็งเคยเล่า ก็เลยพยายามโน้มน้าวเขาไปว่าดูหนังดูละครเห็นแต่เบื้องหน้า ไม่สนุกเท่ามาดูเบื้องหลังหรอก…”

“อ๋อ…มิน่า…เอ็งนี่เองที่ทำให้คุณนายขยันไปกองถ่าย” ธงรบเริ่มหายสงสัย

“ข้าก็คิดเอาเองว่า…อย่างน้อยถ้าคุณนายเขาไปบ่อยๆ เกิดเสี่ยเขาคิดจะทำอะไรไม่ดีอย่างเอ็งพูด ถ้ามีคุณนายปราณีอยู่แกคงไม่กล้า…ที่ไหนได้” เจตน์ถอนหายใจด้วยความผิดหวังที่อุตส่าห์ลงทุนลงแรงใช้อาการเจ็บป่วยของตัวเองเป็นข้ออ้างเพื่อสนิทสนมกับคุณนาย กลายเป็นว่าทุกอย่างสูญเปล่า

“ถึงอย่างนั้นขวัญต้องของคุณพี่เจตน์ ขอบคุณพี่ธงอีกครั้งด้วยนะคะ…ที่ช่วยเหลือขวัญ”

“แล้วนี่เอ็งกับน้องขวัญจะยังไงต่อล่ะทีนี้” เจตน์เริ่มเป็นกังวลแทนทั้งคู่ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องเล็กๆ และชายหนุ่มหญิงสาวตรงหน้าก็เป็นดาราหน้าใหม่ในวงการ เมื่อเทียบกับอิทธิพลบารมีของเสี่ยกำจรที่มีมานานกว่า

“ขวัญไม่เป็นไรเลยค่ะ” หญิงสาวกลับมายิ้มอย่างมั่นใจอีกครั้ง “เพราะขวัญก็จะอยู่บ้านไปเรื่อยๆ จนกว่า…จะถึงเวลาไปเรียนต่อ…ไม่ก็อาจไปออกงานเป็นเพื่อนคุณแม่” ขวัญชีวากระซิบขำขันกับชายหนุ่ม

“…ช่วงนี้คุณแม่ขวัญกำลังมองหาพี่สะใภ้ให้พี่ชายสองคนของขวัญอยู่”

“แล้วนี่เอ็งจะทำยังไงต่อ…ข้าเลยอดเห็นเอ็งเป็นพระเอกเลย” เจตน์บ่นอุบด้วยความเสียดาย

“ก็ไม่ทำไง ไม่เป็นพระเอกก็ค่อยเป็นอย่างอื่น” ธงรบตอบตามจริง เพราะเขารู้อยู่แล้วว่าสุดท้ายตัวเขาก็ลงเอยด้วยการอยู่กับบทดาวร้ายไปตลอดชีวิตอยู่แล้ว

 

“โอ้โห…อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาเลย” คมเดชส่งเสียงดังขึ้นทันทีที่เห็นทุกคนมาอยู่กันพร้อมหน้าในห้องรับแขก

“นี่เอ็งเข้ามาได้ยังไงวะ” ธงรบโวยใส่คมเดช

“ก็เดินเข้ามาเสิวะ…รั้วไม่ได้ล็อก ประตูไม่ได้ล็อก แสดงว่าข้าจะเข้าจะออกยังไงก็ได้” คมเดชตอบพร้อมถือวิสาสะมาร่วมวงสนทนาด้วย

“เอ็งมาทำไม”

“ก็มาหาเอ็งน่ะสิครับ….แล้วนี่ทำไมยังไม่พาน้องขวัญกลับไปส่งบ้าน เอ็งออกมานานแล้วนะ” คมเดชสงสัย

“เรื่องของข้า เอ็งมีธุระอะไรถึงแจ้นมาหาข้าที่นี่ ไม่แจ้นไปกับพี่เทอด”

