เพื่อนเดียวเสี่ยวฮัก บทที่ 1 : ดำฤษณา

เพื่อนเดียวเสี่ยวฮัก บทที่ 1 : ดำฤษณา

โดย : มาลา คำจันทร์

เพื่อนเดียวเสี่ยวฮัก กับเรื่องราวของตำนาน ความเชื่อ และความรัก…มิตรภาพอันบริสุทธิ์ของเพื่อนรัก กับความรักที่มีต่อหญิงสาวคนเดียวกัน ความรักนั้นจะสะบั้นสายสัมพันธ์ของเพื่อนลงได้หรือไม่…ผลงานจาก อ. มาลา คำจันทร์ ในรูปแบบ นิยายออนไลน์ ได้ลงจนจบบริบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางผู้เขียนใจดีมอบ 5 บทแรกไว้ให้อ่านกันที่อ่านเอาและหากติดใจอยากอ่านต่อละก็…เตรียมพบกับ #เพื่อนเดียวเสี่ยวฮัก จาก มาลา คำจันทร์ ในรูปแบบหนังสือและอีบุ๊ก โดย สำนักพิมพ์ กรู๊ฟ พับลิชชิ่ง / GROOVE PUBLISHING ตามร้านหนังสือและที่ www.groovebooks.com ได้ในเดือนสิงหาคม 62 นี้

……………………………………………………………

-1-

 

มอเตอร์ไซค์สมัยสงครามญี่ปุ่นแล่นเข้ามาในเขตบ้าน ไม่ต้องชะโงกหน้าดู พ่อหลวงสมบ้านห้วยห้อมก็รู้ว่าเป็นใคร

เป็นใครไปไม่ได้เด็ดขาด นอกจากองอาจ ลูกคนเล็กของพ่อกำนันทองดี

“เอ็งเตรียมน้ำเตรียมท่า หมากเมี่ยงบุหรี่ให้พร้อม บัวผาย” สั่งลูกกำลังเริ่มสาว “เอาลงไปที่ตั่งใต้ถุนนะ”

ลงมาจากเรือนทางบันไดหลัง มอเตอร์ไซค์คันใหญ่ อาจจะเป็นคันเดียวของตำบลเสียด้วยซ้ำจอดอยู่ที่ใต้ร่มลำไย องอาจปิดเครื่องแล้วลงจากรถ ไม่ได้มาคนเดียว มีใครอีกคนที่แกไม่รู้จักซ้อนท้ายมาด้วย

“พ่อกำนันสั่งให้ไปประชุมหรือ”

“เปล่า พ่อไม่ได้ใช้ ข้ามาเอง ว่าจะมาขอนอนเรือนพ่อหลวงสักสองสามคืน”

“กี่คืนก็ได้ จะมาลองปืนใหม่หรือ ยิงเสือได้ละยัง องอาจ”

“ยัง พ่อหลวง ไม่ใช่ปืนใหม่ ออโตฯกระบอกเดิมนั่นแหละ”

“มา เข้ามา กินน้ำกินหนองก่อน”

หันไปมองคนผอมๆ บางๆ ท่าทางเหมือนคนรับใช้ในบ้านของพ่อกำนัน แล้วถาม

“คนในบ้านเอ็งหรือ ชื่ออะไร”

“ชื่ออุ่นแสง ไม่ใช่คนในเรือนข้า”

“ถึงว่า ไม่เคยเห็นหน้า”

ลูกพ่อกำนันเสยหมวกหนังปีกกว้างให้พ้นหัว ล้วงเอาหวีมาตกแต่งทรงผมให้เข้ารูปเข้ารอยแล้วเข้าสู่ใต้ถุนเรือนอันเป็นที่รับแขก ปลดสายเป้คล้องไหล่ลงจากหลัง มองปราดไปแล้วผิวปากวิ้วๆ เพราะเห็นสาวหนึ่งอวบอัดอ้อนแอ้น ย่างเยื้องเอื้องไหว อกไกวก้นแกว่ง เอาน้ำต้นคนโทลงบันไดมา

