เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 1 : ที่งานศพ

เหลี่ยมเล่ห์เรไร บทที่ 1 : ที่งานศพ

โดย : จันทร์จร

Loading

เหลี่ยมเล่ห์เรไร นวนิยายจากโครงการช่องวันอ่านเอาปี 4 โดย จันทร์จร…เมื่อความจริงถูกปกปิดไว้ด้วยอำนาจมืด และการหลบเลี่ยงความผิดของคนกลุ่มหนึ่ง เรไรจึงต้องออกมากระชากหน้ากากและเปิดโปงความฉ้อฉลนั้นด้วยตัวเอง เพื่อมอบความเป็นธรรมให้กับเหยื่อทุกคน ที่ยังรอให้ใครสักคนทำหน้าที่ลงโทษคนพวกนั้น นวนิยายสนุกๆ อีกหนึ่งเรื่องที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านที่ anowl.co

บรรยากาศปกคลุมไปด้วยความเงียบสงัด ประหนึ่งว่าหญิงสาวกำลังยืนอยู่ท่ามกลางทะเลแห่งความมืดมน ที่ไม่ว่าจะมองไปทางใดก็พบเพียงภาพขาวดำ สลับสีสันของดอกไม้ซึ่งประดับเมรุอย่างสวยงาม กลางความอาลัยของผู้คนที่มาในวันนี้

ดวงตาของเธอจับจ้องไปยังโลงศพอันประโคมแต่งด้วยดอกไม้ ซึ่งอยู่บนเมรุเบื้องหน้า เนื่องด้วยวันนี้เป็นการแสดงการอำลาครั้งสุดท้ายของชายผู้เคยเป็นเสาหลัก เป็นผู้พิทักษ์ชีวิต และผู้ปกครองเพียงหนึ่งเดียวที่เรไรรู้จัก

ทวิช ผู้เคยเป็นดั่งเจ้าชีวิตที่มีพระคุณชุบเลี้ยงเธอมา ได้สิ้นลมหายใจแล้วด้วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย ร่างของเขานอนสงบอยู่ในโลงศพไม้สักสลักลาย ละทิ้งความวุ่นวายทางโลกไว้เบื้องหลัง รวมถึงความรู้สึกขุ่นมัวในใจของเรไร ที่ไม่อาจหาสิ่งใดมาทดแทนได้

งานฌาปนกิจจัดขึ้นในวัดเล็กๆ แห่งหนึ่งแถวปริมณฑล รอบงานตอนนี้มีเพียงเสียงสวดมนต์ที่ดังกลบทุกสิ่ง เก้าอี้พลาสติกทั้งในศาลาและเต็นท์ชั่วคราวเต็มไปด้วยผู้คน ซึ่งล้วนแต่เป็น เพื่อน ญาติ และคนรู้จักของผู้วายชนม์ คนเหล่านั้นต่างแสดงความอาลัยและเคารพต่อทวิช ชายผู้ที่พวกเขาอาจได้สัมผัสและทำความรู้จักผ่านสักช่วงหนึ่งในชีวิต

ร่างระหงในชุดเดรสสีดำยืนเด่นอยู่ที่หน้าเมรุ หญิงสาวอยู่ในท่าทางสงบนิ่ง แววตาของเธอบ่งบอกถึงความเศร้าที่เจือปนอยู่ และในขณะที่ผู้คนเริ่มวางดอกไม้จันทน์แล้วกล่าวอำลาผู้ตายเป็นครั้งสุดท้าย ก็จะมาพบกับเธอที่กำลังยกมือไหว้ขอบคุณที่ให้เกียรติมาร่วมงาน แน่นอนว่าการปรากฏตัวของเธอนั้น ได้ดึงดูดสายตาของผู้คนที่อยากรู้อยากเห็น รวมถึงเสียงพึมพำที่กำลังวิจารณ์ถึงสถานะของหญิงสาวคนนี้ด้วย

