พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 5 : ธงรบ-ขวัญชีวา
โดย : เด็กหญิงเจ้าสำราญ
พระเอกในใจตัวร้ายในจอ นวนิยายออนไลน์โดย เด็กหญิงเจ้าสำราญ จาก อ่านเอา เรื่องราวของดาวร้ายตัวพ่อวัย 82 แห่งวงการบันเทิงที่มีครอบครัวแสนอบอุ่น แต่ก้นบึ้งของหัวใจปรารถนาจะได้รับการให้อภัยจากเพื่อนรัก และเขาก็ได้โอกาสแก้ตัวให้กลับไปในปี พ.ศ.2512 แต่เป้าหมายไม่ใช่แค่เรื่องเพื่อนแต่ยังมีหญิงสาวที่เขาต้องคว้าเธอมาแนบใจให้ได้
“เอ็งจะบ้าเหรอวะเจตน์ ไปแนะนำข้ากับพี่เทอดแบบนั้นได้ยังไง” ธงรบร้องเสียงหลงใส่เจตน์ซึ่งกำลังนั่งเอนหลังพิงพนักด้วยความสบายใจอยู่บนเก้าอี้ตรงโต๊ะทำงานฝั่งตรงข้ามเทอดด้วยความไม่สบอารมณ์
“พี่เทอดหาคนอื่นเถอะ” ธงรบหันไปบอกเทอดผู้ซึ่งเป็นทั้งพี่และเจ้านายของเจตน์ซึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะ
“พี่ว่าที่เจตน์เสนอมาก็ไม่เลวนะ” เทอดออกความเห็น
“ไม่ไหวหรอกพี่ เล่นหนังเนี่ยนะ แค่ดูเจตน์กับคมมันเล่นผมก็จั๊กจี้แล้ว” ธงรบตอบเทอดตรงๆ นับตั้งแต่วันที่เจตน์ตกปากรับคำ เล่นหนังให้กับเทอดจนเลือกเอาดีทางด้านการแสดงและเริ่มมีชื่อเสียง 2-3 ปีมานี้ เจตน์ก็ยุ่งอยู่กับการเล่นหนังจนแทบไม่มีเวลา จนเขาต้องหาเวลามาเจอเพื่อนเองด้วยการหาวันหยุดหรือวันว่างไปช่วยเจตน์ขับรถเพื่อให้เพื่อนได้พัก หรือไม่ก็มาดูเจตน์ทำงานในกองถ่ายอยู่บ่อยครั้ง จนสนิทสนมกับเทอดและนักแสดงหลายคนในกองถ่าย โดยเฉพาะคมเดชชายหน้าหนวดที่เคยเจอในงานประกวดเพาะกาย ที่ตอนนี้กลายเป็นมาเป็นเพื่อนสนิทอีกคนของพวกเขาทั้ง 2 และกำลังนั่งเอกเขนกอยู่บนโซฟาใกล้ๆ กันอย่างสบายอารมณ์
“เอ็งได้มาเล่นหนังคู่กับข้าเลยนะธง ข้าคมเดช เมฆพยัคฆ์ เลยนะเว้ย” คมเดชลูบหนวดอวดสรรพคุณชื่อเสียงตัวเอง
“ถือว่าช่วยพี่สักเรื่อง พี่อยากได้ดาวร้ายหน้าใหม่ๆ มาเล่นคู่กับคม” เทอดเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้องขอที่อยากได้แค่คำตอบตกลงจากธงรบ
“เล่นเป็นดาวร้ายง่ายกว่าเป็นพระเอกอีกนะธง ไม่ต้องกั๊ก ไม่ต้องห่วงหล่อทุกมุมแบบเจตน์มัน” คมเดชโน้มน้าวธงรบให้เห็นข้อดีของการเป็นดาวร้ายแบบเขา
“แต่ข้าอยากหล่อ” ธงรบแย้งขึ้น
“อ้าว…นี่เอ็งอยากเล่นเป็นพระเอกเรอะ” คมเดชทำเสียงตกใจ
“ไม่…ข้าอยากหล่อแบบไม่ต้องเป็นอะไรเลย ข้าเป็นช่างของข้าก็ดีอยู่แล้ว ว่างเมื่อไหร่ก็มาหาพวกเอ็ง”
“ลองเล่นดูสักเรื่องไหมธง ก็เล่นด้วยกันกับพวกข้านี่แหละ ถือว่าช่วยพี่เทอดเขาด้วย” เจตน์ช่วยหว่านล้อมธงรบ เพราะเข้าใจถึงความตั้งใจของเทอดที่อยากพิสูจน์ตัวเองให้ครอบครัวได้เห็นด้วยว่าสามารถสร้างบริษัทหนังของตัวเองให้ประสบความสำเร็จได้มากกว่ากลับไปช่วยธุรกิจครอบครัว ที่ตอนนี้ก็มีพี่ๆ คอยช่วยกันดูแลได้อย่างดีโดยไม่จำเป็นต้องมีเขาได้
“พี่ไม่เอาเปรียบใครหรอกนะ ธงก็รู้ ค่าตัวพี่ก็จะให้พอๆ กับคม” คมเดชที่กำลังอ้าปากท้วงทันหันไปเห็นสายตาดุของเทอดจำต้องเรียบเรียงประโยคใหม่
