แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 3 : ที่แท้ก็สิบแปดมงกุฎดีๆ นี่เอง (1)

แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ บทที่ 3 : ที่แท้ก็สิบแปดมงกุฎดีๆ นี่เอง (1)

โดย : ณรัญชน์

Loading

แรมสิบห้าค่ำนี้มีปาฎิหาริย์ นวนิยายเรื่องล่าสุดจาก ณรัญชน์ ที่อ่านเอาคัดสรรมานำเสนอ กับเรื่องราวของกระจกโบราณที่สามารถทำนายอนาคตมนุษย์ทุกคนได้อย่างแม่นยำ ‘วิศรุต’ จึงใช้มันมาลิขิตชะตาชีวิตตัวเอง แม้นั่นจะหมายถึงการทำลายล้างคนรอบข้างอย่างโหดเหี้ยม ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิงที่เขารัก นวนิยายออนไลน์จาก www.anowl.co

ห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมริมแม่น้ำสว่างไสวด้วยแสงจากอัจกลับที่ประดับเรียงกันเป็นแถวอยู่บนเพดาน กลางห้องกว้างตั้งโต๊ะยาวคลุมด้วยผ้าลินินขาวสะอาด วางแจกันแก้วประดับดอกไม้หลากสี ติดกันเป็นเชิงเทียนเงาวับและเครื่องแก้วเจียระไนแบบตัดเหลี่ยม เมื่อกระทบแสงโคมก็ส่องประกายพราวระยับราวกับเกล็ดเพชร

ยิ่งผสานด้วยเสียงหัวเราะเริงรื่นของแขกหนุ่มสาว บรรยากาศก็ชื่นบานสมเป็นงานเลี้ยงน้ำชาการกุศลที่คณะผู้จัดโฆษณาว่าโก้หรูที่สุดงานหนึ่งของปี

ท่ามกลางความแช่มชื่นที่อยู่รายรอบ ใบหน้าโกรธเกรี้ยวของรพีพรรณเหมือนจะอยู่ผิดที่ผิดทางอย่างน่าเสียดาย

“เป็นอะไรไปน่ะรพี ทำหน้าบึ้งเชียว” กมลเนตรทัก

แทนคำตอบ รพีพรรณชี้ไปที่หญิงสาวรูปร่างโปร่งระหงซึ่งนั่งอยู่หน้าเปียโนแกรนด์ตัวใหญ่ ใบหน้ารูปหัวใจและผิวสีน้ำผึ้งเนียนละเอียดที่กมลเนตรคุ้นตาดูผุดผ่องเป็นพิเศษยามอยู่ใต้แสงโคมระย้า นารากำลังพรมนิ้วไปบนคีย์เปียโน บรรเลงท่วงทำนองหวานเสนาะขับกล่อมผู้ฟังที่ยืนจับกลุ่มกันอยู่ด้านข้าง หนึ่งในนั้นมีคุณนพมาศ กรรมการจัดงานการกุศลเพื่อหาทุนสร้างโรงพยาบาลในวันนี้รวมอยู่ด้วย

“นังนารามันเล่นเปียโนตัดหน้าฉัน จงใจแกล้งฉันชัดๆ มันคงอยากเอาใจคุณนพมาศ”

กมลเนตรฟังออกว่าดนตรีที่นารากำลังบรรเลงเป็นเพลงจากภาพยนตร์รักที่โด่งดังเมื่อหลายปีก่อน นพมาศเคยให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ว่าโปรดปรานภาพยนตร์เรื่อง ‘คาซาบลังกา’ เป็นพิเศษ รพีพรรณจึงหัดเล่นเปียโนเพลงนี้มาโดยเฉพาะ เพื่อจะใช้เป็นสะพานเชื่อมไปทำความรู้จักกับเธอ

ที่ไหนได้กลับถูกชิงเล่นตัดหน้า ซ้ำร้ายคนมือไวคนนั้นยังเป็นน้องสาวตัวดีอีกด้วย

“นี่คุณวิฑูรย์ไปไหนล่ะ ทำไมปล่อยนาราไว้คนเดียว”