“นั่นเอ็งหรือบ้วผาย  ไม่เห็นหน้าห้าหกเดือน เป็นสาวทันตา”

บ้วผายยิ้มอายๆ ยามยิ้มลักยิ้มข้างแก้มหยักรูปเป็นรอยชัดเจน ลูกชายพ่อกำนันได้เห็นก็นึกรักขึ้นมาทันที

หากเป็นไปได้ กูอยากได้เป็นนางนอนอีกคน

ลมกรูโกรก บ้านห้วยห้อมสงบเงียบ เงียบมาก นานๆ จึงได้ยินเสียงตัดไม้เป็นช่วงๆ เสียงไก่แจ้ไก่อูขันเอ้กอี๋เอ้กวิเวกในหู แดดยามบ่ายส่องไสวอยู่นอกปีกชายคา ยังไม่ลอดเข้ามาที่ใต้ถุนเรือน ตั่งไม้ตัวใหญ่มีชายสามคนนั่งอยู่ เจ้าบ้านนั่งเกือบในสุดหันหน้าออกนอก หนุ่มวัยลูกสองคนนั่งเกือบนอกสุดหันหน้าเข้าใน  ระหว่างกลางมีคนโทดินเผา ออมใส่เมี่ยงและแอ็บใส่ยาสูบคั่นกลาง ลูกเมียพ่อหลวงไม่อยู่ร่วมรับแขก ปลีกตัวไปแต่ยังใส่ใจฟังหาเสียงเรียกใช้ สาวบัวผายดูขี้อายกว่าคำแก้ว องอาจยิ้มให้ ส่งสายตาเจ้าชู้โลมเลียม เธอหน้าแดงก้มหน้าแล้วเลี่ยงออกไปจากใต้ถุน ไม่โผล่หน้าชวนฝันมาให้เห็นอีกเลย

กูอยากได้ ได้นางอย่างนี้มาแนบนอน  เสียทองสักสองบาทก็คุ้ม”

“คิดอย่างไรหรือองอาจ”พ่อหลวงกระแอม “ถึงอยากมานอนห้วยห้อมสองสามคืน”

เจ้าบ้านวัยราวสี่สิบเศษถาม หลบตาคล้ายมีพิรุธอะไรในใจ แล้วค่อยสบตา

“อยากยิงหมูยิงฟาน” แขกหนุ่มโอ่อ่าวัยราวยี่สิบหัวเราะเก้อๆ “หากเป็นไปได้ ก็อยากยิงเสือให้ได้สักตัว”

“หมูกับฟานยังชุมอยู่ พอมีหวัง แต่เสือ…”มองปืนลูกซองออโตเมติกในถุงผ้าของลูกพ่อกำนันแล้วมองปืนแก๊ปของอุ่นแสง “เอ็งยิงอะไรมาบ้าง แรดช้างเสือหมี ผีดิบผีดง”

“เสี่ยวข้าผู้นี้ยิงปืนแม่น พ่อหลวง” องอาจชิงตอบ “ป่าขุนห้วยแม่แลบ มันล่าจนเรียบ”

“ไม่ใช่เสี่ยวหรอกพ่อหลวง”ไอ้หนุ่มผอมบางค้อมหลังลงก่อนกล่าว “เป็นเพื่อนยามลูกพ่อกำนันเข้าป่าเท่านั้น”

“ลูกใครหลานใครนะเอ็ง อุ่นแสง”

“พ่อข้าชื่อน้อยอุ่น แม่ข้าชื่อคำแสง ตาชื่อพ่อหนานอินตา บ้านดงม่วงฝ้าย”

