พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 3 : ทางเดินชีวิต

โดย : เด็กหญิงเจ้าสำราญ

Loading

พระเอกในใจตัวร้ายในจอ นวนิยายออนไลน์โดย เด็กหญิงเจ้าสำราญ จาก อ่านเอา เรื่องราวของดาวร้ายตัวพ่อวัย 82 แห่งวงการบันเทิงที่มีครอบครัวแสนอบอุ่น แต่ก้นบึ้งของหัวใจปรารถนาจะได้รับการให้อภัยจากเพื่อนรัก และเขาก็ได้โอกาสแก้ตัวให้กลับไปในปี พ.ศ.2512 แต่เป้าหมายไม่ใช่แค่เรื่องเพื่อนแต่ยังมีหญิงสาวที่เขาต้องคว้าเธอมาแนบใจให้ได้

 

บริเวณพื้นที่โถงพักคอย และด้านหน้าอาคารไม้ชั้นเดียวที่ออกแบบมุงหลังคาจั่วผสมปั้นหยาและก่อสร้างขนานไปกับทางรถไฟเป็นแนวยาวของสถานีรถไฟชุมทางเขาชุมทองเวลานี้หนาตาไปด้วยผู้คนที่บ้างก็หอบลูกจูงหลาน บ้างก็หอบสัมภาระข้าวของมากมายเพื่อมารอขบวนรถไฟเที่ยวล่องเข้ากรุงเทพฯ เจตน์และธงรบเองก็เช่น วันนี้ทั้งคู่ต่างก็แต่งตัวเนี้ยบด้วยเสื้อเชิ้ตแขนยาวไว้ในกางเกงนำสมัย หวีผมเรียบแปล้ ข้างตัวมีกระเป๋าเสื้อผ้าขนาดย่อมวางอยู่แทบเท้า ในมือมีตั๋วรถไฟสีส้มชิ้นเล็กๆ ที่ระบุชั้นและที่นั่ง

 

 -แก๊งแก๊ง แก๊งแก๊ง แก๊ง –

เสียงตีระฆังเตือนจากนายสถานีว่ารถไฟเข้ากรุงเทพฯ ใกล้จะเทียบชานชาลาในไม่ช้า พ่อของธงรบยื่นกล่องกระดาษที่ผูกมัดด้วยเชือกฟางอย่างแน่นหนา ภายในบรรจุของกินของใช้ที่จำเป็นให้ลูกชายพร้อมกำชับ

ตั้งใจเรียนละเอ็ง ถ้าเกเรไปมีเรื่องมีราวเมื่อไหร่ เอ็งขนเสื้อผ้ากลับมาทำสวนได้เลย”

“เขียนจดหมายเล่าสารทุกข์สุกดิบให้พ่อกับแม่ฟังบ่อยๆ นะเจตน์” นางสุดาแม่ของเจตน์บอกลูกชายหัวแก้วหัวแหวนด้วยความเป็นห่วง

“ถึงเอ็งสองคนจะไม่ได้เรียนที่เดียวกัน แต่ก็ต้องดูแลกันให้ดี มีอะไรก็ต้องช่วยเหลือกัน” พ่อของเจตน์สำทับกับทั้งคู่

“ไม่ต้องห่วงครับพ่อ…รับรองว่าผมจะดูแลตัวเองแล้วก็ดูแลไอ้ธงอย่างดีเลย”

“เอ็งก็อย่าไปตามใจไอ้ธงมันมากด้วย” พ่อของธงรบรีบหันมาดุเจตน์ เพราะรู้นิสัยลูกชายและเพื่อนลูกชายที่มักจะตามใจกัน “ไกลหูไกลตาข้าขนาดนี้ ข้าว่าเอ็งเปลี่ยนใจอย่าไปเลยธง กลับไปช่วยข้าทำสวนเหอะ” นายศักดิ์ยังอดเป็นห่วงลูกชายไม่ได้ ถึงแม้เขาจะลูกมีหลายคน แต่ก็เป็นลูกสาวทั้งหมดและธงรบก็เป็นลูกชายคนเล็กคนเดียว

“โธ่พ่อ…ผมไปอยู่กับพี่ชมพู่ลูกสาวพ่อนะ ถ้ามีอะไรพี่ชมพู่ก็เขียนจดหมายมาฟ้องพ่อได้ หรือให้เร็วเดี๋ยวผมให้พี่ชมพู่โทรเลขมาเลย” ธงรบเตือนและบอกผู้เป็นพ่อให้สบายใจ

“ไม่ต้อง…ข้าไม่อยากได้โทรเลขจากเอ็ง มีหวังข้าจะหัวใจวายตายซะก่อน” นายศักดิ์ดุลูกชายเพราะการส่งโทรเลขนั้นส่วนใหญ่มักหมายถึงข่าวร้ายที่ต้องได้รับ

“รับรองด้วยเกียรติเลยว่าจะไม่มีออกนอกลู่นอกทาง จะตั้งใจเรียนให้จบ เอาปริญญามาฝากพ่อกับแม่” ธงรบรับปากพร้อมขยับเท้าแตะชิดยกมือขวาขึ้นเหนือคิ้วทำท่าวันทยหัตถ์ให้นายศักดิ์ผู้เป็นพ่อ

“เออ…ข้าจะคอยดูน้ำคำเอ็ง”