“ก็ยืนหน้าบานชื่นชมนังนาราอยู่นั่นไง” รพีพรรณชี้ไปที่ชายหนุ่มลูกจีนที่ยืนอยู่ในกลุ่มคนฟัง

ก่อนหน้านี้วิฑูรย์ค่อนข้างแปลกใจที่นาราเป็นฝ่ายชวนเขามางานรื่นเริง แต่ความประหลาดใจมีไม่มากเท่าความยินดี เขาจึงจ่ายเงินซื้อบัตรโดยไม่ลังเล แม้แต่วรรณายังออกปากกับลูกสาวเมื่อรู้เข้า

“แม่นาราคงจะสิ้นฤทธิ์แล้วละ แม่สั่งไปว่าถ้ายังแกล้งคุณวิฑูรย์อีกจะตัดค่าใช้จ่ายของเรือนเล็ก แม้แต่ข้าวปลาก็ให้หากินเอาเอง คนเราต้องกินต้องใช้ ถ้าไม่มีเงินเสียอย่างจะกำแหงไปได้สักกี่น้ำ”

ตอนนั้นรพีพรรณยังยิ้มเยาะน้องสาวอยู่เลย ที่ไหนได้แม่ตัวดีกลับย้อนมาเล่นงานเธอเข้าจนได้

นาราเล่นเปียโนได้ดีทีเดียว พิสูจน์ได้จากเสียงปรบมือเกรียวกราวหลังจากบรรเลงจบ หญิงสาวไม่ได้ลุกจากสตูลทันทีแต่นั่งคุยกับนพมาศอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขอตัวเลี่ยงออกไปจากห้องจัดเลี้ยง รพีพรรณรีบฉุดกมลเนตรให้เดินตามไปบ้าง

พ้นประตูห้องเป็นทางแยกเล็กๆ ลักษณะคล้ายสามแพร่งที่จะทอดต่อไปยังห้องโถงด้านหน้าของโรงแรม อีกทางหนึ่งแยกออกไปสวนด้านหลัง รพีพรรณก้าวฉับๆ ไปจนทันร่างระหงที่เดินนำมาก่อน เปิดฉากต่อว่าอย่างฉุนเฉียว

“นารา เธอจงใจแกล้งฉันใช่ไหมถึงไปเล่นเปียโนโชว์คุณนพมาศก่อนฉัน เธอก็รู้นี่ว่าฉันตั้งใจจะมาดีดเปียโนในงานนี้”

นาราไม่สะทกสะท้านเมื่อยิ้มรับโทสะของพี่สาว “พี่รพีพูดอะไรคะ ฉันไม่รู้เรื่อง”

“อย่ามาตีหน้าซื่อหน่อยเลย ฉันซ้อมเล่นเพลงคาซาบลังกาอยู่ที่บ้านมาเป็นเดือนแล้ว มีหรือเธอจะไม่ได้ยินเสียง เธอจงใจเล่นตัดหน้าฉันละสิ”

กมลเนตรนั้นเป็นลูกคู่ของรพีพรรณอยู่แล้ว หญิงสาวรับหน้าที่นี้มาตั้งแต่วันแรกที่คุณกานดาซึ่งเป็นญาติห่างๆ ของวรรณา พาลูกสาวหนีสามีขี้เมามาพึ่งใบบุญวรรณานั่นเลยทีเดียว พอรพีพรรณออกปากกมลเนตรก็รีบผสมโรง

“เล่นก็ไม่ได้ความ คนฟังเขาทนฟังเพราะไม่อยากเสียมารยาทหรอกน่ะ น่าขำที่เธอพยายามทำตัวเด่น ฉันละอดอายแทนไม่ได้”

“ฉันไม่อายหรอกค่ะ ใครจะคิดยังไงก็ช่างขอให้คุณนพมาศชอบก็พอ พี่รพีเองที่อุตส่าห์ซ้อมเพลงนี้มาตั้งนานก็เพื่อจุดประสงค์นี้ไม่ใช่หรือ เอ…จะว่าไปคงไม่ได้มีแต่ฉันคนเดียวกระมังที่จงใจทำตัวเด่น”