“น่า…ถ้าเป็นคนอื่นนี่ข้าไม่ยอมหรอกนะมาได้ค่าตัวเท่าข้า แต่นี่เป็นเอ็งข้ายอมให้” คมเดชช่วยกล่อมธงรบอีกแรงด้วยภาวะจำยอม
“เรื่องนี้เป็นหนังบู๊ พี่อยากให้คนดูได้เห็นอะไรที่ตื่นเต้น แล้วพวกเอ็งสามคนก็สนิทสนมกันดี น่าจะเข้าขากันได้ไม่อยาก” เทอดบอกความคิดเห็นตัวเอง “ส่วนนางเอกเดี๋ยวพี่จะลองมองๆ หาดู ใจพี่ก็อยากได้นางเอกใหม่ เผื่อมาเป็นคู่ขวัญกับเจตน์ให้พี่ได้ เรื่องต่อไปพี่จะได้ไม่เหนื่อยไปแย่งคิวนางเอกกับนายทุนคนอื่น”
“ลองดูไหมธง ไม่เสียหายอะไร” เจตน์รบเร้าเพื่อนอีกครั้ง
“เดี๋ยวข้าเป็นพี่เลี้ยงให้เอง ไม่ต้องห่วง” คมเดชเสนอตัวพร้อมส่งสายตาอ้อนวอนขอความเห็นใจ ขณะที่ธงรบถอนหายใจแรงอย่างตัดรำคาญ เมื่อเห็นทุกคนพยามยกแม่น้ำทั้ง 5 มาหว่านล้อมเขา ใจหนึ่งก็อยากจะลองดู แต่อีกใจก็ยังเกรงๆ ว่าจะทำได้ไม่ดีอย่างที่ทุกคนตรงหน้าคาดหวัง สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจอีกรอบอย่างตัดสินใจ
“ตกลงครับ…แต่เรื่องหน้าผมขอเป็นพระเอก แล้วให้คมเป็นผู้ร้ายที่โดนผมยิงตายตั้งแต่ต้นเรื่องได้ไหม” ธงรบต่อรองกับเทอดพร้อมหลิ่วตามองคมเดชด้วยอย่างเจ้าเล่ห์ ที่สามารถทำให้ชายตรงหน้าเกิดอาการอ้าปากค้าง และมองเขาด้วยสายตาแค้นเคืองโดยโต้เถียงอะไรกลับไม่ได้ ส่วนเทอดกับเจตน์สบตาส่งยิ้มให้กันด้วยความพอใจ
“กลับมาคราวนี้อยู่ให้แม่ชื่นใจนานๆ หน่อย หนูไม่อยู่แม่ก็เหงา”
“อากงก็เง้า…เหงา” ชายชราผมสีดอกเลาที่ยังดูแข็งแรงกระฉับกระเฉง ซึ่งนั่งเป็นประธานอยู่หัวโต๊ะอาหาร รีบสำทับพร้อมทำสีหน้าเศร้า จนชายที่นั่งเยื้องไปทางด้านขวาต้องขัดขึ้นพร้อมหันไปมองผู้มีศักดิ์เป็นบิดาและภรรยา “ผมเห็นป๊าไปเล่นไพ่นกกระจอกกับเพื่อนแทบทุกวัน ส่วนคุณก็พาเจ้าโมกออกงานแทบทุกอาทิตย์ เอาอะไรมาเหงากัน”
“แบบนี้ขวัญก็น้อยใจแย่นะสิคะ อุตส่าห์คิดถึงอากงกับคุณแม่ทุกวันที่อยู่ที่โน่น แต่คุณแม่กับอากงมีกิจกรรมสนุกๆ ทำทุกวัน ” หญิงสาววัย 20 ใบหน้าสวยเก๋ประดับด้วยรอยยิ้มหวานไปถึงดวงตา แกล้งทำน้ำเสียงเศร้าสร้อยจนผู้ที่มีศักดิ์เป็นปู่และมารดาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามบนโต๊ะอาหารถึงกับต้องแย่งกันรีบแก้ตัว
“โอ๊ย…เอาอะไรมาพูด เพื่อนกับหลานจะเหมือนกันได้ยังไง”
“มันก็งานเพื่อนๆ กันแม่ไม่ไปก็ไม่ได้ จะเสียเพื่อนกันซะเปล่าๆ”
“แหมม…ขวัญล้อเล่นหรอกค่ะ…ดีออกอากงกับคุณแม่มีงานบ่อยๆ จะได้มีอะไรทำไม่เหงา”
“อืมม…พ่อว่าก็น่าจะดีจริงแบบขวัญว่า ดีไม่ดีขวัญคงได้พี่สะใภ้เร็วๆ นี้ใช่ไหมโมก” ชายผู้เป็นบิดาพยักพเยิดขอคำตอบจากชายหนุ่มที่นั่งข้างลูกสาวคนเล็ก
“โธ่…พ่อครับ…” ชายหนุ่มโอดครวญใส่บิดาพร้อมๆ กับเสียงเหวอย่างไม่จริงจังของภรรยาที่สวนขึ้น
