พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 19 : พระเอกในใจ  ดาวร้ายในจอ

พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 19 : พระเอกในใจ ดาวร้ายในจอ

โดย : เด็กหญิงเจ้าสำราญ

Loading

พระเอกในใจตัวร้ายในจอ นวนิยายออนไลน์โดย เด็กหญิงเจ้าสำราญ จาก อ่านเอา เรื่องราวของดาวร้ายตัวพ่อวัย 82 แห่งวงการบันเทิงที่มีครอบครัวแสนอบอุ่น แต่ก้นบึ้งของหัวใจปรารถนาจะได้รับการให้อภัยจากเพื่อนรัก และเขาก็ได้โอกาสแก้ตัวให้กลับไปในปี พ.ศ.2512 แต่เป้าหมายไม่ใช่แค่เรื่องเพื่อนแต่ยังมีหญิงสาวที่เขาต้องคว้าเธอมาแนบใจให้ได้

บรรยากาศงานประกาศรางวัลดารากร ประจำปี 2512 ซึ่งจัดขึ้นที่เวทีลีลาศ สวนอัมพร คงเป็นอีกหนึ่งปีที่ยิ่งใหญ่ในความรู้สึกของธงรบ แม้ฉาก เวที แสง สี เสียง จะเทียบไม่ได้กับเวทีในยุคดิจิทัล แต่ผู้คนที่รายล้อมอยู่ล้อมตัวเขา คือความเจิดจรัสที่ทำให้งานนี้กลายเป็นงานที่จะทรงคุณค่าอยู่ในความทรงจำของเขาไปตลอดชีวิต ชายหนุ่มนึกขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้เขาได้ย้อนเวลากลับมาสัมผัสกับรอยยิ้มและเสียงแห่งความสุขที่กระจายตัวอยู่ทั่วงานจากหล่าดาราที่เคยคุ้นทั้งพระเอก นางเอก ดาวร้าย ดาวตลก ที่ยังคงเป็นที่รักและเป็นตำนานในใจของผู้ชมมากมาย ไม่ว่าเขาหรือเธอคนนั้นจะยังมีชีวิตอยู่หรือจากไปนานแค่ไหนแล้วก็ตาม

“ไงวะไอ้ธง…ดูดีไม่เบาเลยนะเอ็ง…” คมเดชตบไหล่ทักทายและแกล้งกวาดสายตาขึ้นลงมองธงรบตั้งแต่หัวจรดเท้าที่ดูหล่อคมอยู่ในชุดทักซิโดสีขาว และหูกระต่ายสีดำ

“คนมันหล่อ…ใส่อะไรก็หล่อ” ธงรบยืดอกใช้สองมือกระชับชุดทักซิโดของตัวเองอวดคมเดช วันนี้เพื่อนหน้าหนวดตัวแสบของเขาอยู่ในชุดสูทสีเขียว ผูกทับด้วยเน็กไทเส้นเล็กสีแดงเด่น ตกแต่งหนวดเคราและทรงผมมาอย่างดีจนแทบจะเป็นเจ้าพ่อคราบดาวร้าย ส่วนเจตน์ก็ดูเป็นสุภาพบุรุษ ที่หล่อเท่ในชุดสูทน้ำเงิน

“ตื่นเต้นไหมธง” เจตน์ถามขึ้นเพราะรู้ว่านี่เป็นครั้งแรกของธงรบในการออกงานแบบนี้

“ก็นิดหน่อย…” ในช่วงที่ชีวิตเดินทางมาถึงวัย 82 เขาออกงานมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่คงไม่มีครั้งไหนที่ทำให้เขาตื่นเต้นและประหม่าได้เท่ากับครั้งนี้ ที่รอบกายรายล้อมไปด้วยมิตรอันเป็นที่รักและกลิ่นอายแห่งความสุขของผู้คน

“เสียดายนะที่น้องขวัญต้องกลับไปเรียน ไม่อย่างนั้นคงได้มางานนี้ด้วย” เจตน์เปรยด้วยความเสียดาย พร้อมหันไปมองดาราหญิงรอบๆ ที่วันนี้อยู่อยู่ในชุดราตรีสวยงาม

“ น่าอิจฉาชะมัด…ที่พวกเอ็งสองคน ได้น้องขวัญมาเป็นนางเอก…”

“แต่สุดท้ายแล้วพระเอกก็คงมีคนเดียวแหละ…จริงไหมธง” เจตน์กระเซ้าด้วยแววตาที่ยากจะเดาความหมาย