คมเดชทำหน้าสยองเมื่อนึกถึงบรรยากาศเมื่อช่วงเย็นระหว่างคุณนายปราณีกับเสี่ยกำจร โดยมีเทอดที่อยู่ๆ ก็กลายเป็นพยานและบุคคลสำคัญของเรื่องไปซะงั้น

“ก็…เรื่องที่เอ็งไปทำร้ายเสี่ยกำจร จนเขาตัดเอ็งออกจากบทพระเอกน่ะสิ”

“ทำไม…เขาจะแจ้งความข้าหรือ”

คมเดชส่ายหัวปฏิเสธไปมาเบาๆ แทนคำพูดให้ธงรบ “เอ็งอยากฟังข่าวร้ายหรือข่าวดีก่อนล่ะ”

“ถ้าเอ็งมัวแต่โยกโย้…ไม่รีบเล่าทั้งข่าวร้ายและข่าวดี ลำดับแรกเอ็งจะโดนตีนข้าเป็นข่าวร้ายก่อน” เจตน์พูดใส่คมเดช

“เอ็งสองคนนี่เหมาะเป็นเพื่อนกันมาก ชอบใช้กำลัง ใช้อารมณ์ทั้งคู่”

“จะเล่าได้หรือยัง” เจตน์ยกเท้าข้างหนึ่งของตัวเองขึ้นช้าๆ มองหน้าคมเดชที่นั่งไขว่ห้าง

“ก็ได้ๆ ข่าวร้ายก็คือ เสี่ยกำจรเขาอาจได้ทำหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้าย”

“หา!”/“คะ!” เจตน์ ธงรบ ขวัญชีวา อุทานออกมาด้วยความตกใจ

“ส่วนข่าวดีก็คือ…เขาอาจได้ทำหนังเรื่องต่อไปอีกหลายเรื่อง” คำพูดที่กำกวมไปมาทำให้เจตน์กับธงรบลุกขึ้นยืนแทบจะพร้อมกันด้วยหมายจะเตะปากคนเล่า คมเดชเหมือนรู้ตัวว่าหยอกล้อมากไปก็รีบใช้ 2 มือของตัวเองคว้าแขนธงรบและเจตน์ให้นั่งลงตามเดิม

“ที่ข้าบอกว่าเป็นข่าวดีที่เสี่ยจะได้ทำหนังต่อไปอีกหลายๆ เรื่องก็คือ ถ้าเขาเอาเอ็งกับน้องขวัญกลับมาเล่นหนังเรื่องนี้จนจบ”

“หา!”/“คะ!” อีกครั้งที่ทั้ง 3 อุทานและหันหน้ามองกันและกันอย่างตกตะลึง

“ทีนี้ก็ขึ้นอยู่ที่เอ็งกับน้องขวัญแล้วว่าจะตัดสินใจอย่างไร…เพราะถ้าเอ็งกับน้องขวัญไม่ตกลง เสี่ยก็จะได้ทำหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้าย” คมเดชยิ้มอย่างเป็นต่อให้คนทั้งคู่

 

ในบรรดาเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น นี่คงเป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายของธงรบไปไกล เขาไม่คิดว่าตัวเองจะมีโอกาสได้กลับมาเป็นพระเอกในหนังของเสี่ยกำจรที่ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นหนังที่ถ่ายไม่จบของเขา ตอนแรกเขาคิดจะปฏิเสธ แต่เจตน์กับคมเดชก็มองว่านี่เป็นโอกาสที่เขาจะได้พิสูจน์ความสามารถในฐานะพระเอก และเทอดเองก็ปกป้องเขาและขวัญชีวาด้วยการยื่นข้อเสนอไปกับคุณนายปราณีว่า เขาจะกลับมากำกับเรื่องนี้ก็ต่อเมื่อธงรบและขวัญชีวายยอมกลับมาเล่น และเสี่ยกำจรรับปากแล้วว่าจะไม่มายุ่มย่ามหรือวุ่นวายในกองถ่ายเรื่องนี้อีกจนกว่าจะถ่ายเสร็จ ซึ่งคุณนายก็ให้คำมั่นสัญญา เพราะทุกวันนี้เงินทุกทุกบาททุกสตางค์ในการทำหนังก็เป็นเงินของคุณนายปราณีอยู่แล้ว ตัวเสี่ยกำจรเองก็ต้องเลือกว่าจะทำหนังอยู่ในวงการต่อ หรือเลิกไปเลย