“รถไฟมาแล้ว ผมไปแล้วนะครับพ่อ ไปแล้วนะครับแม่ ลาน้าบัว น้าศักดิ์ ครับ” เจตน์ยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้ง 4 พร้อมกอดลาผู้เป็นแม่ที่น้ำตาเริ่มไหลด้วยความรัก

“แล้วผมจะเขียนจดหมายมาหาแม่ทุกอาทิตย์เลยครับ” เจตน์ให้สัญญา หญิงวัยกลางคนเอื้อมมือลูบหัวลูกชายพร้อมให้พร “ไปดีมาดี อย่าเจ็บอย่าไข้ ธงด้วยนะลูก เราสองคนก็เหมือนพี่น้องกัน ดูแลกันดีๆ”

ธงรบยกมือตะเบ๊ะให้สุดาผู้เป็นมารดาของเจตน์พร้อมรับปากหนักแน่น “ครับผม”

 

เสียงหวูดไฟที่วิ่งออกจากชานชาลาในวันนั้นได้พาชีวิตของเจตน์และธงรบไปทำตามความฝันของแต่ละคน เจตน์เข้าเรียนโรงเรียนป่าไม้ที่ จ.แพร่ ส่วนธงรบไปเรียนโรงเรียนวิศวกรรมรถไฟ ในแผนกช่างกล แม้จะแปลกที่แปลกถิ่นในการเรียน แต่ด้วยรูปร่างหน้าตาที่คมเข้มและความเป็นคนอัธยาศัยดี เจตน์ก็กลายเป็นที่รักของเพื่อนๆ ในโรงเรียนไม่ต่างจากตอนที่เขาอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่นครศรีธรรมราช ส่วนธงรบก็ยังคงเส้นคงวากับการเป็นคนขี้เล่นที่จริงจังกับกิจกรรมมากกว่าการเรียน และพร้อมออกโรงช่วยเหลือเพื่อนๆ เวลามีปัญหาเหมือนเช่นเคย แถมพ่วงด้วยความหนุ่มเจ้าสำราญ ที่มีสาวๆ ให้ควงไม่ซ้ำหน้า จนเพื่อนร่วมรุ่นต่างยกให้เป็นที่หนึ่งของรุ่น

ปลายเดือนตุลาคมปี 2505 เกิดมหาวาตภัยที่แหลมตะลุมพุก อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช พื้นที่ในจังหวัดบ้านเกิดของพวกเขาหลายอำเภอรวมทั้งจังหวัดใกล้เคียงได้รับความเสียหายอย่างหนัก ผู้คนมากมายล้มหายตายจาก ไร้ที่อยู่อาศัยทำกิน และแทบสิ้นเนื้อประดาตัว แม้อำเภอที่พวกเขาอยู่จะไม่ได้รับผลกระทบหากแต่พ่อกับแม่ของธงรบก็สะเทือนใจและหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จนตัดสินใจย้ายขึ้นมาอยู่กับพี่สาวคนโตของเขา โดยยกที่ดินให้พี่สาวอีก 3 คนดูแลต่อ และแบ่งขายที่ส่วนหนึ่งโดยนำเงินมาซื้อที่แห่งใหม่เพื่อทำสวนตามความถนัดบริเวณชานเมืองกรุงเทพฯ

แม้จะไม่มีโอกาสได้กลับบ้านไปเที่ยวเล่นพบเจอเหมือนวัยเยาว์ แต่ทั้งคู่ยังคงบอกเล่าสารทุกข์สุกดิบผ่านทางจดหมายถึงกันอยู่เสมอๆ 2 ปีหลังเรียนจบได้ประกาศนียบัตรวิชาการป่าไม้ เจตน์ก็สมัครเข้าเกณฑ์ทหาร และกลับไปช่วยพ่อแม่ทำสวนอยู่พักใหญ่ ระหว่างรอสมัครสอบเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เขาก็เลือกที่จะเข้ากรุงเทพฯ มาสมัครงานเป็นเสมียนในโรงงานทอผ้าแห่งหนึ่ง ส่วนธงรบหลังเรียนจบเขาก็ได้ทำงานเป็นช่างในโรงงานมักกะสันของการรถไฟ

 

เสียงกริ่งที่ดังขึ้นหน้ารั้วบ้านทำให้ธงรบต้องละมือจากการพรวนดินผสมปุ๋ยตรงหน้า เพื่อเดินไปเปิดประตู และทันทีที่ประตูรั้วเล็กเปิดออกธงรบก็เป็นต้องประหลาดใจกับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ความหล่อที่ยังคมเข้มของเพื่อนไม่ได้ทำให้ธงรบประหลาดใจได้มากเท่ากับรูปร่างของเจตน์ที่ทำเอาธงรบเกือบจำเพื่อนรักคนเดิมไม่ได้ เพราะหากจะใช้คำว่าอกสามศอกคงไม่เกินเลยไปกับหุ่นที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อภายใต้เสื้อเชิ้ตแขนยาวพอดีตัวของเจตน์ที่เขาเชื่อว่าไม่แต่เฉพาะสาวๆ หนุ่มๆ เองก็คงต้องเหลียวมอง