ท่าทางของน้องสาวเหมือนจะกระเซ้าเล่นอย่างไม่จริงจังนัก แต่ความหมายของมันแทงใจดำรพีพรรณเข้าเต็มรัก ปกตินาราสงบปากสงบคำไม่เคยกล้าต่อกรกับพี่สาวมาก่อน ความเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันจึงกระทบใจจนรพีพรรณอึ้งไปครู่หนึ่ง แต่พอตั้งสติได้หญิงสาวก็ถากถางต่อด้วยประโยคที่คิดว่าจะสร้างความเจ็บปวดให้คนฟังมากที่สุด

“คิดว่าแค่เล่นเปียโนเพลงเดียวคุณนพมาศเขาจะเอ็นดูลูกเมียน้อยอย่างเธอหรือ ไม่เจียมตัว เกิดมาเป็นอีกายังไงก็เป็นได้แค่กาอยู่วันยังค่ำ”

นาราเหลือบมองไปทางประตูห้องจัดเลี้ยง เห็นวิฑูรย์กำลังพานพมาศเดินใกล้เข้ามาตามที่เธอขอร้องเขาไว้ สีหน้ายิ้มย่องท้าทายพี่สาวก็สลดลง น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นอ่อนอ่อยวิงวอน

“ถึงฉันจะเป็นลูกเมียน้อย แต่ก็เป็นลูกคุณพ่อเหมือนกับพี่รพีนะคะ”

มือเรียวเล็กเปิดกระเป๋าที่คล้องแขนอยู่ หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับหัวตาทั้งสองข้าง พอลดมือลงดวงตาทั้งคู่ก็แดงระเรื่อ

“ตลอดเวลาฉันพยายามอยู่อย่างเจียมตัว ไม่เคยสร้างปัญหา ไม่เข้าใจว่าทำไมพี่รพีต้องคอยหาเรื่องกลั่นแกล้งฉันด้วย” นารารำพันเสียงสั่น น้ำตาเอ่อคลอเต็มเบ้า “ตอนฉันเด็กๆ คุณแม่ใหญ่ไม่ยอมให้เงินค่าเทอม ไม่ให้เงินฉันไปซื้อหนังสือเรียน จำกัดแม้แต่อาหารการกินของเรือนเล็ก ฉันต้องแอบทำขนมไปขายเพื่อจะหาเงินใช้ แต่พี่รพีก็แอบมาคว่ำถาดขนมทิ้ง พอฉันเลี้ยงไก่พี่รพีก็มาวางยาไก่ตายทั้งเล้าอีก พี่รพีข่มเหงรังแกทำร้ายจิตใจฉันมาตลอด แต่ฉันก็พยายามอดทน เพื่อให้ครอบครัวเราอยู่กันอย่างราบรื่น”

ขนมของนาราเป็นหนามตำใจรพีพรรณยิ่งกว่าเรื่องใดทั้งสิ้น แม้ว่าจะผ่านมานานหลายปีแล้วก็ตาม ในตอนนั้นรพีพรรณรู้ว่าน้องสาวทำขนมไปขายที่โรงเรียนก็นึกสนุกอยากจะแกล้ง พอตกกลางคืนเธอจึงย่องไปที่ครัวของเรือนเล็ก จัดแจงคว่ำถาดขนมทิ้งเกลื่อนพื้น สองครั้งแรกสำเร็จด้วยดีจนเจ้าตัวนึกกระหยิ่ม

พอมาถึงครั้งที่สาม รพีพรรณได้ข่าวจากแม่ครัวว่านาราลงทุนทำขนมมากกว่าปกติเพื่อเอาไปขายในวันลอยกระทง พี่สาวจึงลอบเร้นเข้ามาอีก ผลคือรพีพรรณถูกไอ้ดำ หมาดุที่น้องสาวหามานอนเฝ้าครัวกัดเข้าที่น่องเป็นแผลฉกรรจ์ต้องเย็บหลายเข็ม

