แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 1 : โลกใบเล็กของนารา (2)

แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 1 : โลกใบเล็กของนารา (2)

โดย : ณรัญชน์

Loading

แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ นวนิยายเรื่องล่าสุดจาก ณรัญชน์ ที่อ่านเอาคัดสรรมานำเสนอ กับเรื่องราวของกระจกโบราณที่สามารถทำนายอนาคตมนุษย์ทุกคนได้อย่างแม่นยำ ‘วิศรุต’ จึงใช้มันมาลิขิตชะตาชีวิตตัวเอง แม้นั่นจะหมายถึงการทำลายล้างคนรอบข้างอย่างโหดเหี้ยม ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิงที่เขารัก นวนิยายออนไลน์จาก www.anowl.co

ตลอดเวลาสุพจน์ไม่ระแคะระคายเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกสาวคนเล็กของเขา ส่วนวรรณาก็นอนใจว่าลูกเลี้ยงสงบเสงี่ยมเจียมตนไม่ได้สร้างปัญหาขึ้นมาอีก ทั้งคู่จึงไม่ได้เตรียมใจสักนิดว่าจะมีระเบิดลูกใหญ่หล่นโครมลงมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เป็นระเบิดที่ปะทุขึ้นในงานเลี้ยงประจำปีของกระทรวงที่สุพจน์ทำงานอยู่นั่นเอง

ขณะที่เขากับเพื่อนๆ กำลังนั่งรับประทานอาหารรอบโต๊ะกลมตัวใหญ่ นายอุดมเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งของสุพจน์ก็ทักขึ้น

“คุณสุพจน์ ผมขอแสดงความยินดีด้วยนะ แหม! มีลูกสาวเก่งขนาดได้ทุนการศึกษาก็ไม่ยักบอกกันบ้าง ถ้าเป็นผมคงปลื้มใจแย่”

คนถูกทักทั้งแปลกใจระคนไม่พอใจ “ลูกสาวผมน่ะหรือจะต้องไปรับทุนการศึกษา เรื่องไม่จริงทั้งเพคุณไปเอามาจากไหน”

บังเอิญว่าสุพจน์กับนายอุดมไม่ค่อยจะกลมเกลียวกันเท่าไรนัก ครั้งนี้ได้โอกาสอีกฝ่ายจึงยิ้มอย่างสบอารมณ์ก่อนจะเย้ยหยันเต็มปากเต็มคำ

“เรื่องจริงสิครับถ้าไม่จริงผมจะกล้าพูดได้ยังไง เอ…แต่เห็นว่าทุนนี้เขาแจกเฉพาะเด็กที่เรียนดีแต่ยากจนไม่ใช่หรือ แล้วจับพลัดจับผลูยังไงหนูนาราถึงไปขอรับทุนเข้าล่ะ”

เลือดฉีดขึ้นบนใบหน้าของสุพจน์จนแดงก่ำ จะตะคอกกลับไปก็ติดว่ามีแขกร่วมโต๊ะอยู่ด้วยหลายคน ซึ่งก็นับเป็นโชคดีที่เขายั้งใจไม่อาละวาดได้สำเร็จ เพราะที่เก้าอี้ข้างๆ นายอุดมมีหญิงสาววัยประมาณสามสิบต้น ท่าทางเคร่งขรึมคนหนึ่งนั่งอยู่

ผู้หญิงคนนั้นเสริมขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่กลับยังผลให้คนฟังร้อนผ่าวยิ่งกว่าอยู่บนกองเพลิง

“ดิฉันเป็นครูที่โรงเรียนของนาราและเป็นคนทำเรื่องขอทุนการศึกษาให้แกเองค่ะ ถ้าหากทำให้คุณสุพจน์ไม่พอใจก็ต้องขอประทานโทษด้วย เพราะดิฉันก็เพิ่งรู้ไม่นานนี้เองว่าคุณพ่อของนาราเป็นใคร ทีแรกเห็นแกหิ้วกระติกใส่ไอศกรีมเดินเร่ขายหลังเลิกเรียน คิดว่าเป็นลูกภารโรงเสียอีก”