“พ่อหนานอินตา บ้านดงม่วงฝ้ายหรือ รู้จัก ๆ” พ่ออุ๊ยแก้ว พ่อตาของผู้ใหญ่บ้านข้ามาในใต้ถุนอีกคนแล้วร่วมสนทนา ”ตาเอ็งลายมืองาม จารธรรมงามเล่าลืออวดอ้าง ยังสบายดีอยู่นะ ตาเอ็ง”

“สบายดีอยู่ แต่ละเหล็กจารแล้ว ตาว่าข้อมืออ่อนแรงไปแล้ว”

“แล้วเอ็งล่ะ  จารธรรมได้งามอย่างตาเอ็งไหม”ผู้ใหญ่บ้านแห่งหมู่บ้านห้วยห้อมถาม “บวชมาละยัง”

“ไม่ทันได้ฝึกจารลานก็สึกออกมาก่อน บวชเป็นเณรเพียงสองสามพรรษาเท่านั้น พ่อหลวง”

“อือ” พ่อหลวงห้วยห้อมสูบบุหรี่พ่นควันยาว พออกพอใจหนุ่มผอมบางผู้มีกิริยาอาการนอบน้อมค้อมหลังยามพูดยามจา “เป็นใดรีบสึกล่ะเอ็ง”

“พ่อมันหายไป” ลูกชายกำนันเป็นคนตอบ ไม่ประสานมือแล้วค้อมหลังเพราะไม่คุ้นเคยกิริยาอาการอย่างนั้น “บ้างว่าหาย บ้างว่าตาย ละแม่มันเป็นร้างเป็นหม้ายได้แปดปีมาแล้ว”

“ครั้งสุดท้าย พ่อข้าเข้าดงหลวงเมื่อแปดปีก่อนแล้วหายไป พ่อหลวงพบเห็นพ่อข้าหรือไม่”

“แปดปีก่อนหรือ…” เจ้าบ้านย่นหัวคิ้ว “จำไม่ได้ ไม่น่าจะเคยพบ ห้วยห้อมบ้านป่าบ้านดงคนน้อย คนต่างบ้านผู้ใดเข้าออกก็มักจะรู้กัน พ่อ…”หันไปทางพ่อเมีย “จำได้หรือไม่ แปดปีก่อน มีนคนชื่อน้อยอุ่นผ่านห้วยห้อมเข้าดงหลวง”

“จำบ่ได้ ดงหลวงเข้าได้หลายทาง อาจเข้าทางอื่น”

“นั่น…ไอ้น้อยอ้าย” เจ้าบ้านปราดไปเห็นเงาคนวับๆ ก็เรียกขึ้น “มาเข้ามาก่อน  กินน้ำกินหนอง สูบมูลอกมูลี”

น้อยอ้ายวัยราวสามสิบเข้าใต้ถุนมาอีกคน องอาจมองหาบัวผายแต่หาไม่พบ นึกเปรียบเทียบกับคำแก้ว งามคนละอย่าง แต่หากเป็นไปได้ กูก็อยากกอดไว้ซ้ายขวาทั้งสองคน

ว่าแต่ว่า…แม่กูจะทำการสำเร็จไหม

หากรู้ถึงหูพ่อ พ่ออาจไม่ตีกูหัวแตก แต่สายตาพ่อที่มองกู กูอยากหนีหายเข้าแผ่นดินไปเลย

 

“สูหายไปไหนมาแม่มัน จนมืดจนค่ำ”

เสียงทักเข้มงวดแกมหงุดหงิดดังขึ้น เล่นเอานางคำแผ้วสะดุ้ง

“ข้าไปเอาเทียนสะเดาะเคราะห์ให้สู”นางยื่นเทียนเล่มใหญ่ห่อด้วยกระดาษสาแสดงหลักฐาน “มัวคุยกับเมียพ่อหนานนานไปหน่อยก็เลยมาช้า”

“ไปเอาเทียนสะเดาะเคราะห์หัวบ้านหางบ้านนี่นะ เกือบครึ่งค่อนวัน แล้วไอ้หล้าหายไปไหน”

