ภูษาแห่งราชา บทที่ 2 : ลวดลายบนอาภรณ์ของกษัตริย์
โดย : นาคเหรา
ภูษาแห่งราชา นวนิยายเรื่องล่าสุดจาก นาคเหรา ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากฉลองพระองค์ของพระราชาแห่งแดนโสม นิยายออนไลน์ ครบรส ที่ อ่านเอา อยากให้ทุกคนได้ อ่านออนไลน์ ได้ลงจนจบบริบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางผู้เขียนใจดีมอบ 5 บทแรกไว้ให้อ่านกันที่อ่านเอา และหากติดใจอย่างอ่านต่อสามารถติดตามฉบับรวมเล่มที่ออกโดย สำนักพิมพ์ Groove www.groovebooks.com
—————————————————
แบคซอนกีเช็ดเหงื่อเป็นรอบที่สิบ นับตั้งแต่ที่นายหญิงออมจับได้ เรื่องที่ฮวารยองหายไปไม่มาเข้าชั้นเรียน จอนซูมีวิ่งหน้าตื่นรีบเอาตัวออกมาจากฮังอารีหลังโรงย้อมบอกว่าเธอเผลอหลับไป แต่ฮวารยองสิ เมื่อไหร่จะกลับมาล่ะ อาการดังกล่าวทำให้เด็กหญิงทั้งสองแทบจะอยู่นิ่งไม่ได้ แม้ขนาดนั่งนิ่งๆ ในห้องที่มีสายลมพัดมาเป็นระยะๆ เหงื่อยังซึมออกมาราวกับว่ายืนอยู่กลางแดด
“ดูท่าว่าจะมีคนสอบตก พวกเจ้าสามคนต้องอยู่โรงย้อมจนตาย อย่าหวังว่าจะได้ขึ้นไปทำงานข้างบนนะ”
“อืม ปากดีนักนะ พวกผีเจาะปากมาพูดถือว่าตัวเองมีญาติเป็นซังกุงผู้ช่วย ฝีมือการปักผ้าของเจ้าแย่กว่าทุกคนในนี้ อย่างเจ้าน่ะ ขัดเสาตำหนักน่าจะเป็นงานถนัดกว่าเย็บผ้าแน่ๆ”
ซอนกีพูดพลางมองหน้าปักชินฮเยอย่างเอาเรื่อง แต่พูดอะไรไปเด็กคนนี้ก็ไม่มีทางสะทกสะท้าน เพราะว่าในแซดัปบังมีคนของตระกูลนางมากกว่าครึ่ง ว่ากันว่าตำแหน่งซังกุงสูงสุดห้องเสื้อจะเป็นใครไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่คนในตระกูลปัก การที่เด็กอายุหกขวบจะซ่องสุมพรรคพวกล่วงหน้าทำให้แบคซอนกีออกจะไม่พอใจมาก สำหรับเธอแล้วหาได้มีความกลัวไม่ เพราะว่าต่อให้สอบไม่ผ่านเธอก็ยอมไปเป็นแม่ค้าปลาในตลาด ดีกว่าจะมาอยู่ใต้ฝ่าเท้าของคนบ้าอำนาจพวกนี้
แต่แล้วเสียงฝีเท้าของคนหลายๆ คนที่เดินเหยียบแผ่นไม้ดังออดแอดก็ดังแว่วใกล้เข้ามา แบคซอนกีกลั้นหายใจจนลมวิ่งออกไปทางหูแทน ด้านจอนซูมีก็นั่งตัวลีบเอาตัวหนีบไปกับเสาห้องเรียน ถ้าแทรกเข้าไปซ่อนได้นางก็อยากหนีไปซ่อนในนั้นนัก ตอนนี้ที่นั่งของฮวารยองมันว่างเปล่า เพราะเจ้าตัวยังมาไม่ถึง ในใจของเด็กน้อยทั้งสองเอาแต่ภาวนาขอให้ยูฮวารยองมาถึงเร็วๆ
“มีเด็กคนไหนไม่สบายรึ ทำไมวันนี้ถึงมีคนขาด”
คำถามนั้นทำให้ซังกุงผู้ช่วยมองมาที่โต๊ะว่างพลางเอ่ยถามจอนซูมี
“ยูฮวารยองไปไหน ทำไมวันนี้ไม่มาทดสอบ!”