‘คุณพ่อของนารา’ รู้สึกเหมือนถูกตบหน้าเข้าหลายฉาดซ้อนๆ พอตั้งสติได้ก็รีบแย้งทันควัน

“เป็นไปไม่ได้ ลูกสาวผมไม่มีวันไปทำงานต่ำๆ อย่างนั้น นักเรียนคนนั้นคงแค่ชื่อเหมือนลูกผมกระมัง”

“เด็กคนนั้นชื่อนารา นามสกุลจรัสวงศ์ แกบอกว่าคุณพ่อทำงานอยู่กระทรวงต่างประเทศ ดิฉันว่าน่าจะเป็นลูกสาวคุณสุพจน์ จรัสวงศ์ ไม่น่าจะผิดตัวนะคะ”

หญิงสาวรักษารอยยิ้มน้อยๆ ตามมารยาทสังคมไว้ได้ มีเพียงดวงตาที่ฉายแววตำหนิโดยไม่ปิดบัง

“ขอเรียนว่าก่อนที่จะขอทุนให้แก ดิฉันไปพบนารากำลังแอบขายตั๋วผีอยู่ที่ศาลาเฉลิมไทย เลยเรียกตัวมาถามถึงรู้ว่าแกลำบากเรื่องค่าใช้จ่าย ที่ผ่านมาแกก็จ่ายค่าเทอมไม่ตรงเวลาเลยสักเทอมเดียว บางเทอมถึงจะมีค่าเล่าเรียนก็ไม่มีเงินซื้อตำรากับสมุดดินสอ น่าเห็นใจมาก ดิฉันก็เลยช่วยขอทุนเรียนดีแต่ยากจนให้เสียเลย”

นับตั้งแต่เกิดมาเป็นตัวเป็นตน คำว่าทั้งโกรธทั้งอายให้ความรู้สึกเช่นไรสุพจน์เพิ่งจะได้ประจักษ์ก็คราวนี้ ทว่านั่นยังไม่บีบคั้นเส้นประสาทเท่ากับเหตุการณ์ในนาทีถัดมา เมื่อหัวหน้าของเขาเดินมานั่งลงบนเก้าอี้ว่างข้างผู้หญิงคนนั้นแล้วทักว่า

“เป็นยังไงพิสมัย พ่อมัวแต่ไปคุยกับเพื่อน นั่งอยู่โต๊ะนี้คนเดียวไม่เหงาใช่ไหมลูก”

หากว่าพื้นห้องแยกออกได้ สุพจน์จะยอมแทรกแผ่นดินหนีเสียเดี๋ยวนั้น!

คืนนั้นเจ้าของบ้านกลับถึงบ้านตั้งแต่หัวค่ำทั้งๆ ที่ก่อนจะออกไปงานเลี้ยงสั่งไว้ว่าจะกลับดึก วรรณาและนาราถูกเรียกตัวมาชำระความเป็นการด่วน นาราปล่อยให้คุณพ่อจาระไนความอับอายขายหน้าที่เพิ่งได้ประสบมาจนหมดเปลือก แล้วจึงบอกเสียงอ่อย

“ลูกมากราบขอเงินกับคุณแม่ใหญ่ทีไรก็เห็นคุณแม่มีงานล้นมือจนไม่มีเวลาจะจัดการเรื่องอื่น…ลูกหมายความว่าคุณแม่กำลังยุ่งมากจริงๆ ค่ะ ลูกไม่อยากเพิ่มภาระให้คุณแม่อีกเลยไปหาของเล็กๆ น้อยๆ มาขาย ไม่คิดว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ เป็นความผิดของลูกเองที่ทำให้คุณพ่อเสียหน้า”