พอถูกวรรณาเรียกไปชำระความนาราก็ทำหน้าตื่น

‘ฉันเอาหมามาเฝ้าเพราะเห็นว่ามีคนเข้ามาขโมยของ ไม่รู้จริงๆ ค่ะว่าเป็นพี่รพี ที่จริงถ้าพี่รพีอยากกินขนมทำไมไม่บอกล่ะคะ ไม่น่าลำบากแอบมาหยิบเองกลางค่ำกลางคืน ไอ้ดำมันเลยคิดว่าเป็นหัวขโมย’

เหตุผลของอีกฝ่ายเหมือนตบหน้าวรรณาเข้าฉาดใหญ่ ต่อให้แค้นใจอยากจะเอาผิดลูกเลี้ยงก็ไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรมาอ้าง สุดท้ายก็จำต้องปล่อยให้นาราลอยนวลกลับเรือนเล็กไปโดยดี

รพีพรรณร้องไห้อยู่เป็นเดือนเมื่อพบว่าน่องเรียวสวยข้างหนึ่งมีแผลเป็นยาวหลายนิ้ว นับจากนั้นความเป็นปรปักษ์กับน้องสาวก็เพิ่มพูนยิ่งกว่าไฟได้เชื้อ จากที่ไม่ชอบนาราเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็พัฒนาไปถึงขั้นเกลียดชังเลยทีเดียว

ครั้งนี้ พอนาราเท้าความไปถึงเรื่องขนมไฟโทสะของคนฟังก็ลุกโพลง รพีพรรณเชิดหน้า มองอาการรวดร้าวและน้ำตาที่คลอปริ่มอยู่ในสองตาแดงจัดของน้องสาวอย่างดูถูก

“ฉันไม่ได้ทำอย่างที่เธอพูด ใครจะไปสนใจอยากทำลายขนมห่วยๆ หรือวางยาไก่บ้าๆ ของเธอ”

หยาดน้ำใสๆ หยดหนึ่งกลิ้งลงมาตามแก้มนวล นารายกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับ แต่ยิ่งซับน้ำตาก็ยิ่งไหลพราก เมื่อแอบมองผ่านม่านน้ำพร่ามัวออกไป เธอก็เห็นคุณนพมาศกำลังหยุดดูเหตุการณ์อยู่ที่ปากประตูห้องจัดเลี้ยง ไม่ได้ก้าวออกมาขัดจังหวะการสนทนาเพราะเกรงจะเสียมารยาท ด้านหลังของเธอมีร่างสูงของธิปกที่นาราไม่รู้จักยืนอยู่ด้วย

แน่นอนว่าคุณนพมาศจะต้องเห็นการเป็นปากเสียงของพี่น้อง และได้ยินเต็มสองหูว่าชีวิตนารารันทดน่าเวทนายิ่งกว่านางเอกหนังไทยสิบเรื่องรวมกันเสียอีก

หวังว่าคุณนพมาศจะเป็นคนขี้สงสารอย่างที่รู้มานะ…

“ไหนๆ เราก็พูดกันแล้ว คุณพี่ยอมรับมาตามตรงเถอะว่าฆ่าไก่ของฉันตายทั้งเล้า ไม่สงสารสักนิดว่ามันก็มีชีวิต” เธอเล่นบทโศกต่อไป “แม้แต่ตอนฉันจะสอบแล้วมีคนเอาน้ำแดงมาราดตำราเรียนของฉันจนเปียกโชกอ่านไม่ได้ ก็เป็นฝีมือพี่รพีกับพี่กมลเนตร คนที่แอบมาตัดชุดนักเรียนของฉันขาดในวันสอบก็คือพี่ และคนที่ขโมยเงินที่ฉันอุตส่าห์เก็บออมไว้ไปหมดก็เป็นพี่รพีกับพี่กมลเนตรอีกตามเคย ใช่ไหมคะ”