“โอ๊ะ…พี่เทอดมา…สวัสดีคร้าบท่านผู้กำกับใหญ่” คมเดชร้องบอก

“เป็นไง…ไม่เจอกันนานเลยนะ” เทอดรับไหว้พร้อมทักทั้งสาม

“เออ…เมื่อวานนี้พี่เจอคุณพิทักษ์ เจ้าของบริษัท 108 ภาพยนตร์ เขาบอกเจตน์ปฏิเสธเล่นหนังให้เขา…ทำไมล่ะ ก็หายดีแล้วไม่ใช่รึ” เทอดรีบถามขึ้นด้วยความสงสัยที่เจตน์ปฏิเสธนายทุน ที่ดาราหลายๆ คนก็อยากมาเล่นหนังให้ จนธงรบและคมเดชถึงกับรอฟังด้วยความอยากรู้

“เทอด…” เสียงเรียกที่ดังมาก่อนตัวทำให้ทั้ง 3 ต้องหันไปมองและรีบยกมือไหว้

“คุณนายปราณี…เสี่ยกำจร สวัสดีครับ” เทอดยกมือไหว้ 2 สามีภรรยา ตั้งแต่เกิดเรื่องวันนั้นตัวเขาก็ไม่ได้เจอเสี่ยกำจรอีกเลย ชายหนุ่มก้มหัวทักทายเป็นมารยาทให้เสี่ยกำจร อย่างน้อยที่เขาได้เป็นพระเอกหนังก็มาจากการที่เสี่ยกำจรมองเห็นความสามารถและให้โอกาสเขา หลังเกิดเหตุธงรบรับรู้มาว่าไม่ใช่แค่หนังของเขาเรื่องเดียว ที่คุณนายปราณีเริ่มเข้ามามีบทบาทแทนที่เสี่ยกำจร แต่คุณนายปราณีผันตัวเองมาเป็นนายทุนแทบจะเต็มตัวและมักแวะไปเยี่ยมเยียนถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของนักแสดงและทีมงานในกองถ่ายหนังเรื่องอื่นๆ ที่เธอทำเกือบทุกเรื่องด้วย

“พี่ยังรอเจตน์เปลี่ยนใจอยู่นะ” คุณนายปราณีหันไปพูดกับเจตน์ จนทั้งเทอด ธงรบ และคมเดชถึงกับหันกลับไปมองเจตน์อีกครั้ง “พี่อยากให้เจตน์มาเล่นหนังเรื่องนี้ของพี่จริงๆ” คุณนายปราณียืนยัน

“ขอบคุณมากครับ…แต่ผมคงไม่เปลี่ยนใจหรอกครับ” เจตน์ยิ้มกว้างจนคุณนายปราณีถึงกับทำหน้าเสียดาย

 

“เอ็งเป็นไรวะเจตน์…ทำไมไม่รับเล่นหนัง” คมเดชแทบจะถามแทนใจธงรบทันทีเมื่อคุณนายปราณีชวนเทอดไปพูดคุยกับนายทุน และดาราคนอื่นๆ ในงาน

“ก็ไม่มีอะไร”

“ไม่มีอะไรคือยังไงวะ” ธงรบสงสัย

“ข้าไม่อยากเป็นพระเอกอีกแล้ว”

“เฮ้ย!” เสียง 2 หนุ่มร้องดังจนทำให้สายตาหลายคู่ในงานหันมามองพวกเขาเป็นตาเดียว หากแต่ยังไม่ทันได้ซักถามอะไรให้ได้เรื่องได้ราว พวกเขาก็ถูกขัดจังหวะขึ้นอีกครั้ง

“ขอถ่ายรูปคุณเจตน์หน่อยนะครับ” นักข่าวคนหนึ่งเดินเข้ามาขออนุญาต ก่อนจะถ่ายรูปเดี่ยวและรูปของพวกเขาทั้ง 3 ไว้ หลังจากนั้นทั้งหมดก็แทบไม่มีโอกาสได้คุยกันอีก เพราะมีคนเข้ามาทักทายพูดคุยอย่างไม่ขาดสาย

 