วรรณานั่งกระสับกระส่าย มีหรือเธอจะไม่รู้ว่าการละเลยที่ผ่านมากำลังย้อนกลับมาทำร้ายตนเองเข้าแล้ว สุพจน์ถือสานักละเรื่องชื่อเสียงวงศ์ตระกูล เธอปล่อยให้ลูกสาวของเขาตกยากถึงขั้นต้องขอทุนการศึกษาสำหรับเด็กยากจน ซ้ำข่าวยังแพร่ไปถึงกระทรวงที่เขาทำงานอยู่ ไม่น่าแปลกใจเลยที่สามีจะโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงอย่างนี้

ไม่ว่าอย่างไรวรรณาก็ต้องโยนความผิดให้ลูกเลี้ยงไว้ก่อน ยิ่งชี้ให้สามีเห็นว่าลูกสาวของเขามีความประพฤติน่ารังเกียจได้มากเท่าไร ก็ยิ่งเป็นผลดีต่อตัวเธอเท่านั้น

“แม่นาราทำอย่างนี้เหมือนอยากทำลายชื่อเสียงของคุณพ่อ และแกล้งให้คนเข้าใจฉันผิดๆ ด้วย ฉันงานยุ่งคนทั้งบ้านก็รู้ ถ้าแม่นารามีธุระจะพูดกับฉันก็รอให้ฉันว่างก่อนแล้วบอกกันสิ ไม่ใช่ไปตากหน้าขายของประจานคุณพ่อ” แม่เลี้ยงดุ

“แล้วที่ไปวิ่งแร่ขายตั๋วผีตามโรงหนังนั่นอีก ไม่มีลูกผู้ดีที่ไหนกล้าทำหรอกนะ ที่นั่นมีแต่พวกกุ๊ยเดินเพ่นพ่านอยู่เต็มโรง แม่นาราปล่อยเนื้อปล่อยตัวไปเกลือกกลั้วกับคนชั้นต่ำอย่างนี้ ใช้ได้ที่ไหน”

แต่สุพจน์ไม่ใช่คนหูเบาเสียจนไม่สังเกตเห็นรูปร่างผ่ายผอมแทบจะปลิวลมของนารา เมื่อบวกกับเสื้อกางเกงเก่าซีดที่สวม มีรอยชุนขนาดใหญ่บริเวณข้อศอกและหัวเข่าบอกให้รู้ว่าใช้งานมาหลายปีแล้ว เขาก็คาดคะเนความเป็นอยู่ที่แท้จริงของลูกสาวกำพร้าได้

“ถ้ารอคุณแม่ใหญ่ไม่ไหวทำไมไม่มาขอเงินที่พ่อ” เขาถามขึ้นบ้าง “ไปขายไอศกรีมขายตั๋วผีทำไมให้ลำบาก”

“ลูกไม่ลำบากหรอกค่ะ เพียงแต่ที่ต้องไปขายไอศกรีมเพราะลูกเคยทำขนมจากครัวที่เรือนเล็กไปขาย แต่ไม่รู้ใครแอบมาคว่ำกระจาดหกหมดตั้งหลายครั้งจนไม่มีเงินทุนจะทำขนมรอบใหม่ ลูกก็เลยไปรับไอศกรีมมาขายเพราะแม่ค้ายอมให้เชื่อไว้ก่อน จะได้ไม่ต้องลงทุนไงคะ”

นาราอธิบายเสียงซื่อ เหลือบมองแม่เลี้ยงนิดหนึ่งก่อนจะห่อไหล่เล็กน้อย รีบลดลายตาลงมองพื้นกระดานตรงหน้า

หากสายตาวรรณาจุดไฟได้ลูกเลี้ยงตัวดีคงจะไหม้เป็นจุณอยู่ตรงนั้นเอง ขณะที่สุพจน์สังเกตเห็นท่าทีเกรงกลัวของลูกสาวเต็มสองตา เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินว่ามีการกลั่นแกล้งกันใต้ชายคาบ้าน เขาไม่ได้ซักถามต่อว่ามือมืดที่ย่องมาคว่ำถาดขนมของนาราเป็นใคร เพราะถึงอย่างไรก็ไม่พ้นต้องเป็นฝีมือคนในบ้านหลังนี้ และแน่นอนเหลือเกินที่ภรรยาหลวงจะต้องรู้เห็นเป็นใจด้วย เพื่อไม่ให้หมางใจกันสุพจน์จึงตัดสินใจปล่อยผ่านเพื่อรักษาความสงบในครอบครัว