“ฮวารยอง ออกไป เอ่อ…”
“อ้ำอึ้ง ปิดบังความอันใดไว้ ทำไมไม่พูดออกมา” แม้ลีซังกุงที่เป็นซังกุงปกครองจะไม่เสียงดังแต่น้ำเสียงก็เด็ดขาดนัก ใบหน้าของซูมีและซอนกีขาวซีดราวกับมีปลิงมาดูดเลือดออกจากร่างอย่างรวดเร็ว จะให้เอ่ยความอันใดออกไปเล่า จะให้พูดความจริงหรือโกหกกันเล่า ถึงจะรอดพ้นสายตาทุกคู่ของท่านซังกุงห้องเสื้อไปได้
“นายหญิงเจ้าคะ ข้ามาแล้วเจ้าค่ะ” เสียงนั้นดุจเสียงสวรรค์ ซอนกีถึงกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ อย่างน้อยที่สุดฮวารยองก็มาทัน พอเห็นเพื่อนมาถึงที่ จากที่เคยทำตัวงอเหมือนกุ้งก็ยืดตัวพลางปรายตามองปักชินฮเยอย่างเยาะเย้ย
“ถึงเวลาที่จะสอบแล้ว เจ้าไปไหนมา” ออมซังกุงเอ่ยถาม
“ไปตามหาเพื่อนเจ้าค่ะ แต่ไม่น่าเชื่อว่าคนที่ข้ากำลังตามหาจะมานั่งอยู่ตรงนี้แล้ว” เจ้าของดวงตาหวานซึ้งมีแววขุ่นเขียวขึ้น ตัวต้นเหตุที่ถูกมองหันหน้าเข้าฝาพลางมองช่องกระดาษขาดอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ใช่ว่าอาการดังกล่าวจะรอดพ้นสายตาแหลมคมของผู้สูงวัยกว่า
ออมซังกุงมองเด็กหญิงลูกสาวช่างภูษาผู้ล่วงลับก็ให้อ่อนใจนัก เด็กคนนี้ซุกซนแถมยังไม่มีทีท่าว่าจะกลัวผู้ใดอีก แม้ยูฮวารยองจะเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์เช่นใด แต่อาการหยิ่งผยองดังกล่าวอาจจะทำให้นางลำบากในภายหน้าก็ได้
“ไม่ใช่ว่าเจ้าแอบไปวิ่งเล่นที่หลังโรงย้อมหลวงจนลืมเวลาดอกรึ นายหญิงออมเจ้าขา ยูฮวารยอง แบคซอนกีกับจอนซูมี สามคนนี้หาได้ใส่ใจในสิ่งที่ท่านได้สั่งสอนไม่ นางเอาเวลาที่พวกเราทุกคนต้องบ่นท่องตำราเย็บปักไปเล่นซ่อนหา เซ็งกักชิที่ทำตัวแบบนี้ สมควรที่ได้เลื่อนขั้นหรือไม่เจ้าคะ”เสียงของปักชินฮเยดังขึ้น
“ปากดีนักนะ เจ้าน่ะเก่งนักหรือไง แน่จริงจะปักผ้าหรือท่องบ่นตำราแข่งกับข้า เจ้าก็ต้องแพ้อยู่ดี”
ฮวารยองพูดออกไปอย่างเหลืออด คำพูดนั้นทำให้ซังกุงผู้ช่วยต่างก็ส่ายหน้าไปมาด้วยความอ่อนใจ แต่คนที่มีอำนาจมากที่สุดตอนนี้กลับมีสีหน้านิ่งเฉยสายตาจับจ้องไปที่เด็กทั้งสอง มือผอมบางข้างหนึ่งยกขึ้นเหมือนจะห้ามให้ซังกุงผู้ช่วยเอ่ยปาก ออมซังกุงลุกขึ้นก่อนจะเดินมายังเหล่าเซ็งกักชิฝึกหัด
“เจ้าทั้งสองเห็นข้าเป็นอะไร คิดว่าจะสนุกกับถ้อยคำโต้เถียงของพวกเจ้าอย่างนั้นรึ ตกลงใครทำผิดกันแน่”