“โห…ข้าแทบจำเอ็งไม่ได้แหนะเจตน์” ธงรบสวมกอดเพื่อนด้วยความคิดถึงก่อนสำรวจรูปร่างที่เปลี่ยนไปของเจตน์

“หล่อขึ้นใช่ปะวะ” เจตน์ชมตัวเอง

“เอ็งหาบ้านข้าเจอได้ไงวะเนี่ย”

“ก็นั่งรถเมล์มาลงหน้าปากซอย แล้วก็เดินหาบ้านเลขที่ตามที่อยู่ที่เอ็งเขียนบนจดหมายส่งให้ข้าไง ว่าจะแวะมาตั้งหลายครั้งแล้วแต่งานที่โรงงานมันยุ่งๆ”

“มาๆ เข้ามาก่อน” ธงรบเปิดประตูรั้วให้กว้างออกแล้วเดินนำเจตน์เดินไปนั่งรอบริเวณโต๊ะม้าหินอ่อนหน้าตัวบ้าน ก่อนเดินไปหยิบกระบอกน้ำพร้อมแก้วมาวางให้เพื่อนบนโต๊ะ

“บ้านเอ็งน่าอยู่ดีนะ” เจตน์มองไปรอบๆ ตัวบ้าน 2 ชั้น หลังคาตื้นแทบจะเป็นระนาบเดียวกันในสไตล์โมเดิร์น บนพื้นที่เกือบ 100 ตารางวาของธงรบที่ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้

“ฝีมือพ่อกับแม่ข้าทั้งนั้น”

“น้าบัวกับน้าศักดิ์เป็นอย่างไรบ้าง พอย้ายมาอยู่บางกอกแบบนี้” เจตน์ถามถึงพ่อกับแม่ของธงรบ

“ก็มีคิดถึงบ้านบ้างตามประสา ตอนนี้ก็ต้องไปๆ มาๆ เพราะสวนที่แกซื้อไว้ที่นี่เริ่มให้ผลผลิตแล้ว ทางโน้น พี่เดือนเขาก็เพิ่งคลอดลูก นี่ก็เพิ่งกลับลงไปกลายเป็นตายายเห่อหลาน” ธงรบพูดถึงพี่สาวคนที่ 2 ของเขาที่ยังทำสวนอยู่ที่นครศรีธรรมราช

“แล้วงานเอ็งเป็นอย่างไรบ้าง” เจตน์ถามต่อ

“ก็สนุกดี ได้อยู่กับเครื่องยนต์กลไก เสียอย่างเดียวข้ายังไม่ได้เป็นเจ้าคนนายคนแบบที่พ่อข้าอยากให้เป็น” ธงรบตอบติดตลก

เขาถามขึ้นเพราะรู้ว่าระหว่างรอสอบเข้ารับราชการเจตน์ได้งานเป็นเสมียนมาพักใหญ่ “งานเสมียนเอ็งล่ะเป็นอย่างไร”

“ก็เรื่อยๆ ตามประสา งานเอกสารติดต่อนั่นนี่”

“แล้วนี่เอ็งไปทำอะไรมาวะ กล้ามเป็นมัดเลย แล้วดูสภาพข้า” ธงรบก้มมองสภาพตัวเองที่ยังอยู่ในชุดที่เปื้อนดิน และใบหน้าที่ชื้นไปด้วยเหงื่อจากการตัดแต่งต้นไม้ภายในบ้านก่อนจะหัวเราะ “เหมือนลูกหมาเลยว่ะ เมื่อเทียบกับเอ็ง”

“ข้าเคยบอกเอ็งแล้วไง จำไม่ได้หรือวะ ว่าข้าอยากเป็นนักเพาะกาย”

“เออ…ข้าจำได้ แต่ไม่คิดว่าเอ็งจะทำได้ขนาดนี้ สุดยอดไปเลยวะเจตน์”

“ที่จะสุดยอดไปกว่านั้นคือ ข้าว่าปลายปีนี้ข้าจะลองไปสมัครประกวดชายงาม”

“เฮ้ย…คนคงสมัครกันเยอะ จะไหวเหรอวะเจตน์” ธงรบรู้ว่าเจตน์ชื่นชอบการเพาะกายและมีความคิดที่จะประกวดมานาน แต่เขาก็กลัวเพื่อนจะผิดหวัง เพราะคงมีชายหนุ่มรูปร่างดีจำนวนมากเป็นคู่แข่ง

“เอ็ง…ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นเลย ข้าไม่ได้หวังว่าจะเอาชนะให้ได้ที่หนึ่งหรอก ข้าแค่อยากไปลองดู ตอนนี้ข้าเป็นเสมียน ถ้าข้าสอบราชการได้จะมาทำอะไรแบบนี้คงไม่เหมาะ อีกอย่างข้าฟิตมาเป็นปีๆ เลยนะเว้ย” เจตน์ยกแขน งอข้อศอกทั้งสองข้างอยู่เหนือระดับหัวไหล่ พร้อมทั้งกำหมัดเบ่งกล้ามเนื้อแขนต้นแขนด้านหน้าขึ้นอวดมัดกล้ามอวดธงรบ หลายปีมานี้เขาจริงจังกับการเพาะกาย พอกลับเข้ามาทำงานในบางกอกก็ถึงขั้นสมัครเข้าไปเล่นในสถานเพาะกายเล็กๆ ซึ่งตั้งอยู่ในละแวกหอพักที่เขาทำงาน เสียสตางค์ครั้งละ 2-3 บาท ถึงจะมีดัมเบลล์เหล็กและอุปกรณ์ให้ฝึกซ้อมเล่นอยู่ไม่กี่ชิ้น แต่เขาก็ได้คำแนะนำดีๆ จากเพื่อนๆ พี่ๆ ในสถานเพาะกาย ในการสร้างกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ให้แข็งแรงจนเริ่มมีกล้ามเป็นมัด เอวที่คอดและไหล่กว้างแบบชายชาตรี