คืนนั้นแม่องุ่นไม่ยอมเข้ามุ้งตั้งแต่หัวค่ำอย่างเคย แต่จุดยากันยุงรอคุณหนูของนางอยู่ในห้องโถง ทันทีที่เด็กสาวเดินผ่านประตูเรือนเล็กเข้ามา นางก็รีบมาประคอง ลูบเนื้อลูบตัวพิจารณาดูว่ามีส่วนใดบุบสลายไปบ้างหรือไม่

“เป็นอย่างไรคะคุณ คุณพ่อเรียกตัวไปทำไมดึกๆ ดื่นๆ แล้วนี่ถูกตีหรือเปล่า”

นาราจูงพี่เลี้ยงไปนั่งที่เก้าอี้ เล่าเหตุการณ์อย่างรวบรัดก่อนจะสรุปว่า

“หนูไม่ได้ทำผิดจะถูกตีได้อย่างไรล่ะพี่องุ่น และต่อไปเราไม่ต้องห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายแล้วนะ คุณพ่อกำชับคุณแม่ใหญ่ให้จ่ายเงินเรือนเล็กตรงเวลาทุกเดือน รวมทั้งค่าเทอมค่าหนังสือด้วย คราวนี้คุณแม่ใหญ่ไม่กล้าบิดพลิ้วแน่” เด็กสาวยิ้มพราย “ส่วนพี่องุ่นก็ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกไล่ออกแล้ว หนูขอร้องคุณพ่อว่าขอให้พี่อยู่เป็นเพื่อนจนกว่าจะเรียนจบ ถึงตอนนั้นหนูก็ทำงานมีเงินเดือนแล้ว หนูจะเลี้ยงพี่องุ่นเอง สบายใจได้”

“แล้วคุณวรรณาไม่โกรธคุณหนูหรือที่ไปฉีกหน้าเธอเข้า” พี่เลี้ยงยังกังวล

นาราหัวเราะเห็นฟันขาวเป็นเงา “หนูไม่ได้ฟ้องคุณพ่อเสียหน่อย จะเรียกว่าฉีกหน้าคุณแม่ใหญ่ได้ยังไงล่ะจ๊ะ คุณแม่จะเอาสาเหตุอะไรมาโกรธ”

นางองุ่นลูบผมนุ่มของเด็กที่นางเลี้ยงมาตั้งแต่แบเบาะ เปรยอย่างสับสน

“นั่นสินะ เฮ้อ! แต่ก็ต้องเรียกว่าเป็นโชคดีของคุณหนูจริงๆ ที่คุณครูพิสมัยเป็นลูกสาวหัวหน้าคุณสุพจน์ แล้วก็บังเอิ๊ญคุณครูสงสารช่วยขอทุนให้คุณ ไปๆ มาๆ ความมันถึงได้แตกจนคุณพ่อรู้เสียทีว่าลูกสาวถูกแม่เลี้ยงรังแกอยู่ทุกวัน”

“ใช่จ้ะ บังเอิญจริงๆ” นารายิ้มน้อยๆ

ฐานะลูกสาวคนเดียวของข้าราชการระดับสูงในกระทรวงการต่างประเทศ ทำให้พิสมัยเป็นที่กล่าวขวัญในหมู่เพื่อนครูด้วยกันตั้งแต่วันแรกที่ย้ายมาสอนที่โรงเรียนแห่งใหม่นี้ นักเรียนที่ค้างค่าเทอมจนถูกเรียกไปพบที่ห้องพักครูบ่อยๆ ย่อมจะเคยได้ยินกิตติศัพท์ของเธอ และจะต้องเคยเห็นคุณพ่อข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของครูมารับลูกสาวคนโปรดถึงห้องพัก