“ข้าทำผิดเองเจ้าค่ะ ข้าผิดเวลา ขอนายหญิงลงโทษข้าด้วยเถิดเจ้าค่ะ” ฮวารยองเอ่ย เธอไม่กล้าสบตาออมซังกุงได้นานนัก แต่อาการขัดเคืองใจก็ไม่อาจหายไปง่ายๆ ปักชินฮเยถือว่าตัวเองมีป้าที่เป็นซังกุงใหญ่หนุนหลัง พากันเบ่งตัวพองจนเต็มแซดัปบัง ต่อไปวันข้างหน้ายิ่งจะทำให้คนอื่นพลอยอยู่แบบหวาดระแวงไปด้วย
“วันนี้เจ้ามาช้า เจ้าจะไม่ได้ทดสอบเรื่องการย้อมสี ในส่วนนี้เจ้าจะยอมรับมันไหม”
“แต่ซอนกีกับซูมีไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้นะเจ้าคะ พวกนางควรที่ได้ทำการทดสอบเรื่องย้อมผ้า”
“ไม่ได้นะเจ้าคะ คนสองคนจะมาทดสอบย้อมผ้าได้อย่างไร กลุ่มของยูฮวารยองทำผิดก็ควรโดนลงโทษหมด ตัดสิทธิ์พวกนางเรื่องทดสอบหมดเถอะเจ้าค่ะ นายหญิง”
“ดูท่าเจ้าจะมีอำนาจบังคับได้แม้กระทั่งข้าเลยนะ ปักชินฮเย ข้าก็ตัดสินไปตามผิดหรือเจ้าไม่พอใจอะไรอีก” ออมซังกุงพูดอย่างเหลืออด ใบหน้าที่เคยเรียบเฉยมีแววขุ่นเคือง นางกำนัลฝึกหัดต่างก็ก้มหน้าไม่ยอมสบตาของกับออมซังกุง
“ยูฮวารยอง เขาว่าจะหัวดีแถมยังปักผ้าได้สวยกว่าเซ็งกักชิรุ่นเดียวกัน แต่การเป็นนางกำนัลห้องเสื้อผู้ที่รังสรรค์ฉลองพระองค์ให้พระราชานั้น มิใช่จะต้องมีดีแค่เย็บปักเท่านั้น คนที่เย็บปักเก่งในโชซอนมีดาษดื่นนัก แต่คนที่มีฝีมือถึงขั้นปักลายมังกรบนฉลองพระองค์ทุกตัว มีแค่คนเดียว พวกเจ้าหนึ่งในนี้ต้องมีสักคนที่ก้าวไปสู่จุดสูสุดเพื่อสืบทอดลวดลายความเป็นมาของอาภรณ์ที่สูงค่า แต่การทำงานในห้องเสื้อน่ะหาทำได้คนเดียวไม่ ที่ข้าพูดเจ้าเข้าใจรึไม่”
“เจ้าค่ะ ข้าพร้อมรับการลงโทษ”
“แต่ว่า ข้อสอบท่องบ่นตำราเจ้ายังสอบได้ปกติ ข้าจะเริ่มทดสอบเจ้าเป็นคนแรก” ซอนกีอ้าปากค้าง ไม่คิดว่านายหญิงออมจะทดสอบวันนี้ ที่ผ่านมานางท่องหนังสือน้อยมาก ถ้าขืนมีสอบนางต้องแย่แน่ๆ ช่วงเวลาที่นางยังหายใจได้ไม่ทั่วท้องนั้น นายหญิงออมก็สั่งให้ฮวารยองเข้ามาที่โต๊ะเรียน ในตอนนั้นกระดาษแผ่นใหญ่ถูกคลี่ให้ตกลงมาด้านล่าง คำว่า 복 (แปลว่าเสื้อผ้า) เด็กทุกคนที่นั่งอยู่ในที่นั้น มองที่กระดาษข้างหน้าแล้วก็มองหน้ากันอย่างแปลกใจ คิดว่าเหตุไฉน ออมซังกุงหรือที่เด็กๆ เรียกว่านายหญิงถึงได้เอาคำง่ายๆ เช่นนี้มาสั่งสอนพวกนาง
“บก? นายหญิงเจ้าคะ”
“พวกเจ้าคงคิดว่าจะให้ทดสอบด้วยคำง่ายๆ นี่สินะ ตอนที่ข้าอายุเท่าพวกเจ้ากลับต้องท่องบ่น คำนี้ให้ขึ้นใจ คำว่าบก มันก็จะเป็นคำที่หมายถึงเสื้อผ้า ต่อท้ายคำใดก็มักจะขยายความให้ชัดเจนขึ้น อย่างเสื้อที่เจ้าสวมใส่ข้างในก็เรียกว่าอึยบกเช่นกัน ฟังดูแล้วการทดสอบของข้าพวกเจ้าคงจะหัวเราะว่ามันง่ายใช่หรือไม่” คำถามนั้นทิ้งรอยสงสัยให้ฮวารยองอย่างเต็มที่ เด็กหญิงหันไปมองเพื่อนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ จอนซูมีส่ายหน้าไปมาคาดเดาไม่ได้ว่าออมซังกุงจะทดสอบเรื่องอะไร