“แหม…ฉันก็แค่อยากพาลูกไปเปิดหูเปิดตา เผื่อรักใคร่ชอบพอใครบ้างฉันก็จะได้เบาใจ…ไม่ใช่ก้มหน้าก้มตาทำแต่งาน” หญิงสูงวัยท่าทางเจ้ายศเจ้าอย่างรีบขัดขึ้นอย่างร้อนตัวเมื่อได้ยินผู้เป็นสามีกระเซ้าอย่างรู้ทันความคิดที่จะจับคู่ลูกชายกับหญิงสาวที่ตนคิดว่าเหมาะสม
“แล้วถูกใจใครมั่งหรือยังล่ะ…อากงช่วยหาให้ด้วยเอาไหม” ชายชราหันมาถามหลานชายด้วยความใคร่รู้ ก่อนหัวเราะลั่นเมื่อเห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของหลานชายคนโต พร้อมหันถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของหลานสาวคนเล็กที่เพิ่งกลับมาจากอังกฤษเพราะปิดภาคเรียน
“แล้วเราล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง ปรับตัวได้หรือยัง”
“ถ้าเทียบกับปีแรกๆ ที่ไป ปีนี้สบายมากเลยค่ะอากง มหาวิทยาลัยกับที่พักก็ไม่ไกลกัน โชคดีเพื่อนร่วมห้องขวัญเป็นชาวอังกฤษ ช่วยขวัญได้เยอะเลยค่ะ” หญิงสาวเล่าชีวิตประจำวัน และพูดถึงเพื่อนๆ ของเธอให้ครอบครัวฟังด้วยแววตาสดใส
“ถ้าพี่โมกไปเห็นสาวๆ อังกฤษในมหาวิทยาลัยขวัญ พี่โมกจะต้องตะลึง เพราะแต่ละฤดูนี่แฟชั่นไม่ซ้ำเลย ดูชีวิตชีวามาก แล้วอากง…ป๊า แม่รู้ไหมคะว่าเพื่อนขวัญบางคนกลางวันนี่ก็เรียนเต็มที่ พอตกกลางคืนนี่ก็ปาร์ตี้เต็มที่มาก…” หญิงสาวเล่าด้วยความเพลิดเพลินจนผู้เป็นมารดาต้องรีบขัดจังหวะ
“แล้วหนูเคยไปกับเขาบ้างหรือเปล่า” ผู้เป็นบิดาถามขึ้น
“ขวัญก็เคยตามเพื่อนไปนะคะป๊า แต่ไม่ต้องห่วงเลยค่ะ” หญิงสาวหยุดเว้นจังหวะเพราะเห็นสีหน้าอยากรู้ของทุกคนก่อนเล่าต่อขำๆ อย่างไม่ใส่ใจ “ขวัญไม่ไหวค่ะ เรียนเสร็จไปปาร์ตี้กลับมาเช้า ขวัญนี่แทบลุกไปเรียนไม่ไหว”
“แม่ว่าบางอย่างหนูก็อย่าเที่ยวไปตามความคิดของพวกฝรั่งมังค่าให้มากนัก ปรู๊ดปร๊าด น่าเวียนหัว”
“ขวัญว่าความคิดบางอย่างของฝรั่งก็ดีนะคะคุณแม่” หญิงสาวแย้งขึ้น “ เขามีการวางเป้าหมายที่ชัดเจน ขั้นตอนก็น้อย ไม่พิธีรีตองมากนัก ขวัญว่าเราเอาวิธีคิดแบบนี้มาใช้ในปรับใช้กับโรงเลื่อยของคุณพ่อได้เลยนะคะ” ขวัญชีวาออกความเห็นพร้อมส่งยิ้มให้มารดาและพูดต่อว่า “อีกอย่างนะคะแม่…ฝรั่งมังค่าของคุณแม่นี่หน้าตาดีๆ ทั้งนั้นเลย”
“ต๊าย…เป็นสาวเป็นนาง ทำไมพูดจาก๋ากั่นแบบนั้น รู้งี้แม่ไม่ให้หนูไปเรียนก็ดี” คุณแขไขบ่นอย่างเสียไม่ได้ เธอรู้ดีว่าลูกสาวคนเล็กของเธอเป็นเด็กปราดเปรียว มั่นใจมาแต่ไหนแต่ไร ในวันที่ขวัญชีวาเรียนจบชั้นมัธยมและร้องขอไปเรียนต่อด้านการบริหารที่ประเทศอังกฤษ พร้อมเหตุผลร้อยแปดพันประการเพื่อให้บิดามารดาอนุญาต เธอก็ลังเลอยู่เป็นนานไม่ใช่ไม่อยากให้ลูกได้เรียนต่อสูงๆ หากแต่ด้วยความเป็นห่วงที่ลูกสาวจะต้องไปใช้ชีวิตไกลบ้านเพียงลำพัง ซึ่งอาชาผู้เป็นสามีกลับมองว่าขวัญชีวาโตพอที่จะดูแลตัวเองได้ และไม่มีทางทำเรื่องไม่ดีไม่งามเมื่ออยู่ไกลหูไกลตา ระยะเวลาเรียนก็เพียงแค่ไม่กี่ปี ปิดเทอมลูกก็ยังกลับบ้านมาให้พ่อแม่ชื่นใจ ในฐานะคนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ควรไว้ใจและให้ลูกได้ลองใช้ชีวิตในแบบที่ลูกอยากเป็น แขไขจึงยอมให้ขวัญชีวาไปเรียนต่อทั้งๆ ที่ในใจเต็มไปด้วยความเป็นห่วง กังวล
