ปลายฟ้า สาวสวยสามวิญญาณ บทที่ 2 : ผู้ชายสองคน
โดย : จิดานันท์ เหลืองเพียรสมุท
ปลายฟ้า สาวสวยสามวิญญาณ โดย จิดานันท์ เหลืองเพียรสมุท หนึ่งในผลงานจากโครงการช่องวันอ่านเอา กับเรื่องของ ปลายฟ้า หญิงสาวที่เกิดมาพร้อมกับวิญญาณสามดวงในร่างเดียว เธอและพี่น้องผลัดกันใช้ร่างกายเดียว แล้วทุกสิ่งก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป เมื่อดวงวิญญาณดวงหนึ่งเกิดหายสาบสูญ นิยายออนไลน์ที่อ่านเอา อยากให้คุณได้อ่านออนไลน์
เสียงดนตรีเปิดดังสนั่น เหล่าหญิงชายในชุดทันสมัยวาดลวดลายเต้นกันอยู่กลางร้าน แสงไฟหลากสีสาดไปมาเพิ่มความเร้าใจให้จังหวะเพลง เปลวรุ้งในชุดสายเดี่ยวสีดำและกางเกงยีนส์รัดรูปนั่งอยู่ที่โต๊ะ ในมือถือแก้วเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อีกมือสไลด์โทรศัพท์ในเคสสีเขียวลายเกล็ดงู ในบรรดาสามคนพี่น้อง ปลายฟ้าคือนางพญาผู้ออกคำสั่งกับทุกๆ คน ประกายจันทร์คือนางซินก้นครัวที่คอยแต่จะทำงานตามสั่งอย่างเจียมตน ส่วนเปลวรุ้งคือคนที่มีชีวิตของตัวเองและโลกของตัวเองแยกออกมาชัดเจนมากที่สุด
โลกใบที่เป็นของเธอก็คือโลกยามที่หญิงสาวออกมาท่องราตรีแบบนี้ โลกที่พี่สาวและน้องสาวล้วนไม่มีใครเข้าถึง สถานที่อันเป็นส่วนตัวของเปลวรุ้ง ที่ซึ่งเธอจะได้เป็นตัวเองอย่างมากที่สุด
“รุ้ง” ชายหนุ่มแต่งตัวเนี้ยบที่นั่งอยู่ข้างเธอสะกิดแขนเธอยิกๆ
“อะไรเล่าเคนทร์”
เคนทร์คือเพื่อนเกย์ที่เธอไปเที่ยวด้วยเสมอ เขาไม่ได้รู้จักเธอในชื่อปลายฟ้า แต่รู้จักเธอในฐานะเปลวรุ้ง เขาจึงเรียกเธอว่ารุ้ง ไม่ใช่ฟ้า เปลวรุ้งพอใจให้ทุกคนในโลกยามราตรีแห่งนี้เรียกเธอด้วยชื่อจริงของเธอเอง ไม่ใช่ชื่อปลอมๆ ที่เป็นของพี่สาว
“เอาแต่เล่นโทรศัพท์อยู่ได้ ผู้ชายโต๊ะนู้นเขามองแกหลายครั้งแล้วนะ หันไปยิ้มให้เขาหน่อย”
เปลวรุ้งละสายตาจากหน้าจออินสตาแกรมของเด่นภูมิแล้วหันไปยกแก้วให้หนุ่มโต๊ะข้างๆ ชายหนุ่มยิ้มตอบหวานหยดย้อย ท่าทางจะหลงเสน่ห์เธอเข้าแล้วแน่ๆ
ชายหนุ่มคนนั้นเดินนวยนาดเข้ามาขอชนแก้ว เธอจึงลุกขึ้นชนแก้วกับเขาแล้วยิ้มหวานหยาดเยิ้มกลับไป ทั้งสองเต้นตามจังหวะเพลงนิดหน่อย เขายืนเต้นข้างโต๊ะเธอ มือโอบเอวบางพลางกระซิบเบาๆ
“สนใจไปต่อกับผมไหมครับ”
เจตนาชัดเจน แต่คำตอบของเธอก็ชัดแจ้ง
“ไม่ค่ะ วันนี้อยากดื่มเฉยๆ” หญิงสาวตอบโดยไม่ยี่หระว่าอีกฝ่ายจะหน้าเสีย
เปลวรุ้งรู้ดีว่าตัวเองเป็นคนสวย ถ้าอยากจะหาแฟนหรือคู่ควงข้ามคืน เธอสามารถหาได้ไม่ยาก แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังไม่เคยหลับนอนกับชายหน้าไหน เพราะยังเกรงใจว่าต้องใช้ร่างร่วมกับหญิงสาวอีกสองคนคือพี่และน้องแท้ๆ ของตัวเอง
ชายหนุ่มคนนั้นเดินกลับไปอย่างผิดหวัง ฝ่ายเคนทร์ เพื่อนเกย์ของเธอก็หันมาแซว
“แหม แม่สวยเลือกได้ ปฏิเสธทุกคนตลอด ฉันล่ะเสียดายแทนแกจริงๆ นะยะ”
“แกก็รู้ฉันมีหนุ่มในดวงใจแล้ว” เปลวรุ้งยิ้ม กดโทรศัพท์เพื่อดูหน้าไอจีของเด่นภูมิอีกครั้ง