เมื่อก่อนนาราไม่ได้เก็บมาใส่ใจ จนกระทั่งข้าราชการท่านนี้มารับประทานอาหารที่บ้านตามคำเชิญของสุพจน์ จำได้ว่าคราวนั้นวรรณาตื่นเต้นเป็นการใหญ่ แม่ครัวถูกกำชับให้ทำอาหารสุดฝีมือเพื่อให้ถูกปาก ‘เจ้านายของคุณผู้ชาย’

ต่อมาเธอยังพบอีกว่าคนขับรถที่มารอรับครูกลับบ้านในตอนเย็น ชอบมาจีบแม่ค้าร้านขนมหวานที่นาราไปรับไอศกรีมมาขาย บางครั้งเขาก็แอบนินทาเจ้านายให้หล่อนฟัง เป็นต้นว่าเจ้านายสาวของเขานั้นชอบดูภาพยนตร์มาก มีภาพยนตร์เข้าใหม่ที่ศาลาเฉลิมไทยเมื่อใดครูพิสมัยไม่เคยพลาดสักเรื่อง

‘คุณหนูชอบไปดูหนังรอบบ่าย ตรงเวลาไม่มีเปลี่ยน หนุ่มคนไหนอยากจีบไปดักรอที่หน้าโรงหนังรับรองเป็นได้เจอ’

นาราหิ้วกระติกไอศกรีมเดินเร่ขายหลังเลิกเรียนมานานแล้ว แต่สองเดือนมานี้เองที่เธอย้ายไปขายในบริเวณที่รถของพิสมัยจะแล่นผ่าน เช่นเดียวกับตั๋วผี นาราก็เพิ่งริอ่านขายในช่วงนี้อีกเหมือนกัน เธอจะหลบวูบไปทุกครั้งเมื่อครูพิสมัยกับเพื่อนๆ มาถึงโรงภาพยนตร์ แต่ก็ไม่วายวิ่งชนลูกค้าผู้หญิงที่ยืนรอซื้อตั๋วอยู่ ทำให้เกิดเสียงอุทานวี้ดว้ายจนครูสาวสุดเฮี้ยบหันมาเห็นเข้า

ทำตัวลับๆ ล่อๆ อย่างนี้อยู่สองสามครั้งในที่สุดก็ถูกพิสมัยจับตัวได้ นาราจึงจำต้องเล่าความขัดสนทางบ้านให้ฟัง จนพิสมัยสงสารทำเรื่องขอทุนการศึกษาให้ในที่สุด

พอได้ทุนการศึกษามาอยู่ในมือแล้ว ต่อจากนั้นนาราก็แย้มพรายให้ครูรู้ว่าคุณพ่อของเธอเป็นลูกน้องท่านรองปลัดกระทรวง คุณพ่อของครูนั่นเอง

คุณแม่ใหญ่ไม่ยอมให้เธอฟ้องพ่อ นาราก็ไม่ฟ้อง แต่หากมีคนอื่นมาทำให้เรื่องรู้ไปถึงหูคุณพ่อเอง จะมาโทษว่าเป็นความผิดของเธอไม่ได้หรอกนะ…

แม่องุ่นบ่นต่อไปด้วยความโล่งใจ “สิ้นเคราะห์กันเสียที คุณจะได้ไม่ต้องไปตากหน้าขายไอติมอีก เพื่อนฝูงมาเจอเข้าอายเขาแย่”

“หนูไม่อายหรอกพี่องุ่น เราไม่ได้ทำอะไรผิดจะอายทำไม อายแล้วท้องอิ่มเสียที่ไหน” นาราหาวหวอดก่อนจะชวนเสียงใส “ต่อไปเราจะไม่ลำบากอย่างเมื่อก่อนแล้วนะ ไปจ้ะ เข้ามุ้งนอนให้สบายกันดีกว่า”

