พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 8 : กำจร ก้องเกียรติเกรียงไกร
โดย : เด็กหญิงเจ้าสำราญ
พระเอกในใจตัวร้ายในจอ นวนิยายออนไลน์โดย เด็กหญิงเจ้าสำราญ จาก อ่านเอา เรื่องราวของดาวร้ายตัวพ่อวัย 82 แห่งวงการบันเทิงที่มีครอบครัวแสนอบอุ่น แต่ก้นบึ้งของหัวใจปรารถนาจะได้รับการให้อภัยจากเพื่อนรัก และเขาก็ได้โอกาสแก้ตัวให้กลับไปในปี พ.ศ.2512 แต่เป้าหมายไม่ใช่แค่เรื่องเพื่อนแต่ยังมีหญิงสาวที่เขาต้องคว้าเธอมาแนบใจให้ได้
“คนนั้นใครคะพี่คม” ขวัญชีวาถามถึงชายสูงวัยสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวเต็มไปด้วยลวดลาย ที่ดูคับแน่นไปทั้งตัวเพราะรูปร่างร่างท้วม หากแต่ก็ยังดูตามสมัยนิยมด้วยการจัดปกคอเสื้อให้ตั้งขึ้น สวมทับกางเกงขาบานและรองเท้าหนังที่ขัดจนมันวาว จนให้ความรู้สึกถึงความภูมิฐานในฐานะและการเป็นคนสำคัญ ที่กำลังพูดคุยกับเทอดอยู่ตรงมุมหนึ่งของฉากถ่ายทำภายในโรงถ่ายด้วยความอยากรู้
“อ๋อ…เสี่ยกำจรน่ะ”
“เขาเป็นใครหรือคะ”
“เสี่ยกำจร ก็เป็นเจ้าของบริษัทเกียรติเกรียงไกรภาพยนตร์ไง น้องขวัญไม่เคยได้ยินหรือ” ชาติชาย ชายหนุ่มผิวขาวรูปร่างสูง หน้าตาสะอาดสะอ้านแลดูเนี้ยบตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้า ผู้รับบทเป็นเพื่อนพระเอกของเจตน์ช่วยให้ความกระจ่าง
“เสี่ยเขาเป็นพวกนายทุนมีเงินหนา ชอบทำหนัง หนังของแกหลายเรื่อง ก็ได้พี่เทอดนี่แหละไปช่วยถ่าย ช่วยกำกับให้” คมเดชอธิบาย
“ขวัญนึกว่าพี่เทอดจะทำแต่หนังของตัวเองซะอีก”
“เมื่อก่อนพี่เทอดแกก็เคยช่วยเสี่ยกำจรอยู่พักใหญ่…แต่สองสามปีมานี้พอพี่เทอดแกมาลงทุนทำหนังเอง เสี่ยกำจรแกยังมาขอให้พี่เทอดไปช่วยอยู่เนืองๆ แหละ ใช่ไหมวะคม” ท้ายประโยคชาติชายหันไปขอคำยืนยันจากเพื่อนหน้าหนวดในฐานะผู้รู้มาก และเป็นคนใกล้ชิดกับเทอดมานาน
“เออ…แล้วอีกอย่าง” คมเดชได้ทีถือโอกาสบ่นชายสูงวัยที่เทอดกำลังพูดคุยด้วยทีท่าให้เกียรติอยู่ไม่ไกล “…ขวัญลองดูลักษณะเสี่ยกำจรเขาซะก่อน เสี่ยเขาไม่ใช่คนที่จะมาแบกกล้องถ่ายหนัง ช่วยเขาเซตฉาก ลงมือบอกบท ลงมือกำกับเอง ทำอะไรเองเป็นแบบพี่เทอดเขาหรอก คนมีเงินเขาใช้เงินให้เป็นประโยชน์ทั้งนั้น” คมเดชหัวเราะร่วน
“แล้วหนังของเสี่ยกำจรส่วนใหญ่ก็ทำรายได้ให้แกเยอะด้วยนะน้องขวัญ” ชาติชายเล่าเสริม “ดาราคนไหนที่เล่นหนังให้แกก็พลอยดังไปด้วย เรียกว่าจับอะไรก็เป็นเงินเป็นทอง”
