เพื่อนเดียวเสี่ยวฮัก บทที่ 2 : เครือเขาหลง

เพื่อนเดียวเสี่ยวฮัก บทที่ 2 : เครือเขาหลง

โดย : มาลา คำจันทร์

Loading

เพื่อนเดียวเสี่ยวฮัก กับเรื่องราวของตำนาน ความเชื่อ และความรัก…มิตรภาพอันบริสุทธิ์ของเพื่อนรัก กับความรักที่มีต่อหญิงสาวคนเดียวกัน ความรักนั้นจะสะบั้นสายสัมพันธ์ของเพื่อนลงได้หรือไม่…ผลงานจาก อ. มาลา คำจันทร์ ในรูปแบบ นิยายออนไลน์ ได้ลงจนจบบริบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางผู้เขียนใจดีมอบ 5 บทแรกไว้ให้อ่านกันที่อ่านเอาและหากติดใจอยากอ่านต่อละก็…เตรียมพบกับ #เพื่อนเดียวเสี่ยวฮัก จาก มาลา คำจันทร์ ในรูปแบบหนังสือและอีบุ๊ก โดย สำนักพิมพ์ กรู๊ฟ พับลิชชิ่ง / GROOVE PUBLISHING ตามร้านหนังสือและที่ www.groovebooks.com ได้ในเดือนสิงหาคม 62 นี้

……………………………………………………………

-2-

 

ห้วยห้อมเป็นบ้านคนไทยพื้นราบเกือบจะหมู่สุดท้ายในเขตตำบลสันป่าเลียง ถัดเข้าไปเป็นพื้นที่ป่าเขาสูงชันคนไทยไม่ชอบอยู่ แต่ชาวเขาหลายเผ่าหลายผู้ชอบอยู่  แต่ละผู้แต่ละเผ่าจำแนกแตกต่างกัน ไม่เป็นเผ่าหนึ่งเผ่าเดียวอย่างคนไทยพื้นเมือง แยกกันอยู่แต่ละหมู่บ้าน ไม่ปะปนกัน ไม่เกาะกุมคุมรูปกันเป็นเมืองอย่างคนไทย อาจเพราะพวกเขาเข้ามาทีหลัง โยกย้ายมาจากแผ่นดินเดิมของเขาที่อยู่ในพม่า มากันหลายครั้ง แต่ละครั้งก็มาไม่มาก เมื่อมาถึง ผืนแผ่นพื้นราบก็แทบไม่เหลือที่ว่างให้เขาสอดแทรกได้ คนไทยพื้นเมืองอยู่เต็มหมดแล้ว จึงได้แต่ซุกแทรกอยู่ตามดอยสูงที่คนพื้นเมืองไม่อยู่ ป่าใดใหญ่หนาดึกดำเกินไปพวกเขาก็ไม่อยู่เช่นกัน อย่างแถวดงหลวงเป็นต้น

“ดงหลวงเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ต้องห้าม” พ่อหลวงสมพูดในวงข้าววงเหล้าค่ำนั้น “เป็นดินแดนหวงห้าม เจ้าป่าอารักษ์ท่านพิทักษ์รักษาไว้  ไม่จำเป็น คนบ้านเราไม่อยากเข้าดงหลวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคอยดอยหลวงกลางดงหลวง ปู่เจ้าดอยหลวงท่านสถิตอยู่ ไอ้น้อยอ้ายเอ็งพาลูกพ่อกำนันเข้าป่าอย่าชะล่าใจ อย่าเผลอหรือพลั้งพลาดเด็ดขาด ท่านอาจเอาถึงตายนะเอ็ง”

“ชื่ออะไรหรือพ่อหลวง”หนุ่มโอ่อ่าท่าทางองอาจปราดเปรียวตักยำไก่ใส่หัวปลีเข้าปาก หางตาอดชำเลืองมองลูกสาวคนเล็กของพ่อหลวงไม่ได้ “ปู่เจ้าดอยหลวงท่านนั้น”

