เปลวกนก บทที่ 4 : ต่างหูไข่มุก
โดย : พงศกร
เปลวกนก เรื่องราวของ มรว.เปลวกนก ที่ตัดสินใจหนีความวุ่นวายจากพระนครมาหาความสงบด้วยการทำฟาร์มถึงบางเบิด แต่แล้วเมื่อเพื่อนสนิทถูกฆาตกรรม เธอกลายเป็นผู้ต้องสงสัย ขณะเดียวกันก็มีเรื่องของหัวใจให้ต้องหนักใจอีก มาช่วยเธอตามหาความจริงและคำตอบของหัวใจได้ใน “เปลวกนก” โดย พงศกร นิยายออนไลน์ ที่ อ่านเอา อยากให้คุณได้ อ่านออนไลน์ ได้ลงจนจบบริบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางผู้เขียนใจดีมอบ 5 บทแรกไว้ให้อ่านกันที่อ่านเอา
และหากติดใจอยากอ่านต่อ สามารถหาซื้อ #เปลวกนก ฉบับรวมเล่มได้แล้ววันนี้ ในรูปแบบหนังสือที่ร้านนายอินทร์ และร้านหนังสือชั้นน้ำทั่วไป หรือสั่งซื้อกับสำนักพิมพ์ กรู๊ฟ พับลิชชิ่ง ได้โดยตรงที่ www.groovebooks.com และในรูปแบบอีบุ๊ก สามารถดาวนโหลดได้ที่ Meb > http://bit.ly/2J0rAK7
ทุกยอดการสมัครจะมีส่วนแบ่งกลับมาสนับสนุนเว็บไซต์อ่านเอาของพวกเรา 🙂
……………………………………………………………….
-4-
สิ้นสุดคำพูดประโยคนั้นของคุณหญิงเปลวกนก ทั่วทั้งห้องก็เต็มไปด้วยความเงียบ แม้แต่ ม.ร.ว.เจิดนภางค์เองก็นิ่งไปอย่างใช้ความคิด ดวงตาของหญิงสาวผู้สูงศักดิ์จ้องมองศพของวิทิศน์และ ‘เด็กหนุ่ม’ ผู้พบศพเป็นคนแรกสลับกันไปมา
ยังไม่ทันที่หม่อมเจ้าดำรงชาติจะตัดสินพระทัยว่าอย่างไร เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลังเสียก่อน
“ร้านเปิดหรือยัง”
บุคคลทั้งสามที่อยู่ภายในร้านอาหารหันกลับไปพร้อมกัน ที่หน้าประตูร้านมีหญิงสูงวัยแต่งกายซอมซ่อคนหนึ่งยืนอยู่ ผมเผ้าสกปรกยุ่งเหยิงราวรังนก น้ำเสียงเหน่อสำเนียงท้องถิ่น ดวงตาที่จ้องมองมานั้นเต็มไปด้วยความประหวั่น
“ยาย” คุณหญิงเปลวกนกลุกขึ้น เธอเดินไปหาหญิงสูงวัยคนนั้นแล้วบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “กลับไปก่อน”
“คุณเปลว ยายหิวข้าว” หญิงผู้นั้นพึมพำ กลิ่นเหม็นสาบจากเสื้อเก่าๆ ที่โชยมาตามกระแสลม ทำให้คุณหญิงเจิดนภางค์ถึงกับเบือนหน้าหนี
“วันนี้ร้านปิด” คุณหญิงเปลวกนกตอบสั้นๆ ขณะที่หม่อมเจ้าดำรงชาติได้แต่ทอดเนตรมองนิ่งเฉย ไม่ตรัสอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
“พ่อวิทิศน์ไม่อยู่เหรอคุณเปลว ปกติไม่เคยเห็นปิดร้าน” หญิงผู้นั้นยังคงสงสัย เธอพยายามยืดกายชะเง้อมองเข้ามาข้างใน หากคุณหญิงเปลวกนกรีบดันให้ร่างผอมบางเดินพ้นออกไปจากร้านเสียก่อน