“เออ ข้าเพิ่งอ่านเจอมาว่าเสี่ยแกเพิ่งได้บทประพันธ์ของแก้วระย้ามาด้วยนะ” คมเดชหันไปพูดกับชาติชาย เมื่อนึกขึ้นได้ถึงภาพข่าวในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ สารพัดสี ที่เขาได้อ่านผ่านตาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่มีรูปเสี่ยกำจรกับชายรุ่นราวคราวเดียวกันในวัย 50 ต้นๆ เจ้าของนามปากกา ‘แก้วระย้า’ ผู้ซึ่งมีผลงานนวนิยายหลายต่อหลายเรื่องทั้งที่ตีพิมพ์แบบรวมเล่ม และตีพิมพ์เป็นตอนๆ ในนิตยสารดาวดารา ซึ่งเป็นหนึ่งในนิตยสารชื่อดังแห่งยุค ตกลงยกลิขสิทธิ์นิยายเรื่องหนึ่งให้เสี่ยกำจรได้นำไปทำเป็นหนัง
“งั้น…ไม่แคล้วว่าเสี่ยแกคงมาขอให้พี่เทอดไปช่วยเหมือนอย่างเคยละมั้ง ช่วงนี้ถึงเห็นแกมาหาพี่เทอดบ่อยเหลือเกิน” ชาติชายพยายามคาดเดา
“ว่าแต่วันนี้…มีเพื่อนพี่คนไหนไปกวนใจน้องขวัญให้อารมณ์เสียอีกหรือเปล่า” คมเดชหมายถึงเจตน์และธงรบ ตั้งแต่ทั้งคู่สารภาพว่าชื่นชอบขวัญชีวา เขาในฐานะเพื่อนยังทำตัวไม่ถูก แล้วผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างขวัญชีวาจะเอาแรงที่ไหนไปรับมือกับ 2 หนุ่มนั่น ตัวเขาไม่ค่อยห่วงเจตน์สักเท่าไรนักเพราะเจตน์ก็เหมือนสุภาพบุรุษทั้งในจอและนอกจอ จะมีก็แต่ธงรบเพื่อนจอมหัวร้อนของเขานี่ละ ที่มักจะหงุดหงิดโวยวายจนเสียเรื่องทุกครั้งที่ถูกหญิงสาวมองเมิน พอบอกให้ตัดใจยอมแพ้หลีกทางให้เจตน์ก็ทำท่าเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อเขาเสียร่ำไป
หากแต่ยังไม่ทันที่ขวัญชีวาจะได้ตอบอะไรคมเดช น้ำเสียงไม่พอใจที่ดังมาก่อนตัวอย่างคนที่พร้อมหาเรื่องเอาความของคนที่ถูกพาดพิงก็ผ่าเข้ามากลางวงสนทนา ทำให้คมเดช ชาติชาย และขวัญชีวาถึงกับหันไปมองด้วยความงุนงง
“ไอ้หมอนั่นมันมาทำไมวะ” ธงรบถามพร้อมตวัดสายตาขุ่นไปที่เทอดและเสี่ยกำจรที่อยู่ไม่ไกล
“อะไรของเอ็งวะธง…หมอนั่นที่เอ็งหมายถึงคือใครวะ” ชาติชายถามด้วยความสงสัย
“ก็ไอ้เสี่ยกำจร ไอ้ตัณหากลับนั่นไง” ธงรบโพล่งออกไปอย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อได้เห็นหน้าคนที่ชาตินี้เขาก็ไม่มีวันลืม ชายที่เป็นจุดเริ่มต้นทำให้เรื่องทุกอย่างในชีวิตเขามันยุ่งเหยิง
“เอ็งรู้จักเสี่ยกำจรด้วยเหรอวะ” คมเดชถามอย่างแปลกใจเพราะขนาดขวัญชีวายังเพิ่งเคยเห็น และถามเขาว่าเสี่ยกำจรคือใคร
“ก็…ก็เคยเห็นผ่านๆ ตามหนังสือพิมพ์” ธงรบรีบเฉไฉตอบ “เอ็งก็เหมือนกันชาติ ข้าเตือนเอ็งไว้ก่อนเลยว่าอย่าไปข้องแวะอะไรกับเสี่ยเขา” ธงรบทำเสียงขู่เตือนชาติชายด้วยสีหน้าจริงจัง
“อะไรของเอ็งวะธง ข้าจะไปข้องแวะอะไรกับเขา แค่คุยกันยังไม่เคยเลย ระดับเขาจะมารู้จักดาราตัวเล็กๆ อย่างข้าทำไมก่อนไหมเหอะ…เอ็งนี่ประหลาด” ชาติมองธงรบด้วยสีหน้างงๆ ไม่เข้าใจ
“ไม่เคยคุยก็ยิ่งดี และจะดีมากถ้าเอ็งอยู่ให้ห่างๆ ไอ้เสี่ยนั่นเข้าไว้”