“คุณทวิชไม่ได้แต่งงานมีลูกไม่ใช่เหรอ แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร”

“ชื่อเรไรน่ะ เป็นเด็กที่คุณทวิชเลี้ยงดูมา ผมเคยเจอเธอครั้งสองครั้ง”

“ไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ สินะ สงสัยจังว่าคุณทวิชเลี้ยงดูในฐานะอะไร ยังสาวแถมสวยขนาดนั้น”

“ได้ยินว่าเป็นลูกของเพื่อนที่หายตัวไป ก็คงจะรักเหมือนลูกเหมือนหลานนั่นแหละ”

“จะใช่เหรอ มีสาวรุ่นสวยออกปานนั้นอยู่ใกล้ๆ เป็นผมคงอดใจไม่ได้เหมือนกัน อีกอย่าง…คุณทวิชก็ไม่เคยมีผู้หญิงที่ไหนด้วย”

“เรื่องนี้ผมคงตอบคุณไม่ได้หรอก คงต้องไปเคาะโลงถามกันเองแล้วละมั้ง”

เสียงหัวเราะดังมาจากกลุ่มชายสูงวัยในชุดสูทสากลสีดำสนิท ที่ดูจะถูกอกถูกใจกับการวิจารณ์หญิงสาวที่ทวิชเลี้ยงดูมา เรไรผู้ได้ยินทุกอย่างได้แต่ยืนนิ่ง ภายใต้ใบหน้ารูปไข่ที่สงบเงียบอยู่นั้น ไม่มีใครรู้ได้เลยว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ในใจกันแน่ ชัดเจนว่าสิ่งที่พวกเขาพูดก็มีความจริงปนอยู่ เรื่องที่เธอไม่ใช่ลูกสาวของทวิช

แต่ที่เขาเข้ามาดูแลเธอได้ ก็เป็นเพราะแม่ของเธอหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเมื่อสิบห้าปีที่แล้ว ทิ้งเด็กหญิงอายุสิบสองไว้ตามลำพัง จนทวิชผู้ซึ่งเป็นเหมือนคนรักของแม่ในตอนนั้น ต้องเก็บเธอมาเลี้ยงด้วยความสงสาร หรืออาจเป็นเหตุผลอื่นก็สุดจะคาดเดา

แน่นอนว่าเรื่องความสัมพันธ์อันคลุมเครือของเรไร กับผู้ปกครองของเธอก็มักจะถูกพูดถึงเสมอ โดยเฉพาะในแวดวงผู้ที่ใกล้ชิดกับเขา หลายครั้งที่มีข่าวลือแพร่สะพัด อันเป็นที่นินทาอย่างสนุกปากของเหล่าเพื่อนชายวัยใกล้เกษียณ ที่ความคิดยังวนเวียนอยู่แต่เรื่องคาวโลกีย์ และเสียงเล็กๆ ที่ตั้งคำถามถึงสถานะของเธอในงานนี้ ว่าสาวสวยที่ทวิชเลี้ยงมาแต่เด็กนั้น เธอจะเป็นเพียงแค่เด็กในปกครอง หรือได้เลื่อนขั้นมาเป็นคู่ชีวิตลับๆ ของทวิชแล้วกันแน่

“เสียใจด้วยนะครับ พี่วิชไม่น่าจากไปเร็วอย่างนี้เลย”

คำพูดของชายคนหนึ่งเอ่ยกับเรไร และมองเธอด้วยสายตาเห็นใจ ทว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ในความดีอันฉาบฉวยนั้น เขาคืออีกคนที่กำลังมองเธออย่างเป็นประกายแห่งความปรารถนา

“ขอบคุณที่มานะคะ” หญิงสาวยกมือไหว้และหยิบของชำร่วยส่งให้กับเขา ท่ามกลางการแสดงความเสียใจ และการกล่าวสรรเสริญคุณงามความดีของผู้ตายผ่านคนแล้วคนเล่า ความทรงจำที่เกี่ยวกับทวิชก็กลับมาท่วมท้นในจิตใจของเรไรอีกครั้ง