“แล้วเอ็งจะสมัครประกวดเวทีไหนวะ”

“งานประกวดชายงามฤดูหนาวปีนี้ไง” เจตน์ยักคิ้วหลิ่วตาให้เพื่อน

 

หลังเวทีการประกวดชายงามในงานฤดูหนาว ณ เขาดินวนาปลายปีนี้ เต็มไปด้วยชายหนุ่มร่างกายกำยำมากหน้าหลายตา ที่จัดแต่งทรงผมที่จัดแต่งมาอย่างดี แต่ลำตัวเปลือยเปล่า สวมเพียงกางเกงว่ายน้ำ

หลากสี ที่เน้นให้เห็นกล้ามเนื้อส่วนต้นขาและกล้ามเนื้อก้น มีหมายเลขเล็กๆ บอกลำดับติดอยู่ตรงมุมซ้ายด้านหน้าของกางเกง สีหน้าและแววตาของผู้เข้าแข่งขันจำนวนไม่น้อยเปิดเผยให้เห็นถึงความรู้สึกตื่นเต้นและประหม่าจนยืนไม่ติด ขณะที่ผู้เข้าแข่งอีกจำนวนหนึ่งก็เต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจกับการพร้อมขึ้นเวทีเพื่ออวดสรีระอันเต็มไปด้วยมัดกล้าม ที่ผ่านการฝึกซ้อมดูแลมาอย่างดีต่อสายตากรรมการและผู้ชมมากมายที่มารอชมรอเชียร์อยู่ด้านหน้าเวที

“เป็นไรวะธง ทำไมเอ็งดูลุกลี้ลุกลนชอบกล” เจตน์ที่วันนี้สวมกางเกงว่ายน้ำสีแดงสด ช่วงไหล่ที่หนากว้าง ลำตัวเปลือยเปล่าทั้งด้านหน้าและด้านหลังเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างมีวินัย ดูต่างจากเด็กชายรูปร่างผอมสูงในวันวานเอ่ยถามธงรบ

“ข้าตื่นเต้นว่ะ” ธงรบตอบเสียงแผ่ว

“เอ็งจะตื่นเต้นทำไมวะ”

“ข้าเห็นคู่แข่งเอ็งแต่ละคนแล้วข้ากลัวว่ะ”

“กลัวไรวะ”

“ก็กลัวเอ็งจะแพ้ เอ็งดูแต่ละคนสิ” ธงรบเหลียวมองไปรอบตัวที่ตอนนี้มีแต่ชายหนุ่มรูปร่างดีเดินกันไปจนลายตา

“แพ้ก็แพ้สิวะ ไม่เห็นจะเป็นไรเลย นี่มันเพิ่งเวทีแรกของข้า อย่างน้อยข้าก็ได้มาทำตามความฝันของตัวเองแล้ว ปีนี้ไม่ได้ ปีหน้ามีเวลาก็ค่อยเอาใหม่ ถ้าเอ็งตื่นเต้นขนาดนี้เอ็งไปรอเชียร์ข้าข้างนอกเลย อีกเดี๋ยวก็ได้เวลาประกวดแล้ว” เจตน์รีบไล่เพื่อน

 

ขณะเดียวกันบริเวณลานกว้างด้านหน้าเวทีการประกวดชายงามเวลานี้ก็เริ่มหนาตาไปด้วยผู้คนหลากหลายวัยที่ต่างก็มาจับจองที่นั่งเพื่อรอชม รอเชียร์ผู้เข้าแข่งขันเพาะกายในแต่ละรุ่น

“บรรยากาศวันนี้คึกคักน่าดูเลยนะ เอ็งว่าไหมคม” ชายวัยกลางคนที่แต่งตัวภูมิฐาน หันมาพูดกับชายรูปร่างสันทัดข้างตัว แต่หน้าตาดูดุโหดเกินกว่าอายุ 26 เพราะหนวดเคราบนใบหน้า ที่ตอนนี้กำลังสนใจกับการเหลียวมองดูสาวๆ รอบตัวอย่างเพลินตาจนไม่ได้ยินเสียงถาม

“คม…คม…ไอ้คม!”