“เอ็งไปกล่าวหาเสี่ยเขาอย่างนั้นได้ยังไงวะธง…ปากเอ็งนี่หาเรื่องไม่เปลี่ยนเลยนะ” คมเดชมองชายร่างท้วมท่าทางเป็นมิตรที่ยังยืนคุยอยู่กับเทอดอย่างออกรส และไม่เห็นว่าจะมีลักษณะเป็นพวกตัณหากลับอย่างที่ธงรบกล่าวว่า “เอ็งรู้ไหม คุณกำจรนี่ได้ชื่อว่ารักเดียวใจเดียวคุณนายปราณียังกับอะไรดี”
“นั่นสิ…แต่ละปีคุณกำจรเขาบริจารเงิน มอบทุนการกุศลให้เด็กๆ ตั้งเท่าไหร่” ชาติพูดตามที่เคยได้เห็นข่าวคราวของเสี่ยกำจรตามหน้าหนังสือพิมพ์
“เชอะ…สร้างภาพ” ธงรบเบ้หน้า
“ไอ้ธง ข้าว่าเอ็งระวังปากเอ็งไว้บ้างก็ดี ใครมาได้ยินเขามันจะไม่ดี” คมเดชเตือนเพื่อนด้วยความหวังดี
“ดูท่า…คุณธงนี่คงเป็นพวกชอบตัดสินคนแต่ภายนอกจริงๆ เลยนะคะ” ขวัญชีวาที่นิ่งฟังอยู่นานออกความเห็นกึ่งประชด พร้อมมองเขาอย่างไม่หลบสายตา จนธงรบต้องเบือนหน้าหนีอย่างคนที่เคยมีชนักติดหลัง และจำต้องเก็บความขุ่นเคืองไว้ในใจ เพราะไม่สามารถเล่าหรืออธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นให้ใครฟังได้ เพราะเหตุการณ์เหล่านั้นยังมาไม่ถึง และต่อให้มันจะมาถึงเขานี่แหละที่จะขัดขวางสุดชีวิตอย่างที่เคยทำมาแล้วเหมือนในอดีต
“ฉากต่อไปจะเป็นฉากที่ผู้ร้ายรู้ว่าพระเอกและเพื่อนแฝงตัวมาอยู่ในกลุ่ม เพื่อสืบเรื่องอาวุธเถื่อนและยาเสพติด แต่เพื่อนพระเอกดันพลาดโดนผู้ร้ายจับได้ เลยถูกจับมาขังไว้ในบ้านหลังนี้ พระเอกที่ตามมาช่วยก็จะซ่อนตัวอยู่ตรงพุ่มไม้มุมโน้น แล้วส่งสัญญาณให้ลูกน้องที่ซุ่มอยู่รอบๆ รมควันตัวร้ายที่เฝ้าอยู่หน้ากระท่อมจนสลบ เพื่อขึ้นไปช่วยเพื่อนที่ถูกมัดติดกับขื่ออยู่ในกระท่อม…” เทอดเล่าเหตุการณ์ที่ตัวละครแต่ละตัวต้องเจอให้ฟัง
“เพราะฉะนั้น…ฉากนี้พี่จะให้เจตน์ไปอยู่พุ่มไม้ตรงนั้นก่อน…” เทอดอธิบายพร้อมชี้ไปยังพุ่มไม้ใหญ่ใกล้ๆ กัน “…แล้วพอควันจาง เจ้าเอกกับเจ้าก้านที่มันเฝ้าอยู่หน้ากระท่อมล้มลง เจตน์ก็ออกจากพุ่มไม้เดินแบบระแวดระวังขึ้นบันไดเข้ากระท่อมไปช่วยชาติที่ถูกมัดอยู่ด้านใน…แล้วพอเจตน์มันแก้มัดช่วยชาติมันเสร็จ จังหวะนี้เดี๋ยวข้าจะให้คิวเอ็งเดินสวนขึ้นกระท่อมไป ชาติก็เปิดประตูออกมา เอ็งก็ต้องโวยวาย…” เทอดบอกบทคมเดชและชาติ “แล้วข้าจะให้ชาติมันถีบเอ็ง เอ็งก็เซๆ หน่อย แล้วหงายหลังลงบันไดมา เอ็งเล่นไหวไหมคม เพราะฉากนี้พี่จะตั้งกล้องถ่ายเป็นภาพกว้างจะได้เห็นตอนเอ็งโดนถีบลงมา…”
“สบายมากพี่เทอด ฉากบู๊หมูๆ แค่นี้ไม่เกินมือคมเดช…ยังไงเอ็งก็ยั้งๆ ตีนหน่อยนะชาติ ไม่ต้องมาโดนจริงๆ แบบที่ไอ้ธงมันชอบทำ…” คมเดชหลิ่วตาให้เพื่อน ก่อนฟังเทอดอธิบายซักซ้อมความเข้าใจต่อ