“วันนี้วิทิศน์ไม่ขายอาหาร ยายกลับไปก่อนนะฮะ” เธอล้วงหาเศษเงินในกระเป๋า ส่งให้กับหญิงสูงวัย “อ้ะ เปลวให้ เอาไปซื้อข้าวนะยาย แล้วอย่าเอาไปซื้อหมากหมดล่ะ”
หม่อมเจ้าดำรงชาติทอดเนตรมองหญิงชราท่าทางซอมซ่อผู้นั้นเดินงกเงิ่นจากไปด้วยความประหลาดพระทัย แล้วก่อนที่เขาจะเอ่ยถามอะไรออกมา เด็กหนุ่มผิวขาวละเอียดก็เล่าออกมาให้ฟัง
“ยายซ้อน” ดวงตาที่จ้องมองเขาไม่มีวี่แววหวั่นเกรงแต่อย่างใด “เป็นคนร่อนเร่แถวนี้ แกมักจะมาขอข้าวที่ร้านกินอยู่บ่อยๆ”
หม่อมเจ้าชายพยักพักตร์ เนตรยังจ้องมองดูศพที่นอนอยู่กลางร้านด้วยความกังวลพระทัย
“อยู่ที่นี่ อย่าเพิ่งไปไหน” บอกกับเด็กหนุ่มด้วยสุรเสียงแผ่วต่ำ “ฉันจะไปแจ้งผู้ใหญ่บ้านก่อน”
หากเป็นที่อังกฤษ เมื่อพบคนตายจะต้องแจ้งตำรวจท้องที่ให้มาชันสูตรถึงสาเหตุ แต่ที่สยาม พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตราขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๗ ระบุไว้ชัดเจนว่าจะต้องแจ้งแก่ผู้ใหญ่บ้าน
“ระหว่างไปแจ้งทางการ เราจับมันมัดไว้ก่อนจะดีไหมเพคะท่านชาย” คุณหญิงเจิดนภางค์เสนอ “เดี๋ยวมันจะหนี”
“ฉันไม่หนีแน่” คุณหญิงเปลวกนกฟังอีกฝ่ายแล้วหงุดหงิด ดูท่าหญิงสาวหน้าตาสวยสะคนนั้นจะปักใจเชื่อว่าเธอคือคนร้ายเอาเสียเหลือเกิน
“จะแน่ใจได้ยังไง” คุณหญิงเจิดนภางค์ลอยหน้าลอยตา
“เพราะฉันไม่ใช่คนร้าย จึงไม่จำเป็นต้องหนี อีกอย่างฟาร์มของฉันก็อยู่ที่นี่ จะหนีไปไหนได้” คุณหญิงเปลวกนกพูดแค่นั้น แล้วไม่สนใจคุณหญิงเจิดนภางค์อีกต่อไป เธอหันไปทางท่านชายดำรงชาติแล้วว่า “คุณไปแจ้งผู้ใหญ่บ้านได้เลย ฉันจะเฝ้าร้านเฝ้าศพเอาไว้ให้เอง”
“ได้” ท่านชายพยักพักตร์ “แต่ก่อนไป ฉันจะตรวจศพให้ละเอียดเสียก่อน”
ถึงเด็กหนุ่มคนนี้จะดูซื่อ หากประสบการณ์การเป็นสกอตแลนด์ยาร์ดของเขาบอกให้รู้ว่ากับเหตุฆาตกรรมแล้ว ไม่อาจจะไว้ใจใครได้ทั้งนั้น คนหน้าตาใสซื่อที่แท้จริงเป็นคนร้ายก็มีตัวอย่างให้เห็นมามากแล้ว
ในเมื่อจำเป็นต้องทิ้งศพเอาไว้กับเด็กหนุ่มคนนี้ เขาก็ควรจะตรวจศพโดยละเอียดเสียก่อน เพราะเด็กคนนี้หรือคนร้ายอาจย้อนมาทำลายหลักฐาน ทำให้ไม่อาจจะสืบหาตัวฆาตกรก็เป็นได้
“หญิงเจิด” ท่านชายผินพักตร์ไปทางหญิงสาวที่ยืนกระสับกระส่ายอยู่ทางด้านหลัง ทรงยื่นสมุดพกเล่มเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋าเสื้อส่งให้พร้อมกับปากกาหมึกซึมราคาแพง “มาช่วยจดรายละเอียดเรื่องศพหน่อย”