“ไม่มีชื่อเรียก เรียกกันมาแต่ว่าปู่เจ้าดอยหลวง หากเข้าไปก็อย่าลืมไหว้สาบอกกล่าวท่านด้วย แต่อย่าเข้าถึงดอยหลวงจะดีที่สุด มันลึก มันดึก สัตว์สิ่งมิ่งไม้พิลึกพิลั่น ผีสางมะลางดงชุกชุม”

“ยังมีพื้นที่แห่งหนึ่งในดงหลวงเรียกว่าโหล่งเผต” อุ๊ยแก้ว พ่อตาของพ่อหลวงสมพูดต่อ  “ลึกลับ รุงรัง เป็นที่อยู่กินของเปรตผีพวกหนึ่ง ใครพลัดหลงเข้าไป ไม่ได้กลับมา”

“พ่อข้า…เป็นไปได้ไหม พ่อข้าอาจยังพลัดหลงอยู่ในโหล่งเผต ยามนี้”

หนุ่มผอมบางผู้เหมือนคนติดตามรับใช้มากกว่าเพื่อนของลูกพ่อกำนันเบนสายตาจากชานเรือนไปทางตะวันตก มองไม่เห็นดอยหลวง แต่เหมือนเห็นพ่อกระเซอะกระเซิงซมซานอยู่ในดินแดนลึกลับต้องห้ามแห่งนั้น

พ่อหลวงสมทอดตามองตาม พูดเหมือนปลอบโยนเอาใจ

“โหล่งเผต… ไม่เป็นที่เป็นทางชัดเจนอย่างดอยหลวง มันมีเครือเขาหลงกั้นอยู่ คนแก่คนเฒ่าเล่ามาอย่างนั้น ผู้ใดข้ามเครือเขาหลง จะหลงเข้าโหล่งเผต  พ่อเอ็งอาจพลัดไปทางฝั่งพม่า แล้วถูกทหารพม่ากะเหรี่ยงจับไป เขายังสู้รบกันอยู่ อาจหลบหนีมาได้สักวัน”

“เรื่องเครือเขาหลงข้าเองก็เคยได้ยินตาพูดถึงอยู่เหมือนกัน” อุ่นแสงเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากให้ใครมาพลอยทุกข์ใจไปกับตนเรื่องพ่อหาย “ตาข้าว่าเครือเขาหลงเป็นเถาเป็นเครือเลื้อยเลาะเลือนดิน ผู้ใดข้าม จะพลัดหลงไปสู่เมืองเผตเมืองผี เมืองมืดดำก่ำเส้า แสงธรรมพระเจ้าบ่เคยส่องถึง”

“เมื่ออุ๊ยกับตุ๊ลุงไปจ้างตาเอ็งจารธรรม”อุ๊ยแก้วพูด “ตุ๊ลุงขอดูลานก้อมที่ตาเอ็งคัดลอกเรื่องเครือเขาหลงเก็บไว้ ตาเอ็งค้นหาเหมือนจะปลิ้นเรือน หาไม่พบ”

“ลานก้อมเรื่องเครือเขาหลง…” อุ่นแสงมองหาองอาจที่อ้างว่าจะลุกไปสูบบุหรี่ ที่แท้ไปคุยอยู่กับบัวผาย “เมื่อข้ายังเป็นเณร ข้าก็ยังได้เห็น แต่ตอนนั้นข้ายังเด็กเกินไป ไม่เก่งตัวเมือง อ่านไม่แตก”

“เรื่องคนพลัดหลงเข้าดงเผตดงผีแล้วกลับออกมาได้ก็พอมีเหมือนกัน” อุ๊ยแก้วพูดต่อ “เมื่อห้าสิบปีก่อน  เหมือนว่ามีคนซมซานออกมา พักอยู่ห้วยห้อมสองสามคืนแล้วก็ออกไป”