“ส่วนธง พอเอ็งจอดรถแล้วเห็นพวกนี้มันสู้กันอยู่ เอ็งก็ยิงปืนขึ้นฟ้า แล้ววิ่งเข้ามาหลบตรงกองไม้มาทางด้านนี้เพื่อยิงสู้กับเจตน์ พอกระสุนหมดแล้วค่อยออกมาสู้กันแบบตัวต่อตัว เดี๋ยวเราซ้อมจังหวะเตะต่อยรับหมัดกันอีกที…” เทอดหันไปอธิบายฉากต่างๆ ที่จะถ่ายทำให้ธงรบ เจตน์ ชาติ และคมเดช รวมทั้งนักแสดงประกอบได้ซักซ้อมทำความเข้าใจตำแหน่งของตัวเองเมื่ออยู่หน้ากล้อง ซึ่งเมื่อถึงเวลาถ่ายทำจริงในแต่ละฉากนักแสดงแต่ละคนก็เล่นได้สมบทบาทโดยไม่ทำให้เขาผิดหวัง
“เยี่ยมมาก” เทอดยกนิ้วโป้งชื่นชมให้นักแสดงทุกคน พร้อมส่งกล้อง 16 มม.ในมือให้ผู้ช่วย “เดี๋ยวต่อไปพี่จะถ่ายเจาะเป็นภาพแคบจะได้เห็นสีหน้าของพระเอกและตัวร้ายตอนสู้กัน ตอนนี้ไปพักกันก่อน”
“พี่เทอด…พี่เทอด เสี่ยกำจรแกมารอพี่อยู่สักพักแล้ว” นักแสดงประกอบคนหนึ่งในกองถ่ายเดินมาบอกเทอดเมื่อเห็นว่าการถ่ายทำฉากต่างๆ เสร็จสิ้นลง
“อ้าว…แกนัดพี่ไว้บ่าย ทำไมมาเร็ว” เทอดก้มลงมองดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือของตัวเอง ที่เพิ่งบอกว่าเพิ่งบอกเวลาเที่ยง
“ผมก็จะตามพี่แล้ว แต่แกบอกไม่เป็นไร ผมก็เลยให้แกไปรอตรงศาลาริมน้ำ”
“ขอบใจมาก เดี๋ยวพี่เดินไปหาแกเอง”
“ทำไมพักนี้เสี่ยกำจรมาหาพี่บ่อยนักพี่เทอด แกจะมาชวนพี่ไปถ่ายหนังให้อีกเหรอ” คมเดชหันไปถามเทอดด้วยความอยากรู้ ระหว่างเดินไปยังกลุ่มต้นไม้ใหญ่หลายต้นที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ที่ถูกทำเป็นเพิงพักง่ายๆ สำหรับนักแสดงเมื่อต้องออกมาถ่ายทำนอกสถานที่ เพราะระยะหลังๆ มานี้เขามักเห็นเสี่ยกำจรในกองถ่ายบ่อยๆ ตั้งแต่ตามไปหาเทอดถึงในโรงถ่าย ขนาดวันนี้พวกเขาออกมาถ่ายทำกันนอกสถานที่เสี่ยกำจรยังขับรถมาหา
“ช่วงนี้แกว่างๆ ระหว่างรอหนังเรื่องใหม่เปิดกล้องก็เลยแวะมา” เทอดตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“ไม่ใช่เขาจะมาชวนพี่ไปช่วยถ่ายหนังให้เหรอ ฝีมือระดับพี่เทอดใครๆ ก็อยากได้ตัว” คมเดชแซวคนที่ได้ชื่อว่าเป็นทั้งเจ้านายและนับถือเป็นพี่ชายที่สนิทสนมคนหนึ่งในวงการ
“ถ้าเขามาชวนข้าแล้วเอ็งจะทำไมวะคม”
“ก็ไม่ทำไม…คมก็จะขอตามไปเล่นหนังที่พี่เทอดเป็นผู้กำกับด้วยไง พี่จะทิ้งดาวร้ายดวงน้อยๆ อย่างคมได้ลงคอเชียวหรือ” คมเดชทำเสียงออดอ้อนส่งสายตาเว้าวอนจนน่าหมั่นไส้
“เอ็งไปไกลๆ ตีนข้าเลยไอ้คม” เทอดดุอย่างไม่จริงจัง ก่อนจะเงื้อเท้าขึ้นจนคมเดชต้องรีบเผ่นไปอย่างไว
“อ้าว…ลืมไปเลย มัวแต่ต่อล้อต่อเถียงกับไอ้คม…” เทอดเหลียวหน้ามองหลัง เห็นชาติเดินอยู่ไม่ไกลจึงตะโกนเรียกพร้อมสาวเท้าเข้าไปหา “ชาติ…ชาติ…พี่กวนหน่อย ให้ใครช่วยหาน้ำชา ยกขนมไปให้เสี่ยกำจรที่ศาลาริมน้ำหน่อยนะ”
“ได้เลยครับพี่”
“ทำไมไม่บอกไม่กล่าวว่าจะมาล่ะครับ” เทอดถามผู้สูงวัยกว่า พร้อมยกมือไหว้สวัสดี
“ก็อยากมาดู” เสี่ยกำจรตอบแบบสบายๆ