“ข้าว่าหัวข้อที่นายหญิงจะสอบปากเปล่าต้องเกี่ยวกับเสื้อซกอ๊ด (ชุดชั้นใน) ของพระราชาแน่ๆ”
“แต่ข้าว่าไม่ใช่” ฮวารยองเอ่ยปากเถียงเพราะถ้าหากเป็นเรื่องง่ายๆ ดังที่จอนซูมีพูดจริงๆ
นายหญิงออมย่อมไม่มีวันที่จะให้ท่องบ่นหนังสือคำราชาศัพท์และความหมายหรอก ในเวลานั้นเอง ปักชินฮเยก็ยกมือขึ้นมาตอบ ท่ามกลางสายตาของเด็กอีกยี่สิบคน
“สำหรับข้า การที่เราได้มาอยู่ในกรมกอง หน้าที่หลักคือดูแลเครื่องแต่งพระองค์ของพระราชาและเชื้อพระวงศ์แล้ว หน้าที่ที่สำคัญอีกอย่างคือการดูแลชุดสำคัญๆ ที่พระองค์ทรงใช้ในพระราชพิธีเจ้าค่ะ นายหญิง” ออมซังกุงเมื่อฟังคำตอบนั้นก็ได้แต่เผยรอยยิ้มเล็กน้อย คำตอบของปักชินฮเยไม่ได้ผิดแม้เพียงนิด หน้าที่หลักของนางกำนัลและซังกุงในห้องเสื้อหลวง ล้วนแต่ต้องดูแลเครื่องแต่งกายของสมาชิกราชวงศ์ให้งดงามและสมพระเกียรติ “นอกจากนั้นยังมีหน้าที่สืบทอดการเย็บปักพิมพ์ลายผ้าแบบโบราณให้คงของเดิมได้อย่างไม่ผิดเพี้ยนด้วยเจ้าค่ะ”
“ถูกต้อง นั่นคือหน้าที่ของพวกเราทุกคน ในทุกฤดูกาลในหนึ่งปีเรามีหน้าที่ตัดเย็บฉลองพระองค์ ให้มีความเหมาะสมกับสภาพอากาศ อีกทั้งต้องอบร่ำเครื่องหอมฉลองพระองค์ และที่สำคัญกว่านั้นคือการรู้ความหมายคำว่า 왕의복 อย่างแท้จริง เจ้าบอกข้าได้ไหมปักชินฮเย ว่าคำคำนี้แท้จริงแล้วมีความหมายว่าอย่างไร”
“วังอึยบก ชุดของพระราชา ใช่ไหมเจ้าคะนายหญิง”
“ภูษาแห่งราชา เจ้าค่ะนายหญิง”
“ภูษาแห่งราชารึ” ออมซังกุงทำสีหน้าแปลกใจ เพราะไม่คิดว่าเด็กอายุหกขวบจะพูดคำนี้ออกมาได้
“เจ้าค่ะ เราทุกคนมีหน้าที่มากกว่าตัดเย็บชุดฉลองพระองค์สูงค่า นั่นก็คือการถักทอชุดตามสภาพอากาศและพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ ในความหมายของวังอึยบกนั้นมีภาระหน้าที่แตกต่างกันเจ้าค่ะ ตามแต่สัญลักษณ์บนลายปักนั้นจะบ่งบอกว่าถูกปักอยู่บนฉลองพระองค์ชนิดใดและของผู้ใด” ฮวารยองตอบออกมาพลางยิ้มกว้าง คำคำนี้ท่านพ่อของเธอใช้ประจำ ทุกๆ ครั้งที่ต้องทำงานถวายเบื้องพระยุคลบาท บิดาของเธอต้องก้มลงกราบเสื้อผ้าสิ่งของที่ต้องเย็บปักทุกครั้ง แม้ของสิ่งนั้นจะเป็นเพียงถุงพระบาทของพระราชาก็ตาม
