แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 3 : ที่แท้ก็สิบแปดมงกุฎดีๆ นี่เอง (2)
โดย : ณรัญชน์
แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ นวนิยายเรื่องล่าสุดจาก ณรัญชน์ ที่อ่านเอาคัดสรรมานำเสนอ กับเรื่องราวของกระจกโบราณที่สามารถทำนายอนาคตมนุษย์ทุกคนได้อย่างแม่นยำ ‘วิศรุต’ จึงใช้มันมาลิขิตชะตาชีวิตตัวเอง แม้นั่นจะหมายถึงการทำลายล้างคนรอบข้างอย่างโหดเหี้ยม ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิงที่เขารัก นวนิยายออนไลน์จาก www.anowl.co
เดิมทีนพมาศอยากขอยาแก้ฟกช้ำจากพนักงานของโรงแรมมาทาให้นารา แต่คนถูกทำร้ายปฏิเสธว่าไม่ได้เจ็บปวดอะไรนัก นพมาศจึงพาหญิงสาวไปนั่งคุยกันที่ล็อบบี วิฑูรย์ตามมาสมทบแต่นาราสลัดเขาออกไปได้สำเร็จด้วยการขอให้วิฑูรย์ไปหาน้ำมาให้ดื่ม เธออยากคุยกับนพมาศตามลำพัง
“ที่บ้านคุณนาราอยู่กันยังไงคะ ทำไมคุณพ่อคุณแม่ถึงปล่อยให้พี่สาวรังแกน้องอย่างนี้” นพมาศถาม
ถ้าไม่เข้าตาจนจนถึงที่สุด นาราไม่อยากเปิดเผยเรื่องในครอบครัวให้คนนอกรู้นักหรอก ประกอบกับแน่ใจว่าเท่าที่ได้เห็นการตบตีเมื่อครู่ ได้ยินคำสารภาพของรพีพรรณ นพมาศน่าจะมีใจเอนเอียงมาทางเธอมากอยู่แล้ว หญิงสาวจึงเล่าเหตุการณ์ที่บ้านแต่เพียงคร่าวๆ ข้ามรายละเอียดที่ก่อให้เกิดความเจ็บช้ำไปหลายเรื่อง ก่อนจะรำพันอย่างกลัดกลุ้ม
“ดิฉันอยากหางานทำจะได้ออกจากบ้านไปพึ่งตัวเองได้เสียที แต่คงยากเพราะยังเรียนไม่จบ บริษัทส่วนใหญ่อยากได้คนจบปริญญากันทั้งนั้น”
ถึงนาราจะเล่าย่อๆ แต่นพมาศก็มองออกว่าเธอต้องทนกับการข่มเหงมานานหลายปี ดูเอาเถอะ เด็กผู้หญิงตัวเล็กนิดเดียว ต้องอดมื้อกินมื้อหาเงินตัวเป็นเกลียว พ่อก็ไม่สนใจปล่อยให้แม่เลี้ยงรังแกอยู่ได้…คนฟังสงสารจนใจอ่อนยวบ
“คุณนาราเรียนมาด้านไหนล่ะคะ พี่มีคนรู้จักเยอะนะอาจจะฝากฝังให้ได้” นพมาศถาม
เม็ดนิลในหน่วยตาเรียวใหญ่ทอประกายพราวด้วยความสมคะเน นาราตอบเสียงอ่อน
“ดิฉันเรียนอยู่คณะอักษรศาสตร์ค่ะ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากทำงานพวกงานขีดๆ เขียนๆ แต่ถ้าคุณนพมาศจะกรุณาฝากงานให้ จะงานอะไรดิฉันก็ทำได้ค่ะ ขอแค่พอมีรายได้เลี้ยงตัว”