“เสี่ยมาบ่อยจนเด็กๆ ผมเริ่มสงสัยแล้วว่าเสี่ยมาทำไม” เทอดหัวเราะ เพราะหนึ่งในคนที่สงสัยก็เห็นจะมีแต่คมเดช
“ว่าแต่เสี่ยนี่เก่งนะครับ ไปเจรจายังไงถึงบทประพันธ์ของคุณแก้วระย้ามาได้” เทอดนึกถึงนักประพันธ์ชื่อดังที่ถูกนำบทประพันธ์มาทำเป็นหนังแล้วหลายต่อหลายเรื่อง ซึ่งเกือบทุกเรื่องก็ประสบความสำเร็จสร้างรายได้ให้นายทุนอย่างงดงาม และบทประพันธ์เรื่องวิมานพยัคฆ์ที่เสี่ยกำจรได้มา ก็เคยตีพิมพ์เป็นตอนๆ ลงในนิตยสารชื่อดังที่มีผู้อ่านติดตามอย่างเหนียวแน่นแทบทุกสัปดาห์ แถมเมื่อถูกนำมารวบเล่มตีพิมพ์ก็ถูกอกถูกใจนักอ่านจนขายดิบขายดี ซึ่งก็น่าจะรับประกันได้ว่าอย่างน้อยก็มีแฟนหนังสือรอชมภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วจำนวนไม่น้อย
“ก็ต้องขอบคุณคุณปราณีภรรยาผมนั่นแหละ ผมอ่านนิยมนิยายอะไรกับเขาที่ไหนกัน” เสี่ยกำจรเอ่ยถึงภรรยาผู้ชื่นชอบการอ่านหนังสือ และแนะนำให้เขาลองติดต่อกับเจ้าของบทประพันธ์เพื่อนำมาทำหนัง
“ปกติผมก็ไม่เคยเอาบทประพันธ์มาทำหนัง ตอนไปคุยกับคุณแก้วระย้า โชคดีที่คุณปราณีเขาขอไปด้วย รายนั้นแฟนหนังสือเลย ทำไปทำมาคุยกันถูกคอเสียนี่ ทุกอย่างก็ง่ายขึ้นเยอะเลย…”
“กลายเป็นว่าตอนนี้…ทุกคนเลยจับตามองว่าเสี่ยจะเอาใครมารับบทพระเอก-นางเอก…แล้วนี่ตัดสินใจได้หรือยังครับว่าจะเลือกใคร”
“บอกตรงๆ เลยนะเทอด ผมก็สนใจเด็กปั้นคุณอยู่สองสามคน ดูท่าทางหน้าตา หน่วยก้านใช้ได้ทีเดียว” เสี่ยกำจรสารภาพ
“คนไหนครับ” เทอดทำเสียงประหลาดใจ
“ก็เจตน์พระเอกของคุณไง แล้วก็…คนที่มาเล่นเป็นดาวร้ายหน้าใหม่คนนั้นชื่ออะไรนะ”
“ธงรบเหรอครับ”
“ใช่ๆ ธงรบ…แล้วก็ชาติชายอีกคน” เสี่ยกำจรไล่เรียงชื่อที่อยู่ในใจให้คนที่อ่อนวัยกว่าฟัง
เสียงพูดชื่อของตัวเอง และเสียงคุยที่ไม่เบานักระหว่างเสี่ยกำจรและเทอด ทำให้ชาติชายที่กำลังเดินเอาน้ำชาและขนมมาเสิร์ฟให้เสี่ยกำจรตามคำขอของเทอดถึงกับชะงักเท้าที่จะก้าวเดิน และหยุดฟังสิ่งที่ทั้งคู่พูดคุยกันอยู่ตรงมุมพุ่มไม้ใหญ่ก่อนเลี้ยวไปยังบริเวณศาลาพัก
“ผมว่า…ผมจะเลือกหนึ่งในสามคนนี้แหละมาเป็นพระเอกหนังเรื่องวิมานพยัคฆ์ของผม” เสี่ยกำจรยิ้มอย่างอารมณ์ดี ถึงเขาจะไม่เก่งเรื่องการกำกับ การออกไปถือกล้องถ่ายทำ แต่เขาก็มีเซนส์ในเรื่องของการเลือกนักแสดงที่ผู้คนในวงการยอมรับ ว่าสามารถปั้นดินให้เป็นดาวได้
“ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะครับ เด็กๆ คงจะยินดี ที่ได้เป็นพระเอกหนังให้เสี่ย” เทอดแสดงความคิดเห็น
“แต่…มันก็มีปัญหาอยู่นิดหน่อย ตรงที่ตอนนี้ผมตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกบุคลิกที่ดูแมนๆ อบอุ่นๆ แบบเจตน์ หรือเอาพระเอกแบบดูร้ายนิดๆ เจ้าเล่ห์ๆ หน่อยๆ แบบธงรบ หรือจะเป็นพระเอกที่ดูเป็นคุณชายหล่อๆ แต่บู๊ได้อย่างชาติชายดีนี่สิ… ” เสี่ยกำจรสาธยายถึงบุคลิกของนักแสดงทั้ง 3