“หา…พี่เทอดว่าอะไรนะ” คมเดชรีบหันกลับมาด้วยตกใจ

“ข้าชวนเอ็งมาดูเขาประกวดชายงาม ไม่ได้ชวนเอ็งมาเหล่สาว”

“โธ่พี่…พี่ไม่เห็นเหรอว่าปีนี้สาวๆ ที่มาเที่ยวงาน เขาแต่งตัวสวยๆ กันทั้งนั้นเลย เห็นแล้วมันชื่นตา” คมเดชลากเสียงยาวท้ายประโยคด้วยความสุข

“ว่าแต่พี่เถอะ…ชอบดูชายงามตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่ยักรู้” คมเดชถามโดยไม่ยอมละวางสายตาจากหญิงสาวที่ยืนคุยกับเพื่อนตรงมุมแถวที่นั่งด้านหน้า ซึ่งหันมาสบตาเขาพอดีและส่งรอยยิ้มเยื้อนมาให้

“ข้าก็มาดูๆ เผื่อว่าจะมีใครเข้าตามาเป็นพระเอกหนังเรื่องใหม่ให้ข้าได้บ้าง”

“อ้าว…แล้วที่นั่งข้างพี่อยู่ตรงนี้ไม่เข้าตาพี่อีกเหรอ” คมเดชได้ยินดังนั้นรีบละสายตาจากหญิงสาวตรงหน้าหันกลับมามองเทอดอย่างจริงจังพร้อมชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง

“อย่างเอ็งเนี่ยนะ…หนังข้าคงเจ๊งไม่เป็นท่า เอ็งไม่สงสารคนดูเหรอวะ” น้ำเสียงติดตลกของเทอดทำให้คมเดชแกล้งทำเสียงละห้อยเสียใจยามตอบกลับด้วยท่าทีที่ไม่จริงจัง “โธ่…พี่เทอด คมเดชไม่หล่อตรงไหน”

“ชิ…เอ็งกล้าโกนหนวดโกนเคราของเอ็งให้ข้าได้ไหม” เทอดท้าเพราะรู้ว่าคมเดชรักหนวดเคราตัวเองยิ่งกว่าอะไรดี และคมเดชเองก็เล่นหนังให้เขาตั้งแต่เรื่องแรกๆ เทอดยังจำได้ดีถึงวันที่เขาเริ่มรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับการเล่นไปตามบทบาทที่คนอื่นอยากให้เป็น เขาอยากกำกับทิศทางเนื้อหาของหนังเองและอยากทำอะไรใหม่ๆ ด้วยการตัดสินใจผันตัวเองจากนักแสดง นำเอาเงินเก็บที่มีมาลองเป็นนายทุนทำหนังเอง ด้วยฟิล์ม 16 มม. ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในวงการภาพยนตร์ เพราะมีต้นทุนที่ไม่สูงมากและใช้ระยะเวลาในการถ่ายทำไม่นาน แถมอุปกรณ์การถ่ายทำก็มีขนาดเล็กกว่าฟิล์ม 35 มม.ที่มีต้นทุนสูงกว่า อีกทั้งเมื่อนำฟิล์มไปล้างและฉายบนจอในโรงภาพยนตร์ ผู้ชมแทบไม่รู้สึกถึงความแตกต่างของขนาดภาพหรือสูญเสียอรรถรสในการรับชมแต่อย่างใด เพราะสุดท้ายหนังทุกเรื่องนอกจากคู่พระนางที่คนดูชื่นชอบและตั้งตารอชมแล้ว ก็จะมีทีมพากย์เป็นแรงส่งสำคัญที่ช่วยนำพาหนังของพวกเขาไปเอาชนะใจคนดู ด้วยน้ำเสียงอันแพรวพราว บวกกับจังหวะลูกเล่นของการพากย์ให้ถูกจริตคนดู

ซึ่งปีๆ หนึ่งบริษัทเทอดเทพภาพยนตร์ของเขาสามารถสร้างหนังได้หลายเรื่อง เช่นเดียวกับบริษัทภาพยนตร์อื่นๆ ที่เกิดขึ้นมากมาย และต่างก็ต้องแข่งขันกันอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะการแย่งชิงคิวของนักแสดงที่ผู้ชมชื่นชอบให้มารับบทนำในภาพยนตร์ และไม่ว่านักแสดงนำในหนังของเทอดจะเป็นใคร เทอดมักจะชักชวนคมเดชให้มามีส่วนร่วมเป็นสีสันให้หนังของเขาด้วยเสมอๆ โดยเฉพาะการเป็นดาวร้าย แต่ก็ยังไม่มีครั้งไหนที่คมเดชจะได้เป็นพระเอก นั่นเพราะด้วยรูปร่างที่ไม่ได้เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแบบสมัยนิยม อีกทั้งตัวเขาเองก็ไม่พร้อมโกนหนวดเคราที่เป็นเหมือนลูกรักของตัวเองออก

“พี่ว่าวันนี้พี่จะได้พระเอกจากเวทีชายงามนี้จริงๆ เรอะ” คมเดชหันไปมองทางเวทีที่ตอนนี้ผู้เข้าแข่งขันเริ่มทยอยออกมาตั้งท่าทาง เพื่ออวดสรีระกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ทั้งด้านหน้าและด้านหลังให้กรรมการหน้าเวทีพิจารณาให้คะแนน คมเดชรู้ว่าเทอดกำลังมองหาคนที่จะมารับบทพระเอกในหนังเรื่องใหม่ของเขาคู่กับแพรวดารา นางเอกดังคนหนึ่งของวงการที่เขาได้ทาบทามตัวไว้แล้ว ในคราแรกเทอดได้มีการติดต่อพระเอกหลายคนที่เป็นที่ชื่นชอบของคนดูเพื่อให้มารับบทนำ แต่ก็ติดปัญหาสำคัญตรงที่นักแสดงแต่ละคนต่างก็แทบจะไม่มีคิวว่างเลย บางคนวันหนึ่งมีคิวถ่ายหนัง 3-4 เรื่อง แถมบางคนคิวยาวไปเป็นเดือน สุดท้ายเทอดก็เริ่มมีความคิดที่อยากจะลองเสี่ยงปั้นพระเอกใหม่ของตัวเองดูสักเรื่อง