“แล้วนี่พี่ไม้ไปไหนคะ” ขวัญชีวานึกขึ้นได้เมื่อไม่เห็นพี่ชายคนกลาง
“พี่นึกว่าเราจะคุยจ้อยๆ จนลืมพี่ไม้ไปแล้ว” ชายหนุ่มที่นั่งฟังน้องสาวพูดคุยอยู่เป็นนานแซวขึ้นพร้อมให้คำตอบ “ป๊าให้ไม้ไปช่วยดูไม้สักที่ส่งเข้ามาพักอยู่ที่ปากน้ำโพตั้งแต่เมื่อวานซืนพรุ่งนี้คงจะกลับ…” ป๊าของเขาเติบโตมาจากการช่วยอากงทำมาค้าขายหลายต่อหลายอย่าง ก่อนที่อากงจะค่อยๆ เห็นลู่ทางในการสร้างธุรกิจของตัวเองด้วยการค้าไม้ และเก็บเล็กผสมน้อยจนทุกวันนี้ป๊ามีโรงเลื่อยที่ผลิตและแปรรูปไม้เป็นของตัวเองสำหรับลูกค้าที่ต้องการไม้เพื่อสร้างบ้าน หรือทำเฟอร์นิเจอร์ โดยการสั่งซื้อไม้จากทางภาคเหนือที่ได้รับสัมปทานมาแปรรูปและส่งต่อเข้ามาขายที่หน้าร้านในพระนคร
“เออ….พรุ่งนี้ ป๊ากับแม่จะพาอากงไปงานเปิดภัตตาคารจีนของลูกชายอากงตง ขวัญไปด้วยกันไหมลูก” ผู้เป็นบิดาเอ่ยชวน
“คุณพ่อไม่ได้จะชวนขวัญไปมองหาลูกเขยใช่ไหมคะ”
“ยายขวัญ!” เสียงเอ็ดของผู้เป็นมารดาพร้อมสายตามองค้อนที่ลูกสาวแอบกระทบกระเทียบตัวเอง เรียกเสียงหัวเราะให้กับผู้เป็นปู่ บิดา และพี่ชายที่นั่งร่วมโต๊ะ ก่อนจะรีบอ้อนเอาใจผู้เป็นมารดา
“ขวัญล้อเล่นหรอกค่ะคุณแม่ ขวัญอยากเป็นลูกสาวคุณแม่ไปนานๆ ยังไม่อยากเป็นลูกสะไภ้ใคร เอาเป็นว่าระหว่างนี้ ถ้าคุณแม่ชวนพี่โมกไปงานไหน ขวัญไปเป็นเพื่อนคุณแม่ด้วย จะได้ช่วยเลือกว่าที่ลูกสะใภ้ให้พี่โมกกับพี่ไม้ด้วยดีไหมคะ” หญิงสาวหลิ่วตาให้ชายหนุ่มข้างกาย พร้อมๆ กับโดนมือใหญ่เอื้อมมาหยิกแก้มเล็กๆ จนเจ้าตัวแกล้งร้องโอดโอย ทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารมื้อนั้นอบอวลไปด้วยความสุข
ด้านหน้าภัตตาคารจีนแห่งใหม่ในย่านเยาวราชเวลานี้ เต็มไปด้วยบรรยกาศแห่งความชื่นมื่น โคมแขวนสีแดงห้อยประดับด้านบนที่สื่อถึงความเจริญร่ำรวยลู่เบาๆ ไปตามแรงลม เศษประทัดถูกลมพัดปลิวจนเกลื่อนพื้น ช่อดอกไม้ ขวดสุราชั้นดี และกล่องของขวัญในมือผู้คนที่มาร่วมแสดงความยินดีถูกส่งต่อให้กับผู้เป็นเจ้าของกิจการ พร้อมถ้อยคำชื่นชมให้แก่ชายผู้สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวจากร้านอาหารเล็กๆ จนมีภัตตาคารเป็นของตัวเองได้
“ยินดีด้วยนะเทียน ขอให้กิจการเจริญรุ่งเรืองนะ” นายเล้งผู้เป็นบิดาของอาชาอวยพรชายคราวลูกตรงหน้า ขณะที่อาชายื่นกล่องของขวัญที่เตรียมมาส่งให้
“เก่งมากเลยนะเทียน ป๊าคงภูมิใจน่าดู” อาชากล่าวชื่นชมเทียน ผู้ซึ่งเคยพบเจอเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะวัยไล่เลี่ยกัน อีกทั้งบิดาของทั้งคู่ยังเดินทางหนีความยากลำบากจากเมืองจีน มาตั้งหน้าตั้งตาทำงานเพื่อก่อร่างสร้างตัว มีครอบครัวอยู่บนแผ่นดินไทย จนมีกิจการค้าในแบบที่ตนถนัด โดยที่บิดาของเทียนเลือกที่จะทำธุรกิจโรงสีข้าว ส่วนบิดาของเขาก็ไปได้ดีกับธุรกิจโรงเลื่อย ในวันที่เทียนมีครอบครัวและได้ภรรยาผู้ซึ่งชื่นชอบการทำอาหาร แม้แรกๆ บิดาของเทียนจะไม่เห็นด้วยเพราะอยากให้เทียนมาช่วยดูแลกิจการโรงสีมากกว่า แต่ทั้งคู่ต่างก็ช่วยกันทำมาหากินพิสูจน์ตัวเองด้วยการเริ่มต้นเปิดเป็นร้านเล็กๆ จนกระทั่งมีภัตตาคารเป็นของตัวเองเช่นวันนี้