ยำชิ้นไก่หรือต้มยำไก่พร่อง เจ้าบ้านสบโอกาสจึงเรียกลูกสาวคนเล็กให้เอามาเติม ไม่ใช่หวงแหนลูกสาวหรือรังเกียจลูกชายกำนัน แต่ข่าวคราวก็ฉาวโฉ่จากสันป่าเลียงมาถึงห้วยห้อมอยู่บ้าง เขาว่าลูกกำนันหลอกนอนสาวมาแล้วหลายราย มีอยู่สองสามรายมีลูกติดท้องแต่ลูกกำนันไม่รับผิดชอบ  พ่อแม่สาวต้องเอาสาวไปรีดลูกทิ้ง

 

ดอกจำยามหอมชื่น  เป็นไม้พุ่มเล็กๆ สูงสักหัวเข่า ชอบขึ้นทั่วไปตามที่ว่างทางรก ไม่มีใครปลูก มันขึ้นของมันเอง มีอยู่สองสีคือสีขาวกับสีบานเย็น  บางคนก็เรียกว่าดอกบานเย็น บางคนก็เรียกว่าดอกบานแลง แลงลงตะวันรอนอ่อนแสงก็เริ่มคลี่บาน คนแก่คนเฒ่าบอกว่าหัวของมันเป็นยา เอายางที่หัวของมันมาใส่หูด  จะกัดหูดให้ค่อยฝ่อไป แต่คำแก้วไม่เคยเป็นหูด ไม่เคยใช้ยางจากหัวดอกจำยามมากัดปุ่มปมเนื้องอก แต่เมื่อยังเด็กกว่านี้ กำลังริเป็นสาวก็ชอบเอาเมล็ดดำๆ ของมันมาบี้ ในเมล็ดมีฝุ่นแป้งขาวๆ เด็กอยากเป็นสาวแอบเอามาทาแก้ม

แต่ว่าวันนี้เป็นสาวเต็มตัว ไม่ต้องใช้ผงแป้งจากเมล็ดดอกบานแลงแล้ว   แป้งฝุ่นสโนว์ไวท์ แป้งฝุ่นคลีโอพัตรา…อ้ายองอาจชอบเอามาฝาก ยาทาเล็บสีแดงๆ ก็ซื้อมาแต่เธอไม่ชอบทาเลยละไว้

“หายหน้าไปนะเอ็ง”นางบัวถาวางร่มกระดาษสีแดงไว้กับดิน เข้ามาในใต้ถุน “สองสามวันมาแล้ว ไม่เห็นหน้าลูกพ่อกำนัน”

“ลูกแม่คำแสงด้วย ไม่เห็นหน้ามาหลายวัน”

“คิดถึงมันหรือ” นางค้อนลูกสาว “ไอ้ลูกคนหาย หายหรือตาย หรือหนีก็ไม่รู้ ละลูกเป็นโขยงให้เมียเลี้ยงคนเดียว”

“แม่ไปไหนมา” ลูกสาวตัดบท มองร่มแดงที่ยังกางวางอยู่กับพื้น

“ไปตูบกาด” นางหมายถึงร้านค้าที่เป็นเพิง หลังคามุงตองตึง “ละครซอกำลังม่วน นางอุทราจะได้ขึ้นปราสาทเป็นเมียพญาเจ้าเมือง  แต่นางไวยกาอิจฉา หาช่องจะฆ่านางอุทรา”

“คนละเรื่องแล้วแม่” ลูกสาวยิ้มๆ “นางอุทราอยู่ในเรื่องเต่าน้อยอองคำ นางไวยกาอยู่ในเรื่องอ้ายร้อยขอด”

“แม่อยากได้วิทยุ” นางกลบเกลื่อนความเลือนเลอะไม่ค่อยชัดเจนของตัวเอง “จะเอาไว้ฟังละครซอ พ่อเอ็งมันก็ชอบฟังข่าว มีวิทยุเหมือนอียุพาแม่อียุพิน ไมต้องไปฟังละครซอที่ตูบกาดก็ได้ แม่คร้านได้ยินคำปากอีหมู่นั้น มีแต่เล่าขวัญนินทากัน ผู้ใดลุกไปผู้นั้นโดนเล่า บางทีปวดเยี่ยวริมตาย ไม่กล้าลุก”