“ไม่รู้กับมัน” นางหลบตาผัวเป็นครั้งที่สอง “โน่นละมั้ง ขึ้นดอยลอยห้วย ตะลอนๆไปกับลูกไอ้คนหาย ข้าบอกแล้ว สูห้ามมันเสีย สูเป็นพ่อ สูห้ามมันฟังสู ข้าเป็นแม่ ข้าห้ามมันไม่ฟัง นี่นะสู…” นางได้ช่องจะลากความยาวไปทางอื่น เลยรีบพูดติดต่อกัน ไม่เปิดโอกาสให้ผัวซักถามถึงเรื่องที่นางปกปิด “ไอ้น้อยอุ่นผัวอีคำแสง สูว่ามันหนี หรือว่ามันหาย หรือว่ามันตายไปแล้ว ข้าว่า…”

“พอๆ” กำนันทองดีรีบตัดบท “ข้าถามแค่ศอก สูชักออกเป็นวา  ตอบคำข้ามาก่อน สูไปทำไม…ปางไม้แดง”

“สูรู้?”

“ไม่อยากให้ใครรู้ มีทางเดียวคืออย่าทำ” พ่อกำนันได้ทีก็เลยรีบสำทับ  อันที่จริงแกไม่รู้หรอกว่าเมียไปปางไม้แดง แต่เดาเอา “เรื่องอีแหวนใช่ไหม”

“สูมีเคราะห์มีกรรมอันใดหรือ พ่อไอ้หล้า” นางลอบแลซ้ายขวาหลุกหลิก หาช่องทางจะเลี่ยงออกทางด้านข้าง “ถึงให้ไอ้หล้าไปบอกพ่อหนานสีเทียนสะเดาะเคราะห์”

“ข้าไม่มีเคราะห์อันใด แต่ท่านปลัดมีเคราะห์”กำนันจุดบุหรี่สูบ นึกหาช่องทางจะต้อนเมียให้เข้ามุม “ปลัดมีเคราะห์ใหญ่เคราะห์หลวง นั่งลงแม่ไอ้หล้า จะเล่าให้ฟัง”

แม่ไอ้หล้าหลงกลผัว นั่งลงแล้วเรียกให้ลูกสาวคนโตผู้ยังอยู่เหย้าเฝ้าเรือนให้เอาชิ้นส้มฟานมาเติมให้ผัว ผัวนางเป็นกำนัน ชื่อกำนันทองดีอายุได้๕๖ปีนี้ ได้เป็นกำนันดีเด่นระดับจังหวัดมาแล้ว  นางเองอายุ๕๐ เป็นเมียคนที่สองของผัว ไม่ใช่เมียคนแรก มีลูกด้วยกันสี่คนเลี้ยงรอดหมด ทองดีกับสมศักดิ์เป็นฝั่งเป็นฝามั่นคงดีแล้ว รัตนายังเป็นสาวค้างคาเรือน ไอ้หล้าอายุ๒๐ ยังโหลเหลโต๋เต๋เป็นบ่าวโก้ลูกคนรวย ชอบฉวยสาวซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ไปเนิบไปนาบ

รัตนาเอาชิ้นส้มฟานหรือแหนมเนื้อเก้งมาเพิ่มให้พ่อแล้วก็ปลีกไปขลุกกับหม้อกูกหม้อแกงในเรือนไฟหรือห้องครัว กำนันทองดีวางเทียนสะเดาะเคราะห์ที่ท่านปลัดวานให้ไปบูชามาจากพ่อหนานไว้บนตั่งข้างตัว มืดค่ำตะวันใกล้ลับมาแล้ว พี่น้องชาวบ้านกำลังครัวแลงแปลงกินกุกๆ กักๆ  เหย้าเรือนพ่อกำนันกว้างใหญ่ กินพื้นที่เกือบสามไร่ แต่เดิมกว้างใหญ่กว่านี้ แต่ตัดแบ่งให้ลูกทองคำไปปลูกสร้างเหย้าเรือนผืนหนึ่ง ให้สมศักดิ์ลูกชายคนรองอีกผืน มันอุ่นใจดี มีลูกหลานแวดล้อมอยู่ใกล้ในวัยชรา เจ็บเป็นขึ้นมาจะเรียกหากันได้ง่าย