“แม้จะเป็นช่างภูษาแต่อย่าคิดว่าตัวเองต้อยต่ำนะลูก ช่างภูษาของพระราชา มีหน้าที่สำคัญที่สุดแล้ว ทุกอย่างในทุกฉลองพระองค์ที่ได้ทรงสวมใส่ ล้วนมีความหมายอยู่ในตัว เรามีหน้าที่ดูแลฉลองพระองค์ให้สมพระเกียรติยศ จำไว้นะลูก พ่อเป็นแค่ชนชั้นจุงอิน เพราะเกิดมาจากท่านย่าที่เป็นเพียงเมียบ่าวของท่านปู่ ชนชั้นของพ่อบอกว่าตัวของพ่อนั้นมิอาจจะสอบควากอเป็นขุนนางได้อย่างท่านลุง แต่พ่อก็ยังสามารถทำงานรับใช้เบื้องพระยุคลบาทได้ ด้วยการเป็นช่างพระภูษานี่แหละ”
สิ่งที่ท่านพ่อเป็นหล่อหลอมทำให้เธอเกิดความรักในอาชีพนี้ และฮวารยองเองก็ตั้งความหวังไว้ว่า เธอจะเป็นช่างพระภูษาที่ถวายงานแด่พระราชาให้จงได้
“ยูฮวารยอง เจ้าใช้คำว่าภูษาแห่งราชากระนั้นรึ” ออมซังกุงถามเด็กหญิงซ้ำ
“เจ้าค่ะ นายหญิง ข้าขอใช้คำนี้ เพราะหน้าที่ของเราไม่ใช่เพียงช่างเย็บเสื้อผ้าเท่านั้น การได้รับเกียรติอันสูงส่งให้ตัดฉลองพระองค์ทุกแบบ ล้วนแล้วแต่เป็นความภาคภูมิใจของเราเจ้าค่ะ”
“แล้วเจ้าบอกได้ไหมว่าวังอึยบกมีอะไรบ้าง” ฮวารยองสูดหายใจเข้าปอดก่อนจะโค้งน้อยๆ ให้ผู้สูงวัยกว่า ในแววตาคู่นั้นของออมซังกุงเผยแววว่าเอ็นดูเด็กน้อยนัก ในใจก็ช่วยลุ้นว่ายูฮวารยองจะบอกได้ไหม
“ฉลองพระองค์ของพระราชา มีอยู่หลายชุดเจ้าค่ะ ใช้ตามพิธีการและโอกาส อย่างชุดฮงรยองโพ่ เป็นชุดสีแดงสดตัดเย็บด้วยผ้าไหมด้านในของเสื้อจะเป็นสีน้ำเงิน ผ้าที่ใช้บุข้างในจะไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่สภาพอากาศเจ้าค่ะ”
“แล้วสิ่งที่ทำให้ชุดที่ว่าแตกต่างจากชุดอื่นๆ เล่า เจ้าคิดว่าอะไร”
“ข้าคิดว่าลายปักมังกรเจ้าค่ะ” ปักชินฮเยเอ่ยขึ้นมาอย่างรีบๆ ราวกับกลัวว่าฮวารยองจะเอ่ยคำตอบออกมาก่อน ในตอนนั้นแบคซอนกีถึงกับเอาหัวแนบกับพื้นโต๊ะ เพราะคิดว่าเริ่มต้นมาเสียดิบดีกลับมีหมาป่ามาแย่งเอาชิ้นเนื้อไปกินเสียนี่ จบสิ้นกันความหวังที่จะสอบผ่าน ฝ่ายจอนซูมีถึงกับเอามือไขว้กันทำเครื่องหมายสาปแช่งคนตอบไว้ข้างหลัง และสาบานได้ ถ้ามีโอกาสอีกเธอจะแอบไปหลังวัง จะไปเต้นระบำสาปแช่งให้นานที่สุดตราบที่ท่านซังกุงปกครองจะจับไม่ได้ ดวงตางดงามของฮวารยองมองไปที่ปักชินฮเย พลางเชิดหน้าขึ้นน้อยๆ
“สำหรับเจ้าไม่ต้องอยู่ด้วยกันเป็นปีหรอก ข้ารู้ซึ้งถึงนิสัยด้านแย่ๆ ของเจ้าหมดสิ้นแล้ว”