รางวัลดารากร เป็นรางวัลที่ถูกจัดขึ้นโดยนิตยสารดาวดารา นิตยสารบันเทิงชั้นนำแห่งยุค เพื่อเป็นเกียรติและยืนยันฝีมือการแสดงให้กับบุคคลที่อยู่ในวงการภายนตร์ รวมทั้งเป็นขวัญกำลังใจให้กับผู้สร้างสรรค์งานภาพยนตร์ในแต่ละปี ซึ่งเหล่าดารา ผู้กำกับ เจ้าของบริษัทภาพยนตร์ทั่วฟ้าเมืองไทย ต่างก็อยากมาร่วมงานในครั้งนี้ เสียงโฆษกบนเวทีเริ่มทยอยประกาศรางวัลในแขนงต่างๆ

เสียงปรบมือแสดงความยินดีที่ดังกึกก้องภายในอาคารสวนอัมพร ยิ่งสร้างความลุ้นระทึกและความคึกคักให้กับเหล่าดาราที่มาร่วมงาน จนกระทั่งการประกาศผลรางวัลนักแสดงดาวรุ่งหน้าใหม่ ที่มีชื่อของธงรบติด 1 ใน 5 รายชื่อผู้เข้าชิงรางวัล จากภาพยนตร์เรื่องวิมานพยัคฆ์ ที่สร้างโดยบริษัทภาพยนตร์เกียรติเกรียงไกร ก็ยิ่งทำให้เขาทั้งตกใจระคนดีใจ เขากวาดสายตามองหาเสี่ยกำจรและคุณนายปราณี ก็พบว่าทั้งคู่มองมาที่เขาอยู่ก่อนแล้ว คุณนายปราณีส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้เขาพร้อมๆ กับเสี่ยกำจรที่พยักหน้าเบาๆ เป็นกำลังใจอย่างคนที่กลับมาเป็นผู้ใหญ่ใจดีของวงการ คมเดชจับมือข้างหนึ่งเขาไว้แน่นด้วยความดีใจและลุ้นไปกับเขา ยกมือวางบนไหล่และตบเบาๆ เขา

“รางวัลนักแสดงดาวรุ่งหน้าใหม่ประจำปี 2512 ในปีนี้ ตกเป็นของ…คุณธงรบ ชนะชัย พระเอกจากภาพยนตร์เรื่องวิมานพยัคฆ์ ขอแสดงความยินดีด้วยครับ” สิ้นเสียงโฆษกบนเวที เขารู้สึกได้ถึงสายตานับร้อยที่จับจ้องมาที่เขาพร้อมรอยยิ้มและเสียงปรบมือแสดงความยินดี คมเดชรีบโผเข้ากอดธงรบด้วยความดีใจ

“ยินดีด้วยนะธง แล้วเอ็งก็เป็นพระเอกที่ดีที่สุดในชีวิตข้าด้วย” เจตน์พูดพร้อมกอดคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเขามายาวนาน คมเดชรีบผลักให้ธงรบเดินไปหน้าเวทีเพื่อกล่าวอะไรบางอย่างกับรางวัลที่ได้ตามธรรมเนียม

 

ธงรบมองรางวัลรูปดาว 5 แฉกดวงใหญ่ในมือด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย ชีวิตในวัย 82 กลับมามีชีวิตชีวา ความรู้สึกผิดต่อเพื่อนรักได้ถูกปลดเปลื้องลง เขาได้เจอกลับมาเจอกับความรักที่ไม่เคยหล่นหายไปไหนกับขวัญชีวา แม้วันนี้ตัวเธอจะไม่ได้อยู่ใกล้แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงความผูกพันที่ยังเหนียวแน่นอยู่กลางใจ

“ผมคงต้องขอบคุณนายปราณีและเสี่ยกำจร…” ธงรบมองตรงไปที่ 2 สามีภรรยา และกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ จนทำให้เสี่ยกำจรยิ้มกว้าง “หากไม่มีเสี่ยกำจรกับคุณนายปราณีแห่งเกียรติเกรียงไกรภาพยนตร์ผมคงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้ และขอบคุณพี่เทอด…” ธงรบกวาดสายตามองหาเทอดผู้ที่เป็นทั้งผู้กำกับ เป็นเจ้านาย และเป็นพี่ชายอีกคนที่เขาเคารพมาตลอดชีวิต