“ท่านปลัดมีเคราะห์ใหญ่อันใดหรือ พ่อมัน”

“เป็นเรื่องเป็นราวฉาวโฉ่ขึ้นมา” กำนันยกเหล้าขึ้นจิบ  ตามด้วยแหนมเก้งกำลังเปรี้ยวพอเหมาะพอดี “ทำสาวผู้หนึ่งท้อง พ่อแม่สาวเอาเรื่องจะฟ้องร้องถึงท่านผู้ว่าฯ ปลัดอยากสะเดาะเคราะห์ก็เลยให้คนมาบอกข้า ขอบูชาเอาเทียนสะเดาะเคราะห์ไปตาม”

“อีแหวนปางไม้แดง…”นางหลุดปากออกไปแล้วแก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ก็เลยต้องพูดความจริง “ข้าไปปางไม้แดงจริงพ่อละอ่อน แต่สูอย่าเพิ่งด่าข้า เรื่องนี้ข้าว่าไม่เหลือบ่ากว่าแรงข้า ข้าระงับยับยั้งได้”

“อย่าให้เดือดร้อนถึงข้า ข้าเป็นถึงกำนันดีเด่นนะสู อีแหวนบ้านปางไม้แดง มันท้องกี่เดือนแล้ว”

“แม่มันว่าจะเข้าสามเดือนมานี่แล้ว”

“ยังเป็นก้อนเลือดอยู่ ไม่ทันเป็นตัวคน จัดการเสียให้เรียบร้อย อย่าให้เขามาพบข้าเด็ดขาด ข้ากำนันทองดี กำนันดีเด่น  แต่ลูกกำนันกลับก่อเรื่องเสียเอง”

“พ่อสูสะอึกมาแต่เช้า” นางหาช่องจะออกจากมุม “หายละยัง”

“เรื่องพ่อข้ายกไว้ก่อน เรื่องไอ้หล้าด่วนร้อนกว่า ว่าอย่างใด ได้เรื่องได้ราวไหม”

“เขาจะเอาสร้อยคอสร้อยแขนบาทหนึ่งกับเงินสองร้อย  แต่ข้าต่อเหลือสองสลึง ยังไม่ตกลงกัน”

“คราวก่อน อีจันดีบ้านน้ำโท้ง ก็เสียสร้อยแขนสร้อยคอไปแล้วบาทหนึ่งกับเงินสองร้อย พอเถอะสู อย่าตามใจไอ้หล้านักล้ำ ข้า…กำนันทองดี กำนันดีเด่นขอสั่งสู นับแต่นี้ไปข้าห้ามสูเสาะหานางให้มันนอน สูละเมิดคำสั่งข้า ข้าจะซื้อละสูแล้วเอาเมียใหม่”

“ข้าเฒ่าแล้ว ซื้อละข้ายามนี้หาผัวใหม่ไม่ทัน ข้าขอตายเรือนนี้ อย่าซื้อละข้าเลยสู  ข้าไม่สอดส่องหานางให้มันนอนแล้ว แต่ข้าว่าหาเมียเป็นตัวเป็นตนให้มันนอนเสียเถอะสู อีคำแก้วชาวดงม่วงฝ้ายงามนัก ดีก็ดี งามก็งาม ไม่พูดมากปากยาวอย่างแม่มัน ขยับขันแข็งเล่าลืออวดอ้าง สาวใดก็สู้มันไม่ได้”

“แล้วสุมิตราล่ะ ลูกกำนันห้วยทรายขาว เสี่ยวข้า”