ความเย็นชาเย่อหยิ่ง สายตาเด็ดขาดที่บังคับให้เธอเดินตามกรอบที่เขาต้องการ ความเข้มงวดที่ไม่เปลี่ยนแปลง และกฎระเบียบที่ผูกเธอไว้ด้วยความหวาดกลัวตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้น บัดนี้…เธอได้เป็นอิสระจากพันธนาการนั้นอย่างสมบูรณ์แล้ว ใบหน้าสวยมีน้ำตาคลออยู่ในดวงตา แต่เธอไม่ยอมปล่อยให้มันร่วงหล่น วันนี้เรไรจะให้เกียรติเขาในฐานะผู้มีพระคุณชุบเลี้ยงเป็นครั้งสุดท้าย ยังไม่ใช่เวลาของการโบยบินอย่างเสรีดั่งที่ตั้งใจ

 

“ถ้าไม่มีพี่วิช ป่านนี้ผมคงนอนตายอยู่ในคุกไปแล้ว”

เสียงหนึ่งดังมาไม่ไกลนัก เป็นเสียงของชายวัยกลางคนที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยสัก เรไรเคยเจอเขาคนนั้นอยู่หลายครั้ง ดูเหมือนนี่อาจจะเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เธอกล้าพูดได้เต็มปากว่า เขาสามารถตายแทนทวิชได้ ด้วยความเมตตาที่เขาเคยได้รับจากผู้วายชนม์ ทำให้ตัวเขานั้นพ้นข้อหาหนักๆ มาได้ และจำคุกเพียงไม่กี่ปีทั้งที่สิ่งที่เขาทำควรจะทำให้เขาอยู่ในคุกจนตายอย่างที่ปากว่าแท้ๆ

เรไรมองดูกลุ่มชายที่ยกย่องความเมตตาของทวิชด้วยสายตาว่างเปล่า เพราะความดีงามที่พากันสรรเสริญอยู่นั้น มันคือความอยุติธรรมต่อเหยื่อที่พวกเขาได้กระทำ ซึ่งบางคนพอรู้ว่าไม่มีทวิชอยู่แล้ว ก็ถึงกับแสดงความเสียใจออกมาอย่างสุดกลั้น คั่นด้วยเสียงสะอื้นเป็นระยะ นั่นคือความอัปยศอดสู และความขมขื่นที่กลืนกินจิตใจของหญิงสาว ผ่านชายที่ได้สัมผัสกับชีวิตผู้คนมากมาย รวมถึงเหยียบย่ำความเจ็บปวดของผู้เคราะห์ร้ายที่ควรจะได้รับความยุติธรรมตามกระบวนการ

เมื่อการวางดอกไม้จันทน์เสร็จเรียบร้อย ชายกลุ่มหนึ่งก็ขึ้นไปหามโลงศพของทวิช เพื่อเตรียมรอให้สัปเหร่อมาทำพิธีก่อนจะเข้าเตาเผา เรไรเดินตามไปข้างหลัง ปลายเท้าที่หุ้มไว้ด้วยรองเท้าส้นสูงสีดำเหยียบย่างขึ้นไปบนเมรุ ด้วยความรู้สึกสงบนิ่งประหนึ่งว่าร่างของเธอนั้นไร้ความรู้สึก ไม่สนกับสายตาของผู้คนที่มองมายังเธออย่างสงสัย รวมถึงสีหน้าที่กำลังตั้งคำถามถึงการปรากฏตัวเป็นแม่งานอย่างเต็มตัว