นอกจากเหตุผลเรื่องเกรงใจพี่น้องแล้ว อีกเหตุผลหนึ่งที่หญิงสาวเอาแต่ดื่มกับเต้น ไม่ค่อยยอมหาคนมาควง ก็เพราะในใจเธอมีใครคนหนึ่งนั่งอยู่จนเต็มพื้นที่ ไม่ต้องเดาก็คงรู้ดีว่าใครคนนั้นคือบอสเด่นภูมิ หนุ่มหล่อมาดเนี้ยบประจำออฟฟิศ เปลวรุ้งเคยเจอเขาอยู่หลายครั้งในยามที่ประกายจันทร์ขอให้เธอช่วยออกหน้าควบคุมร่างให้ ยัยน้องสาวตัวดีบางทีก็ปฏิเสธใครไม่เป็น จนต้องขอให้เธอเป็นคนออกไปพูดจาเย็นชาใส่พวกจอมเอาเปรียบที่คิดจะโยนงานมาใส่ อย่างเช่นยัยป้าสุดาโต๊ะข้างๆ ที่อยู่ดีๆ ก็หันมาพูดเสียงหวานว่า “ฟ้าจ๊ะ ช่วยทำอันนี้ให้พี่หน่อยได้ไหม”
ถ้าประกายจันทร์อารมณ์ดี เธอก็จะตอบว่า “ได้ค่ะ”
แต่ถ้าวันนั้นงานการท่วมหัว ประกายจันทร์รับงานไม่ไหวอีกต่อไป เธอก็จะสลับให้เปลวรุ้งออกมาช่วยปฏิเสธ แล้วมวยเด็ดถูกคู่ศึกวันธงชัยก็จะเริ่มต้นขึ้น
“ไม่ทำค่ะ นี่มันงานของพี่นี่คะ จะมาให้ฉันทำได้ยังไง”
“ก็ช่วยกันหน่อยไม่ได้เหรอ เพื่อนกันน่ะ” สุดาลอยหน้าลอยตาผลักแฟ้มข้ามโต๊ะมา ส่วนมุนินเด็กน้องใหม่แอบดูอยู่อีกฝั่งอย่างกังวลๆ
“ไม่ได้ค่ะ พี่ช่วยเลิกสักทีได้ไหมคะ ไอ้นิสัยงานไหนไม่อยากทำก็โยนให้คนอื่นเนี่ย บริษัทเขาจ้างพี่มาทำงานนะคะ ไม่ใช่มาโยนงาน”
จากนั้นการปะทะคารมก็ดังขึ้นๆ จนเสียงของพวกเธอลอยไปอัญเชิญเด่นภูมิออกมาจากห้องทำงาน
ด้วยเหตุนี้เปลวรุ้งเลยถูกเรียกเข้าห้องเย็นไปพบกับบอสเด่นภูมิ ผู้ชายที่โผล่มากุมหัวใจเธอเข้าอย่างจัง
“ผมนึกว่าคุณสนิทกับสุดาเสียอีก ทำไมคุณถึงต่อว่าเพื่อนรุนแรงแบบนั้นล่ะครับ” เด่นภูมิถาม
เปลวรุ้งยักไหล่ สุดาเป็นเพื่อนของปลายฟ้าก็จริง แต่มีนิสัยขี้นินทา ชอบแซวคนอื่นแรงๆ ชอบโยนงานให้คนอื่น เพราะแบบนี้เลยไม่มีเพื่อนคนอื่นในออฟฟิศ ต่อให้เธอบ่นว่าแรงแค่ไหน สุดท้ายสุดาก็ต้องมาออเซาะปลายฟ้าในฐานะคนเดียวที่ยอมคุยด้วยกับเธออยู่ดี
หญิงสาวกอดอกแล้วยืดตัวตอบอย่างมั่นใจ “งานส่วนนั้นไม่ใช่ความรับผิดชอบของฉันค่ะ เพื่อนก็ส่วนเพื่อน งานก็ส่วนงาน ทุกคนมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบในงานส่วนของตัวเองค่ะ แค่ประสานงานเรื่องกระเป๋าทรงใหม่สามสี กับตัวเก่าที่นำกลับมาผลิตใหม่อีกหน ฉันก็ยุ่งจนหัวปั่นแล้ว ไม่มีเวลามาดูเรื่องรองเท้ารัดส้นหรอกค่ะ”
การตอบฉะฉานเสียงแข็งและมีเหตุผลของเธอทำให้เด่นภูมิยอมรับ เขาลุกขึ้นยืนแล้วพยักหน้า
“เอาเป็นว่าผมเข้าใจความคิดของคุณ คุณไม่ผิดหรอก วันหลังคุยกับเพื่อนร่วมงาน คุยกันดีๆ หน่อยแล้วกัน”
เปลวรุ้งสะบัดหน้า “กับบางคน เวลาจะปฏิเสธก็ต้องใช้ไม้แข็งนะคะ”
เด่นภูมิทำหน้าตาแปลกใจเล็กน้อย “ผมไม่ค่อยเห็นมุมนี้ของคุณเลย ปกติคุณฟ้าเป็นคนหัวอ่อนมากจนผมนึกเป็นห่วงอยู่บ่อยๆ แต่ถ้าใจแข็งแบบนี้ได้ในบางทีก็ดีเหมือนกันนะครับ”
การสนทนาในวันนั้นทำให้เปลวรุ้งรู้สึกยินดีที่มีใครสักคนยอมรับและชื่นชอบตัวตนของเธอ ตัวตนที่พี่สาวกับน้องสาวมักจะเอาแต่บ่นว่าแข็งกร้าวเกินไป แถมแม่ยังชอบบ่นว่าในบรรดาลูกสามคนนี้ เปลวรุ้งคือคนที่รับมือได้ยากที่สุด