“…ขอบคุณที่สอนให้ผมได้รู้จักชีวิตในโลกมายาใบนี้…ขอบคุณคมเดช เมฆพยัคฆ์ ที่มาเป็นดาวร้าย และขอบคุณเจตน์ เทพเทวา พระเอกที่ดีที่สุดในชีวิตผม ที่ทำให้ผมรู้ว่าชีวิตจริงของคนเราผิดพลาดได้เสมอ เราไม่จำเป็นต้องเป็นพระเอกในชีวิตของทุกคน บางช่วงบางตอนของชีวิตเราอาจต้องยอมเป็นผู้ร้าย หรือเป็นตัวประกอบในชีวิตคนอื่นด้วย เพื่อทำให้เรื่องราวในชีวิตของคนรอบข้างเราสมบูรณ์…” ธงรบกวาดตามองไปรอบๆ อีกครั้งพร้อมพูดสิ่งที่อยู่ในใจ เพื่อให้เรื่องราวทุกอย่างได้ดำเนินไปอย่างที่มันเคยเป็นทั้งในอดีต และกับตัวเขาในอนาคต

“…เรื่องนี้จะเป็นเรื่องแรกและเรื่องสุดท้ายที่ผมจะเป็นพระเอก จากนี้ไปในโลกบันเทิงผมขอสนุกกับการเป็นดาวร้าย หรือการแสดงในบทบาทอื่นๆ ที่ทำให้ชีวิตของตัวละครทุกตัวในหนังสมบูรณ์และได้บทเรียนดีๆ เหมือนในชีวิตจริง…”

ท่ามกลางดาราที่เป็นดั่งดวงดาวส่องสว่างคอยให้ความสุข ความบันเทิงกับคนดูมากมายด้านล่างเวทีจากจุดนี้ธงรบมองเห็นเจตน์ที่มองตรงมาที่เขาบนเวทีด้วยสายตาชื่นชม ยอมรับกับทุกการตัดสินใจของเขา ด้วยความยินดี แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่ชีวิตหนึ่งเขาสามารถรักษามิตรที่ดีไว้ข้างกายได้สำเร็จ เขาไม่รู้หรอกว่าจะได้ตื่นมาในร่างชายชราผมหงอกขาววัยใน 82 ที่มีไม้เท้าประคองตัวเองให้ค่อยๆ ก้าวเดินไปข้างหน้าได้อีกหรือไม่ แต่วินาทีนี้มันจะคงอยู่ในความทรงจำเขาจนตราบสิ้นลมหายใจแน่นอน

ทันทีที่เสียงปรบมือด้วยความชื่นชมยินดีค่อยๆ แผ่วเบาลง ไฟฟ้าภายในอาคารลีลาศ สวนอัมพร ก็ดับพรึ่บลง เสียงหวีดหอนของไมค์ชอร์ตดังแข่งกับเสียงดารานักแสดง ผู้ชมทั้งชายและหญิงต่างก็พร้อมใจกันส่งเสียงกรีดร้องตกใจด้วยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

 

หอภาพยนตร์ 2567

“…ขอบคุณคุณอาธงรบ ชนะชัย มากนะคะ…” พิธีกรหญิงกล่าวขอบคุณธงรบ พร้อมพูดกับผู้ชมในโรงภาพยนตร์ “ต่อไปนี้ก็ถึงเวลาที่ทุกคนรอคอย…ขอให้ทุกคนชมภายนตร์ให้สนุก และขอให้ภาพยนตร์ยังให้เกิดปัญญาด้วยนะคะ” เสียงพิธีกรหญิงพูดทิ้งท้ายปรัชญาประจำหอภาพยนตร์ ทีมงานนำธงรบไปยังเก้าอี้ชมภาพยนตร์ที่ได้จัดเตรียมไว้…แสงสว่างภายในโรงภาพยนตร์จะค่อยๆ สลัวลง เพื่อฉายภาพยนตร์ที่มีอายุกว่า 55 ปี ที่ยังคงถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีจากหอภาพยนตร์แห่งชาติ ซึ่งปัจจุบันภาพยนตร์ที่ถูกถ่ายทำด้วยฟิล์ม 16 มม. และยังคงสภาพสมบูรณ์นั้นเหลือน้อยเต็มที