“ก็ดูๆ ไว้ ไม่เสียหายอะไรนี่หว่า” เทอดตอบอย่างไม่ใส่ใจ

“คนนี้ไหล่กว้างดูสมชายชาตรีเลยนะพี่ เสียอย่างเดียวดำไปหน่อย” คมเดชมองไปยังเวทีพร้อมวิจารณ์นักเพาะกายที่กำลังอวดรูปโฉมของตัวเองให้กรรมการพิจารณา “คนนี้ก็พอใช้ได้ แต่กล้ามแขนน้อยไปนิด สูงก็น้อยไปหน่อยถ้ามายืนกับนางเอกเราคงเหมือนแม่กับลูก…คนนี้รูปร่างดีเลย แต่หน้าตาดูแก่ไปหน่อย ไม่เห็นจะมีใครเข้าตาเล้ย จะเสียเวลาเปล่าไหมพี่เทอด”

เทอดที่สายตาจับจ้องอยู่บนเวทีแต่หูยังได้ยินเสียงคมเดชติคนนั้นคนนี้อยู่เป็นนานเริ่มเอ็ดด้วยความรำคาญ

“เอ็งวิจารณ์เงียบๆ ในใจได้ไหมคม คอยดูไปก่อน คนสมัครอีกตั้งเยอะ ถ้าคืนนี้ไม่มีใครเข้าตา ขากลับข้าเลี้ยงเหล้าเอ็งเลย”

“ได้เลยครับลูกพี่ คมเดชจะสงบเสงี่ยมภาวนาให้พี่เทอดเจอช้างเผือก” คมเดชยิ้มมั่นใจที่จะได้กินเหล้าฟรี เพราะอย่างไรคืนนี้เทอดก็ไม่มีทางหาพระเอกหนังเรื่องใหม่เจอบนเวทีนี้แน่ เพราะแต่ละคนที่ผ่านตาเขาไป ดูไม่เข้าทีเลยสักคน

 

“ลำดับต่อไปในรุ่นสมัครเล่น คือผู้สมัครหมายเลขสามสิบแปด คุณเจตน์ เทวาสถิตย์” สิ้นเสียงผู้ประกาศขานลำดับ เจตน์ก็เดินออกมากลางเวทีเตรียมพร้อมโพสท่าบังคับของนักเพาะกายเพื่อแสดงให้เห็นผู้ชมและกรรมการได้เห็นถึงความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อในแต่ละส่วน แม้จะเตรียมตัวฟิตซ้อมร่างกายมาอย่างดี เจตน์ก็ยังรู้สึกได้ถึงความตื่นเต้นของตัวเองเมื่อต้องอยู่ท่ามกลางผู้ชมจำนวนมาก โดยมีทุกสายตาจับจ้องมาที่เขาบนเวที สิ่งเดียวที่เขาทำได้ก็คือยิ้มให้กำลังใจตัวเอง และรอยยิ้มนั้นก็เรียกเสียงกรี๊ดที่มาพร้อมเสียงปรบมือจากสาวๆ ที่รอชมอยู่ด้านล่างด้วยเช่นเดียวกัน

เจตน์พยายามผ่อนคลายเองให้มากที่สุดก่อนที่จะเริ่มเหยียดขาข้างขวาของตัวเองไปด้านข้าง แตะปลายเท้าตัวเองกับพื้น พร้อมทั้งแขม่วเกร็งกล้ามท้องและเกร็งกล้ามเนื้อขา ก่อนจะกำหมัดงอข้อศอกทั้งสองข้าง และยกขึ้นสูงเหนือระดับหัวไหล่ พร้อมๆ กับเบ่งกล้ามเนื้อต้นแขนด้านหน้าแล้วนิ่งค้างไว้เพียงไม่กี่วินาทีให้ผู้ชมและกรรมการได้เห็นแความสวยงามและแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อ สายตาที่มองตรง และหน้าตาที่ดูเคร่งขรึมขณะโพสท่าทางเพื่ออวดกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ที่เต็มไปด้วยความต่อเนื่องและลื่นไหลของเจตน์ทำให้สาวๆ ทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ด้านล่างเวทีถึงกับปรบมือด้วยความถูกใจ พร้อมทั้งส่งรอยยิ้มเป็นกำลังใจให้เขา

 

“สุดยอดไปเลยว่ะเจตน์…ข้านี่ลุ้นเอ็งมาก” ธงรบยกนิ้วโป้งตรงปรี่เข้าไปหาเจตน์ถึงด้านหลังเวทีเมื่อการประกวดและการประกาศผลสิ้นสุดลง ถึงแม้จะได้แค่รางวัลชมเชยในรุ่นสมัครเล่น แต่ในฐานะมือใหม่ เขาก็พอใจมากแล้ว

“สาวๆ ข้างๆ ข้านี่ปรบมือเชียร์เอ็งจนออกนอกหน้า รู้งี้นะข้าไปเพาะกายแบบเอ็งก็ดี จะได้มีสาวมาชื่นชมข้าเยอะๆ”