พ่อกับแม่ของทั้งสามสาวรู้ดีว่าพวกเธอมีสามวิญญาณ และคอยเลี้ยงพวกเธอมาด้วยความรักความเอาใจใส่อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แม้สถานการณ์ในบ้านอาจจะแปลกประหลาดกว่าบ้านอื่นๆ ไปสักหน่อย แต่ก็นับว่าเป็นครอบครัวที่อบอุ่นดี
เปลวรุ้งลงจากแท็กซี่ เธอกลับมาถึงบ้านตอนดึกแล้ว หญิงสาวไขกุญแจเข้าบ้าน เมื่อเข้าไปถึงก็เห็นแม่ยังนั่งดูทีวีรออยู่ที่โซฟากลางบ้าน
“กลับมาแล้วเหรอรุ้ง”
แม่ทราบได้โดยอัตโนมัติว่าคนที่เที่ยวดึกกลับบ้านช้าต้องเป็นลูกสาวคนกลางอย่างแน่นอน
“แม่ไม่เห็นต้องรอเลย”
“แม่ก็ไม่ได้ว่าจะรอหรอก แค่กำลังดูทีวีเพลินๆ น่ะ กินอะไรมารึยัง มีกับข้าวในตู้ เอาออกมาอุ่นได้นะ”
“วันนี้อิ่มแล้วค่ะแม่ คงไม่กินแล้ว ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์นั่งรอ” เปลวรุ้งเข้าไปนั่งข้างๆ แม่และทำท่าออเซาะ ถึงเธอจะเป็นเด็กดื้อ แต่เมื่ออยู่กับแม่ เปลวรุ้งชอบออกอาการขี้อ้อน อาจเพราะอยากได้รับความสนใจจากแม่มากกว่าพี่สาวน้องสาว ตามประสาลูกคนกลางแสนดื้อ
“ไม่ต้องมาอ้อนเลย เที่ยวดึกทุกวัน เมื่อเช้ายัยจันทร์เดินลงมาจากห้องก็บ่นว่ารู้สึกเพลียๆ คงเพราะรุ้งเอาแต่ไปเที่ยว น้องต้องตื่นไปทำงานแต่เช้าก็เลยเหนื่อยแบบนี้ แล้วนี่วันๆ ได้ช่วยน้องทำงานบ้างหรือเปล่าลูก”
“แม่ก็บ่นแต่รุ้ง ไม่เห็นบ่นพี่ฟ้าเลย” เปลวรุ้งทำท่ากระเง้ากระงอด “รุ้งน่ะช่วยจันทร์ทำงานนะคะ แต่พี่ฟ้าสิ ออกมาแต่ตอนขึ้นลิฟต์”
เปลวรุ้งปากคว่ำ เธอพอรู้อยู่บ้างว่าปลายฟ้าสั่งให้ประกายจันทร์ทำอะไร
ทุกเช้าประกายจันทร์จะเป็นคนตื่นขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัว เดินทางไปทำงาน แต่เมื่อใกล้เวลาที่จะได้พบกับเด่นภูมิระหว่างขึ้นลิฟต์ ประกายจันทร์ก็จะสลับให้พี่สาวออกมาแทน หรือไม่หากเด่นภูมิขึ้นลิฟต์ไปทำงานแต่เช้าก่อนหน้าแล้ว ประกายจันทร์ก็จะสลับให้พี่สาวได้เป็นคนทักทายบอสเมื่อไปถึงที่ทำงาน ก่อนจะสลับกลับมาเป็นน้องเล็กที่คอยทำงานในออฟฟิศอย่างไม่ปริปากบ่น จะมีสลับให้เปลวรุ้งออกมาช่วยบ้างก็นานๆ ครั้ง
แน่นอนว่าคนเป็นแม่ไม่รู้เรื่องวิธีการแบ่งใช้ร่างกายของลูกสาว จึงเพียงแต่บ่นๆ แม่คนกลางจอมดื้อว่า “แล้วชุดนี่อะไร ตอนเช้าจันทร์ออกไปไม่ได้ใส่ตัวนี้ไม่ใช่เหรอ”
“รุ้งกลับบ้านมาเปลี่ยนก่อนถึงออกไปเที่ยวค่ะ ตอนรุ้งกลับมา แม่ยังไม่ถึงบ้าน แต่รุ้งเจอพ่อแล้วนะ”
หญิงวัยกลางคนมองดูลูกสาวในเสื้อผ้าสุดร้อนแรงก่อนจะถอนหายใจ เหมือนไม่อยากบ่นเรื่องการแต่งตัวของลูก ดาวิกาคงบ่นเตือนมาหลายครั้งแล้ว แต่เปลวรุ้งไม่ยี่หระต่อคำเตือน คนเป็นแม่เลยไม่อยากบ่นซ้ำอีก
“ยังไงก็คอยช่วยน้อง ช่วยพี่ฟ้า ทำงานทำการบ้างนะลูก ไม่ใช่เอาแต่เที่ยว”
“จ้า แม่” เปลวรุ้งพูดตอบรับด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าจะไม่ทำตามแน่ๆ เธอยิ้มให้แม่อีกหนหนึ่งก่อนจะเดินขึ้นห้องนอน ไม่ต่อความเรื่องนี้ให้ยืดยาวต่อไปอีก