ฟากคุณนายปราณีที่ผ่านมาเธอเห็นสามีชอบทำหนังก็อยากเอาใจ อยากสนับสนุน เธอรู้ว่าตัวเองไม่ได้มีความรู้ความสามารถทางด้านนี้ สิ่งที่ทำได้ก็คงแค่ให้กำลังใจด้วยการติดตามดูผลงานของสามี เรื่อยไปจนถึงดูผลงานของบริษัทภาพยนตร์อื่นๆ จนกลายเป็นคนชอบดูหนัง ดูละครไปโดยปริยาย และเริ่มคิดแทนคนดูว่าชอบเนื้อเรื่องแบบไหน แนวไหน และคอยพูดคุยบอกสามี แรกๆ เสี่ยกำจรก็ไม่กล้าขัดใจเธอเพราะเธอเป็นเจ้าของเงิน หากแต่นานไปคำแนะนำของเธอกลับทำให้กลายเป็นคนที่ทุกคนเริ่มอิจฉา เพราะหยิบจับเรื่องไหนก็ได้ทั้งชื่อเสียงและกำไรทุกครั้งไป

คุณนายปราณียังนึกขอบคุณที่บังเอิญได้รู้จักและเจอเจตน์ที่มาตรวจเช็กร่างกายที่โรงพยาบาลบ่อยๆ ทุกครั้งเขามักเล่าเบื้องหลังฉากสนุกๆ ที่กว่าจะเป็นภาพเบื้องหน้าที่ทุกคนชื่นชอบให้เธอฟัง และโน้มน้าวเธอให้ลองมาดูบรรยากาศการทำงานในกองถ่าย โดยให้เหตุผลว่าเวลาไปดูหนังที่เสร็จสมบูรณ์เธอจะได้อรรถรสในการดูไปอีกแบบ ส่วนพฤติกรรมของเสี่ยกำจรเธอเชื่อว่าคนผิดไม่ใช่ขวัญชีวาแน่นอน เพราะเธอเคยเจอพฤติกรรมแบบบี้ของเสี่ยกำจรมาตั้งสมัยแต่งงานกันใหม่ๆ ที่มักมีสาวน้อยสาวใหญ่มาติดพัน เธอก็พยายามหลับตาข้างหนึ่งมาโดยตลอด คิดว่าพออายุมากขึ้นก็เรื่องราวเหล่านี้จะน้อยลง คงถึงเวลาแล้วกระมังที่เธอจะจัดการขั้นเด็ดขาดกับเสี่ยกำจรเสียที

“คุณพี่มีแค่สองทางเลือกเท่านั้นค่ะว่าจะเอาอย่างไร…จะทำหนังต่อหรือเลิก” คุณนายปราณียืนค้ำหัว ยื่นคำขาดให้ชายสูงวัยที่นั่งอยู่ตรงหน้าผู้ได้ชื่อว่าเป็นสามีที่มีท่าทียอมจำนน

“น้องก็รู้ ว่านี่เป็นสิ่งที่พี่ชอบ จะให้พี่เลิกได้อย่างไร”

“เลิกไม่ได้ก็ไม่ต้องเลิก” คุณนายปราณีส่งเสียงเย็น “แล้วก็ไปให้ธงรบกับขวัญชีวาเขามาเล่นเรื่องนี้ให้จบ”