“พอเหอะไอ้ธง แค่นี้ข้าก็เห็นเอ็งหักอกสาวๆ ไปตั้งเท่าไหร่แล้ว”

“สวัสดีครับ…คุณเจตน์ใช่ไหมครับ ผมชื่อเทอด เป็นเจ้าของบริษัทภาพยนตร์เทอดเทพ” เทอดเดินเข้าทักทายเจตน์พร้อมกับคมเดชที่ยืนสังเกตการณ์อยู่เบื้องหลัง หลังจากสอดส่ายตามองหาเจตน์อยู่พักใหญ่ก่อนเดินเข้ามาขัดจังหวะการสนทนาด้วยการแนะนำตัวเองกับเจตน์และธงรบ

“ครับ…ผมเจตน์ครับ”

“ส่วนผมชื่อคมเดชนะครับ” คมเดชรีบกระวีกระวาดแนะนำตัวเองกับเจตน์และธงรบ “ผมเป็นนักแสดง คุณสองคนคงพอคุ้นหน้าคุ้นตาผมบ้างใช่ไหมครับ”

“ไม่คุ้นเลยครับ พอดีผมไม่ดูหนัง” คำตอบของธงรบทำเอาคมเดชถึงกับอึ้งไป ก่อนหันไปถามชื่อธงรบ

“เอ่อ…ไม่ทราบว่าให้ผมเรียกว่าคุณอะไรดีครับ”

“ธงรบครับ ผมชื่อธงรบ เป็นเพื่อนสนิทกับเจตน์”

“เหมือนกันเลยครับ ผมก็เป็นน้องที่สนิทกับคุณเทอด” คมเดชอวด

“ขอผมเรียกคุณว่าน้องเลยละกัน พี่ประทับใจน้องตั้งแต่บนเวทีประกวด และกำลังมีแผนจะสร้างหนังเรื่องใหม่ เลยอยากชวนมาเล่นหนังด้วยกัน” เทอดอธิบาย

“ก่อนหน้านี้พี่เทอดเขาเคยสร้างหนังเรื่องเสือผงาดฟ้า ที่นำแสดงโดย…” คมเดชเล่าเสริมด้วยการบอกชื่อนักแสดงชื่อดังที่เล่นภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ทั้งคู่ฟัง

“ต้องขอโทษอีกทีครับ ผมไม่ได้ดูหนังเลย” ธงรบย้ำคมเดชอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้คมเดชทันได้เห็นแววตาหยอกล้อของธงรบที่ทำให้เขารู้สึกว่าผู้ชายตรงหน้าดูเป็นคนขี้เล่น ตรงข้ามกับลักษณะภายนอกที่ดูนิ่งขรึม และแม้ใจจะอยากกระโดดถีบความกวน คมเดชก็ทำได้แค่เก็บอาการไว้ไม่ให้เสียเรื่อง มิเช่นนั้นคนที่จะกระโดดถีบเขาคงเป็นเทอด

“พี่อยากให้น้องลองกลับไปคิดดูก่อน แล้วค่อยตัดสินใจ” เทอดยื่นนามบัตรของตัวเองให้เจตน์ พร้อมส่งสายตาที่แสดงให้เห็นถึงความจริงใจให้เจตน์ “ถ้าน้องสนใจ เรามาคุยรายละเอียดกันก่อน ติดต่อพี่ได้ตามหมายเลขโทรศัพท์ที่ระบุไว้ได้เลย”

เจตน์ก้มลงอ่านรายละเอียดในนามบัตรที่รับมาจากมือของเทอด

“ขอบพระคุณมากนะครับ…ไว้ผมจะลองกลับไปคิดดูนะครับ”

 

 “เอ็งคิดว่ายังไงวะธง” ทันทีที่เทอดกับคมเดชเดินลับสายตาไปจากหลังเวที เขาก็ถามความเห็นธงรบถึงเรื่องที่เทอดเพิ่งเอ่ยชวน

“ข้าเคยได้ยินชื่อคนชื่อเทอดมาบ้าง เขาเคยเล่นหนังจริง ข้าพอคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยดู”

“ไหนเมื่อกี้เอ็งบอกไม่ดูหนัง”

“ข้าก็พูดไปงั้นแหละ…กวนตีนไอ้หน้าหนวดนั่น” ธงรบหัวเราะด้วยความชอบใจเมื่อนึกถึงสีหน้าของคมเดชตอนที่เขาบอกว่าไม่เคยดูหนัง หนวดเล็กๆ ของคมเดชกระตุก แถมยังต้องพยายามซ่อนสีหน้าขัดเคืองใจไว้ไม่ให้เสียเรื่องที่เทอดตั้งใจจะมาคุยกับเจตน์

“จะว่าไปข้าก็เพิ่งสังเกตนะว่าเอ็งนี่ก็หน้าตาหน่วยก้านดีไม่เบา…อ๋อ…มิน่าสาวๆ ข้างข้าเมื่อกี้ถึงเชียร์เอ็งนัก ” ธงรบกวาดสายตามองเพื่อนตั้งแต่หัวจรดเท้า พร้อมเพิ่งนึกขึ้นได้ถึงอากัปกิริยาของสาวๆ ที่นั่งเชียร์อยู่หน้าเวทีกับเขา ตอนแรกเขาเข้าใจว่าเชียร์เพราะเจตน์ดูหนุ่มกว่าคู่แข่งที่อายุเยอะๆ แต่จริงๆ แล้วเพื่อนยังมีใบหน้าหล่อเหลาคมคายพ่วงมาด้วยนี่เอง