“กลัวเขาเล่าขวัญ ก็ไม่ต้องไป”

“มีวิทยุ ก็ไม่ต้องไป”

คร้านจะต่อปากต่อคำกับแม่ คำแก้วก้มหน้าลงเสีย ทำทีจัดแจงกล้วยดิบกล้วยสุก ยอดไม้ใบตองที่จะเอาไปขายตลาดสันป่าเลียงพรุ่งนี้เช้า สันป่าเลียงเป็นบ้านใหญ่ ชื่อตำบลว่าสันป่าเลียงก็ออกจากนามบ้านนี้ ชื่อวัดก็ว่าสันป่าเลียง ชื่อโรงเรียนก็ว่าโรงเรียนบ้านสันป่าเลียง คำแก้วจบป.๔ ที่นี่ อ้ายองอาจกับพี่น้อยอุ่นแสงต่างก็จบป.๔ที่โรงเรียนบ้านสันป่าเลียงเช่นกัน น้อยคนนักที่จะได้เรียนต่อม.๑ เพราะไม่มีโรงเรียนมัธยมในตำบล มีที่อำเภอ

ยี่สิบสามสิบปีผ่านมา ลูกหลานสันป่าเลียงทั้งตำบลที่ได้เรียนต่อโรงเรียนมัธยม  ดูเหมือนจะมีแต่ลูกพ่อกำนันกับลูกครูสุรีย์เท่านั้น ลูกชายพ่อกำนันมีสามคน อ้ายทองคำคนแรกจบเพียงป.๔ อ้ายสมศักดิ์คนที่สองไปจบม.๓ ที่อำเภอแต่อ้ายองอาจไปไกลกว่าพี่ๆ ได้ไปเรียนในเวียงเชียงใหม่พู้น  แต่เรียนขึ้นไปไม่จบม.๖ สอบตกแล้วกลับมาล่องแล่งต่องแต่งในตำบล ขี่รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่โฉบไปฉายมา เขาว่าอ้ายองอาจหลอกนอนสาวบ้านนั้นบ้านนี้มาแล้วหลายคน พอพ่อแม่สาวโวยวาย แม่กำนันก็เอาสร้อยเอาแสงยัดปากเสีย แล้วเรื่องราวก็เงียบงับดับหายไป

อ้ายอีกผู้นั้นเล่า ท่าทางหนักแน่นจริงจังมากกว่าแต่แม่ไม่ค่อยชอบเพราะเป็นลูกคนทุกข์คนยากลำบากฝืดเคือง แม่กลัวเธอจะลำบาก หากได้กับพี่อ้ายชายบ่าวผู้นี้ แม่ชอบลูกพ่อกำนันมากกว่า แม่ว่าหากได้กับอ้ายองอาจ เธอจะสุขสบายเหมือนพี่ยุพินลูกแม่ยุพา ที่ได้เป็นเมียอ้ายสมศักดิ์

แต่แม่เอ๋ย คิดหรือว่าอ้ายองอาจจะจริงจังต่อข้า  มันคิดแต่จะหลอกล่อโลมนอนเท่านั้น เหมือนอี…อีปางไม้แดง อีน้ำโท้ง และอี…อาจจะมีอีนั่นอีนี่อีกที่ข้าไม่รู้

ข้าไม่ชอบคนอย่างนี้ สายตามันที่มองข้า เหมือนล้วงก้นล้วงกอย

 

“พ่อกำนันเมื่อยังหนุ่มห้าวนัก”

พ่อหลวงสมเอ่ยขึ้นตอนหนึ่ง ลูกพ่อกำนันและลูกคนหายต่างชะงักมือ ตั้งใจฟังเรื่องราว พ่อหลวงสมจิบเหล้า ตามด้วยเนื้อไก่ยำชิ้นหนึ่งแล้วพูดต่อ