อาบน้ำ ทาครีมบำรุงแล้ว เปลวรุ้งก็เอนตัวนอนลงกลางเตียงด้วยความรู้สึกสบายที่ได้อาบน้ำอุ่น เธอตว้าโทรศัพท์มือถือมาสไลด์เล่นนิดหน่อยและรายงานกับเคนทร์ผ่านทางไดเร็กไอจีส่วนตัวว่ากลับถึงบ้านแล้ว ก่อนจะกดดูอินสตาแกรมของเด่นภูมิที่อุตส่าห์ไปฟอลโล่วไว้ เสร็จแล้วก็พลิกตัวหลับไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยที่ออกเที่ยวมาตลอดทั้งคืน ก่อนจะนอน เธอไม่ลืมเปลี่ยนให้ประกายจันทร์เป็นคนคุมร่าง เพื่อที่น้องสาวจะได้ตื่นมาตอนเช้าเพื่อพาร่างนี้ไปทำงาน
ทันทีที่คนคุมร่างเปลี่ยนเป็นประกายจันทร์ หญิงสาวก็ดีดตัวลุกขึ้นนั่งทันที เธอวิ่งไปที่โต๊ะทำงานซึ่งตั้งอยู่อีกฝั่งของห้องนอน คุ้ยกระเป๋าถือ ควานหาโทรศัพท์มือถือสีชมพูของตัวเอง
“เช็คนาฬิกาปลุกก่อน”
ประกายจันทร์พึมพำพลางกดโทรศัพท์ ถึงนาฬิกาปลุกจะตั้งไว้ว่าให้ปลุกทุกเช้า แต่เธอก็ยังอยากกดดูอีกหนเพื่อความสบายใจ
“เมื่อเช้าพี่ฟ้าบ่นว่าเขียนคิ้วเบี้ยว” ประกายจันทร์หันไปมองกระจก ดูใบหน้าไร้เครื่องสำอางของตัวเอง “เรื่องมากนักทำไมไม่ตื่นมาเขียนเอง”
พูดจบหญิงสาวก็ถอนหายใจยาวยืดออกมาหนหนึ่ง เธอเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อเลือกชุดสำหรับวันพรุ่งนี้
ทีแรกเธอคิดจะหยิบเสื้อสูทเข้าชุดกับกางเกงสีเนื้อเข้มซึ่งดูสุภาพทะมัดทะแมง แต่ช่วงนี้เธอแต่งตัวตามใจตัวเองบ่อยแล้ว ถ้าเลือกเสื้อผ้าเรียบๆ อีกวัน มีหวังโดนปลายฟ้าบ่นแน่
“งั้นพรุ่งนี้แต่งตัวตามแบบที่พี่ฟ้าชอบดีกว่า”
เธอมองไปทั่วตู้ เลื่อนมือผ่านเสื้อสายเดี่ยวกับกางเกงยีนขาดๆ ของเปลวรุ้ง แล้วไปหยุดที่เสื้อชุดติดกันสีแดงเบอร์กันดีที่ปลายฟ้าเป็นคนซื้อมา เสื้อชุดนี้ด้านบนเป็นคอวีค่อนข้างลึกแต่ไม่โป๊เกินไป ตัดเย็บกระชับไปกับร่าง ท่อนล่างเป็นกระโปรงเอวสูงเน้นที่เอวคอดกิ่วและพอดีกับสะโพก ดูมั่นใจสมเป็นนางพญาอย่างที่พี่สาวคนโตน่าจะต้องการ
“เอาชุดนี้แล้วกัน” หญิงสาวพูดเสียงไม่แน่ใจนัก พลางหยิบชุดนั้นมาแขวนไว้ที่ประตูตู้ แล้วเดินไปหน้ากระจก เลือกเอาลิปสติกสีแดงสดออกมาวางเตรียมไว้ พรุ่งนี้เธอจะแต่งตัวตามแบบที่ปลายฟ้าต้องการ พี่สาวจะได้ไม่มาไล่บี้เธอเรื่องคิ้วที่ไม่ตรงกันไปสองมิลลิเมตรหรืออะไรทำนองนั้นอีก
เช้าวันใหม่ ประกายจันทร์พาร่างของตนเองในชุดแสนสวยออกไปตึกทำงาน ก่อนจะสลับให้ปลายฟ้าออกมาอย่างทุกที
‘วันนี้เลือกชุดได้ดีมาก’
นั่นคือข้อความที่ปลายฟ้าพิมพ์ส่งไปในไลน์กรุ๊ป หลังเธอได้เปลี่ยนมาเป็นคนคุมร่างที่หน้าตึกออฟฟิศ และสังเกตดูตัวเองผ่านเงาสะท้อนในกระจกที่ประตู
วันนี้ประกายจันทร์แต่งตัวแต่งหน้ามาถูกใจเธอ ปลายฟ้ากวาดสายตาสอดส่องหาเด่นภูมิ โดยปกติเธอกับเขามักมาถึงที่ทำงานในเวลาไล่เลี่ยกัน หากเขาไม่รอลิฟต์อยู่ ก็อาจจะอยู่ในร้านกาแฟเจ้าประจำ มีน้อยครั้งที่เด่นภูมิมาเช้ากว่าเธอและขึ้นไปรอที่ห้องทำงานแล้ว
วันนี้ก็เหมือนเคย ปลายฟ้าหันไปเห็นเด่นภูมิยืนเข้าคิวรอสั่งเครื่องดื่มอยู่ในร้านกาแฟสีเขียวเจ้าโปรด เธอเดินสับเท้าเข้าไปอย่างมั่นใจ ไปยืนต่อหลังเขาพลางส่งเสียงกระแอมเบาๆ
“อะแฮ่ม”
เด่นภูมิหันมาเห็นเธอก็ยิ้มให้ “สวัสดีครับคุณฟ้า วันนี้ไม่ทราบว่าจะดื่มอะไรเอ่ย”