เสียงดนตรี…ชื่อบริษัทผู้สร้างภาพยนตร์ และชื่อภาพยนตร์ ‘จอมใจไกลปืนเที่ยง’ ภาพยนตร์เรื่องแรกที่เขารับบทเป็นดาวร้าย ค่อยๆ ปรากฏเป็นตัวหนังสือขึ้นกลางจอ ธงรบเอนหลังพิงพนักเก้าอี้จ้องมองภาพยนตร์ที่ค่อยๆ ดำเนินเรื่องไปด้วยความรู้สึกงุนงงและยากจะบรรยาย ภาพเจตน์ เทพเทวา ที่ปรากฏขึ้นบนจอทำให้เขาย้อนคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตตน มีผู้คนมากมายที่เดินเข้ามาและเดินหายไปจากชีวิต ภาพที่เคลื่อนไหวอยู่บนจออย่างเชื่องช้าไม่เท่ากับอารมณ์ที่เคลื่อนไหวอย่างร้อนรนอยู่ภายใน เหตุใดเขารู้สึกเหมือนมีมือใหญ่เข้ามากระชากช่วงเวลาของเขาให้หายไปและเหวี่ยงมันกลับมา ธงรบเอามือสัมผัสแขนและใบหน้าของตนอย่างไม่เข้าใจ สิ่งใดคือเรื่องจริงสิ่งใดคือความฝัน

กระทั่งภาพยนตร์จบลงและเสียงปรบมือดังขึ้นและคมเดชสะกิดข้างตัว ชายชราก็รีบลุกขึ้นขอบคุณผู้ชมในโรงภาพยนตร์ ถึงแม้ภาพยนตร์จะจบไปแล้วแต่ลึกๆ เขารู้ว่าความรู้สึกว่าบางอย่างมันยังไม่จบ บางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกกล้าๆ กลัวๆ

“ไงวะ…ถึงกับน้ำตารื้นเลยนะเอ็ง” เสียงหยอกล้อที่คุ้นหูดังขึ้น “แบบนี้หรือเปล่าที่เอ็งเคยบอกว่าข้า เมื่อ 40-50 ปีก่อนว่าต้องอยู่ให้เป็นตำนาน” คมเดชพูดยิ้มกระเซ้าอย่างที่เป็นมาเสมอ

“เอ็งว่าอะไรนะ”

“ข้าบอกว่า…แบบนี้หรือเปล่าที่เอ็งเคยพูดเป็นตำนาน ข้าเพิ่งจะเกตเลยนะเนี่ย…” ธงรบจ้องหน้าคมเดชนิ่งด้วยความตกใจและไม่แน่ใจ เพราะมันคือคำพูดที่เขาเพิ่งพูดกับคมเดชเมื่อไม่นานมานี้ ความคิดมากมายวิ่งวนอยู่ในหัวเหมือนหนูติดจั่น

“ทำไมจ้องข้าแบบนั้นวะ…รึเอ็งไม่อยากเป็นตำนาน”

“ขอโทษค่ะ…หนูขอถ่ายรูปกับคุณอาสองคนได้ไหมคะ” หญิงสาว 2 คน วัยไม่เกิน 25 เดินเข้ามาพร้อมเอ่ยขออนุญาต

“นี่ไงเป็นตำนาน…ขนาดรุ่นนี้ยังรู้จักแล้วกรี๊ดเราเลย…” คมเดชหลิ่วตาให้ธงรบพร้อมกระเถิบตัวเว้นช่องว่างระหว่างเขากับธงรบให้หญิงสาวยืน “ได้สิ…มาๆ ยืนตรงกลางเลย”

“เอาสวยๆ เลยนะแก…ฉันจะเอาไปอวดปู่กะย่าฉัน” หญิงสาวบอกเพื่อนที่มาด้วยให้ช่วยถ่ายเธอ จนธงรบเหลือบตามองเพื่อนพร้อมยิ้มขำในความคิดเข้าข้างตัวเองของคมเดช

“ขอบคุณมากค่ะ…หนูขออีกอย่างได้ไหมคะ” หญิงสาวยิ้มแหยๆ ด้วยความเกรงใจก่อนเปิดกระเป๋าสะพายของตัวเองหยิบรูปถ่ายใบหนึ่งที่เสียบไว้ในหนังสืออย่างดียื่นให้ธงรบ

“คุณอาเซ็นรูปนี้ให้คุณปู่หนูด้วยได้ไหมคะ…” ธงรบยื่นมือไปรับรูปขาวดำที่ล้างด้วยฟิล์มในมือหญิงสาวมาพลิกดู ภาพที่ปรากฏนั้นทำให้เขาถึงกับเบิกตากว้าง มองหญิงสาวตรงหน้ากับคมเดชสลับกันไปมา

“หนูได้รูปนี่มาจากไหน…” ธงรบถามเสียงสั่นด้วยความตื่นเต้นระคนตกใจ ขณะที่คมเดชดึงรูปจากมือเขาไปดู