“ไม่เห็นยากเลยนี่ครับ” เทอดยิ้มขำเมื่อเห็นอาการแบบรักพี่เสียดายน้องของเสี่ยกำจร “ในบทประพันธ์ของคุณแก้วระย้าเขาเป็นอย่างไร เราก็เลือกให้ตรงตามนั้นสิครับ”
“ก็ในเรื่องพระเอกเป็นลูกหม่อมเจ้าที่มีแม่เป็นสามัญชนคนธรรมดา แต่ต้องโดนกลั่นแกล้งสารพัดจากครอบครัวฝั่งพ่อที่ไม่ยอมรับ จนต้องพาลูกหนีกลับไปอยู่บ้านนอก พระเอกเลยโตมาในดงเสือดงโจรกับลุงของตัวเอง วันดีคืนดีก็มีคนในวังไปตามกลับมาให้แต่งงานแบบคลุมถุงชนกับลูกสาวของหม่อมเจ้าคนหนึ่งที่ย่าทวดของสองตระกูลเคยรับปากไว้ว่าจะต้องดองกันให้ได้ ฝั่งโน้นแทนที่จะส่งลูกสาวตัวเองมาแต่งงาน ก็ส่งลูกนอกสมรสมาสวมรอยแต่งกับลูกชายบ้านนี้ เพราะรู้ว่าบ้านผู้ชายกำลังจะหมดตัว แล้วลูกชายแท้ๆ ที่เกิดจากเมียใหม่ของบ้านนี้ ดันเป็นคนไม่เอาไหนมีเมียไปทั่วทั้งพระนครและไม่อยากถูกจับคลุมถุงชน คนเป็นพ่อแม่เอาลูกไม่อยู่ก็เลยต้องหาวางแผนหาวิธีให้พระเอกไปแต่งแทน เพราะหวังจะได้สมบัติของบ้านนางเอก พระเอกที่อยากมาแก้แค้นคนที่ทำกับแม่เขาไว้ก็เลยรับปากเข้าวังมาแต่งงานด้วย…แล้วหลังจากนั้นเรื่องมันก็อลหม่านไปหมดทั้งบทรัก ทั้งบทบู๊ระหว่างพระเอกกับนางเอก” เสี่ยกำจรเล่าเรื่องคร่าวๆ ให้เทอดฟัง
“ผมว่า พระเอกนอกจากหล่อแล้วมันต้องดูขึงขัง จริงจัง ดูเจ้าเล่ห์ และบู๊ได้อย่างออกรสในคนคนเดียว คุณว่าผมควรจะเลือกใครมาเป็นพระเอกดี เทอด…เจตน์ ธงรบ หรือว่าชาติ” เสี่ยกำจรพยายามขอความเห็นให้เทอดช่วยเขาตัดสินใจอีกครั้ง
ถัดไปไม่ไกลชาติเองก็นิ่งรอฟังคำตอบของเทอดด้วยใจลุ้นระทึก 2-3 ปีที่ผ่านมาเขามักได้รับบทเป็นเพื่อนพระเอก บ่อยครั้งที่เขารู้สึกเป็นเหมือนตัวสำรอง เวลาไปไหนมาไหนในที่สาธารณะ ผู้คนก็เพียงแค่คลับคล้ายคลับคลาหน้าตาแต่ไม่ได้รู้จักชื่อ เขาอยากเป็นพระเอกที่ทุกคนรู้จักและพูดถึง ได้มีรูปภาพขนาดใหญ่บนแผ่นป้ายปิดหนัง บนนิตยสาร บนปฏิทิน หรือมีภาพถ่ายที่ผู้คนติดไว้ตามบ้าน ตามห้างร้าน หากเขาได้รับเลือกให้เป็นพระเอกในหนังใหม่ของเสี่ยกำจร ความฝันที่จะเป็นพระเอกดัง มีชื่อเสียงคงไม่ไกลเกินเอื้อม
สีหน้าเคร่งเครียดของชายตรงหน้าทำเอาเทอดถึงกับหัวเราะร่วน “…เรื่องแบบนี้ผมเลือกให้เสี่ยไม่ได้หรอกครับ เสี่ยต้องเลือกเอง…” เทอดเลือกที่จะโยนคำถามนั้นกลับไปให้เสี่ยกำจร
“ถ้าเช่นนั้น…ผมคงต้องมาดูฝีมือเด็กๆ ของคุณในกองถ่ายอีกบ่อยๆ แล้วกระมั้ง”
“ตามสบายเลยครับเสี่ย กองถ่ายเล็กๆ ของผมยินดีต้อนรับเสี่ยเสมอ” เทอดยิ้มรับในสีหน้า ก่อนหันไปเห็นชาติที่กำลังเดินถือถาดปั้นชาและขนมเข้ามาให้