“ก็อเมริกาโน่ใส่น้ำส้มเหมือนทุกทีนั่นแหละค่ะ” หญิงสาวตอบอย่างมีจริต
“นั่นสิ ผมก็จำได้ว่าคุณฟ้าชอบดื่มเมนูนี้ เมื่อวานเลยซื้อไปให้ตอนบ่าย แต่คุณภัทร…เพื่อนร่วมงานของคุณ กลับบอกว่าคุณฟ้าไม่ดื่มกาแฟ เล่นเอาผมงงไปเลยครับ”
ปลายฟ้าครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว เกิดอะไรขึ้นเมื่อวานนี้ ประกายจันทร์ทำไมไม่เห็นบอกเธอ ตามปกติหากมีอะไรที่พี่น้องควรรู้ พวกเธอจะคอยแจ้งกันเอาไว้ในกรุ๊ปไลน์นี่นา
แต่ก็เอาเถอะ ตอนนี้ได้แต่เล่นตามน้ำไปก่อน
“คุณภัทรคงเข้าใจอะไรผิดไปล่ะมั้งคะ” เธอวางท่าหยิ่งยโส รู้อยู่บ้างว่าประกายจันทร์เรียกตนุภัทรว่า พี่ภัทร แต่ต่อหน้าเด่นภูมิ เธอทำเป็นไม่สนิทสนมอะไรกับตนุภัทรน่าจะดีกว่า
“นั่นสิครับ ผมก็คิดว่าเขาคงจำผิด แต่คุณไม่กล้าปฏิเสธน้ำใจเขาเลยไม่หักหน้าเขาเมื่อวาน” เด่นภูมิเอ่ย คิวข้างหน้าขยับไปหนึ่งคนแต่ยังไม่ถึงทีของเขา เป็นตาของสาวออฟฟิศอีกคนที่สั่งชาเขียวร้อนหนึ่งแก้วกับครัวซองต์อุ่นๆ
“ประมาณนั้นแหละค่ะ”
“ผมนึกว่าคุณสนิทกับคุณภัทรเสียอีก”
ปลายฟ้ารีบส่ายหน้าขวับๆ “เพราะว่าต้องไปทำงานที่อีกตึกด้วยกันเลยสนิท แต่ถ้าส่วนตัวก็ไม่ได้สนิทนะคะ”
เด่นภูมิพยักหน้า ท่าทางโล่งใจขึ้นนิดหนึ่ง เขาหันกลับไปหาพนักงานร้านกาแฟแล้วสั่งคาปูชิโน่ร้อน ก่อนจะสั่งอเมริกาโน่ใส่ส้มให้ปลายฟ้าด้วยอย่างรู้ใจ
“ขอบคุณนะคะ” หญิงสาวพูด ยิ้มแล้วขยับตัวเข้าชิดกับเขาขึ้นอีกนิดหนึ่งเพื่อเป็นสัญญาณให้พนักงานรู้ว่าทั้งสองมาด้วยกัน คิวถัดไปให้รับออเดอร์จากคนที่ยืนต่อหลังเธอเลย
ระหว่างที่ทั้งสองขยับห่างออกมาจากเคาน์เตอร์เพื่อยืนรอกาแฟของตน เด่นภูมิก็ชวนคุยขึ้นมาว่า “คุณฟ้า ช่วงเย็นวันพุธนี้พอจะว่างไหมครับ ผมคิดว่าจะชวนไปกินข้าวเย็นด้วยกันสักหน่อย”
โอกาสมาวางต่อหน้ามีหรือที่เธอจะไม่รับ ปลายฟ้ายิ้ม รีบตอบฉับไว “ได้ค่ะคุณภูมิ”
เมื่อเครื่องดื่มที่สั่งผสมเสร็จแล้ว เด่นภูมิก็จัดการจ่ายเงินทั้งสองแก้ว ก่อนที่ทั้งสองจะเดินพูดคุยกันไปที่ลิฟต์
“ผมเผอิญรู้จักร้านอาหารร้านหนึ่ง อยากให้คุณฟ้าได้ลองชิมมากเลยครับ อยู่ไม่ไกลจากออฟฟิศ ขับรถไปแค่สิบนาที เขาทำอาหารอิตาเลี่ยนรสชาติเหมือนต้นตำรับเลย”
ทั้งสองยืนรอลิฟต์กันท่ามกลางพนักงานของบริษัทต่างๆ มากมาย มุนิน เพื่อนร่วมงานของปลายฟ้ายืนอยู่ใกล้ๆ พลางลอบส่งยิ้มให้เงียบๆ ปลายฟ้าหันไปยิ้มตอบน้อยๆ เธอต้องรักษามิตรภาพระหว่างตนเองกับมุนินไว้ เพราะมุนินคือเพื่อนของประกายจันทร์
เธอน่ะ ถึงจะดูขี้วีน จอมบงการไปสักหน่อย แต่เธอก็นึกถึงชีวิตของน้องๆ เสมอ มีแต่ยัยเปลวรุ้งจอมแสบนั่นแหละที่ไม่ค่อยจะคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับสุดาเลย ชอบวีนสุดาจนหน้าเจื่อน ปล่อยให้เธอต้องเป็นฝ่ายมาขอคืนดีกับสุดาทุกที
ปลายฟ้ากับเด่นภูมิขึ้นลิฟต์ไปด้วยกันแล้วก็แยกกันไปตามโต๊ะของแต่ละคน สุดายังมาไม่ถึงที่ทำงาน ส่วนมุนินเดินแยกไปเข้าห้องน้ำ ปลายฟ้าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วพิมพ์ถาม