พวกซังกุงผู้ช่วยเผยยิ้มน้อยๆ เพราะตัวพวกเธอเองให้การสนับสนุนปักซังกุงอยู่ และการที่หลานสาวของท่านมาที่นี่ก็เพื่อสืบทอดอำนาจ ยูฮวารยองเป็นเพียงลูกช่างปักเสื้อหลวง จะให้หัวดีเช่นใดแต่ก็เป็นเพียงขุนนางชั้นผู้น้อย ไร้ซึ่งอำนาจ ที่สำคัญคนผู้นั้นไม่มีชีวิตอยู่แล้ว การจะหาพรรคพวกที่มากและเข้มแข็งกว่า ถือเป็นทางรอดที่นกน้อยต้องหาที่ยึดเกาะไว้พักพิง
“แล้วลายมังกรนั่น มันแตกต่างกันเช่นใด” ออมซังกุงถามต่อ คราวนี้ฮวารยองไม่ตอบได้แต่ยักคิ้วให้อีกฝ่ายตอบ เธอยิ้มน้อยๆ ให้จอนซูมี ในขณะที่เพื่อนต่างไม่กล้ามองหน้าเธอได้แต่เอาตัวพิงกับเสาห้องเรียนต่อไป
“เอ่อ… คือว่า” ชินฮเยอ้ำอึ้ง ที่จริงเธอไม่เคยได้สังเกตเลยว่า แท้จริงแล้วบนฉลองพระองค์ที่พระราชาได้ทรงสวมใส่นั้นมีความแตกต่างอะไรอย่างไรบ้าง เด็กหญิงผู้ตั้งตัวเป็นหัวหน้านางกำนัลฝึกหัดกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเฝื่อน ในตอนนี้เธอไม่สามารถหาคำตอบให้กับนายหญิงออมได้ ฮวารยองหันหน้าไปแอบยิ้มก่อนจะขยิบตาให้กับเพื่อนที่ใจกล้าพอจะมองเหตุการณ์ต่อไปได้แล้ว
“แสดงว่าเจ้าให้คำตอบกับข้าไม่ได้ บทเรียนในตำรายังท่องไม่หมดก็ไม่สามารถปล่อยผ่านให้เป็นนางกำนัลอยู่งานได้ ในขั้นแรกเซ็งกักชิต้องเรียนรู้ทุกอย่างเพื่อให้เป็นงานในห้องเสื้อ เจ้ามาที่นี่มิใช่เพียงแค่ฉลาดหัวไว เย็บปักได้ดีเท่านั้น เจ้าต้องเรียนรู้งานตั้งแต่จุดที่ต้อยต่ำที่สุดด้วย เพราะวันหนึ่งไม่แน่ว่าตำแหน่งซังชิม (ซังกุงสูงสุด ดูแลเรื่องงานตัดเย็บ) อาจจะอยู่ที่พวกเจ้าคนใดคนหนึ่งก็ได้ และที่สำคัญงานเรื่องเย็บปักลวดลายบนเนื้อผ้าถือเป็นงานสำคัญมากสำหรับพวกเรา วันนี้กลับไปทบทวนสิ่งที่ข้าถามให้ได้ เข้าใจไหม ปักชินฮเย”
ผู้ถูกกล่าวนามดวงตาแดงก่ำเพราะความอับอาย ท่านซังกุงไม่ด่าก็เหมือนด่า แล้วยิ่งมาถูกตำหนิต่อหน้าอริอย่างยูฮวารยองยิ่งทำให้เด็กหญิงแค้นใจเป็นหลายเท่า แต่ในตอนนี้เธอมิอาจจะแสดงกิริยาที่ไม่สมควรออกไปได้ ได้แต่ก้มหน้ารับคำผู้สูงวัยกว่า
ดวงตาสีดำสนิทเรียวรี ทอดมองมายังเด็กหญิงอีกคนที่ยืนนิ่ง ก่อนจะเอ่ยออกไปว่า
“ยูฮวารยอง แล้วเจ้าน่ะ รู้หรือไม่ว่าลายมังกรที่แตกต่างนั้นมันอยู่ที่ใดกัน ”
“เอ่อ… ที่เล็บเจ้าค่ะ”
“เล็บ ทำไมล่ะ ทำไมเจ้าถึงคิดว่าเป็นเล็บ” เด็กหญิงก้มลงก่อนจะเผยรอยยิ้มสดใสออกมา ออมซังกุงเผลอมองรอยยิ้มของนางก็หวนให้คิดถึงบิดาของฮวารยอง เมื่อสิบปีก่อนยูซังแทก็ยิ้มแบบนี้ให้กับนาง แต่ความรู้สึกพึงใจจำต้องเก็บงำเอาไว้ แม้จะไม่สมหวังเพราะไม่ใช่คนที่ถูกรัก แต่การที่ได้เห็นฮวารยองที่นี่ นั่นก็สามารถทดแทนสิ่งที่นางไม่เคยได้จากเขามาตลอดชีวิต