“อ้าว…ชาติ…มาๆ พี่กำลังรออยู่เลย…” ชาติยิ้มให้เทอดและค้อมตัวก้มหัวเบาๆ เพื่อแสดงความเคารพให้เสี่ยกำจร จากนั้นจึงวางถาดชาและขนมลงบนโต๊ะ
“เออ…นี่เสี่ยกำจร ชาติคงพอรู้จักมาบ้าง ช่วงนี้เสี่ยกำจรเขาว่างๆ คงมาดูพวกเราถ่ายหนังกันบ่อยหน่อยนะ” เทอดยกมือไหว้เสี่ยกำจรอีกครั้ง
“ส่วนนี่ชาติชายครับเสี่ย มารับบทเป็นพระรองให้ผมในเรื่องนี้” เทอดแนะนำทั้งคู่ให้ได้รู้จักกันอย่างเป็นทางการ
“เออ…เดี๋ยวพี่ฝากบอกทุกคนด้วย อีกไม่เกินสิบนาทีเดี๋ยวพี่ตามไปถ่ายต่อ” ชาติพยักหน้ารับพร้อมยกมือไหว้ลาเสี่ยกำจรก่อนเดินจากไป
“สายตาคุณในการเลือกนักแสดงนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ” เสี่ยกำจรเอ่ยชมทันทีที่ชาติเดินลับหลังไป “แต่ละคนพอได้เห็นใกล้ๆ นี่หน้าตาหน่วยก้านไม่เลวเลย…ผมนี่คิดถูกจริงๆ ที่มาหาคุณ” เสี่ยกำจรหัวเราะด้วยความชอบใจ
“ดื่มชาก่อนครับเสี่ย…”
เสี่ยกำจรเทน้ำชาจากป้านชาลงในแก้วของตน ก่อนพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ดูเคร่งเครียดขึ้น “แต่มีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมคงต้องขอให้คุณช่วย”
“เรื่องอะไรครับ”
“เรื่องขวัญชีวา ผมอยากเธอมาเป็นนางเอกเรื่องนี้ด้วย คุณช่วยทาบทามเธอ แล้วช่วยขอเสี่ยอาชาพ่อเขา ให้มาเล่นหนังให้ผมอีกสักเรื่องได้ไหม เพราะไหนๆ เรื่องนี้ผมก็ให้คุณมาช่วยกำกับอยู่แล้ว”
“เอ่อ…เรื่องนี้ บอกตรงๆ ผมก็ไม่กล้ารับปากเสี่ย….ผมคงต้องลองดูก่อน” เทอดตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ เพราะเสี่ยอาชาเองก็ขึ้นชื่อเรื่องหวงลูกสาว เรื่องนี้ยังเล่นให้เขาไม่จบ จะให้ไปขอลูกสาวเขามาเล่นหนังให้อีกเรื่องเขาเองก็ลำบากใจ แต่ชายตรงหน้าก็มีบุญคุณกับเขาไม่น้อย เมื่อก่อนตอนเขายังเป็นนักแสดงทั่วๆ ไป และอยากลองเป็นผู้กำกับ เสี่ยกำจรก็ให้โอกาสเขาได้กำกับ วันที่เขาอยากเปิดบริษัททำหนังเอง เสี่ยกำจรก็คอยช่วยเหลือในหลายๆ ด้านที่เขาติดขัด
“ผมไม่รู้ว่าขวัญจะมีเวลาเหลือพอหรือเปล่า เพราะเธอก็ต้องกลับไปเรียนต่อให้จบ ยังไงผมจะลองเลียบๆ เคียงๆ ถามพ่อเขาให้ เสี่ยก็เล็งๆ คนอื่นเผื่อไว้ด้วยนะครับ”
“ยังไงก็ฝากด้วยนะเทอด…เทอดคงไม่ทำให้เสี่ยผิดหวัง”
ฝั่งชาติชายเมื่อเดินจากมา บทสนทนาระหว่างเทอดกับเสี่ยกำจรยังคงก้องอยู่ในหัว ถ้าเทอดผลักการตัดสินใจในการเลือกพระเอกให้เสี่ยกำจร เสี่ยกำจรถึงกับเอ่ยปากบอกว่าจะแวะเวียนมากองถ่ายของพวกเขาบ่อยขึ้นมันก็ต้องไม่ใช่แค่การมาพูดคุย แต่มันต้องเป็นการมาดูฝีมือการแสดงของพวกเขาเพื่อตัดสินใจ แล้วในบรรดาคนที่เสี่ยกำจรหมายตาและเอ่ยชื่อมา เจตน์ดูเป็นต่อที่สุด เพราะเป็นพระเอกอยู่แล้ว