เสียงกระซิบกระซาบดังทั่วไปในหมู่ผู้ร่วมไว้อาลัย ไม่ว่าจะเป็นคำว่า ‘ลูกนอกกฎหมาย’ หรือแม้แต่ ‘เมียเด็กเก็บมาเลี้ยง’ นั้นวนเข้าหูเธออยู่เป็นระยะ ใบหน้าสวยยังคงเรียบสงบ ไม่แสดงถึงความกังวลใดๆ เธอไม่จำเป็นต้องกำหมัดแน่น หรือจิกเล็บกับฝ่ามือเพื่อระงับความกรุ่นโกรธ ในความสงสัยเรื่องความเกี่ยวดองของเธอกับคนที่เลี้ยงดูมาแต่เล็ก ด้วยสายสัมพันธ์ที่ถูกหล่อหลอมมาด้วยความหวาดกลัว น้ำตา และความดีครึ่งๆ กลางๆ ตามแต่อารมณ์ของคนที่ดูแลมาหลายปี

“ใครมีอะไรจะบอกผู้ตายก็มานะครับ” สำเนียงแปร่งๆ ของสัปเหร่อเรียกคนที่อยากเห็นหน้าผู้วายชนม์เป็นครั้งสุดท้าย แล้วทำการเปิดฝาโลง ให้เห็นใบหน้าที่สงบนิ่งไร้ซึ่งลมหายใจของทวิช

เรไรยืนสงบนิ่งไร้แววของความเศร้าโศกเสียใจ เธอเชิดหน้าแล้วปรายตามองร่างผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกของชายผู้ที่เลี้ยงดูเธอมาด้วยความแข็งกร้าว และไม่ยอมปล่อยให้ความสงสัยของใครมาบดบังความรู้สึกที่เธอมีให้กับทวิช เธอเคยมองเขาอย่างเทิดทูนบูชา ทว่าตอนนี้กลับเหลือเพียงแค่ความผิดหวัง กับความโกรธที่อาจหาทางลงได้

ขณะโลงศพเคลื่อนเข้าไปในเตาเผา เรไรยังคงยืนนิ่งและจ้องมองไปยังโลงศพที่ค่อยๆ เคลื่อนเข้าไป พร้อมกับเปลวเพลิงที่ลุกโชนสะท้อนออกมาในแววตาของหญิงสาว เธอสาบานว่าจะให้เกียรติความทรงจำของเขา ด้วยการคืนความเป็นธรรมให้แม่ตัวเอง และพิสูจน์ให้ได้เห็นว่าเธอเป็นได้มากกว่าเสียงกระซิบกระซาบของคนเหล่านั้น อีกไม่นานสิ่งที่ทุกคนสงสัยก็จะได้ประจักษ์ว่า เธอนี่แหละผู้ที่เก็บความลับของพวกมัน ความโลภและความฉ้อฉลเธอจะเปิดมันออกมาเอง

แม้ในเวลานี้การเดินทางของเรไรเพิ่งจะเริ่มต้น แต่เส้นทางที่เต็มไปด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้านั้น จะนำมาซึ่งการปิดฉากอย่างสวยงาม ต่อจากนี้เรไรจะแข็งแกร่งอยู่เหนือสิ่งโสมมที่พวกนั้นพยายามจะปกปิด และมันกัดกินจิตใจเธอมานานเหลือทน

“มันกำลังจะเริ่มต้นแล้วนะคะ คุณอา…”

หญิงสาวหายใจเข้าลึกๆ ระหว่างที่มองประตูเตาเผาค่อยๆ เลื่อนลงมาจนปิดสนิท จบฉากของทวิช ชายผู้กุมชะตากรรมของเธอมาสิบห้าปี ตอนนี้เรไรไร้ซึ่งสิ่งใดที่ต้องกลัวอีกต่อไป ความตั้งใจอันแน่วแน่นี้ไม่อาจพังทลายลงได้ ขณะที่เธอต้องเตรียมพร้อมที่จะต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ เมื่อเป้าหมายต่อไปได้ยืนอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว

 

ระหว่างที่ผู้ร่วมไว้อาลัยต่อการจากไปของทวิชค่อยๆ แยกย้ายกันออกจากงาน สายตาของเรไรก็จับจ้องไปยังหญิงสูงวัยที่ยืนอยู่ด้านล่างของเมรุ แม้ว่าจะมีผู้คนผ่านไปมาระหว่างเธอกับหญิงสูงวัยคนนั้นมากมาย แต่ก็ไม่อาจทำให้หญิงสาวละสายตาแห่งความโกรธลงได้ แววตาของเรไรลุกโชนด้วยความเจ็บแค้นที่ฝังลึก ระหว่างเธอกับผู้หญิงที่สร้างความเจ็บปวดให้กับความทรงจำ และหลอกลวงคนทั้งโลกด้วยความดีงามที่มีแต่ฉากหน้า

“เจอจนได้…”

เรไรแสยะยิ้มกว้าง บุคคลที่เธอจับจ้องอยู่คือมธุกร เศรษฐินีหม้ายใจบุญทางภาคเหนือที่ไม่มีใครไม่รู้จัก อีกทั้งยังเป็นประธานมูลนิธิเพื่อการกุศลอย่างมูลนิธิโลกในฝันอีกด้วย

แม้วัยจะล่วงเลยเกือบหกสิบแล้ว มธุกรก็ยังดูแลตัวเองให้สง่าแลดูอ่อนกว่าวัย เธอโดดเด่นอยู่ท่ามกลางผู้คนที่มาร่วมงาน สีหน้าของหญิงผู้ใจบุญนั้นสงบเสงี่ยม ทว่าก็ฉายแววความโศกเศร้า ไม่ต่างอะไรจากคนที่สูญเสียบุคคลสำคัญในชีวิต เห็นได้ชัดจากคราบน้ำตาที่ไหลและความสั่นไหวในแววตา ซึ่งมีเพียงแค่เรไรเท่านั้นที่รับรู้ว่า เหตุใดเศรษฐินีผู้นี้ถึงได้แสดงออกถึงความเสียใจมากเช่นนั้น และความจริงนี้เองที่ตามหลอกหลอนเธออยู่ทุกวินาที

 

“ผู้หญิงคนนั้นใครกัน”

มธุกรมองหญิงสาวที่อยู่บนเมรุด้วยความสงสัย เธอสังเกตเห็นสายตาที่เป็นประกายวาวโรจน์ส่งมายังเธอ ซึ่งนั่นยิ่งทำให้มธุกรรู้สึกไม่สบายใจนักที่ได้เห็น

“ชื่อเรไรค่ะ เด็กที่คุณวิชเก็บมาเลี้ยง” ดลพร คนสนิทของมธุกรบอกตามข้อมูลที่ได้รู้มา ว่าตามจริงเธอกับมธุกรก็มีโอกาสได้เห็นเรไรอยู่สองสามครั้ง เวลาไปหาทวิช ทว่าหญิงสาวกลับเก็บเนื้อเก็บตัวไม่ทำตัวโดดเด่น ซึ่งผิดกับวันนี้อย่างเห็นได้ชัด

“เด็กคนนั้นเองเหรอ” น้ำเสียงของมธุกรเจือความประหลาดใจ เธอสัมผัสได้ถึงความกรุ่นโกรธที่ส่งมาจากเรไร แหละเหมือนการสบตากันอย่างเงียบๆ นั้นจะแทรกซึมไว้ด้วยความเคร่งขรึมระหว่างคนทั้งสอง ซึ่งมธุกรไม่อาจเข้าใจถึงความเจ็บปวดของหญิงสาว