ฮวารยองเดินออกมาด้านหน้าชั้นเรียน พลางเงยหน้ามองชุดฮงรยองโพ่ของพระราชาองค์ปัจจุบัน ตรามังกรอยู่สูงกว่าสายตามากนัก แต่กระนั้นเด็กหญิงก็ยังมองเห็นเล็บทั้งห้าของมังกรที่ปักด้วยไหมสีทองได้อย่างชัดเจน
“ตรงนี้เรียกว่าโอโจรยงโบเจ้าค่ะ มังกรห้าเล็บจะหมายถึงสัญลักษณ์ของพระราชา ในแผ่นดินโชซอนคนที่จะสวมฉลองพระองค์ฮงรยงโพ่ที่มีมังกรห้าเล็บได้คือพระราชาเท่านั้น ส่วนขององค์ชายที่ดำรงตำแหน่งวังเซจา (รัชทายาท) จะสวมฮึกรยองโพ่ หรือชุดมังกรสีน้ำเงินเข้มค่อนไปทางสีดำ ไหมที่ใช้ปักใช้ไหมสีเงินแต่ตรามังกรที่ปักจะใช้ตรา ซาโจรยองโบซึ่งเป็นตรามังกรสี่เล็บใช้ปักบนฉลองพระองค์ขององค์ชายรัชทายาทและพระอนุชารัชทายาทเจ้าค่ะนายหญิง” ฮวารยองตอบพลางยิ้มกว้าง เป็นความจริงที่นางรู้สึกสะใจเล็กๆ ที่ทำให้ปักชินฮเยเสียหน้าได้ในเวลานี้
ออมซังกุงทอดรอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนให้เธอพลางถามต่อ
“แล้วถ้าหากมีตำแหน่งพระนัดดารัชทายาทล่ะ จะสามารถมารถใช้ตรามังกรสี่เล็บได้หรือไม่”
“ไม่ได้เจ้าค่ะ” ฮวารยองตอบทันควัน ก่อนจะพูดต่อว่า “ตราที่ใช้ปักบนฉลองพระองค์ของพระบุตรองค์โตผู้ที่ได้รับตำแหน่ง พระราชนัดดาของพระราชา จะใช้ตรามังกรสามเล็บ ซัมโจรยองโบ*เจ้าค่ะ การปักเล็บบนลายมังกรผิดถือว่าผิดฐานกบฏเจ้าค่ะนายหญิง”
“ดีมาก คำตอบของเจ้าชัดเจนนัก สมแล้วที่เป็นบุตรสาวของช่างปักเสื้อหลวง พ่อของเจ้าคงภาคภูมิใจที่ได้ยินคำตอบของลูกสาว ขนาดข้าเป็นคนอื่นยังรู้สึกดีใจมากเลย ที่ได้ยินนางกำนัลรุ่นเล็กท่องบ่นใจความสำคัญของลายมังกรบนฉลองพระองค์ได้” ออมซังกุงเอ่ยอย่างจริงใจ แต่มานึกได้ว่าเด็กหญิงเพิ่งเสียพ่อกับแม่ด้วยน้ำมือโจร จึงหยุดกล่าวคำชมเชยนั้น เพราะใต้เท้ายูผู้เป็นลุงไม่อยากเลี้ยงดูให้เปลืองข้าวสุกที่บ้าน จึงนำเด็กหญิงเข้ามาอยู่ในวัง ด้วยเห็นว่าฮวารยองมีรูปร่างหน้าตางดงาม ในวันข้างหน้า เด็กหญิงคนนี้อาจจะได้เกี่ยวดองกับสมาชิกคนใดคนหนึ่งของราชวงศ์
พอคิดได้เช่นนี้ออมซังกุงก็ให้สงสารนัก เด็กคนนี้แทนที่จะได้อยู่พร้อมหน้ากับครอบครัวแต่กลับต้องมาเป็นนางกำนัลอยู่ที่นี่ การเป็นผู้หญิงของพระราชา ว่าจะได้รับเกียรติ ได้รับความเกรงใจมันก็ใช่ แต่สิ่งที่เสียไปคือหัวใจที่เลือกรักใครก็ไม่ได้ เพราะพวกนางคือสตรีที่ผูกขาดต่อราชวงศ์เท่านั้น!