“เรียนอักษรศาสตร์ แหม! ดีจริง” นพมาศอุทาน “พี่นี่ละค่ะบรรณาธิการนิตยสารลัดดาวัลย์ กำลังสนใจอยากได้คนรุ่นใหม่มาร่วมงานพอดี” เธอชำเลืองมองรอยข่วนหลายรอยบนท่อนแขนเรียวเล็ก ชั่งใจนิดหนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า
“เอาอย่างนี้ เขียนบทความมาให้พี่ดูสักสองสามชิ้นนะคะ จะได้รู้แนวการเขียน แต่ที่จริงถึงผลงานยังไม่ดีนักก็ไม่เป็นไรหรอก ค่อยๆ มาฝึกมาหัดกันไป พี่อยากให้โอกาส”
พูดอย่างนี้แปลว่านพมาศจะรับนาราเข้าทำงานแน่นอนแล้ว นารายิ้มกว้าง มองอีกฝ่ายอย่างซาบซึ้ง
พร้อมกับที่ความยินดีแล่นปราดไปทั้งร่างหญิงสาวก็ละอายใจอย่างบอกไม่ถูก…
เอาน่า…ถึงแม้วิธีฝากตัวเองเข้าทำงานจะไม่ใสสะอาดเท่าไรนัก แต่นาราจะชดเชยด้วยการทำงานอย่างสู้ตายถวายหัว ไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย จะไม่ทำให้นพมาศผิดหวังเลย
ตั้งแต่ได้ยินว่าจะถูกแม่เลี้ยงจับแต่งงานใช้หนี้ สมองของหญิงสาวไม่เคยหยุดพักจากการหาทางรอด คิดสะระตะอยู่หลายวัน นาราก็ได้ข้อสรุปว่าตราบใดที่ยังอาศัยอยู่ใต้ชายคาบ้านหลังนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่ไม้ซีกเล็กๆ อย่างเธอจะทานอำนาจไม้ซุงอย่างแม่เลี้ยงได้
แต่การออกไปหาที่อยู่ใหม่ก็ต้องใช้เงินไม่น้อย เงินเก็บของนารากับแม่องุ่นรวมกันพอจ่ายค่าเช่าบ้านและกินอยู่ไปได้ไม่กี่เดือนเท่านั้น ถ้าจะประคองตัวไปให้ตลอดรอดฝั่งนาราจำเป็นต้องมีงานทำ มีรายได้มากพอจะดูแลตัวเองและพี่เลี้ยงโดยไม่ต้องพึ่งพาใคร
ที่สำคัญ เจ้านายของเธอจะต้องมีสถานะทางสังคมใหญ่โตพอที่จะข่มให้วรรณาเกรงใจ ไม่กล้ามาระรานหรือบีบบังคับให้ไล่ลูกจ้างออกได้ง่ายๆ
ขณะที่หญิงสาวกำลังมืดแปดด้าน รพีพรรณก็กำลังขะมักเขม้นซ้อมเปียโนอยู่บนตึกใหญ่ รพีพรรณไม่ได้บอกจุดประสงค์เบื้องหลังความทุ่มเทครั้งนี้ มีแต่กมลเนตรที่เล่าให้กานดาฟังด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ
‘รพีเขาตั้งใจจะไปเล่นเปียโนในงานเลี้ยงน้ำชาการกุศล จะได้ตีสนิทกับคุณนพมาศที่เป็นกรรมการจัดงาน คุณนพมาศแกเป็นบรรณาธิการหนังสือลัดดาวัลย์ไงละแม่ ใครๆ ก็อยากรู้จักแกกันทั้งนั้น’
ในยุคที่อาชีพนักแสดงถูกค่อนแคะว่าเป็นพวกเต้นกินรำกิน ส่วนการเป็นนางแบบก็ถูกมองอย่างไม่ชื่นชมเท่าใดนัก นางแบบกิตติมศักดิ์ของนิตยสารลัดลาวัลย์นับเป็นข้อยกเว้น เพราะคนที่จะขึ้นปกนิตยสารฉบับนี้ได้มีแต่ลูกท่านหลานเธอ หนุ่มสาวจากตระกูลผู้ดี หรือนักเรียนนอก ซึ่งถือเป็นกลุ่มคนโก้เก๋ในวงสังคม เพื่อนๆของรพีพรรณทยอยเป็นแบบให้นิตยสารฉบับนี้ไปหลายคนแล้ว รพีพรรณเลยร้อนใจอยากจะขึ้นปกบ้างเพื่อไม่ให้น้อยหน้าใครนั่นเอง