“ขอบคุณมากเลยครับ…ป๊ากับเพื่อนๆ รออากงอยู่ด้านในแล้วครับ” เจ้าของกิจการเอ่ยบอกบิดาของอาชา พร้อมทั้งหันไปตะโกนเรียกชายอีกคนที่อยู่ยืนคุยอยู่กับพนักงานตรงหน้าเคาน์เตอร์ด้านในทางเข้าร้าน ซึ่งฉลุเป็นฉากกั้นด้วยลวดลายจีนที่อันงดงาม “เทอด…เทอด พี่ฝากพาอากงไปหาป๊าที่โต๊ะด้านในหน่อย” เทียนไหว้วานผู้เป็นน้องชาย
“โอ๊ยๆ…ไม่เป็นไรๆ ฉันไปเองได้ ดูแลแขกกันไปเถอะ เราใช่คนอื่นคนไกล” พูดจบชายสูงวัยก็ปลีกตัวเดินเข้าด้านในโดยไม่สนใจลูกๆ หลานๆ ที่ตามมา
“น้องว่าระยะหลังๆ มานี่ป๊าคุณกะป๊าคุณเทียนนี่ดูสนิทกันเป็นพิเศษนะคะ เดี๋ยวก็ไปหากัน ดูมีลับลมคมในเหมือนวางแผนทำอะไรกันสักอย่าง” คุณแขไขผู้เป็นภรรยาเปรยขึ้นด้วยความสงสัย เมื่อเห็นท่าทีรีบร้อนของชายสูงวัย จนสามีและเทียนผู้เป็นลูกชายของคนที่ถูกอ้างถึงถึงกับหัวเราะออกมา
“คุณก็คิดมาก เขาสองคนเป็นเพื่อนกันมาตั้งนาน” อาชาปรามผู้เป็นภรรยาอย่างเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ
“นั่นสิครับ อีกอย่างอายุปูนนี้แล้วจะมาวางแผนทำอะไรไหว เห็นแต่นัดกันจะไปเล่นไพ่นกกระจอก” เทียนเสริม
“ถ้าไม่มีก็แล้วไปเถอะค่ะ แต่ฉันสังหรณ์ก็ใจยังไงก็ไม่รู้” ผู้เป็นภรรยาตอบกลับอย่างไม่คลายสงสัย
“เฮีย…พี่แขไข สวัสดีครับ” เทอดที่เดินออกมาตามเสียงเรียกของพี่ชายยกมือไหว้ผู้สูงวัยกว่าทั้งสาม
“ป๊าเฮียเขารีบไปไหนครับนั่น ผมนี่ทักแทบไม่ทัน”
“สงสัยจะคิดถึงป๊าเรานั่นแหละ” เทียนหัวเราะตอบน้องชาย
“เป็นไงเทอด ไม่ค่อยเห็นหน้าเห็นตาเลยนะ แล้วนี่ยังเล่นหนังอยู่อีกไหม” อาชาถามขึ้น
“ไม่แล้วครับ ตอนนี้ผมมาเปิดบริษัททำหนังเองได้สองสามปีแล้วครับ…”
“อ้าว…ลืมไปเลย ไม่รู้จะจำกันได้ไหม นี่ลูกสาวคนเล็กของเฮีย เพิ่งกลับมาจากอังกฤษ ขวัญ…จำอาเทียนกับอาเทอดได้ไหม”
“จำได้สิคะ ขวัญนึกว่าป๊ากับอาๆ จะคุยกันจนลืมขวัญแล้วซะอีก” ขวัญชีวาแสร้างงอนจนบิดายิ้มด้วยความเอ็นดู “อาเทียนกับอาเทอดไม่เปลี่ยนเลย ยังหล่อเหมือนเดิม “ หญิงสาวชมพร้อมส่งรอยยิ้มเอาใจ
“แต่อาจำเราแทบไม่ได้เลย…เป็นสาวแล้วสวยขึ้นเยอะ” เทียนชม ขณะที่เทอดมองหญิงสาวร่างเล็กที่แต่งตัวนำสมัยด้วยชุดกระโปรงสั้นเหนือเข่าเข้ารูปสีสันสดใส เรียวปากได้รูปเคลือบไว้ด้วยลิปสติกสีแดง แพขนตาดัดงอนรับกับรอยยิ้มหวานที่ขึ้นไปถึงดวงตา ทำให้ใบหน้าเล็กชวนมีเสน่ห์ชวนมอง จนสะดุดความคิดบางอย่างของเทอด
“ทำไมไม่ชวนโมกกับไม้มาด้วยล่ะครับ” เทียนทักถามเมื่อไม่เห็นลูกชายทั้ง 2 ของอาชา