“ถ้าเอ็งยังไม่ได้รีบสอบข้าราชการระหว่างนี้ ข้าว่าลองไปคุยกับเขาก็ไม่เสียหาย”

“เป็นดาราเลยนะเว้ย…เขาเล่นกันยังไงข้าก็ไม่เคยรู้ ไปเต้นกินรำมีหวังมีหวังแม่ข้าได้แพ่นกบาลเอา” เจตน์รีบโวย เมื่อเห็นธงรบพูดเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา

“เออ…เต้นกินรำกินหรือเปล่าข้าก็ไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ ถ้าเอ็งไปคุยกับเขา ไม่ชอบก็กลับบ้าน แต่ถ้าเอ็งสนใจก็ตอบตกลง ไม่ต้องอะไรมาก ขอแค่เอ็งเล่นเก่งๆ ให้ได้สักเสี้ยวหนึ่งแบบ…มิตร ชัยบัญชา, ไชยา สุริยัน หรือชนะ ศรีอุบล ข้าก็โม้ได้แล้วว่ามีเพื่อนเป็นดารา…” ธงรบหัวเราะด้วยความชอบใจแบบไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่อะไร เมื่อนึกไกลไปถึงภาพความเป็นดาราของเจตน์ในอนาคตที่จะมีแต่ผู้คนรู้จักชื่นชม

“คุณธงรบครับ ช่วยเป็นการเป็นงานให้กระผมนิดหนึ่งครับ” เจตน์ประชดในความขี้เล่นของเพื่อน ที่มองเห็นเป็นเรื่องสนุก

“เอ็งจะคิดมากทำไมวะ เขาก็บอกอยู่ว่าให้เอ็งตัดสินใจ ระหว่างนี้เอ็งก็ยังมีเวลานั่งคิดนอนคิด แล้วตอนนี้อย่าเพิ่งคิด เพราะข้าหิวจะแย่อยู่แล้ว ไปหาไรกินฉลองรางวัลของเอ็ง แล้วกลับบ้านกันเถอะ…”

 

ไม่กี่วันหลังจากนั้นเจตน์ก็ติดต่อกลับไปคุยรายละเอียดกับเทอด พร้อมทั้งตัดสินใจลองเล่นหนังโดยรับบทเป็นพระเอกให้กับเทอด แม้จะประหม่าและตื่นเต้นในช่วงแรกๆ ที่ไม่รู้ว่าจะต้องขยับตัว ต้องเดิน หรือต้องพูดยังไง มือที่มีอยู่แค่ 2 มือแต่เจตน์กลับรู้สึกเหมือนตัวเองมีสัก 10 มือ ที่ไม่รู้จะทำยังไงให้ดูไม่เกะกะ แต่ก็นับว่าเป็นความโชคดี ที่เทอดคอยช่วยเหลือให้คำแนะนำ อีกทั้งยังมีคมเดชชายหน้าหนวดในวัยไล่เลี่ยกันที่มักได้รับแต่บทดาวร้าย คอยสร้างบรรยากาศการทำงานให้เขารู้สึกผ่อนคลายและผ่านความรู้สึกยากๆ ไปได้

และแม้หนังเรื่องแรกของเจตน์จะไม่ประสบความสำเร็จทั้งในแง่รายได้และชื่อเสียง จนทำให้เจตน์รู้สึกแย่ที่ทำให้เทอดผิดหวัง แต่เทอดก็เป็นชายวัยกลางคนที่เข้าใจกลไกของวงการภาพยนตร์ ที่ทุกอย่างมันต้องสร้างและลงทุน หนังหนึ่งเรื่องมันมีองค์ประกอบหลายอย่างไม่ใช่แค่นักแสดง แต่มันยังมีเรื่องของบท การถ่ายทำ การตัดต่อ สิ่งหนึ่งที่เทอดพูดกับเจตน์และเขาจำได้ไม่ลืมก็คือ “อุปสรรคกับความล้มเหลว มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่มีความสำเร็จไหนได้มาโดยไม่มีสิ่งนั้น อย่าเพิ่งท้อหรือถอดใจกับอะไรง่ายๆ”

หลังจากนั้นเทอดก็มีหนังมาให้เขาเล่นอยู่เรื่อยๆ เพื่อพัฒนาฝีมือ และตัวเขาเองก็มีโอกาสได้ไปเล่นหนังให้กับบริษัทภาพยนตร์อื่นๆ นานวันเข้าการแสดงก็กลายเป็นความสนุก ชีวิตที่เคยคิดว่าจะได้สอบเป็นข้าราชการป่าไม้กลายเป็นชีวิตกินนอนในกองถ่ายในอีกหลายปีต่อมา และตอนนี้ผู้ชมก็เริ่มรู้จักเขาในฐานะพระเอกคนหนึ่งของวงการที่ชื่อ ‘เจตน์ เทพเทวา’ แล้วด้วยเช่นกัน

 



Don`t copy text!