สองแม่ลูกนั่งคุยกันอยู่ในสวนอย่างสบายอารมณ์ ไม่ได้สังเกตเห็นพี่เลี้ยงของนาราที่เดินผ่านไป พอแม่องุ่นนำความมาบอก นาราก็เห็นทางแก้ปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ทันที ราวกับพี่สาวช่วยฉายไฟส่องเข้ามาในอุโมงค์มืดมิดกระนั้น
นิตยสารลัดดาวัลย์นี่ละเหมาะจะเป็นที่ทำงานของเธอ และคุณนพมาศก็คือเจ้านายผู้มีบารมีมากพอจะข่มวรรณาได้อย่างไม่ยากเย็น…
แต่จะทำอย่างไรหนอ กองบรรณาธิการนิตยสารลัดดาวัลย์ถึงจะยอมรับนักศึกษาที่ยังเรียนอยู่เพียงชั้นปีที่สอง ซ้ำยังไม่มีเส้นสายหรือคนรู้จักช่วยฝากฝัง ให้เข้าไปทำงานด้วย ไตร่ตรองอยู่พักใหญ่เธอก็นึกถึงบทสัมภาษณ์นพมาศที่เคยอ่านจากหนังสือพิมพ์ขึ้นมาได้ นารารู้สึกว่านพมาศเป็นคนขี้สงสาร
ว่ากันว่าความสงสารเป็นบ่อเกิดของความรัก…อันที่จริงไม่เฉพาะความรักหรอก ยังเป็นบ่อเกิดของอะไรอีกหลายๆ อย่าง…ถ้าจะเอามาใช้ในสถานการณ์นี้บ้างก็น่าเป็นประโยชน์ไม่ใช่น้อย
คนที่จะมาทำให้นาราดูน่าสงสารนั้นหาไม่ยาก เพราะรพีพรรณไม่มีทางใจเย็นอยู่ได้แน่ๆ ถ้าเพลงที่ตั้งใจซ้อมมาเป็นแรมเดือนถูกน้องสาวบรรเลงตัดหน้าไปก่อน ยิ่งไปกว่านั้นนารายังจงใจยั่วโมโหพี่สาวสุดฝีมือ ขุดคุ้ยทิ่มแทงไม่ยั้ง และแล้วรพีพรรณก็บันดาลโทสะตามคาด
พอนพมาศได้ประจักษ์ด้วยตาตัวเองว่านาราถูกข่มเหงรังแกมานานแค่ไหน เห็นท่าทางน่าเวทนา น้ำตารินเป็นสายอย่างคนที่อัดอั้นเหลือจะพรรณนา มีหรือเธอจะไม่ใจอ่อน ยอมรับลูกนกลูกกาให้หนีร้อนไปพึ่งเย็น
แล้วในที่สุดนาราก็พร้อมจะโบยบินออกจากกรงขังที่เรียกว่าบ้านเสียที…
นารายกมือไหว้ขอบคุณนพมาศอย่างซาบซึ้ง “ดิฉันจะตั้งใจทำงานเต็มที่ ไม่ให้เป็นภาระของใคร ขอบพระคุณคุณนพมาศที่ให้โอกาสค่ะ”
รอยยิ้มปราโมทย์ยังติดอยู่ที่ริมฝีปากขณะหญิงสาวเงยหน้าขึ้น สายตาปะทะเข้ากับใบหน้าเคร่งขรึมของผู้ชายตัวสูงที่เธอเห็นว่ากรูเข้ามาห้ามรพีพรรณพร้อมกับวิฑูรย์ ในมือเขาถือผ้าเช็ดหน้าสีครีมอ่อน วางหน้าเฉยจ้องเขม็งมาที่เธอ ทำเอานาราใจหายวูบ นึกขึ้นมาได้ว่าเผลอทำผ้าเช็ดหน้าตกไว้ระหว่างที่ถูกรพีพรรณตบตีนั่นเอง
ดูจากสายตาดุจัดนั่น เห็นทีผู้ชายคนนี้คงพบยาหม่องในผ้าเข้าแล้ว!