“แต่…พี่ยื่นคำขาดไล่พระเอกนั่นไปแล้วว่าไม่ให้มันกลับมา”

“ไล่ได้ก็เรียกกลับมาให้ได้…” เสียงสั่งเฉียบขาดทำเอาเสี่ยกำจรได้แต่ทำหน้าอ้อนวอน “กว่าน้องจะเจรจากับคุณแก้วระย้า ขอบทประพันธ์มาให้คุณพี่มันไม่ง่ายนะคะ มีนายทุนตั้งกี่รายมาคุยกับเธอ”

“แต่…”

“ไม่มีแต่อีกแล้วค่ะ จะทำหนังเรื่องนี้ต่อให้จบหรือเลิกทำไปเลยตลอดชีวิตนี้ คุณพี่ตัดสินใจมาเลยค่ะ”

“ทำจ้ะ…ทำต่อก็ได้จ้ะ”

“เอ่อ…ผมขอขัดจังหวะสักนิดได้ไหมครับ” เทอดที่ถูกดึงเข้ามาเป็นพยานในวงสนทนาเอ่ยขึ้นอย่างอึดอัดหลังจากที่ต้องนั่งฟังสองสามีภรรยาโต้เถียงกันในเรื่องที่เกิดขึ้น จนทำให้รู้ว่าเสี่ยกำจรที่น่าเคารพนับถือนั้นแท้จริงแล้วก็ไม่มีอะไรเลย หากไม่มีคุณนายปราณี

“โอ้วว…โทษทีจ้ะเทอด…ว่าไงจ๊ะ”

“สำหรับผม ผมเองก็จะกำกับหนังเรื่องนี้ต่อให้จบ ถ้าธงรบกับขวัญชีวาเขายอมกลับมาเล่น”

“นั่นละจ้ะที่พี่ต้องการ และอยากให้เทอดเป็นพยานในสิ่งที่พี่กำลังจะตัดสินใจ จะได้รู้ว่าเสี่ยกำจรเป็นคนยังไง” เธอเหลือบมองหน้าสามี

“ได้ยินที่เทอดเขาพูดแล้วใช่ไหม” เสี่ยกำจรพยักหน้าตอบรับหงอยๆ

“เอ่อ…ยังมีอีกเรื่องที่ผมอยากจะขอด้วยครับ…” เทอดสบตาสองสามีภรรยาด้วยความเกรงใจโดยเฉพาะเสี่ยกำจรที่เคยสนิทสนมให้ความเคารพกันมาก่อน

“ว่ามาเลยจ้ะ”

“ผมขอให้เสี่ยไม่ต้องมากองถ่าย จนกว่าหนังเรื่องนี้จะถ่ายเสร็จได้ไหมครับ”

“ไอ้เทอด…กูเป็นเจ้าของหนัง มึงกล้าพูดอย่างนี้ได้ยังไง” เสี่ยกำจรโวยวายจนคุณนายปราณีชำเลืองตามองพร้อมสั่งเสียงเย็น

“เงียบ!…ได้ตามที่เทอดขอเลยจ้ะ…ต่อไปนี้เสี่ยกำจรจะไม่ไปวุ่นวายกับกองถ่ายเรื่องนี้อีก และถ้ามีปัญหาอะไร เทอดรายงานพี่ได้โดยตรง”

“น้องปราณี…” เสี่ยกำจรครางเสียงแผ่ว

“และต่อไปนี้คุณพี่ต้องอยู่ในสายตาน้อง…” เธอมองหน้าเสี่ยกำจรและส่งยิ้มเย็นให้ “น้องจะให้คุณพี่มาทำหน้าที่แทนสมปอง” เธอหมายถึงคนขับรถประจำตัวที่มักพาเธอไปไหนมาไหน คอยกางร่มคอยถือของ จนเสี่ยกำจรอ้าปากค้างด้วยความตกใจ