“พี่โมกไปตรวจโรงงานเฟอร์นิเจอร์ที่จะส่งให้ลูกค้าค่ะ ส่วนพี่ไม้ก็ไปดูไม้ที่นครสวรรค์ให้อากง” ขวัญชีวาช่วยให้คำตอบ “ว่าแต่…แล้วทำไมวันนี้ขวัญยังไม่เห็นอารุ้งเลยล่ะคะ” หญิงสาวถามถึงน้องสาวคนเล็กของเทียนและเทอดที่เป็นลูกหลงของอากงตง และมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับพี่ชายทั้ง 2 ของเธอ
“วันก่อนโรงสีที่นครสวรรค์มีปัญหา ตอนแรกอากงเขาก็ร้อนใจจะไปเอง รุ้งเขาเลยอาสาไปดูให้ เพราะทศก็ติดงานทางนี้” เทียนเอ่ยถึงน้องชายคนรองที่มาช่วยป๊าของเขาดูแลกิจการคู่กับน้องสาว “พี่เองก็ต้องเตรียมเปิดร้านไม่ค่อยรู้เรื่องงานทางนั้นดีเท่ารุ้งกับทศเขา ส่วนเทอดคงพึ่งอะไรไม่ได้ อาว่าเดี๋ยวป๊าคงตัดเทอดออกจากกองมรดกเร็วๆ นี้แล้วละ เพราะมัวแต่วุ่นวายอยู่กับการทำหนัง ใช่ไหมเทอด” ท้ายประโยคเทียนตั้งใจแซวน้องชายตัวเอง แต่ดูเหมือนคำแซวนั้นจะไม่ได้ผ่านเข้าหูเทอด เพราะมันกลายเป็นคำถามในบทสนทนาใหม่ของเทอด
“ขวัญกลับมาอยู่เมืองไทยนานไหม”
“ก็อยู่เป็นเดือนเลยค่ะ เอาให้ป๊ากับแม่หายคิดถึงเลย”
“แล้วนี่กลับมาวางแผนจะทำอะไรบ้างไหม” เทอดถามขึ้นด้วยความอยากรู้ หากแต่ยังไม่ทันที่ขวัญชีวาจะได้ตอบเทียนก็ตัดบทและสั่งน้องชาย
“พี่ว่าอย่ามัวยืนคุยกันอยู่ตรงนี้เลย พาเฮียกับครอบครัวไปนั่งด้านในก่อนเดี๋ยวพี่ตามไป”
“คอยดูนะคะ วันนี้ขวัญจะทานอาหารฝีมืออาเทียนกับอาสะใภ้ให้อิ่มเลย” ขวัญชีวาพูดกับเทอดระหว่างเดินตามหลังบิดามารดาเข้าไปภายในภัตตาคารของเทียน
“เฮียกับคุณแขไข ลองทานขาห่านอบบะหมี่สูตรของป๊าหน่อยนะครับ” เทียนหมุนแผ่นไม้ขนาดใหญ่ที่รองอาหารนานาชนิดบนโต๊ะกลมไปตรงหน้าอาชาและคุณแขไข “ป๊าเข้าครัวถ่ายทอดสูตรให้เมียผมฝึกทำอยู่เป็นนาน” อาชาใช้ตะเกียบคีบบะหมี่และเนื้อขาห่านให้ผู้เป็นภรรยา ก่อนคีบใหม่เพื่อลองชิมรสชาติ
“อืมม…รสชาติไม่เลวเลยนะเทียน บะหมี่ก็นุ่มกำลังดี หอมเครื่องเทศ” อาชายิ้มชมรสชาติให้ภรรยาของเทียนที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วยกัน
“ขวัญก็เหมือนกัน ทานเยอะๆ อยากได้อะไรเพิ่มก็บอกอาได้เลย” เทียนหันไปบอกขวัญชีวา
“สรุปว่ากลับมานี่ขวัญมีแผนที่จะทำอะไรหรือยัง” เทอดที่กำลังใช้ความคิด และนั่งฟังทุกคนคุยกันไปมาอยู่เป็นนานจนแทบไม่ได้แตะอาหารบนโต๊ะขัดจังหวะถามขวัญชีวาขึ้นอีกครั้ง
“ขวัญยังไม่มีแผนอะไรเลยค่ะอาเทอด”
“ไปเล่นหนังให้อาไหม” เทอดโพล่งขึ้นจนทุกคนบนโต๊ะหันมามองเขาเป็นตาเดียวด้วยความรู้สึกตกใจ
“เทอด เกรงใจเฮียกับคุณแขไขเขาหน่อย” เทียนดุน้อง
“ผมพูดจริงนะครับ….เฮียครับ…ขออนุญาตให้หลานมาเล่นหนังให้ผมหน่อยได้ไหมครับ” เทอดเอ่ยกับอาชาด้วยสีหน้าและแววตาที่จริงจัง
“แล้วใครจะมาดูขวัญล่ะคะอาเทอด” ขวัญชีวากล่าวติดตลกอย่างไม่คิดอะไร ขณะที่ผู้เป็นบิดาและมารดาถึงกับแสดงความไม่แน่ใจ โดยเฉพาะมารดาที่มีสีหน้าไม่เห็นด้วย
“พูดเป็นเล่นไปเทอด อย่างยายขวัญนี่นะ เฮียว่าไม่ไหวละมั้ง” อาชาแสดงความรู้สึกไม่เห็นด้วย