“โห…รูปนานมากเลยนะเนี่ย…” คมเดชมองหน้าหญิงสาวพร้อมมองหน้าชายชราข้างตัว

“คุณปู่หนูเคยเป็นช่างภาพหนังสือพิมพ์ สมัยหนุ่มๆ แกถ่ายรูปไว้ รูปนี้เป็นหนึ่งในรูปที่คุณปู่ชอบเลยนะคะ” หญิงสาวเล่า “…จริงๆ คุณปู่อยากมาดูภาพยนตร์ของคุณอาด้วยนะคะ แต่แกเดินเหินลำบาก หนูเลยมาแทน….แกก็เลยฝากรูปนี้มาด้วยเผื่อหนูได้เจอคุณอา จะได้ขอลายเซ็น” หญิงสาวเล่าเขินๆ ให้คมเดชและธงรบฟัง

“นี่มันรูปที่เราสามคนถ่ายด้วยกันตอนเอ็งได้รางวัลไง ข้านี่อย่างหล่อเลย…” คมเดชชมตัวเองด้วยความภูมิใจ

“นี่เป็นครั้งแรกเลยนะคะที่หนูได้ดูหนังเก่าขนาดนี้ มันเจ๋งและคลาสสิกมากเลยค่ะ…” หญิงสาวบอกอย่างทึ่งๆ

“อาขอรูปนี้ได้ไหม…” ธงรบบอกกับหญิงสาวที่เป็นรุ่นหลาน

“เขาขอลายเซ็นเอ็ง…ไม่ได้ให้เอ็งไปขอรูปเขา” คมเดชท้วง หากแต่ธงรบก็ยังจับจ้องอยู่ที่หญิงสาวตรงหน้าด้วยความปรารถนาจะได้รูปนั้น มันเป็นรูปที่มีเขา คมเดช และเจตน์ ที่กำลังส่งยิ้มกว้างยิ้มให้ช่างภาพในวันงานประกาศรางวัลดารากร และเป็นรอยยิ้มสุดท้ายที่เขาไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นจริง ถ้าทุกสิ่งไม่ใช่ความฝัน จากนี้ไปคงมีเรื่องที่เขายังต้องใช้ความกล้าอีกครั้งเพื่อหาคำตอบ

“อาขอรูปนี้…และอาขอเบอร์โทรศัพท์หนูไว้ได้ไหม…เผื่ออาจะได้แวะไปเยี่ยมคุณปู่หนูสักหน่อย” ธงรบบอก จนหญิงสาวตรงหน้าเริ่มมีทีท่าไม่ไว้ใจ ที่จู่ๆ ก็มีชายแก่อายุกว่า 80 มาขอเบอร์โทรศัพท์ ทำเอาคมเดชถึงกับหัวเราะลั่นเพราะอ่านกิริยาท่าทีนั้นออก

“หนูขอเบอร์คุณอาไว้ดีกว่า…ส่วนรูปนี้หนูให้ก็ได้ค่ะ…แล้วเดี๋ยวหนูโทรหาคุณอาเอง”

“เนี่ย…ถ้าเลือกเป็นพระเอกตั้งแต่แรกก็หมดปัญหาแล้ว ดั๊นมาเป็นดาวร้าย…” คมเดชหัวเราะลั่น “หนูทำถูกแล้วที่ไม่ไว้ใจใครง่ายๆ”

 

ธงรบยังคงจ้องมองรูปในมืออย่างไม่ละสายตา ความคิดมากมายผุดขึ้นจนแทบไม่รู้จะจัดเรียงเริ่มต้นตรงไหนก่อน ถ้าเรื่องราวทั้งหมดเป็นจริงทำไมลึกๆ เขายังรู้สึกว่าเขากับเจตน์ยังคงเหมือนคนที่ตายจากกัน

“เอ็งว่าเจตน์มันจะเป็นยังไงบ้างวะ” ธงรบตัดสินใจเลียบๆ เคียงๆ ถามคมเดช หากแต่คำตอบของคมเดชก็ยิ่งทำให้เขาเต็มไปด้วยกระวนกระวายใจ เหมือนตะกอนความผิดที่นอนก้นอยู่ในใจมานานถูกเขย่าให้ขุ่นขึ้น

“ข้าจะไปรู้ได้ไง…ข้าก็ไม่เจอมันนานพอๆ กับเอ็งนั่นแหละ ป่านนี้จะเป็นตายร้ายดีอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้”



Don`t copy text!