‘เมื่อวานมีเรื่องอะไรเกี่ยวกับคุณภูมิ คุณภัทร แล้วก็กาแฟ ทำไมไม่รายงานพี่’
เมื่อพิมพ์ถามเสร็จ เธอก็ปฏิบัติการสลับวิญญาณ เปลี่ยนให้ประกายจันทร์ออกมา
ประกายจันทร์โผล่ผลุบออกมาอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ ก้มมองมือตัวเองเห็นโทรศัพท์ของพี่สาวและข้อความที่พิมพ์ทิ้งไว้ เธอนึกขึ้นได้ทันทีว่าลืมอะไรบางอย่างไปเสียสนิท
หญิงสาวค้นโทรศัพท์ของตัวเองแล้วนำมาพิมพ์ตอบ
‘เมื่อคืนนี้ลืมไปน่ะค่ะ เผอิญว่าฉันบอกพี่ภัทรไปว่าไม่กินกาแฟ แต่…’
สาวคนสุดท้องพิมพ์เล่าไปยืดยาว ก่อนจะวางโทรศัพท์ลงแล้วรวบรวมความคิด เดาเอาว่าวันนี้ปลายฟ้าคงจะไม่ออกมาแล้ว น่าจะถึงเวลาของเธอที่จะได้ทำงานแล้วสิ ประกายจันทร์หันมองคอมพิวเตอร์แล้วกดให้มันเปิดขึ้นมา
“พี่ฟ้า” มุนินเดินกลับมาจากห้องน้ำแล้วหย่อนก้นนั่งลงที่โต๊ะตัวข้างๆ ประกายจันทร์เห็นมุนินมองดูโทรศัพท์ในมือเธอก่อนชั่วแวบแล้วจึงชวนคุยต่อ “วันนี้ไปกินข้าวกลางวันกับนินไหมคะ”
“เอาสิ ว่าแต่ มองมือถือพี่ทำไมเหรอ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” ประกายจันทร์ถามอย่างสะกิดใจนิดๆ
“เปล่าหรอกค่ะ”
มุนินยิ้มแห้งๆ น้องใหม่ในบริษัทคนนี้เป็นคนเงียบๆ ไม่มีปากเสียงอะไรมากนัก เวลาว่างชอบอ่านหนังสือกับดูซีรีส์เกาหลี โดยนิสัยแล้วเป็นเด็กเรียบร้อย ประกายจันทร์จึงถูกคอกับเธอมาก
“เพียงแค่ว่า…” มุนินกล่าวต่อไปเอื่อยๆ เสียงเบาเหมือนไม่แน่ใจเท่าไหร่ “นินลองดูก่อนว่าเคสมือถือพี่เป็นสีอะไร เวลาพี่ฟ้าใช้มือถือเครื่องสีชมพู จะแปลว่าพี่อารมณ์ดีอยู่น่ะค่ะ นินแค่คิดไปเองมั้งคะ แหะๆๆ”
ประกายจันทร์ขนลุกนิดๆ มุนินพูดถูกจริงๆ ทุกครั้งที่เธอจับโทรศัพท์เครื่องสีชมพู มันแปลว่าคนที่ควบคุมร่างคือประกายจันทร์ แต่ถ้าเป็นเครื่องสีทองหรือเขียวล่ะก็ จะเป็นปลายฟ้าและเปลวรุ้งอย่างไม่ต้องสงสัย
มุนินที่นั่งเงียบๆ ไม่มีปากมีเสียงอะไร แต่กลับสังเกตเห็นเรื่องพวกนี้ได้ดีอย่างน่าทึ่ง
“นินคิดไปเองแล้วละจ้ะ” ประกายจันทร์พูดทั้งที่รู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันใด “พี่ก็ใช้โทรศัพท์ทั้งสามเครื่องนี่แหละ สับกันไปสับกันมา”
“ก็เพิ่งเคยเห็นพี่ฟ้าคนเดียวนี่แหละค่ะ ที่ใช้โทรศัพท์ตั้งสามเครื่อง”
“นั่นสิครับ ตัวก็แค่นี้ มีคนให้แชทให้คุยตั้งสามเครื่องเชียวเหรอ” เสียงบ่นพึมพำปนแซวดังมาจากด้านหลัง ประกายจันทร์หันไปมองเห็นตนุภัทรเดินผ่านหลังโต๊ะของเธอพร้อมรอยยิ้มนิดๆ แต่ในแววตาเขากลับดูเศร้าเล็กน้อย
“สรุปว่าฟ้าชอบกินกาแฟใช่มะ พี่คงจำผิดเอง” ตนุภัทรชี้ไปที่อเมริกาโน่ใส่ส้มซึ่งยังวางตระหง่านอยู่บนโต๊ะของประกายจันทร์ ปกติปลายฟ้าจะดูดกาแฟจนหมดแก้วก่อนค่อยสลับร่าง แต่วันนี้พี่สาวคงรีบอยากถามเรื่องเด่นภูมิกับตนุภัทร จึงได้เหลือหลักฐานเป็นกาแฟสุดเข้มตั้งเด่นเป็นสง่ากลางโต๊ะทำงานของเธอแบบนี้
“พี่ภัทร ฉันบอกแล้วไงคะว่าตอนบ่ายๆ ไม่กิน แต่ตอนเช้ากินค่ะ” ประกายจันทร์พยายามพูดกลับไปทั้งที่รู้ว่าคงไม่ได้ผลเท่าไรนัก เธอมองหน้าตนุภัทรแล้วอดจะคิดไม่ได้ว่าเขาดูจะมีแววตาตัดพ้ออยู่สักหน่อย