“คำแก้วเอาเป็นเมียพลาง (1) ไปก่อน ตกลงพ่อกำนันห้วยทรายขาวได้วันใดค่อยซื้อละ ที่ทางสูเป่อเลอะเป่อเต๋อ”นางหมายถึงเรือกสวนไร่นามีมากมาย “สองสามไร่ ซื้อละอีคำแก้ว ข้าว่าสมควร”

“ข้าอยากให้มันกลับเข้าเวียงไปเรียนหนังสือ..” มองหน้าเมีย ถอนใจยาวๆ คล้ายหนักอกหนักใจ  “สมัยนี้มันยุคโลกพัฒนาแล้วสู จะจบแค่ป.๔ อย่างทองคำกับสมศักดิ์มันไม่พอแล้ว แต่ไอ้หล้า…”

ถอนหายใจอีกเฮือก หนักใจไอ้ลูกคนเล็กที่แม่ตามใจจนจะเสียผู้เสียคน  สาวท้องขึ้นมา จะท้องจริงไม่จริงไม่รู้ พ่อแม่อีพวกนั้นถามหาเงินทองของแต่ง ไอ้หล้ามันแค่อยากนอน ไม่ได้อยากแต่ง เขาขู่จะเอาเรื่อง จะเหม็นคาวฉาวโฉ่กระทบกระเทือนถึงฐานะกำนันดีเด่นของแก

“สูจะให้มันเป็นกำนันสืบต่อจากสูหรือ พ่อมัน”

“อันที่จริงข้าหวังกับมันไว้สูงกว่านั้น” จิบเหล้าอีก เมียรีบหยิกแหนมฟานส่งให้เอาใจ “ ลูกชายเราสามคน มีแต่ไอ้หล้าได้เข้าเวียงไปเรียนหนังสือ มันควรขึ้นไปได้สูงกว่านี้ จบ.ม.๘ ข้าจะส่งมันไปเรียนต่อเมืองกอก จะได้เป็นผู้หมวดผู้กอง เป็นปลัดเป็นนายอำเภอ เป็นครูบาอาจารย์ แต่มัน…มันสอบตกม.๖แล้วไม่ยอมไปซ้ำชั้น  เป็นเพราะสูตามใจมันเกินเหตุ…”

“ข้าว่าเป็นเพราะลูกไอ้น้อยอุ่นอีคำแสงนั่นละสู ชักชวนมันเข้าป่าเข้าดง ขึ้นดอยลอยห้วย จะได้เคราะห์ใหญ่ภัยหลวงเพราะไอ้ผู้นั้นสักวัน”

“อันนั้นมันปลายเหตุ ข้าว่าเป็นเพราะสูมากกว่า เข้าเวียงเรียนหนังสือ พักในหอพักโรงเรียน คุณพ่อนิโคลาสควบคุมเข้มข้น มันไม่มีทางแอบเข้าซ่องไปนอนสาว แต่กลับมาอยู่สันป่าเลียง มันขอเงินไปล่อสาว ขอเท่าใดสูก็ให้ บางทีมันขอสิบสูหื้อซาว ขอซาวสูหื้อสามสิบ มือเติบใจเติบเพราะสูตามใจมัน”

“ไอ้หล้าลูกเราเกิดวันอาทิตย์ ส่วนไอ้น้อยอุ่นแสงเกิดวันอังคาร พ่อหนานว่าเป็นวันศัตรู” นางลากความผิดให้พ้นตัว  “อังคารซัดมีดมาถากหัวอาทิตย์ ลูกเราจะได้เคราะห์ใหญ่ภัยหลวงเพราะมัน”

“พอๆ วันมิตรวันศัตรูอย่าเอามาอ้างกับข้า เรื่องอีแหวนปางไม้แดง ระงับดับหายอย่าให้ถึงหูนายอำเภอ ข้าสั่งสู”

 

………………………………………

เชิงอรรถ :

(1) เมียชั่วคราว



Don`t copy text!