“ครั้งหนึ่ง  มีไอ้เสือปล้นฆ่าคนหนึ่งร้ายกาจนักชื่อเสือวงศ์ มันหลบมาซุ่มในตำบลเรา ตำรวจเขาขอกำนันคือพ่อเอ็งเอาคนเข้าสมทบเพื่อล้อมจับเสือวงศ์ พ่อหลวงก็ไปกับพ่อเอ็งตอนนั้น ตำรวจประกาศให้มันวางอาวุธยอมมอบตัวแต่โดยดี หว่านล้อมอยู่ครึ่งวัน มันว่าถ้าพ่อกำนันกล้าเดินเข้าหามันมือเปล่า มันจะมอบตัว”

“พ่อข้ากล้าเดินมือเปล่าเข้าหามันไหม พ่อหลวง”

“พ่อเอ็งไม่เคยเล่าหรือ เรื่องนี้”

“ไม่เคยเล่า พ่อไม่ชอบพูดเรื่องตัวเองให้ใครฟัง”

“พ่อเอ็งห้าว พ่อเอ็งกล้า มือเปล่าเดินเข้าหาเสือวงศ์ เสือวงศ์มันแพ้ใจพ่อเอ็ง เลยยอมมอบตัว”

“ปู่ข้าล่ะ พ่อหลวง เมื่อปู่เป็นกำนัน สันป่าเลียงตำบลเราเป็นใดพ่อง”

“เมื่อปู่เอ็งเป็นกำนัน พ่อหลวงยังเป็นละอ่อนต่อนแต่นไม่รู้เรื่องรู้ราว ต้องถามอุ๊ยแก้ว”

“จำไม่ได้” พ่อเฒ่าแก้วย่นหัวคิ้วจนหน้าผากหยักร่องลึก “สมัยนั้นบ้านเมืองยังเป็นป่าลึกดึกดงอยู่นัก รู้จักกันแต่ห้วยห้อม ยางฮอม ปางไอ่เท่านั้น ชื่อว่าตำบลสันป่าเลียงก็ยังไม่รู้จักด้วยซ้ำ มาได้รู้ได้ยินภายหลัง เขาว่าปู่เอ็งก็เก่งนัก มีธนูมืออยู่ในมือ แค่เพียงเงื้อมือ งัวควายตัวใดว่าดุ ก้มหัวให้ปู่เอ็งทังนั้น”

“ข้าเองก็พอได้ยินเรื่องธนูมือมาเหมือนกัน”อุ่นแสงเอ่ยแทรก “ครูข้าว่าธนูมือร้ายแรงนัก อย่าว่าแต่งัวควายเลย เสือหมีก็ยังขยาด แต่ครูข้าก็ว่าไว้อีกคำ ธนูมือเหมือนมีดสองคม ใช้บ่ระวัง มันจะบาดมือ”

“ครูเอ็งเป็นใคร ไอ้น้อยอุ่นแสง”

“พ่อหนานเย็น”

“หนานเย็นหรือ”ผู้สูงอายุที่สุดในวงเหล้าย่นหัวคิ้วอีก “เหมือนเคยได้ยิน”

“อยู่บ้านสันกอเก็ด ตายไปแล้วพ่ออุ๊ย สักปีกว่าผ่านมา”

“ข้ากลับเรือนก่อนละพ่อหลวง พ่ออุ๊ยแก้ว” น้อยอ้ายยกเหล้าแก้วสุดท้ายกรอกปากแล้วหันมาพูดกับสองหนุ่มต่างบ้าน “วันพรุ่งสายๆ อ้ายจะมาพาสูสอดส่องล่องดง”

“บ่ดีลืมที่กูสั่งไว้” เจ้าเรือนกำชับ “บ่จำเป็น บ่ดีเข้าดงหลวง”