ตนุภัทรคงเสียใจที่เธอสนิทสนมกับเด่นภูมิ ประกายจันทร์นึกแล้วได้แต่ก้มหน้าเงียบ หญิงสาวเองก็ไม่รู้ควรทำอย่างไรจึงจะถูกต้อง ตัวเธอเองนั้นสนิทใจกับตนุภัทร แต่พี่สาวทั้งสองมีใจให้กับเด่นภูมิ แล้วทั้งสามมาแชร์ร่างร่วมกัน เลยกลายเป็นเรื่องน่าลำบากใจแบบนี้
“เอาเถอะๆ พี่คงจำผิดไปเอง” ตนุภัทรสรุปแบบยอมรับผิดอย่างหงอยๆ พร้อมกับที่สุดาเดินเข้ามาในห้องทำงานพอดีแล้วออกเสียงทักทาย
“สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้เป็นยังไงกันบ้าง”
ประกายจันทร์กับมุนินหันไปทักตอบระหว่างที่ตนุภัทรเดินจากไปเงียบๆ
“เฮ้อ”
เสียงถอนหายใจยาวของหญิงสาวเรียกความสนใจจากโต๊ะข้างๆ ทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวา
“ทำไมเหรอฟ้า”
“มีอะไรรึเปล่าคะพี่ฟ้า”
ทั้งสุดาและมุนินต่างก็ถามขึ้นมาพร้อมกัน
“เปล่าหรอกค่ะ” ประกายจันทร์ตอบเสียงเอื่อยเฉื่อยพลางมองดูตารางในหน้าจอที่บอกว่าเธอกำลังจะต้องเข้าประชุมกับเด่นภูมิและพนักงานคนอื่นๆ ในอีกครึ่งชั่วโมงถัดไป
วันนี้หญิงสาวรู้สึกห่อเหี่ยวเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเพราะเรื่องของตนุภัทร บวกกับความเหนื่อยล้าซึ่งเกิดจากการที่เปลวรุ้งเอาร่างออกไปเที่ยวกินเหล้ามาสองวันติด ประกายจันทร์รู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรงจนไม่มีกะใจจะทำงานเอาเสียเลย
ตอนนั้นเองที่เธอนึกขึ้นได้ว่า เปลวรุ้งอยากจะทำงานกับเด่นภูมิไม่ใช่หรือ งั้นเธอก็น่าจะให้เปลวรุ้งออกมาเป็นคนประชุมในคราวนี้เสียเลย พี่สาวคนกลางจะได้สมดังใจ และก็จะได้รู้เสียหน่อยว่าร่างกายที่ไปเที่ยวมาดึกๆ น่ะมันเหนื่อยแค่ไหนเวลากลางวันที่ต้องมาทำงานใช้สมองอย่างนี้
ประกายจันทร์จัดการพรมนิ้วลงบนคีย์บอร์ด สาธยายทุกสิ่งว่าการประชุมมีหัวข้ออะไรบ้าง ประชุมวันนี้ไม่เกี่ยวกับเธอเท่าไหร่ แค่เข้าไปรับฟังและออกความเห็นนิดหน่อยในเรื่องของโปรเจ็คอื่น เธอโน้ตเอาไว้ว่าอยากสอบถามอะไรจากเพื่อนร่วมงาน และขอให้เปลวรุ้งจดเรื่องไหน จากนั้นก็จัดการไลน์ส่วนตัวเข้าไปหาโทรศัพท์มือถือสีเขียวเกล็ดงูเครื่องนั้น
‘พี่รุ้ง ออกมาประชุมแทนทีสิ เป็นประชุมที่บอสเข้าด้วยนะ ฉันพิมพ์ไว้ให้บนหน้าจอหมดแล้วว่าต้องทำอะไรบ้าง’
พอจัดการโยนภาระหน้าที่เสร็จเรียบร้อย ประกายจันทร์ก็เปลี่ยนสิทธิ์ในการควบคุมร่างไปให้พี่สาวคนกลางที่กำลังหลับสบาย โยนเปลวรุ้งออกมากลางอากาศแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
เปลวรุ้งออกจะงงอยู่ไม่น้อยที่อยู่ดีๆ เธอก็ตื่นขึ้นมากลางออฟฟิศ เธอหันไปมองสุดา เพราะนึกว่าสุดากำลังโยนงานให้น้องสาวเหมือนทุกที แต่หน้าตาของสุดาก็ไม่ได้ดูเหมือนกำลังคุยอะไรค้างไว้ เธอกวาดตามองข้อความบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ มันเป็นการบรรยายรายละเอียดงานที่ต้องทำ เมื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด เธอก็พบสาเหตุที่ตัวเองออกมานั่งอยู่ตรงนี้