“มันจะไม่เหมาะมั้งเทอด หลานยังเด็กอยู่เลย เทอดไม่ลองดูคนอื่นๆ ล่ะ” คุณแขไขท้วงขึ้นต่อจากผู้เป็นสามี
เทอดสบตาคุณอาชาและแขไขเพื่อให้รู้ว่าเขาไม่ได้พูดเล่น “ขออนุญาตให้หลานมาช่วยผมสักเรื่องเถอะครับ ช่วงนี้นางเอกแต่ละคนคิวหนังก็แน่นกันทั้งนั้น ผมจะเปิดกล้องเรื่องใหม่ก็ยังหานางเอกไม่ได้สักที”
“โห…เป็นนางเอกเลยเหรอคะอาเทอด” ขวัญชีวากล่าวด้วยความตกใจ “ขวัญว่า…อาเทอดคิดใหม่ดีไหมคะ”
“นั่นน่ะสิ คิดใหม่ดีไหมเทอด หลานต้องเรียนหนังสือ” ผู้เป็นมารดาช่วยหาเหตุผลมาค้าน เพราะไม่เห็นด้วยที่จะปล่อยลูกสาวคนเดียวไปเต้นกินรำกิน
“ผมขอรบกวนช่วงที่ขวัญปิดเทอมนี่ละครับ รับรองว่าถ่ายทำเสร็จก่อนขวัญกลับไปเรียน” เทอดย้ำด้วยความจริงใจกับอาชาและคุณแขไข “ขวัญมาช่วยอาหน่อยนะ” เทอดส่งสายตาร้องขอ
“เขาเล่นหนังกันยังไง ขวัญยังไม่รู้เลย”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง เดี๋ยวอากับพี่ๆในกองถ่ายจะสอนให้”
“อาเทอดเอาจริงเหรอคะเนี่ย” หญิงสาวเริ่มกังวลเมื่อเห็นท่าทีและสีหน้าเอาจริงเอาจังของเทอด
“จริงสิ…อามีค่าตอบแทนให้ด้วยนะ ขวัญไม่ต้องกลัวว่าอาจะใช้ขวัญฟรีๆ คิดซะระหว่างนี้จะได้มีอะไรทำระหว่างรอเปิดเทอม”
“เรื่องนั้นขวัญไม่กลัวหรอกค่ะ กลัวแต่ว่าขวัญจะทำอาเทอดขายหน้าหรือเปล่า”
“ไม่หรอก หนังของอาเรื่องนี้อาได้นักแสดงใหม่ๆ มาเล่นอยู่สองสามคน คงจะเป็นเพื่อนกันได้” เทอดบอกเพื่อให้ขวัญชีวาสบายใจ ที่เธอจะไม่ใช่นักแสดงหน้าใหม่เพียงคนเดียว
“ป๊ากับแม่ว่าไงคะ” ขวัญชีวาหันไปขอความเห็นจากผู้เป็นบิดาที่นั่งฟังอยู่เป็นนาน ใจหนึ่งเธอก็สนใจและเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าเขาทำหนังกันอย่างไร แต่อีกใจก็เกรงใจผู้เป็นบิดาและมารดา
“แม่ไม่เห็นด้วย” ผู้เป็นมารดาตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด
“ป๊าก็แล้วแต่ขวัญ ถ้าขวัญอยากลองดูป๊าก็ไม่ว่า อีกอย่างเทอดก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลคงจะดูแลขวัญได้” บิดาตอบเหมือนนั่งอยู่ในใจและเห็นคำตอบของลูกสาว
“เรื่องนั้นรับรองเลยครับเฮีย ผมจะดูแลหลานอย่างดี” เทอดรับปาก
“งั้นขวัญตกลงค่ะ” ขวัญชีวายิ้มตอบตกลงกับเทอดอย่างง่ายดาย เธอไม่รู้หรอกว่าชีวิตนักแสดงมันจะเป็นยังไง ต้องทำอะไรบ้าง แต่อย่างน้อยเธอก็แค่รู้สึกว่ามันคงสนุกดี หากระหว่างนี้เธอมีอะไรใหม่ๆ ให้ได้ลองทำ จนมารดาต้องท้วงขึ้นอีกครั้ง
“ยายขวัญ…คิดดีๆ นะลูก พระเอกเป็นใครยังไงก็ไม่รู้ แม่ไม่เห็นด้วยที่เราจะไปทำอะไรแบบนั้น” คุณแขไขพยายามห้ามลูกสาว
“แต่เฮียขอห้ามเทอด…ไม่ให้หลานมาแต่งตัววับๆ แวมๆ หรือมีฉากที่ไม่เหมาะไม่ควรนะ” อาชาวางเงื่อนไข จนคุณแขไขถึงกับร้องออกมาอีกครั้งด้วยความขัดใจที่สามีก็พลอยเห็นดีเห็นงามไปกับลูกสาวเธอ
“เอ๊ะ…คุณพี่…นี่คุณพี่จะยอมให้ลูกเราไปเต้นแร้งเต้นกากับใครที่ไหนก็ไม่รู้เหรอคะ”