“จดรายละเอียด” ดวงตาของหม่อมราชวงศ์หญิงเบิกกว้าง ก่อนจะสั่นหน้าโดยแรง “ไม่เอาละค่ะ หญิงกลัว”
ชั่วชีวิตที่ผ่านมาคุณหญิงเจิดนภางค์นิยมแต่ของสวยๆ งามๆ มาเจอศพนอนสิ้นลมตาเหลือกถลน ลิ้นจุกปาก เป็นอะไรที่น่าขยะแขยงที่สุด เท่าที่ยืนทนอยู่โดยไม่เป็นลมหมดสติไป ก็นับว่าเก่งมากแล้ว ถ้าจะให้ไปใกล้ๆ ศพเพื่อช่วยท่านชายจดรายละเอียด เห็นทีจะไม่ไหว
“หญิงเจิด” ท่านชายตรัสสุรเสียงหนักๆ “ฉันตรวจศพไปด้วยจดไปด้วยไม่ได้หรอกนะ”
“แต่…” คุณหญิงเจิดนภางค์ลังเล ไม่รู้ว่ามาบางเบิดกับท่านชายครั้งนี้ เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือเปล่า อยู่พระนครก็สบายดีอยู่แล้ว หาเรื่องมาตกระกำลำบากแท้ๆ
“ให้ฉันช่วยไหม” คุณหญิงเปลวกนกอาสา
“เธอ…” ท่านชายใช้ปากกาในมือชี้เด็กหนุ่ม แล้วชี้มาที่ตัวเอง “จะช่วยฉัน”
“ฮะ” คุณหญิงเปลวกนกพยักหน้า “หรือจะจดเอง”
“น้ำหน้าอย่างแก เขียนหนังสือเป็นด้วยหรือ” คุณหญิงเจิดนภางค์ทำเสียงดูถูก
“ถ้าเช่นนั้น คงต้องรบกวนเธอแล้วละ” ท่านชายปรายเนตรมองเจิดนภางค์ด้วยความอ่อนพระทัย ทรงยื่นสมุดและปากกาส่งให้เปลวกนกแล้วเดินไปตรวจศพโดยไม่สนใจหม่อมราชวงศ์หญิงผู้นั้นอีกต่อไป
หม่อมเจ้าดำรงชาติค่อยๆ ตรวจศพโดยละเอียด ทรงบอกตำหนิและร่องรอยต่างๆ ให้เปลวกนกจดไปทีละข้อ
“ช่วยฉันพลิกศพหน่อย” เมื่อตรวจร่องรอยด้านหน้าเสร็จเรียบร้อย ท่านชายก็ตรัสเรียกให้คุณหญิงเปลวกนกมาช่วยกันพลิกร่างไร้วิญญาณของวิทิศน์
“เอ้า…ฮึบ…ยก…พลิก”
ท่านชายทรงให้จังหวะสัญญาณ วิทิศน์เป็นคนอ้วน เปลวกนกประเมินว่าน้ำหนักของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าแปดสิบกิโล เมื่อช่วยกันกับท่านชายจึงต้องออกแรงมากพอสมควร
…กริ๊ก…
เสียงวัตถุชิ้นหนึ่งตกจากแผ่นหลังของวิทิศน์ ลงมากระทบกับพื้นปูนเกิดเสียงดัง แสงจากแดดยามสายส่องสะท้อนวัตถุชิ้นนั้นเกิดประกายวะวับ
คุณหญิงเปลวกนกรีบเอื้อมมือไป หมายจะหยิบวัตถุชิ้นนั้นขึ้นมาดู
“อุ๊ย”
คุณหญิงสะดุ้ง รีบชักมือกลับรวดเร็ว เมื่อหม่อมเจ้าดำรงชาติเองก็เอื้อมหัตถ์มาหยิบวัตถุชิ้นเล็ก ปลายหัตถ์แข็งแรงของท่านชายกระทบเข้ากับปลายนิ้วของคุณหญิงเปลวกนกเข้าอย่างจัง
ท่านชายเองก็ดูเหมือนจะทรงชะงักไปเช่นกัน ครั้นพอได้สติก็ทรงหยิบวัตถุที่ตกจากศพขึ้นมาทอดเนตร
“ต่างหูไข่มุก”
คราวนี้แม้แต่คุณหญิงเจิดนภางค์ยังขยับเข้ามาใกล้ๆ ดวงตาของหม่อมราชวงศ์หญิงจ้องมองต่างหูไข่มุกด้วยความสนใจ