แน่นอนว่าผู้ที่ผ่านชีวิตมาเยอะกว่า ย่อมที่จะไม่สนใจกับความขุ่นมัวนั้น และไม่ยี่หระหากสายตาคู่นั้นจะแฝงไว้ด้วยแรงผลักดันบางอย่าง เพราะช่วงเวลานี้มธุกรกำลังรับรู้ถึงความไม่มั่นคง และมันอาจสั่นคลอนถึงอิทธิพลของเธอ ด้วยทวิชที่เป็นเหมือนแขนขาได้จากไป โดยที่ยังเก็บซ่อนของบางอย่างซึ่งควรจะเป็นของเธอไว้ด้วย

“เด็กคนนั้น จะรู้มากแค่ไหนกันนะ” คำกล่าวอย่างเลื่อนลอยของมธุกร จุดชนวนของความอยากรู้ให้กับตัวเธอ มันคือความต้องการหาคำตอบถึงของบางสิ่งที่ยังหาไม่พบ ไม่แน่ว่ามันอาจซ่อนอยู่เบื้องหลังสายตาอันมุ่งมั่นของเรไร รวมถึงความสัมพันธ์อันน่าฉงนสงสัยระหว่างทวิชและหญิงสาวคนนั้น

“คุณทวิชไม่น่าจะเล่าอะไรให้ฟังหรอกค่ะ” ดลพรผู้จดจำทุกเรื่องของมธุกรได้ตอบเพื่อให้เจ้านายตัวเองสบายใจ

“เราจะไว้ใจคนใกล้ตายได้เหรอ บางทีถ้าเขาอยากจะบอกความลับกับใครสักคน ก็คงต้องเป็นคนที่อยู่ใกล้ชิดที่สุดนั่นแหละ ที่ผ่านมาทวิชเลี้ยงเด็กมาตั้งมาก แต่คนที่อยู่ใกล้ชิดเขานานที่สุดก็มีแต่แม่คนนั้น อย่าลืมสิว่าช่วงหลังเขาไม่ได้ทำงานเองแล้ว แล้วใครล่ะที่ทำทุกอย่างแทนเขา ถ้าไม่ใช่คนที่จู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาเป็นแม่งานในงานศพตอนนี้”

มธุกรไม่อาจวางใจกับสิ่งที่วนเวียนภายในความคิดได้ การรู้สึกได้ถึงพลังของความถือดียังคงฝังแน่น แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงรักษาท่าทีสงบของตัวเอง เพราะยิ่งเธอแสดงอารมณ์และความรู้สึกมากเท่าไร มันก็รังแต่จะทำลายความลับที่เก็บไว้ แม้จะยังไม่เข้าใจความคิดของเรไรได้ทั้งหมดก็ตามที

เมื่อเป็นเช่นนั้น มธุกรจึงได้แต่คาดเดาความคิดของหญิงสาวท่ามกลางความเงียบ ที่ปนไปด้วยเสียงซุบซิบนินทาและความอยากรู้อยากเห็น ที่ไม่ใช่แค่เรื่องราวความสัมพันธ์ของเรไรกับทวิช แต่อาจรวมถึงความเกี่ยวข้องถึงตัวเธอเองด้วย

แต่จะว่ามธุกรนั้นคิดมากไปก็อาจไม่ใช่เสียทั้งหมด เพราะหากย้อนไปช่วงก่อนที่ทวิชจะจากโลกนี้ไป เรไรก็เป็นไม่กี่คนที่สามารถเข้านอกออกในบ้านของทวิชได้อย่างเปิดเผย แม้เขาจะมีความลับมากมายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทา หลักฐานการช่วยเหลือผู้กระทำผิดผ่านอิทธิพลและเส้นสายที่เขามี การรับส่วนแบ่งในการยักยอกเงินโครงการอย่างผิดกฎหมาย รวมถึงการฟอกเงินจากธุรกิจเหล่านั้นด้วย แต่เรไรกลับยังคงทำเหมือนรู้เรื่องราวทุกอย่างโดยไม่พยายามจะปกปิดมันสักนิด



Don`t copy text!