เรื่องราวเหล่านี้เป็นส่วนน้อยของการกลั่นแกล้งที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในเรือนเล็ก นาราไม่เคยไปฟ้องสุพจน์เพราะรู้ว่าการเรียกร้องความเป็นธรรม รังแต่จะนำความยุ่งยากที่มากกว่าเดิมมาให้ จนรพีพรรณเข้าใจว่าน้องสาวยอมรับความเป็นเบี้ยล่างโดยดุษณี เพิ่งมีครั้งนี้ละที่จู่ๆ เจ้าตัวก็ยกขึ้นมาพรรณายาวเหยียดราวกับแถลงการณ์

“เพ้อเจ้อใหญ่แล้ว แม่นารา เอาอะไรมาพูด” รพีพรรณยิ้มเย้ยหยัน

นาราชำเลืองมองพี่สาว อยู่ด้วยกันมาเป็นสิบปีทำไมเธอจะไม่รู้ว่ารพีพรรณมักจะรักษากิริยาท่าทางให้งดงามอยู่เสมอ เพื่อให้สมเป็นหญิงสาวจากตระกูลผู้ดีเก่า นิสัยนี้ถอดแบบมาจากคุณพ่อสุพจน์ผู้รักชื่อเสียงและหน้าตาเหนือสิ่งอื่นใด แต่เนื้อแท้แล้วหญิงสาวเป็นคนโมโหร้าย และยังขี้โมโหเสียด้วยถ้าเพียงเล่นงานให้ถูกจุด

“ถ้าพี่รพีไม่กล้ายอมรับการกระทำของตัวเองก็ช่างเถอะค่ะ ฉันจะคิดเสียว่าเรื่องทั้งหมดที่ฉันเจอมาเป็นการกระทำของคนขี้ขลาด เก่งแต่เล่นงานคนอื่นลับหลัง” นาราตัดสินใจเผด็จศึก “คนแบบนี้ใจเสาะไม่กล้าสู้ใครซึ่งๆ หน้า ถ้าถูกจับได้ก็ใช้วิธีตลบตะแลงปั้นน้ำเป็นตัวเพื่อเอาตัวรอด”

ฉันพูดแรงน่าตบปากขนาดนี้แล้ว ไม่ต้องวางท่าเป็นผู้ดีหรอกค่ะพี่รพี อาละวาดออกมาเลย!

ไม่ต้องไว้ชีวิตฉันเลยก็ยังได้นะ!

รอยยิ้มขบขันหายวับไปจากใบหน้ากมลเนตร เหลือไว้แต่ความตกใจและฉงนฉงาย รพีพรรณทะนงตัวว่าเลิศเลอมาแต่ไหนแต่ไร มีหรือจะยอมทนให้ใครสบประมาท โดยเฉพาะจากน้องสาวที่เธอวางไว้ในระดับต่ำกว่า

ส่วนรพีพรรณนั้นพูดได้ว่าในชีวิตของหญิงสาวไม่เคยมีใครกล้าหยาบหยามรุนแรงเท่านี้มาก่อน เมื่อรวมกับความขุ่นเคืองจากการถูกตัดหน้าเล่นเปียโน ไหนจะเรื่องขนมที่นารายกขึ้นมากระตุ้นไฟแค้นอีกเล่า เธอก็หมดความยับยั้งชั่งใจ

หญิงสาวปรี่เข้ามาหาตบฉาดไปบนใบหน้าน้องสาว จากนั้นก็ฟาดแรงๆ ไปตามเนื้อตัวสลับกับจิกเล็บไม่เลือกที่ไปบนเรียวแขน หน้าตาแดงก่ำด้วยเพลิงโทสะ กระนั้นก็ยังมีสติพอจะพูดเสียงต่ำไม่ให้ดังนัก

“กำเริบใหญ่แล้วนะแก กล้าดียังไงมาว่าฉัน ใช่! ฉันเป็นคนแกล้งแกเอง ทุกอย่างที่ว่ามาฉันทำทั้งหมดนั่นละ ต่อให้รู้แล้วแกจะทำอะไรฉันได้”

นาราปล่อยให้พี่สาวทำร้ายโดยไม่ปัดป้อง ปากก็ร้องโอดโอยไปด้วย วิฑูรย์กับธิปกที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบกรูออกมาห้ามทัพ มีนพมาศเดินตามมาเป็นคนสุดท้าย