“โอ้โห…ใหญ่และน้ำงามมากเลยนะเพคะ”
หม่อมเจ้าดำรงชาติทรงจ้องมองวัตถุพยานในหัตถ์ด้วยความพินิจพิเคราะห์ ต่างหูข้างนั้นเป็นไข่มุกครึ่งซีก ล้อมกรอบด้วยทองเรียบๆ มีแป้นสำหรับเสียบรูหูอยู่ทางด้านหลัง
“ไม่น่าใช่ของวิทิศน์” คุณหญิงเปลวกนกวิเคราะห์ ครั้นพอเห็นอีกฝ่ายมองมาด้วยความสงสัย เธอก็รีบบอกต่อไปว่า “วิทิศน์ไม่ได้เจาะหู”
หม่อมเจ้าดำรงชาติเหลือบเนตรดูใบหูของคนตาย ก็เห็นจริงดังที่เด็กหนุ่มผู้นั้นว่า ทรงอดชื่นชมในใจไม่ได้ว่า เด็กคนนี้เฉลียวฉลาดเกินกว่าที่ทรงคาดคิดเอาไว้แต่แรก ทรงเหลือบเนตรแลเลยไปยังใบหูของเด็กหนุ่มตรงหน้า เพียงเพื่อจะพบว่าไม่ได้เจาะหูเช่นกัน
“แล้วต่างหูมาจากไหน” ทรงครุ่นคิด ก่อนจะตรัสถามต่อ “เคยเห็นใครสวมต่างหูไข่มุกแบบนี้ไหม”
“เอาจริงๆ คนที่มีฐานะแถวนี้หลายคนก็มีต่างหูคล้ายๆ แบบนี้ มีทั้งหญิงและชาย ที่แถวนี้ก็มีผู้ชายบางคนที่เจาะหูเช่นกัน” คุณหญิงเปลวกนกนิ่งนึก “คงบอกยากว่าเป็นต่างหูของใคร”
หม่อมเจ้าดำรงชาติทรงเก็บต่างหูมุก ห่อไว้ด้วยผ้าเช็ดพระพักตร์ แล้วเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะตรวจดูสภาพศพภายนอกต่อไปจนครบถ้วนตามต้องการ
“ตกลงเป็นอะไรตายเพคะ” คุณหญิงเจิดนภางค์อดรนทนไม่ได้ “ฆ่าตัวตายหรือถูกคนร้ายฆ่า”
“ยังตอบไม่ได้” ท่านชายส่ายพักตร์ “กระดูกคอหัก หมุนได้โดยรอบ ดูเผินๆ เหมือนกับคนผูกคอตาย”
“ก็แปลว่าผูกคอตาย” คุณหญิงเจิดนภางค์สรุปง่ายๆ ไม่เข้าใจว่าท่านชายจะใส่ใจกับเรื่องนี้ทำไม จะตายวิธีไหน ฆ่าตัวตายหรือถูกฆ่า วิทิศน์ก็ตายไปแล้ว
“แต่ที่เปลวเล่า…” ท่านชายพยักพักตร์ไปทางเด็กหนุ่มร่างผอมผิวขาว ดวงเนตรคู่คมยังทอดเลยไปยังหม้อพะโล้ที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นบนเตาไฟ “ฉันออกจะเห็นด้วย ไม่น่าเชื่อว่าวิทิศน์จะฆ่าตัวตาย…ถ้าเขาจะฆ่าตัวตายจริงๆ เขาจะทำพะโล้ค้างเอาไว้บนเตาทำไมและจะสั่งให้เปลวมาส่งน้ำผึ้งทำไม ยังจะต่างหูไข่มุกข้างนั้นอีก วิทิศน์ไม่ได้เจาะหู…แสดงว่าต้องมีใครอีกคนอยู่ในที่เกิดเหตุ”
“ก็จับตัวพ่อเปลวอะไรนี่ไปสอบสวนเลยเพคะ” คุณหญิงเจิดนภางค์ว่า “มันอยู่ในที่เกิดเหตุ อย่างไรก็ต้องมันนี่ละ”
“ทำแบบนั้นไม่ได้” หม่อมเจ้าดำรงชาติส่ายพักตร์ “ไม่ยุติธรรมกับเปลว”
“แล้วเราจะทำอย่างไรต่อเล่าเพคะ นั่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้” คุณหญิงเจิดนภางค์ถอนใจ เธอมองเห็นความยุ่งยากมากมายที่กำลังรออยู่ข้างหน้า