ส่วนธงรบนั้นเพิ่งเล่นหนังเรื่องแรกแถมเป็นดาวร้าย เทียบกับเขาซึ่งเป็นพระรอง ธงรบดูไม่ใช่คู่แข่งน่ากลัว เพราะฉะนั้นคนที่ดูจะได้เปรียบเขาทุกทางก็หนีไม่พ้นเจตน์ แล้วถ้าเขาอยากได้รับการรับเลือกให้เป็นพระเอกในหนังใหม่ของเสี่ยกำจร เขาก็ต้องทำให้เจตน์ไม่อยู่ในตัวเลือกนั้น แต่จะขวางไม่ให้เจตน์ได้เจอกับเสี่ยกำจรก็คงยาก เขาต้องใช้วิธีไหนดีที่จะกันเจตน์ออกไปจากการเป็นตัวเลือก เพื่อให้แน่ใจว่าบทพระเอกในหนังเรื่องใหม่ของเสี่ยกำจรจะตกเป็นของเขา
“ชาติ…ชาติ…” เสียงตะโกนเรียกของธงรบหยุดความคิดของชาติให้หันไปตามเสียง
“มีธุระอะไรกับข้ารึธง”
“ไม่มีหรอก…คนอื่นเขากินข้าวกลางวันกันจะหมดแล้วนะ…เอ็งหายไปไหนมานี่”
“ข้ายังไม่ค่อยหิว แล้วนี่เอ็งหอบยาจะไปไหน” ชาติมองสารพัดยาในมือธงรบ
“น้องเลขาเขาไม่ค่อยสบาย เห็นว่าเป็นลมล้มไป ไอ้คมก็รีบวิ่งหางจุกตูดไปดู ข้าก็ไม่รู้ว่าเขาไม่สบายตรงไหนยังไง” ธงรบมองยาในมือตัวเอง “ก็เลยคว้ามาทั้งหมด…ถ้าอาการไม่ค่อยดี วันนี้น้องขวัญเขาคงไม่ได้ถ่ายต่อ” ธงรบบอกด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่เป็นกังวล
“เอ็งก็รีบไปกินข้าวซะล่ะ ข้าไปดูน้องขวัญเขาก่อน” พูดจบธงรบก็รีบเดินจากไป ส่วนชาติมองตามหลังธงรบไปพร้อมกับขบคิดถึงสิ่งที่ธงรบพูด จริงสิถ้าเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาก็ถ่ายหนังไม่ได้ ทำไมเขาไม่ทันคิดเรื่องนี้นะ แล้วถ้าเขาทำให้เจตน์ถ่ายหนังไม่ได้ โอกาสก็อาจเป็นของเขา แต่จะต้องทำให้เจตน์เจ็บไข้ได้ป่วยแบบไหนดีล่ะ
- READ พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 12 : รอยแผลเป็น
- READ พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 11 : ดาวร้าย
- READ พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 10 : ชาติชาย
- READ พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 9 : แผนการ
- READ พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 8 : กำจร ก้องเกียรติเกรียงไกร
- READ พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 7 : คำสารภาพ
- READ พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 6 : แรกพบ
- READ พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 5 : ธงรบ-ขวัญชีวา
- READ พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 4 : จอมใจไกลปืนเที่ยง
- READ พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 3 : ทางเดินชีวิต
- READ พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 2 : เจตน์ เทพเทวา
- READ พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 1 : ดาวร้ายในดวงใจ