“เอ่อ…พระเอกคือเจตน์ เทพเทวา ครับพี่แขไข คนนี้ผมก็ปั้นมาเองกับมือ นิสัยดี เป็นสุภาพบุรุษ ไว้ใจได้ครับ” เทอดแทรกขึ้นพร้อมพูดถึงพระเอกคนที่เขาปั้นมากับมือ ที่วันนี้เริ่มมีชื่อเสียงพอเป็นที่รู้จัก “หากพี่แขไขจะเคยได้ดูหนังของผมอยู่บ้าง ส่วนใหญ่ผมก็มักเลือกเจตน์นี่ละครับมาเป็นพระเอก…”
“เจตน์…เจตน์….” แขไขพยายามนึกถึงพระเอกหลายๆ คนจากหนังของเทอดที่เธอเคยดู
“ล่าสุด…ก็เรื่องนักชกนอกสังเวียน ที่เจตน์เขาเล่นเป็นนักมวยไงครับ” เทอดขยายความ
“ใช่คนที่เล่นเป็นหล่อๆ กล้ามเป็นมัดๆ คนนั้น…ต๊ายยย…พี่ได้ดู เขาเล่นเก่งอยู่นะ พี่ชอบมาก” แขไขบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นปนชื่นชม “ตอนเขาไปง้อนางเอกแล้วนางเอกไม่ให้เข้าบ้านดูแล้วก็สงสาร ต๊ายย…วันไหนแม่ว่าง แม่ขอไปกองกองอะไรนะ กองถ่ายใช่ไหมเทอด” คุณแขไขหันไปถามกับเทอดด้วยอารมณ์ที่เปลี่ยนไปแทบจะเป็นคนละคนกับที่คอยค้านอยู่เมื่อครู่จนผู้เป็นสามีและลูกสาวถึงกับสบตายิ้มขำ ขณะที่เทอดเองเมื่อเห็นว่าหญิงสูงวัยตรงหน้าเริ่มมีใจโอนอ่อน ก็รีบรวบรัดสรุปบทสนทนาก่อนที่คุณแขไขจะเปลี่ยนใจ
“งั้นก็…เป็นอันตกลงว่าเฮียกับพี่แขไขอนุญาตให้หลานมาเล่นหนังกับผมนะครับ….รับรองว่าผมจะดูแลขวัญชีวาอย่างดี” เทอดให้คำมั่นทิ้งท้ายแก่คนทั้งคู่ โดยไม่รู้เลยว่าเรื่องยุ่งๆ ที่จะทำให้ชีวิตทุกคนวุ่นวายกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
- READ พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 15 : วิมานพยัคฆ์
- READ พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 14 : วงล้อแห่งกาลเวลา
- READ พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 13 : อุบัติเหตุ
- READ พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 12 : รอยแผลเป็น
- READ พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 11 : ดาวร้าย
- READ พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 10 : ชาติชาย
- READ พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 9 : แผนการ
- READ พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 8 : กำจร ก้องเกียรติเกรียงไกร
- READ พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 7 : คำสารภาพ
- READ พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 6 : แรกพบ
- READ พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 5 : ธงรบ-ขวัญชีวา
- READ พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 4 : จอมใจไกลปืนเที่ยง
- READ พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 3 : ทางเดินชีวิต
- READ พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 2 : เจตน์ เทพเทวา
- READ พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 1 : ดาวร้ายในดวงใจ