“เยี่ยมมาก”
หญิงสาวพึมพำออกมาเมื่อรู้ว่าจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับเด่นภูมิ เธอกวาดตาอ่านรายละเอียดการทำงานที่น้องสาวพิมพ์ไว้ให้พลางจดจำให้ขึ้นใจ เพราะไม่อยากเสียหน้าต่อหน้าบอสเด่นคนเฮี้ยบให้ตัวเองต้องคะแนนตก
ถ้าหากสถานการณ์ระหว่างประกายจันทร์กับตนุภัทรนั้นน่าลำบากใจแล้ว สถานการณ์ของเปลวรุ้งก็นับว่าน่าสับสนยิ่งกว่า เพราะสิ่งที่เธอปรารถนาคือการได้ใกล้ชิดกับเด่นภูมิ แต่สิ่งที่เธอไม่อยากให้เกิดขึ้นคือการที่พี่สาวอย่างปลายฟ้าได้ใกล้ชิดกับบอสมากกว่าเธอ ทว่าทั้งเธอและปลายฟ้าต่างก็เป็นคนคนเดียวกัน เพราะเป็นแบบนั้นเรื่องมันเลยอลเวงไม่รู้ว่าควรจะไปลงอีท่าไหน
อนาคตจะเป็นอย่างไรไม่รู้ รู้แต่วันนี้เปลวรุ้งขอสู้ตายก่อน หญิงสาวลุกไปห้องน้ำเพื่อเช็คความเรียบร้อยของเสื้อผ้าหน้าผม การแต่งตัวแต่งหน้าวันนี้ดูเหมือนจะเป็นรสนิยมของพี่สาวคนโต ไม่ใช่แนวของเปลวรุ้งสักเท่าไหร่ แต่ไม่เป็นไร อย่างไรเสียเธอก็ดูสวยเจิด หญิงสาวเดินเชิดออกมาจากห้องน้ำ กลับไปเตรียมสมองและเอกสารต่างๆ ให้ตัวเองพร้อมสำหรับการเข้าประชุม
และแล้วเวลานัดประชุมก็มาถึง ทั้งเปลวรุ้ง มุนิน และสุดาต่างก็ลุกขึ้นเดินก้าวเท้าฉับๆ ไปยังห้องประชุมที่อยู่ฝั่งขวาสุดของออฟฟิศ เด่นภูมิเองก็ออกจากห้องทำงานของเขาแล้วตรงไปที่ห้องเช่นกัน ยังมีเพื่อนร่วมงานอีกสองสามคนมาร่วมการประชุมครั้งนี้ แต่แผนกของตนุภัทรไม่ได้มาด้วย
การประชุมดำเนินไปอย่างราบรื่น เปลวรุ้งสังเกตว่าเด่นภูมิหันมาสบตาเธอหลายครั้ง นั่นทำให้หญิงสาวแย้มยิ้มด้วยความพอใจและมั่นใจในตัวเอง หลังการประชุมจบลง ทุกคนทยอยกันเดินออกจากห้อง แต่เธอจงใจรั้งรออยู่ ฝ่ายทางชายหนุ่มก็คล้ายจะรับรู้ได้เช่นกัน เขาจึงรอเพื่อจะอยู่คุยกับเธอเป็นคนสุดท้าย
เมื่อทุกคนออกจากห้องไปหมดแล้ว เด่นภูมิจึงเดินอ้อมโต๊ะมาหาเธอแล้วก้มลงพูดด้วยเสียงเบาๆ “ผมรอนัดที่เราจะไปกินข้าวกันเย็นวันพุธนะครับ”
เปลวรุ้งนิ่งอึ้งไปนิดหนึ่ง เธอไม่รู้มาก่อนเลยว่ามีนัดที่ว่านี้ ปลายฟ้าคงเป็นคนนัดหมายแล้วยังไม่ได้บอกพี่น้อง หัวสมองของเธอคิดอย่างรวดเร็วแล้วพูดขึ้นว่า
“ฉันรออยู่เพราะมีเรื่องอยากคุยกับคุณภูมินี่แหละค่ะ”
“มีอะไรหรือครับ”
“ถ้าอยากจะขอเปลี่ยนเวลานัดจากกินข้าวเย็น เป็นข้าวกลางวันแทนได้รึเปล่าคะ พอดีช่วงนี้คุณพ่อคุณแม่ไม่ค่อยอยากให้กลับบ้านดึก ท่านอ่านพวกข่าวอาชญากรรมในไลน์แล้วเกิดกังวลกันขึ้นมา ก็เลย…ไม่ค่อยอยากให้ท่านเป็นห่วงน่ะค่ะ”
“อืม ถ้าเป็นแบบนั้นก็ได้ครับ” เด่นภูมิแสดงท่าทีไม่คิดมาก “เที่ยงวันพุธ เราออกไปหาอะไรอร่อยๆ กินกัน ตกลงนะครับ”
“ตกลงค่ะ”
เปลวรุ้งยิ้มหวานด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะเดินผ่านหน้าเด่นภูมิไปช้าๆ ทิ้งกลิ่นน้ำหอมขวดใหม่ของปลายฟ้าให้แตะโดนจมูกเขา
เย้ายวน มั่นใจ ดุจดั่งนางพญา และสามารถคว้าทุกอย่างมาไว้ในกำมือโดยไม่สนว่าจะต้องใช้วิธีใด
นั่นแหละคือคำนิยามที่เหมาะสมกับเธอที่สุด