“อาจจะต้องผ่าศพตรวจ” ทรงเอ่ยสุรเสียงแผ่ว
“อะไรนะฮะ” คุณหญิงเปลวกนกได้ฟังคำพูดประโยคนั้นแล้วเลยเบิกตากว้าง เคยอ่านเรื่องการผ่าศพเพื่อพิสูจน์หาสาเหตุการตายจากแมกกาซีนฝรั่งที่ท่านพ่อเป็นสมาชิก หากไม่เคยรู้ว่าเรื่องนี้มีขึ้นในสยามแล้ว “ทำได้ด้วยเหรอฮะ”
“ทำได้สิ…พระยาดำรงแพทยาคุณ” หม่อมเจ้าดำรงชาติเอ่ยนาม “ท่านเจ้าคุณทำได้ ท่านมีความเชี่ยวชาญเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ท่านเป็นอาจารย์สอนวิชานิติเวชศาสตร์ให้นักศึกษาแพทย์ เราอาจจะต้องเชิญท่านมาที่บางเบิด”
พระยาดำรงแพทยาคุณที่หม่อมเจ้าดำรงชาติตรัสถึงมีนามเดิมว่า ชื่น พุทธิแพทย์ ท่านเป็นแพทย์ผู้สนใจวิชาการพิสูจน์ศพและสาเหตุการตายของคน
ท่านเจ้าคุณได้นำเอาวิชานี้มาสอนเป็นท่านแรกตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๕๖ และท่านผู้นี้ยังเป็นผู้บัญญัติศัพท์นิติเวชวิทยาเป็นคนแรกอีกด้วย
หม่อมเจ้าดำรงชาติมีโอกาสได้รู้จักกับท่านเจ้าคุณตั้งแต่เรียนจบกลับมาจากอังกฤษใหม่ๆ ทรงชื่นชอบและชื่นชมในหลักการทำงานของท่านเจ้าคุณดำรงแพทยาคุณเป็นอย่างมาก
“ก็ดีนะฮะ” คุณหญิงเปลวกนกออกจะเห็นด้วย ตรวจให้ละเอียดก็ดี จะได้รู้กันไปว่าเกิดอะไรขึ้นกับวิทิศน์กันแน่ ถ้าเขาถูกฆาตกรรม…ใครเป็นคนลงมือ
ซื้อหนังสือที่ www.naiin.com ไม่ว่าเล่มใดก็ตาม
ทุกยอดการสั่งซื้อจะมีส่วนแบ่งกลับมาเพื่อสนับสนุนเว็บไซต์อ่านเอา
คุณหญิงเปลวกนกนึกออกว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้บ้าง…บางเบิดเป็นตำบลแคบๆ ที่คนส่วนมากรู้จักหน้าค่าตากันดี ทันทีที่หม่อมเจ้าดำรงชาติไปแจ้งให้ผู้ใหญ่บ้านทราบเรื่องการตายของวิทิศน์ ผู้ใหญ่วิทยาก็จะต้องไปแจ้งให้นายทรัพย์ได้รู้ จากนั้นเรื่องนี้ก็จะแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว เปลวกนกเดาได้ว่าจะต้องมีคนพูดถึงสาเหตุการตายของวิทิศน์กันอย่างสนุกปาก ยิ่งถ้ามีคนรู้ว่าเธอเป็นคนแรกที่พบศพ เธออาจจะตกเป็นผู้ต้องสงสัยและเป็นขี้ปากของชาวบ้านไปอีกนาน
“ถ้างั้น ฝากเธอเฝ้าศพไว้ให้ก่อน” ท่านชายรับสั่ง
“ได้” คุณหญิงเปลวกนกพยักหน้ารับ เหลือบมองไปทางด้านนอกว่าทั้งสองจะเดินทางไปบ้านผู้ใหญ่วิทยาอย่างไร ก็มองเห็นม้าสองตัวผูกอยู่ใกล้ๆ กับเจ้าสีหมอก…ม้าของเธอ “ไปบ้านผู้ใหญ่ถูกใช่ไหม”