เร็วเท่าความคิด นารารีบบอกลานพมาศแล้วเดินไปหาธิปก อีกฝ่ายส่งสายตาบอกให้เธอตามมาก่อนจะเดินนำเข้าไปในสวนของโรงแรม
ธิปกส่งผ้าเช็ดหน้าให้ พูดดักคอเพื่อให้รู้ว่ามองแผนการของเธอออกทะลุปรุโปร่ง
“เอาคืนไป อุปกรณ์เรียกน้ำตาของคุณ”
ไม่รอให้นาราแก้ตัว ธิปกก็ทำเสียงเข้มเหมือนผู้ใหญ่ดุเด็กเกเรสักคน
“คุณไม่ควรทำอย่างนี้ ถ้าอยากถ่ายแบบกับคุณนพมาศก็ควรไปแนะนำตัวกับเธอตรงๆ ไม่ใช่มาหลอกกันเหมือนพวกสิบแปดมงกุฎ ทั้งๆ ที่เธอมีน้ำใจดีกับคุณ”
นายคนนี้คิดว่าฉันอยากเป็นนางแบบ อยากเด่นอยากดังเหมือนพี่รพีหรือ…
ยิ่งไปกว่านั้นคำว่าสิบแปดมงกุฎยังกระแทกใจคนฟังอยู่ไม่น้อย นาราหน้าชาไปวูบหนึ่ง ก่อนจะฮึดขึ้นมาใหม่
ใครจะมาเข้าใจความจำเป็นของเธอ เขาไม่ใช่คนที่จะถูกจับแต่งงานใช้หนี้ก็ปั้นหน้าสั่งสอนศีลธรรมได้สิ!
แต่จะเถียงกลับไปสถานการณ์ก็ยังตกเป็นรอง หญิงสาวจึงทำหูทวนลม ยื่นมือออกไปรับ ‘หลักฐาน’ มาเงียบๆ เอ่ยขอบคุณอย่างรวดเร็วแล้วหมุนตัวทำท่าจะผละไป
“ผมให้โอกาสคุณ จะไปสารภาพกับคุณนพมาศเอง หรือจะให้ผมบอก” เสียงเข้มจัดตั้งคำถาม
เท้าที่กำลังจะก้าวหนีออกจากที่เกิดเหตุชะงักกึก หญิงสาวหันกลับมาปั้นสีหน้าพิศวง
“สารภาพเรื่องอะไรคะ คุณพูดอะไรฉันไม่เข้าใจ คุณเก็บผ้าเช็ดหน้าฉันได้ฉันก็มารับคืนเท่านั้นเอง”
สายตาของธิปกคล้ายจะบอกว่า ‘นึกแล้วเชียวว่าต้องพูดแบบนี้’
“คุณอย่าพยายามปฏิเสธ ผมกับคุณนพมาศรู้จักกันดี ถ้าผมไปเล่าให้ฟังว่าที่คุณร้องไห้เมื่อครู่นี้เพราะแสบตาจากยาหม่องที่ใส่ไว้ในผ้าเช็ดหน้า คุณนพมาศต้องเชื่อผม”
กำลังใจของนาราไม่ได้ถดถอยลงแม้แต่นิดเดียว เมื่อเถียงกลับเสียงนุ่ม “ก่อนออกจากบ้านพี่เลี้ยงของฉันหยิบผ้าเช็ดหน้ามาให้ คงจะมียาหม่องติดมากระมังคะ ฉันก็ไม่ทันสังเกตเสียด้วย”
“คุณคิดว่าผมจะเชื่อข้ออ้างของคุณหรือ” เขาเอ็ด “แล้วคุณนพมาศก็ไม่ใช่เด็กๆ เธอเจอพวกผู้หญิงที่อยากเป็นนางแบบอย่างคุณมาเยอะแล้ว ถ้ารู้เรื่องยาหม่องเธอต้องมองเจตนาคุณออกแน่”
นั่นสินะ ถ้านพมาศรู้เข้าต้องแย่แน่ๆ…
สมองหญิงสาวคิดหาทางเอาตัวรอดเร็วจี๋ แม่ค้าในตลาดคนหนึ่งเคยเป็นนางละครมาก่อน หล่อนเล่าให้ฟังว่าพวกนางละครมือใหม่มีวิธีบีบน้ำตาฉบับเร่งด่วนที่ได้ผลอยู่วิธีหนึ่ง
นาราจิกเล็บหมับเข้าที่เนื้ออ่อนด้านหลังต้นขาตัวเอง กดลึกฝังคมเล็บลงไปไม่ปรานีปราศรัยเหมือนโกรธแค้นกันมานาน…เพิ่งเข้าใจก็วันนี้ว่าเจ็บจนน้ำตาคลอให้ความรู้สึกอย่างไร
“ถ้าหากชีวิตฉันสมบูรณ์พูนสุข คุณคิดว่าฉันจะทำอย่างนี้หรือ ฉันไม่ได้อยากถ่ายแบบแต่อยากทำงานในกองบรรณาธิการของคุณนพมาศ ฉันแค่จะใช้ความสามารถหาเลี้ยงตัวเองเท่านั้น” เธอบอกเรียบๆ ไม่มีอาการวิงวอน แต่สีหน้าขมขื่นบอกความอัดอั้นตันใจเปี่ยมล้น