“บ่ลืม พ่อหลวง”

ชายชื่ออ้ายลงเรือนไปแล้ว เรียกกันว่าน้อยอ้าย มีคำว่าน้อยนำหน้าเพราะสึกออกมาจากสามเณร เหมือนอุ่นแสง อยู่ที่ดงม่วงฝ้าย คนอื่นเรียกเขาว่าน้อยแสง มีแต่คำแก้วเท่านั้นที่เรียกต่างออกไป

พี่น้อย…

อบอุ่นลึกๆ ในหัวใจ

แต่ก็มีความหม่นหมองเบาบางเคลือบคลุม

องอาจเอ๋ย หากมึงรักกูเป็นเสี่ยวจริง มึงหลีกทางให้กูได้ไหม เว้นคำแก้วไว้แก่กูเถิด กูรักของกูจริงๆ แต่มึงไม่รักคำแก้วเลย สายตามึงที่มองคำแก้ว ไม่แตกต่างอันใดเลยกับที่มึงมองบัวผาย

“ห้วยห้อมวันนี้มีคนกี่หลังคาเรือน พ่อหลวง”

องอาจจุดบุหรี่สูบ เป็นบุหรี่ซองแดงชื่อว่าเกล็ดทอง เป็นของแพง มีแต่คนระดับเจ้าระดับนายเท่านั้นที่สูบ จุดแล้วก็วางซองไว้กลางวงไม่ได้เก็บเข้ากระเป๋า แต่ก็ไม่มีใครกล้าหยิบ

“ถามอย่างนี้ เหมาะสมแล้วที่เป็นลูกกำนัน” ผู้ใหญ่สมหัวเราะหึๆ “ซาวปีไปหน้า สันป่าเลียงอาจมีกำนันชื่อว่าองอาจ”

“ซาวปีไปหน้า พ่อข้าก็เจ็ดสิบกว่า จะไหวหรือพ่อหลวง ไม่แน่นัก สักสิบปีไปหน้าพ่อข้าอาจลาออก กำนันคนใหม่อาจชื่อกำนันสม บ้านห้วยห้อม”

“ล้ำไป สูงล้ำไป ใหญ่ล้ำไป” ชายวัยสี่สิบเศษหัวเราะ “เกินยศ เกินศักดิ์ เกินตระกูลมูลเหง้า พ่อหลวงบ่มีเงินทอง บ่มีไร่นาช้างม้าข้าคนอย่างพ่อเอ็ง เป็นบ่ได้ เอ็งล่ะ ไอ้น้อยอุ่นแสง บ่อยากเป็นพ่อหลวงกำนันบ้างหรือ”

คนผอมบางหน้าจางๆ ออกจะซูบเซียวสะดุ้งเพราะมัวแต่คิดเรื่องอื่น

“อะไรนะ พ่อหลวง”

“พ่อหลวงว่าเอ็งไม่อยากเป็นพ่อหลวงกำนันบ้างหรือ เข้มแข็งดี เอ็งน่ะ อายุแค่นี้ เคยเข้าขุนแม่แลบแล้ว”

“ไม่ใช่แค่เข้า พ่อหลวง” องอาจเริ่มอ้อแอ้ “มันล่า มันเข้าป่าคนเดียวมาแต่อายุสิบห้าโน่นแล้ว เสี่ยวข้าผู้นี้เก่ง พ่อข้าเองก็ยังชื่นชมมัน”

“การจำเป็นหรอกมึง”

ตัดบท ฉวยโอกาสเมื่ออุ๊ยแก้วลงเรือนไปอีกคน บอกลาพ่อหลวงว่าข้าขอนอนก่อนละ ลุกจากชาน ลัดเรือนไปทางโถงด้านหน้าซึ่งเป็นที่นอนแขก บัวผายกับแม่หลวงเจือลาดที่นอนไว้ให้แล้ว

คำแก้ว คิดถึงเอ็งนัก  



Don`t copy text!