“เมื่อวานคุณหลวงอิงพาเราไปรู้จักกับผู้ใหญ่วิทยาแล้ว” ท่านชายตรัสกับคุณหญิงเปลวกนก ก่อนจะพยักพักตร์ให้เจิดนภางค์
“หญิงเจิดจะไปด้วย หรือจะรออยู่ที่นี่”
“หญิงไปด้วยดีกว่าเพคะ” คุณหญิงเจิดนภางค์รีบตอบ ดวงตาของเธอมองเด็กหนุ่มหน้าขาวด้วยความหวาดระแวง ท่าทางมันมีพิรุธออกจะตายไป สวมหมวกหรุบปิดหน้า ท่าทางลอกแลกกระสับกระส่าย เรื่องอะไรจะทิ้งให้เธออยู่กับเด็กร้ายกาจคนนี้ตามลำพัง ดีไม่ดีเกิดมันบ้าเลือด ลุกขึ้นมาฆ่าเธออีกคน จะทำอย่างไร ใครจะช่วย
รอจนชายหนุ่มและหญิงสาวทั้งสองขึ้นม้าและขี่จากไปตามทางเรียบร้อยแล้ว คุณหญิงเปลวกนกก็ถอนใจออกมายาวๆ ดวงตาจ้องมองร่างไร้วิญญาณที่นอนอยู่กลางร้านด้วยใจที่ยังไม่หายประหวั่น
…เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้…
ถึงแม้ผู้คนที่บางเบิดจะไม่ชอบวิทิศน์ แต่บุตรชายคนเล็กของนายทรัพย์ก็ไม่ได้เลวร้าย ถึงขนาดต้องฆ่าต้องแกงกันเลย
“อุ๊ย…”
ขณะกำลังนั่งใจลอยคิดไปถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้ เสียงใสๆ ของเด็กสาวคนหนึ่งก็ดังขึ้นจากประตูหน้าร้าน เปลวกนกหันขวับกลับไปอย่างรวดเร็ว ก็เห็นว่าผู้ที่ผลักประตูก้าวเข้ามาคือเด็กสาวผมยาว ผิวคล้ำ สวมเสื้อแขนกุดและนุ่งผ้าซิ่นลายดอกสีส้มอมชมพูยาวกรอมเท้า
“ศรีไพร” คุณหญิงเปลวกนกจำเด็กสาวที่เป็นลูกจ้างของวิทิศน์ได้ทันที
“คุณเปลว” ศรีไพรมองเลยไปทางด้านหลังของเปลวกนก…สายตาของเธอจ้องมองร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่กลางร้าน ก่อนจะผงะถอยหลัง พร้อมทั้งส่งเสียงกรีดร้องด้วยความตื่นตระหนก
“นั่น…นั่น…” นิ้วของศรีไพรที่ชี้ตรงมาสั่นระริก “คุณวิทิศน์ใช่ไหม”
คุณหญิงเปลวกนกเดินตรงไปหาศรีไพร เอื้อมมือไปจับบ่าผอมบางของอีกฝ่าย เขย่าเบาๆ ราวจะเรียกสติกลับคืนมา
“ทำใจดีๆก่อนนะศรีไพร…”
“คุณวิทิศน์ตายแล้ว…ไม่ใช่ ไม่จริง ไม่จริงใช่ไหมคุณเปลว คุณวิทิศน์จะตายได้ยังไง เมื่อคืนยังคุยกับหนูอยู่เลย ไม่เชื่อ เป็นไปไม่ได้…”
ศรีไพรร้องไห้โฮออกมา เสียงที่พร่ำพูดออกมาราวกับคนเสียสติ ฟังปะติดปะต่อกันได้ว่า
“…ต้องเป็นมัน…ต้องเป็นฝีมือของมันแน่ๆ…”
***
เซรั่มบำรุงผิวที่เป็นมาสก์ได้ในหนึ่งเดียว
ทุกยอดการสั่งซื้อจะมีส่วนแบ่งกลับมาเพื่อสนับสนุนเว็บไซต์อ่านเอา
สั่งซื้อ 1 หลอดราคา 2,090 บาท คลิกที่นี่ >>>>> https://bit.ly/2UT2G40
สั่งซื้อเซ็ตประหยัดสุดคุ้ม 3 หลอดราคา 2,940 บาท คลิกที่นี่ >>>>> https://bit.ly/2QFzcY9