“ลีซังกุง นำความของข้าไปบอกโจซังกุงด้วยว่า พรุ่งนี้ข้าจะให้เด็กคนนี้ไปเรียนรู้งานห้องซูบัง (ห้องเย็บปักถักร้อย) เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวให้นางด้วย ชุดของนางกำนัลซูบังนาอิน ที่ตัวเล็กๆ แบบนี้มีหรือไม่ ยูฮวารยองปีนี้อายุหกขวบแล้วใช่ไหม” ออมซังกุงหันหน้ามาทางฮวารยอง ในเวลานี้แม้ดีใจมากแต่การจะได้ไปอยู่หน่วยงานใหม่ก็ทำให้เธอใจหายได้เหมือนกัน เด็กหญิงพยักหน้าไปมา ก่อนจะตอบผู้สูงวัยกว่าออกไป
“เจ้าค่ะ นายหญิง ข้าอายุได้หกขวบปีนี้”
“ข้าให้เจ้าสอบผ่าน นับแต่วันนี้ไปเจ้าคือนางกำนัลห้องเย็บปักจงตั้งใจฝึกฝนให้มาก เจ้าเข้าไปที่นั่นทั้งๆ ที่อายุแค่หกขวบ นั่นหมายถึงเจ้าจะต้องมีเวลาเรียนรู้อีกหลายปี ก่อนจะสอบเลื่อนชั้นเป็นนางวังมีตำแหน่ง จงใช้สองมือที่เจ้ามีเย็บปักฉลองพระองค์ที่สูงค่าเถิด”
คำพูดของออมซังกุงมีผลทำให้เกิดเสียงอื้ออึงของเด็กอีกหลายคน บ้างก็ว่าออมซังกุงลำเอียงเข้าข้างยูฮวารยองเพราะว่า การจะสอบเพื่อคัดแยกความถนัดนั้นต้องผ่านศาสตร์พื้นฐานทั้งหมดก่อน แต่ฮวารยองกลับไม่ได้ทดสอบศาสตร์แขนงใดเลย ไม่ว่าจะเป็นเย็บปักถักร้อย การเลื่อนตำแหน่งเป็นซูบังนาอิน(นางกำนัลอยู่งานห้องเย็บปัก) ของฮวารยองทำให้ปักชินฮเยไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“เอาเถิด วันนี้สวรรค์มันคงเข้าข้างเจ้า การที่เจ้าขึ้นไปเร็ว ข้าถือว่าต่อให้เจ้าเดินไปก่อน” ปักชินฮเยเอ่ยในลำคอเสียงเยียบเย็น ดวงตาที่จ้องมองอีกคนที่สมหวังกลับมีแววริษยาจนปิดไม่มิด
ในขณะที่อีกฟากที่ไม่ไกลจากห้องเรียนของเหล่าเซ็งกักชินัก ร่างของสตรีผู้สูงศักดิ์เผยรอยแย้มสรวลแต่เพียงน้อย ทรงบอกให้เหล่านางกำนัลหยุดนิ่งเพื่อฟังเสียงสนทนากันในห้อง ในขณะที่ชเวซังกุงผู้ที่เป็นซังกุงคนสนิทกลับมองดูตำแหน่งของนาฬิกาแดด ที่บอกว่าเลยเวลาที่พระนางต้องไปเข้าเฝ้าพระสวามีที่พระตำหนักชาจองจอนอันเป็นที่ทรงงานแล้ว
“จุงจอนมามา ได้เวลาเสด็จไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้วนะเพคะ”
“ข้าอยากเห็นหน้าเด็กคนนั้นแล้วสิ” ชเวซังกุงขมวดคิ้วอย่างสงสัย ใครหนอที่พระมเหสีทรงอยากเห็นหน้า หากแต่วันนี้นายของตนกลับไม่มีเวลามากพอที่จะได้ไปไหนดุจดั่งใจต้องการ เพราะยังมีงานที่สำคัญกว่านั้นรออยู่ แต่ครั้นจะเอ่ยคำทัดทานมันก็ดูเหมือนเกินหน้าที่ไป แต่ถ้าไม่ถามนางก็สงสัยเหลือประมาณ
“มามา ทรงหมายถึงใครเล่าเพคะ”
พระเนตรเรียวรีทอดมองมายังซังกุงคนสนิทก่อนตรัสบอกว่า
“ก็ช่างภูษาของข้าน่ะสิ เอาล่ะ เดี๋ยวเราต้องไปเฝ้าพระราชาก่อน เสร็จงานจากตรงนั้นแล้ว ข้าอยากไปห้องเย็บปัก ชุดใหม่ที่ข้าไหว้วานให้โจซังกุงปักคงใกล้เสร็จแล้ว ”
เชิงอรรถ :
- ซัมโจรยองโบ* ตราสัญลักษณ์มังกรที่ใช้ปักบนฉลองพระองค์ของพระบุตรองค์โตของรัชทายาท ผู้ได้รับตำแหน่งวังเซซุนหรือตำแหน่งพระนัดดารัชทายาท
ภูษาแห่งราชา นวนิยายเรื่องล่าสุดจาก นาคเหรา ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากฉลองพระองค์ของพระราชาแห่งแดนโสม นิยายออนไลน์ ครบรส ที่ อ่านเอา อยากให้ทุกคนได้ อ่านออนไลน์ ได้ลงจนจบบริบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางผู้เขียนใจดีมอบ 5 บทแรกไว้ให้อ่านกันที่อ่านเอา และหากติดใจอย่างอ่านต่อสามารถติดตามฉบับรวมเล่มที่ออกโดย สำนักพิมพ์ Groove www.groovebooks.com