“คุณจะไปบอกคุณนพมาศก็ตามใจเถอะ แต่ขอให้รู้ว่าชีวิตฉันไม่ได้มีทางเลือกมากนักหรอก ฉันอยู่ในบ้านก็เจียมเนื้อเจียมตัวที่สุดแล้ว แต่ก็ยังไม่พอ คนอื่นยังพยายามทำร้ายฉันทุกวิถีทาง ตอนนี้งานจากคุณนพมาศเป็นทางรอดทางเดียวของฉัน”
เอาเข้าจริงนาราก็ตะขิดตะขวงใจอยู่เหมือนกันที่ต้องบีบน้ำตาออดอ้อนเขา ติดที่ยามนี้เป็นนาทีวิกฤติ ถ้าหากนพมาศไม่ยอมรับเข้าทำงานจริงๆ เธอคงไม่ต่างจากอยู่ในฝันร้ายไปตลอดชีวิต ชั่งน้ำหนักเปรียบเทียบกันดูแล้ว ยอมเป็นผู้หญิงเจ้ามารยาสักครั้งคงไม่เสียหายเท่าไรหรอกน่า
ได้ผล! หยาดน้ำใสๆ เอ่อท้นอยู่ในดวงตาแดงระเรื่อที่ธิปกรู้ว่าคราวนี้ไม่ได้พึ่งยาหม่อง ทำให้เขาอดสงสารไม่ได้ ธรรมชาติของชายหนุ่มเป็นคนอารี ไม่ชอบรุกไล่คนจนหมดหนทางอยู่แล้ว และจากที่ได้เห็นได้ฟังมาก็รู้ว่าชีวิตนาราไม่ได้มีความสุขนัก หญิงสาวคงจำเป็นจริงๆ กระมังถึงต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมอย่างนี้
คิดลังเลอยู่ครู่หนึ่งธิปกก็ถอนใจ
“เอาเถอะ ครั้งนี้ผมจะยอมปล่อยไปก็แล้วกัน แต่ผมอยากจะเตือนคุณให้เลิกใช้อุบายหลอกลวงคนอื่น ถึงมันจะทำให้คุณได้ในสิ่งที่ต้องการ แต่ครั้งต่อไปคุณอาจไม่โชคดีรอดไปอย่างครั้งนี้”
น้ำตาของนาราแทบจะแห้งสนิทในนาทีนั้น หญิงสาวพยายามสงบใจไม่แสดงอาการระริกระรื่นออกมาให้เห็นขณะเอ่ยขอบคุณเสียงเบา จากนั้นก็ก้มหน้าเดินจากไปเงียบๆ
ธิปกมองตามร่างบางนั้นไปพลางส่ายหน้าน้อยๆ นึกเอาใจช่วยให้หญิงสาวกลับตัวกลับใจได้อย่างที่พูดจริงๆ เถิดนะ…
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 6 : ไว้ใจได้ไหมนายหน้าหนวด (1)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 5 : ไขฟู่... กระจกพยากรณ์ (2)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 5 : ไขฟู่... กระจกพยากรณ์ (1)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 4 : คนหลอกลวงเลี้ยงไม่เชื่อง (2)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 4 : คนหลอกลวงเลี้ยงไม่เชื่อง (1)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 3 : ที่แท้ก็สิบแปดมงกุฎดีๆ นี่เอง (2)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 3 : ที่แท้ก็สิบแปดมงกุฎดีๆ นี่เอง (1)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 2 : วิศรุตและธิปก (2)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 2 : วิศรุตและธิปก (1)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 1 : โลกใบเล็กของนารา (2)
- READ แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 1 : โลกใบเล็กของนารา (1)