ธิปกเข้าไปรั้งตัวรพีพรรณให้ออกห่างจากนารา ซึ่งที่จริงก็ไม่จำเป็นเพราะหญิงสาวหยุดการกระทำเกรี้ยวกราดทันทีที่เห็นนพมาศ ส่วนกมลเนตรหน้าเสีย หลบไปแอบอยู่หลังญาติสาวอย่างคนรู้รักษาตัวรอด

“เจ็บมากไหมคะหนู”

นพมาศปราดเข้ามาประคองนารา ลูบแก้มและแขนที่มีรอยเล็บจิกแดงจัดเห็นได้เด่นชัด ก่อนจะหันไปมองรพีพรรณด้วยสายตาตำหนิ เธออยากต่อว่าออกมาตรงๆ เสียด้วยซ้ำ ติดที่งานการกุศลของเธอมีลูกหลานผู้มีอันจะกินหลายตระกูลมารวมตัวกัน บอกไม่ได้ว่าใครเป็นใคร นพมาศไม่อยากบาดหมางกับญาติผู้ใหญ่ของรพีพรรณ จึงเพียงแต่ประคองนาราเดินผ่านไปโดยไม่เหลือบแลหญิงสาวซึ่งยืนกระอักกระอ่วนวางหน้าไม่ถูกอยู่ตรงนั้น

วิฑูรย์เดินตามนาราไปแล้ว รพีพรรณจะกลับเข้างานก็เกรงจะต้องพบกับนพมาศอีก หันรีหันขวางอยู่ครู่หนึ่งหญิงสาวก็ฉุดแขนกมลเนตรพากันก้าวฉับๆ ออกจากโรงแรมไปทันที เหลือธิปกยืนระอาใจอยู่ตรงนั้นเพียงคนเดียว

ธิปกไม่เคยเห็นผู้หญิงทะเลาะเบาะแว้งถึงขั้นลงไม้ลงมือกันมาก่อน พอมาพบชายหนุ่มก็ได้แต่สงสารนารา นึกอยากตามไปดูเผื่อว่าจะช่วยเหลืออะไรได้บ้าง แต่พอออกเดินเขาก็เหลือบไปเห็นผ้าผืนหนึ่งตกอยู่ที่พื้น จำได้ว่าเป็นผ้าเช็ดหน้าที่ผู้หญิงผิวสีน้ำผึ้งคนเมื่อครู่ใช้ซับน้ำตาจึงก้มลงเก็บขึ้นมา

ชายหนุ่มชะงักเมื่อจมูกได้กลิ่นฉุนเย็นบางอย่างระเหยออกมาจากเนื้อผ้า

กลิ่นยาหม่อง!

เขาคลี่ผ้าผืนน้อยออกดู เห็นตัวยาข้นเหนียวป้ายอยู่ที่มุมหนึ่งของผ้าเป็นวงใหญ่ พอยกขึ้นดมก็แน่ใจว่าเดาไม่ผิด

ผู้หญิงที่น้ำตาไหลพรากสะอึกสะอื้นอย่างน่าเวทนาเมื่อครู่นี้…ร้องไห้เพราะยาหม่องเข้าตา!

คิดถึงภาพนารายกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับหัวตา ยิ่งเช็ดตาก็ยิ่งแดงจัด น้ำตาพร่างพรูลงมาราวกับน้ำตกในฤดูฝนแล้วธิปกก็ขำไม่ออก นพมาศเป็นเจ้าของนิตยสารชื่อดังฉบับหนึ่ง เท่าที่ธิปกรู้มามีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยอยากถ่ายแบบลงนิตยสารของเธอ นาราก็คงไม่พ้นเป็นหนึ่งในผู้หญิงอยากเด่นอยากดังเหล่านั้น แต่เหนือชั้นกว่าคนอื่นตรงที่ลงทุนวางแผนตบตาได้แนบเนียนเป็นพิเศษ

เห็นหน้าซื่อๆ ท่าทางน่าสงสาร ที่แท้ก็สิบแปดมงกุฎดีๆ นี่เอง!



Don`t copy text!