จริงอย่างที่เด็กสาวพูด หลังจากนั้นถึงแม้รพีพรรณจะคอยหาเรื่องกลั่นแกล้งน้องสาวอยู่เนืองๆ แต่ความเป็นอยู่ของนารากับแม่องุ่นก็ดีขึ้นมาก จนกระทั่งนาราเรียนจบมัธยมปลาย และสอบเข้าเป็นนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้สำเร็จ สุพจน์ก็ได้รับคำสั่งให้ติดตามคณะทำงานไปประจำอยู่ต่างประเทศ ทุกชีวิตในครอบครัวจึงหวนกลับไปสู่อุ้งมือทรงอำนาจของคุณแม่ใหญ่อีกครั้ง

ก่อนสุพจน์จะออกเดินทางวรรณารับปากสามีว่าจะดูแลนาราเป็นอย่างดี ไม่ปล่อยปละละเลยอย่างที่ผ่านมา นายสุพจน์จึงขึ้นเครื่องบินไปด้วยความสบายใจ หารู้ไม่ว่าสิ่งแรกที่วรรณาทำหลังจากสามีคล้อยหลังไปได้เพียงวันเดียวคือเรียกแม่องุ่นไปพบ ออกคำสั่งอย่างวางอำนาจ

“ตอนนี้ค่าใช้จ่ายในบ้านไม่ใช่น้อยๆ ฉันต้องตัดคนออก คงจ้างแกได้ถึงสิ้นเดือนนี้เท่านั้น หลังจากนั้นแกก็ไปหางานอื่นทำซะ”

แม่องุ่นสะดุ้งเหมือนถูกธูปร้อนๆ จี้ลงมาโดยไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว นางอ้อนวอนเท่าไรวรรณาก็ยืนกรานจะไล่ออกท่าเดียว นาราต้องยื่นคำขาดว่าเธอจะออกจากบ้านไปพร้อมพี่เลี้ยงด้วย วรรณาถึงยอมอนุโลมให้แม่องุ่นอยู่รับใช้เจ้านายต่อไปตามเดิม

“ทำไมคุณแม่ไม่ให้นาราไปกับพี่เลี้ยงของมันเสียเลยล่ะคะ ลูกจะได้หายเกะกะลูกตาเสียที” รพีพรรณถามมารดาขณะนั่งจิบน้ำชาด้วยกันที่ระเบียง แต่วรรณาส่ายหน้า

“คุณพ่อเพิ่งจะเดินทางยังไม่ถึงอาทิตย์ ถ้าแม่นาราออกจากบ้าน ใครๆ ก็ต้องคิดว่าแม่ไล่มันไปน่ะสิ ไม่ได้หรอกลูก แม่นารามันไม่รักชื่อเสียงวงศ์ตระกูลลูกก็รู้ ขนาดไปเร่ขายตั๋วผีตามโรงหนังมันยังกล้าทำมาแล้ว ถ้ามันไปใส่ร้ายเราให้คนอื่นฟัง หรือไปทำอะไรบ้าๆ จนเสื่อมเสียไปถึงคุณพ่อ คุณพ่อก็ต้องตำหนิแม่” เธอเม้มปากเมื่อคิดถึงความหลัง “แต่ไม่เป็นไร แค่นี้ก็ขู่แม่นาราได้มากพอดูแล้ว นับจากนี้ถ้าไม่เดือดร้อนสุดทนจริงๆ มันไม่กล้ากำแหงขัดใจแม่หรอก”

หลังจากนั้นเหตุการณ์ในเรือนเล็กก็ย้อนกลับเข้ารอยเดิม คือนาราและแม่องุ่นต้องประหยัดค่าใช้จ่ายกันจนตัวลีบ วรรณาเข้มงวดกับลูกเลี้ยงยิ่งกว่าเมื่อก่อนเสียอีก ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงกับรพีพรรณที่ฟุ่มเฟือยได้เต็มที่ตามประสาลูกสาวคนเดียวของประมุขของบ้าน

 



Don`t copy text!