“คุณพี่ไม่ต้องกลัวว่าคนอื่นจะเข้าใจผิด น้องจะบอกทุกคนที่สงสัยว่าคุณพี่อยากมาดูแลน้อง ดีไหมคะ” เสี่ยกำจรได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อรู้ว่าอิสรภาพกำลังจะหายไป

“พี่ชอบเรื่องนี้มากตั้งแต่อ่านบทประพันธ์ พี่ฝากเทอดด้วยนะ ทำหนังเรื่องนี้ให้จบ” เธอยิ้มอย่างหมายมาด “และก็ฝากขอโทษธงรบกับขวัญชีวาแทนผัวเลวๆ ของพี่ด้วย” ท้ายประโยคคุณนายสะบัดเสียงใส่เสี่ยกำจรชนิดที่เขาคิดว่าต่อไปนี้เสี่ยกำจรคงไม่กล้าสร้างปัญหาไปอีกนาน

 

ภาพใบปิดขนาดใหญ่ด้านหน้าโรงภาพยนตร์ ที่วาดและลงสีทั้งหมดด้วยมือถูกจัดวางองค์ประกอบและบอกเล่ารายละเอียดเรื่องราวของหนังไว้ได้ในภาพเดียวนั้นดูสะดุดตา ทั้งรูปเหมือนของพระเอกนางเอก ฉากหลังที่เป็นรูปวัง รถยนต์หรูหรา รูปกระท่อม รวมทั้งตัวละครต่างๆ ที่ถูกวาดให้มีขนาดลดหลั่นกันไปตามบทบาทที่ได้รับ คาดทับด้วยชื่อภาพยนตร์ด้วยตัวอักษรที่เด่นชัด ด้านล่างระบุชื่อนักแสดง บริษัทผู้สร้างภาพยนตร์ ผู้กำกับ และรายละเอียดของทีมงานในส่วนต่างๆ รวมทั้งระบุวันเวลาฉาย ทำให้ธงรบต้องหยุดยืนมองและยิ้มให้ตัวเองอยู่เป็นนาน

“มันดีใช่ปะวะ…” เจตน์แซวเพื่อนที่หยุดยืนมองรูปตัวเองบนแผ่นป้ายปิดหนังขนาดใหญ่อยู่บริเวณถนนฝั่งตรงข้ามโรงภาพยนตร์

“ใช่…เป็นพระเอกมันก็ดีอย่างนี่เอง เอ็งดูสิ…รูปข้าใหญ่และเด่นกว่ารูปไอ้คมอีก” ธงรบหัวเราะอย่างคนมีชัยเมื่อเงยหน้ามองรูปคมเดชที่มีขนาดเล็กและอยู่ในท่าทางที่กำลังล้างรถเป็นฉากหลังให้เขา

“ตอนเกิดเรื่องข้านึกว่าเอ็งจะเป็นพระเอกได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง…สุดท้ายเอ็งก็ทำได้” เจตน์เอื้อมแขนมากอดไหล่ธงรบโยกเข้าหาตัวด้วยความยินดี

สุดท้ายภาพยนตร์เรื่อง ‘วิมานพยัคฆ์’ ของบริษัทเกียรติเกรียงไกร ก็ถ่ายทำจนจบสมความตั้งใจของทุกคน โดยไม่ทำให้คุณนายปราณีขาดทุนเมื่อภาพยนตร์เข้าฉาย แม้ชื่อของธงรบกับขวัญชีวาจะไม่ได้โด่งดังเป็นที่รู้จักเหมือนเช่นดาราคนอื่นๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกดีมากพอๆ ไปกับเล่นได้เป็นพระเอกจนจบเรื่อง หรืออาจจะมากกว่าก็คือ เขาได้เป็นพระเอกหนังของขวัญชีวาทั้งในจอและนอกจอแล้ว



Don`t copy text!